Show
อนาคตของกระแสโลกาภิวัตน์: ความท้าทายจากไวรัสโควิด-19 นางสาวธนันธร มหาพรประจักษ์ ฝ่ายนโยบายการเงิน การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ทั่วโลกต้องออกมาตรการปิดประเทศ
ทำให้การส่งออกสินค้าที่ถือว่าเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบตามไปด้วย ผู้เชี่ยวชาญในหลายวงการทั้งภาคธุรกิจ และแวดวงวิชาการต่างมองว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะเป็นบททดสอบสำคัญต่อกระแสโลกาภิวัตน์ของเศรษฐกิจโลก (Globalization) รวมถึงห่วงโซ่อุปทานการผลิต (Global supply chain) ที่มีความเชื่อมโยงกันอาจพังทลายลงได้ บางขุนพรหมชวนคิดในวันนี้อยากชวนท่านผู้อ่านทำความเข้าใจกับประเด็นนี้กันค่ะ การทวนกระแสโลกาภิวัตน์
หรือ Deglobalization ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ที่เข้ามาในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่เป็นพัฒนาการทางเศรษฐกิจการเมืองที่เริ่มต้นมาระยะหนึ่ง ที่ผ่านมากระแสโลกาภิวัตน์ทำให้ตลาดการค้าระหว่างประเทศเติบโตมาก เนื่องจากผู้ผลิตสามารถใช้ประโยชน์จากการแบ่งการผลิตระหว่างประเทศ โดยสร้างระบบห่วงโซ่การผลิตที่กระจายอยู่ในหลายประเทศ ซึ่งทำให้การผลิตมีประสิทธิภาพและมีส่วนช่วยในการเติบโตของธุรกิจ อย่างไรก็ดี กระแสโลกาภิวัตน์ก็ให้เกิดปัญหาด้วยเช่นกัน
เนื่องด้วยประชาชนบางส่วนมองว่ากระแสโลกาภิวัตน์มีส่วนสร้างปัญหาความเหลื่อมล้ำ จากการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีค่าแรงต่ำกว่า ซึ่งส่งผลเสียต่อแรงงานที่มีรายได้ต่ำในประเทศ ขณะที่เจ้าของกิจการและนักลงทุนกลับได้ประโยชน์จากต้นทุนการผลิตที่ถูกลง โดยเห็นได้ชัดเจนในช่วงปี 2018 ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศสงครามการค้ากับจีนด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าหลายระลอก จนมีส่วนทำให้เกิดการกระจายของฐานการผลิตออกจากจีนในหลายอุตสาหกรรม "การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อาจเป็นการเร่งการทวนกระแสโลกาภิวัตน์ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น" การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นการตอกย้ำถึงความเสี่ยงของการใช้วัตถุดิบและส่วนประกอบที่ต้องนำเข้าจากหลายประเทศและการพึ่งพาประเทศจีนเป็นหลักโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการผลิตสินค้าจำเป็น และอาจเป็นการเร่งการทวนกระแสโลกาภิวัตน์ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น รายงานของสำนักงานกิจการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ (UN DESA) ฉบับเดือนพฤษภาคม 2563 ประเมินว่า ประเทศต่าง ๆ มีโอกาสลดการพึ่งพาโลกภายนอกและปรับห่วงโซ่การผลิตให้สั้นลงจากไวรัสโควิด-19 เช่นเดียวกับความเห็นของสองนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังทั้งคาร์เมน
ไรน์ฮาร์ท (Carmen Reinhart) และเคนเนธ รอกอฟฟ์ (Kenneth Rogoff) ที่ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ไม่ได้เกิดพร้อมกันในแต่ละพื้นที่ ทำให้ห่วงโซ่การผลิตกลับมาเดินเครื่องพร้อมกันได้ยาก เป็นช็อคต่อระบบการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 40 ปี และจะส่งผลให้กระแสโลกาภิวัตน์เสื่อมถอยลง ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ภาคธุรกิจจำเป็นต้องลดความเสี่ยงด้วยการย้ายฐานการผลิตโดยให้ห่วงโซ่การผลิตสั้นลง ลดการพึ่งพาในระยะไกล
หันมาพึ่งพาระยะใกล้ในภูมิภาคแทน (Regionalization) และบางส่วนอาจเข้าสู่การปกป้องอุตสาหกรรมตัวเองในลักษณะพี่งพาตัวเองมากขึ้น (Localization) ทั้งการผลิตสินค้าขึ้นเอง รวมถึงเน้นตอบสนองความต้องการภายในประเทศเป็นหลัก ในช่วงที่ผ่านมาภาคธุรกิจของทั้งไต้หวันและ ญี่ปุ่น จำนวนมากโดยกว่า 500 บริษัท (ข้อมูลจาก Taipei Times) และเกือบ 1,000 บริษัท (ข้อมูลจาก Tokyo Shoko Research) ตามลำดับ มีแผนที่จะกระจายกำลังการผลิตออกจากจีนหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
โดยจะคงไว้เฉพาะโรงงานที่ผลิตสินค้าสำหรับความต้องการในจีนเท่านั้น ขณะที่ฐานการผลิตอื่น ๆ จะกระจายออกมานอกจีนมากขึ้น เช่น อินเดีย อาเซียน ขณะที่ส่วนหนึ่งจะกลับมาลงทุนที่ประเทศตัวเอง นอกจากนี้ ภาครัฐมีแนวโน้มที่จะใช้นโยบายกีดกันทางการค้าและการปกป้องธุรกิจในประเทศที่เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเกิดความเสี่ยงต่อความต้องการขั้นพื้นฐานของประชาชน อาทิ ด้านสุขภาพและอาหาร หลายประเทศหันมาใช้นโยบายห้ามการส่งออกหรือมีมาตรการควบคุมต่าง ๆ
สำหรับผลิตภัณฑ์ที่สำคัญต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน แม้การดำเนินนโยบายนี้จะกระทบต่อพันธมิตรหรือประเทศเพื่อนบ้านก็ตาม ไม่ว่าท้ายที่สุดแล้ว การทวนกระแสโลกาภิวัตน์จะมีความเข้มข้นเพียงใด การเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นนี้ ถือว่าเป็นสิ่งท้าทายต่อเศรษฐกิจไทยในการจัดสรรทรัพยากรใหม่ให้สามารถปรับตัวได้ทันท่วงที ทั้งปัจจัยด้านเงินทุน แรงงาน และเครื่องจักร เพราะหากปรับตัวได้ช้าก็ยิ่งมีต้นทุนสูง และส่งผลต่อความสามารถการแข่งขันในระยะยาว รวมถึงเป็น “โอกาส” ด้วยเช่นกันในการทบทวนทิศทางนโยบายเศรษฐกิจของประเทศที่จำเป็นต้องกระจายการผลิตด้วยการไม่พึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่งมากจนเกินไปโดยหันมาให้ความสำคัญกับการลงทุนในประเทศมากขึ้น ซึ่งจะมีส่วนช่วยเพิ่มการกระจายรายได้ให้กับแรงงานไทยเช่นกันค่ะ บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย
แนวคิดหนึ่งที่ฟังดูมากที่สุดในช่วงสองสามปีในประเด็นเศรษฐกิจคือโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจที่เรียกว่า คำนี้ซึ่งไม่ยากเกินกว่าที่จะเข้าใจได้รวมถึงความรู้ที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งทางเศรษฐศาสตร์ แต่ โลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจคืออะไร? มีข้อดีข้อเสียอย่างไร? มีไว้เพื่ออะไร? ดัชนี
โลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจคืออะไร
เราสามารถกำหนดโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจเป็น "การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจและการค้าที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ ในระดับชาติ ระดับภูมิภาค หรือแม้แต่ระดับนานาชาติ และมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ประโยชน์จากสินค้าและบริการของแต่ละประเทศ"กล่าวอีกนัยหนึ่ง เรากำลังพูดถึงความสามารถของประเทศต่างๆ ในการรวมสินค้าและบริการเข้าด้วยกัน และกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศเหล่านั้นที่ประกอบขึ้นเป็น ด้วยวิธีนี้ก การเติบโตสูงสุดของทุกประเทศ แต่ยังรวมถึงด้านอื่น ๆ อีกมากมาย เช่นเทคโนโลยีการสื่อสาร ฯลฯ ลักษณะเศรษฐกิจโลกาภิวัตน์แม้ว่าแนวคิดดังกล่าวจะทำให้ชัดเจนว่าเรากำลังอ้างถึงอะไรจากโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจ แต่ก็เป็นความจริงที่มีลักษณะบางประการที่ต้องคำนึงถึงคำนี้ และนั่นคือ:
ข้อดีและข้อเสียของโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจ
ณ จุดนี้ในบทความเป็นไปได้มากว่าคุณคงมีความคิดแล้วว่าโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจนั้นดีหรือไม่ดี และความจริงก็คือในทุกๆสิ่งมีทั้งสิ่งที่ดีและสิ่งที่ไม่ดี ด้วยเหตุนี้เมื่อมีการลงนามในสนธิสัญญาประเทศต่างๆจึงมักจะวิเคราะห์อย่างมากว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับประเทศหรือไม่ ข้อดีของโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจในแง่บวกที่เราสามารถบอกคุณเกี่ยวกับโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจเรามี:
ข้อเสียแต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่ดีมีหลายสิ่งที่เป็นลบที่โลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจนำมาให้เราเช่น:
โลกาภิวัตน์ดีหรือไม่ดี?
ขึ้นอยู่กับประเทศที่คุณถามมันจะบอกคุณอย่างใดอย่างหนึ่ง อย่างที่คุณเคยเห็นมันมีทั้งสิ่งที่ดีและไม่ใช่สิ่งที่ดีและส่งผลกระทบต่อประเทศเป็นรายประเทศไม่ว่าจะทำให้ร่ำรวยขึ้นหรือน้อยลง ลูกแพร์ เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายมีข้อตกลงทางการค้า สิ่งเหล่านี้มีการลงนามแบบทวิภาคี หากเป็นระหว่างสองประเทศ หรือพหุภาคีหากมีหลายประเทศ และพวกเขากำหนดแนวทางที่จะปฏิบัติตาม แต่ละประเทศต้องประเมินเอกสารนี้ก่อนลงนามเพื่อให้สามารถทราบได้ว่าสะดวกสำหรับพวกเขาหรือไม่ควรดำเนินการต่อเหมือนเดิม อีกทางเลือกหนึ่งที่ใช้คือ ใช้บล็อกทางเศรษฐกิจนั่นคือกฎระเบียบที่ดำเนินการระหว่างหลายประเทศ เพื่อกำหนดข้อกำหนดเกี่ยวกับบางประการ: ภาษีศุลกากรสินค้านำเข้า ฯลฯ โลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจยังสามารถเกิดขึ้นเพียงฝ่ายเดียวในประเทศเดียวกันตัวอย่างเช่นโดยการควบคุมอัตราภาษีข้อกำหนดในการนำเข้าหรือส่งออกสินค้าเป็นต้น ดังนั้นเศรษฐกิจของประเทศก็ได้รับอิทธิพลเช่นกัน โลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจ หมายถึงอะไรโลกาภิวัตน์หมายถึงการเปิดประเทศทางด้านเศรษฐกิจกับโลกภายนอก ซึ่งก่อให้เกิดการค้า การลงทุน การเคลื่อนย้ายเงินทุน การเคลื่อนย้ายแรงงาน และการเคลื่อนย้ายเทคโนโลยีในการผลิตระหว่าง ประเทศ
โลกาภิวัฒน์มีความหมายตามข้อใดโลกาภิวัตน์คือการบูรณาการที่เพิ่มขึ้นของเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงการเคลื่อนย้ายของผลิตภัณฑ์ บริการ เทคโนโลยี และข้อมูลข้ามพรมแดน
โลกาภิวัฒน์หมายถึงอะไร และสาเหตุของโลกาภิวัฒน์คืออะไรโลกาภิวัตน์ หรือ โลกานุวัตร (globalization) คือ ผลจากการพัฒนาการติดต่อสื่อสาร การคมนาคมขนส่ง และเทคโนโลยีสารสนเทศ อันแสดงให้เห็นถึงการเจริญเติบโตของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี และวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงระหว่างปัจเจกบุคคล ชุมชน หน่วยธุรกิจ และรัฐบาล ทั่วทั้งโลก
โลกาภิวัตน์ คืออะไร และมีความสําคัญอย่างไรโลกาภิวัตน์ (มักเขียนผิดเป็น โลกาภิวัฒน์) หรือ โลกานุวัตร (อังกฤษ: globalization) คือ ผลจากการพัฒนาการติดต่อสื่อสาร การคมนาคมขนส่ง และเทคโนโลยีสารสนเทศ อันแสดงให้เห็นถึงการเจริญเติบโตของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี และวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงระหว่างปัจเจกบุคคล ชุมชน หน่วยธุรกิจ และรัฐบาล ทั่วทั้งโลก
|