วัสดุในชีวิตประจําวัน มีอะไรบ้าง

พอลเิ มอรแ์ ต่ละชนิดมโี ครงสร้ำงที่แตกต่ำงกนั ทำให้มีสมบตั ทิ ตี่ ่ำงกันดว้ ย กำรนำพอลเิ มอรไ์ ปใช้ประโยชน์จึงมีไดห้ ลำยรูปแบบ ดังนี

เทอรม์ อพลาสตกิ (thermoplastic) พลาสตกิ เทอร์มอเซต (thermosetting plastic)

• มโี ครงสรำ้ งแบบโซต่ รงและโซก่ ิ่ง • มโี ครงสรำ้ งแบบร่ำงแห
• เมอ่ื ไดร้ บั ควำมร้อนจะออ่ นตวั และเมือ่ เย็นลงจะแข็งตวั • เมื่อขนึ รูปด้วยควำมร้อนหรือแรงดนั แล้ว
• นำไปหลอมเหลว เพอื่ นำกลบั มำใช้ใหม่ได้
• ตวั อย่ำงเช่น เทฟลอน ไนลอน พวี ซี ี พอลเิ อทลิ ีน ไม่สำมำรถนำกลบั มำขึนรปู ใหม่ไดอ้ ีก
• ทนควำมรอ้ นและควำมดนั ได้ดี
พอลโิ พรพลิ นี • หำกมีอณุ หภูมิสูงมำก จะแตกและไหม้เปน็ เถ้ำ
• ตวั อยำ่ งเช่น เมลำมนี ซลิ โิ คน พอลิยูรีเทน

การปรบั ใช้สมบตั ขิ องพลาสตกิ ใหเ้ หมาะสมตอ่ การนามาใช้งาน

พอลเิ อทิลีน

• มอนอเมอร์ คอื เอทลิ ีน
• มีลักษณะ เหนียว ใส ทนตอ่ สารเคมี นา้ ผา่ นไมไ่ ด้ ไม่ทนความรอ้ น
• นาไปใช้ทาถงุ ใส่ของเย็น ถุงขยะ ของเล่นเดก็ ดอกไมพ้ ลาสตกิ

พอลิสไตรีน

• มอนอเมอร์ คือ สไตรนี
• มีลักษณะ แขง็ แตเ่ ปราะ ไม่ทนต่อตัวทาละลายอนิ ทรีย์ ทนตอ่ กรด-เบส

ไม่ไฟฟ้า ไม่ทนความร้อน
• นาไปใชท้ าชน้ิ ส่วนของตเู้ ยน็ ตลบั เทป กล่องใส โฟมบรรจอุ าหาร วสั ดลุ อยน้า

การปรับใช้สมบตั ิของพลาสตกิ ใหเ้ หมาะสมตอ่ การนามาใช้งาน

พอลิไวนิลคลอไรด์

• มอนอเมอร์ คือ ไวนิลคลอไรด์
• มลี กั ษณะ เนื้อแขง็ คงรปู ทนต่อความชน้ื ทนต่อสารเคมี
• นาไปใชท้ าท่อพวี ีซี กระเบ้อื งปูพน้ื ฉนวนหุม้ สายไฟ ภาชนะบรรจสุ ารเคมี

พอลิเตตระฟลอู อโรเอทิลนี (เทฟลอน)

• มอนอเมอร์ คือ เตตระฟลอู อโรเอทลิ นี
• มลี ักษณะ เหนียว ทนสารเคมี ทนความร้อน ผวิ ลื่น ทนแรงกระแทก
• นาไปใช้เคลือบภาชนะดา้ นในไม่ให้อาหารติดภาชนะ ฉนวนไฟฟ้า ปะเกน็

แหวนลูกสูบ ลกู ปืนในเครอ่ื งยนต์

การปรับใชส้ มบัติของพลาสตกิ ใหเ้ หมาะสมต่อการนามาใช้งาน

พอลิเอทลิ ีนเทเรฟทาเลต

• มอนอเมอร์ คือ ไดเมทลิ เทเรฟทาเลตกับเอทลิ ีนไกลคอล
• มีลักษณะ แขง็ งา่ ยต่อการย้อมสี ทนความชนื้ เหนยี ว ทนตอ่ การขัดถู
• นาไปใชท้ าเสน้ ใย แห อวน ขวดนา้ อดั ลม ขวดน้าด่มื ชนดิ แขง็ และใส

พอลเิ มลามนี ฟอรม์ าลดไี ฮด์ (เมลามนี )

• มอนอเมอร์ คือ เมลามนี กับฟอรม์ าลดไี ฮด์
• มลี ักษณะ ทนความรอ้ น ทนนา้ ทนสารเคมี
• นาไปใช้ทาเครอื่ งใชใ้ นครวั ชอ้ น ส้อม ตะเกยี บ จาน ชาม

ประโยชนข์ องวสั ดปุ ระเภทพอลเิ มอร์ ยาง (rubber) แบ่งออกไดเ้ ป็น 2 ประเภท

ยางธรรมชาติ (natural rubber)

เปน็ พอลิเมอร์ที่ประกอบดว้ ยธำตุคำร์บอนและไฮโดรเจน เรียกว่ำ พอลไิ อโซพรนี (polyisoprene)
มีมอนอเมอร์เป็นไอโซพรนี (isoprene) นำยำงสดจะมลี กั ษณะข้น สขี ำวขุน่ คลำ้ ยนำนม
เมอ่ื แยกเนอื ยำงออกมำจำกนำยำงจะเรียกวำ่ ยำงดิบ

ถุงมอื แพทย์ ถุงยางอนามยั

ประโยชน์ของวัสดปุ ระเภทพอลิเมอร์ ยาง (rubber) แบ่งออกไดเ้ ป็น 2 ประเภท

ยางสังเคราะห์ (synthetic rubber)

เปน็ พอลิเมอร์ที่สังเครำะห์ขึนจำกมอนอเมอร์ทีไ่ ด้จำกกำรกลน่ั ปโิ ตรเลยี ม
ยำงสังเครำะหม์ คี วำมทนทำนตอ่ กำรขัดถูและกำรสกึ กรอ่ น

มคี วำมยืดหยนุ่ แม้มอี ุณหภมู ิตำ่ ทนตอ่ นำมนั และตวั ทำละลำยอนิ ทรีย์

พอลิบิวทาไดอนี หรือยางบีอาร์ พอลสิ ไตรนี บิวทาไดอนี
นามาใช้ทายางรถยนต์ ยางลอ้ เครือ่ งบิน หรอื ยางเอสบอี าร์ นามาใชท้ ายางรถยนต์

พื้นรองเทา้ สายพาน

ประโยชนข์ องวสั ดปุ ระเภทพอลิเมอร์ เส้นใย (fibre)

เป็นพอลเิ มอรท์ ีม่ ีโครงสรำ้ งโมเลกุลมขี นำดยำว จึงเหมำะสำหรบั กำรนำมำรีดและปั่นเปน็ เสน้ ดำ้ ย

เสน้ ใยธรรมชาติ >>แบง่ ได้เป็น 2 ชนดิ เสน้ ใยกึ่งสงั เคราะห์>>แบ่งได้เปน็ 2 ชนดิ เส้นใยสังเคราะห์ >>แบ่งไดเ้ ปน็ 2 ชนดิ

1. เสน้ ใยจากพชื คือ เสน้ ใยเซลลูโลส ไดจ้ ำก 1. เซลลโู ลสแอซีเตต เกิดจำกปฏกิ ริ ยิ ำระหว่ำง 1. ไนลอน หรอื พอลเิ อไมด์ หรอื ไนลอน-6,6
สว่ นต่ำง ๆ ของพชื เชน่ ฝ้ำย นนุ่ ลินิน ปำ่ น ปอ เซลลโู ลสกบั กรดแอซีตกิ เข้มข้น โดยมกี รดแอซตี ิก เปน็ พอลิเมอรร์ ะหว่ำงเอมนี กบั กรดคำร์บอกซลิ ิก
โดยเสน้ ใยที่นำมำใชม้ ำกทสี่ ุด คือ ฝ้ำย เป็นตัวเรง่ ปฏิกิริยำ มสี มบตั คิ ล้ำยเซลลูโลส
2. ดาครอน หรอื พอลิเอสเทอร์
2. เส้นใยจากสัตว์ คือ เสน้ ใยโปรตีน ไดจ้ ำกขนสัตว์ 2. เรยอน มสี มบตั ิคลำ้ ยขนสัตว์ ไหม ลนิ ิน หรอื ฝำ้ ย เป็นพอลิเมอร์ระหวำ่ งเอทิลีนไกลคอลกบั ไดเมทิล-
เชน่ ขนแกะ ขนแพะ รังไหม เทเรฟทำเลต

ข้อดี ดูดซบั นำได้ดี ระบำยอำกำศไดด้ ี ข้อดี นำหนกั เบำ ไม่ดูดซบั ควำมรอ้ น ขอ้ ดี นำหนักเบำ ทนตอ่ จลุ นิ ทรยี ์ ทนตอ่ เชอื รำ
ขอ้ เสยี เม่อื ถกู ควำมชืนจะขนึ รำไดง้ ่ำย ดูดซับเหง่ือได้ดี และแบคทีเรีย ไม่ยบั ง่ำย ไมด่ ดู นำ ทนต่อ

เมื่อได้รับควำมร้อนจะหดตวั สำรเคมี ซักง่ำย และแหง้ เรว็

เซรามิก

ผลิตภณั ฑ์รอบตัวเราใดบา้ ง เปน็ เซรามิก

เซรำมิก คือ ผลติ ภณั ฑท์ ่ที ำจำกวัตถดุ บิ ใน
ธรรมชำติ เชน่ ดนิ หนิ ทรำย แรธ่ ำตุ
นำมำผสมกนั แลว้ นำไปเผำเพ่ือเปลี่ยนเนือวัตถุ
ใหแ้ ขง็ แรง และคงรปู

ประเภทของเซรามิก เซรามิกดง้ั เดิมกับสมยั ใหมแ่ ตกตา่ งกนั อย่างไร

เซรามิกดง้ั เดิม (traditional ceramics) เซรามกิ สมยั ใหม่ (advance ceramics)

ตวั อย่างเชน่ ตวั อย่างเชน่

• เครอ่ื งปน้ั ดนิ เผำ • ผลิตภณั ฑท์ ำงกำรแพทย์
• เคร่ืองแกว้ • ผลิตภัณฑ์ไฟฟำ้ และอเิ ล็กทรอนกิ ส์
• ปูนซีเมนต์ • ผลติ ภัณฑ์ทเ่ี กีย่ วข้องกบั งำนเทคนคิ ขนั สงู
• โลหะเคลือบ

สมบตั ิทางกายภาพของเซรามิก สมบตั ทิ างกายภาพของเซรามกิ ขน้ึ อย่กู บั วตั ถดุ ิบทน่ี ามาใช้
โดยวัตถุดบิ ทใ่ี ช้ในอตุ สาหกรรมเซรามิกแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท
เฟลดส์ ปาร์ หรอื แรฟ่ ันม้า คอื วตั ถดุ บิ หลักและวัตถุดบิ เสรมิ
เปน็ สำรประกอบในกล่มุ ซิลิเกต ใชผ้ สม
กับเนือดนิ ทำให้เกดิ กำรหลอมเหลวท่ี ควอตซ์ หรอื แร่เข้ยี วหนุมาน มี
อุณหภูมติ ่ำ เกิดกำรเปลย่ี นแปลงเป็น องค์ประกอบหลัก คือ ซลิ กิ ำ ส่วนใหญ่
เนอื แกว้ จึงทำให้เซรำมิกมคี วำมโปรง่ ใส มีลักษณะใส ไมม่ ีสี ชว่ ยให้ผลิตภณั ฑ์เซรำมกิ
เกดิ ควำมแข็งแรง ไมโ่ คง้ งอ และทำให้
ดนิ เหนียว ผลติ ภัณฑ์ก่อนเผำและหลังเผำหดตวั นอ้ ยลง
มอี งค์ประกอบทำงเคมีท่สี ำคัญ คือ
สำรประกอบออกไซดข์ องซลิ ิคอนและ ดินขาว
อะลมู เิ นียม คล้ำยกับทพ่ี บในดนิ ขำว แต่ เปน็ วตั ถดุ ิบหลักในกำรผลิตเซรำมิก
ดินเหนียวมีสิ่งเจือปนอื่นๆ ในปรมิ ำณมำกกว่ำ โดยดินขำวบรสิ ุทธ์ิ คอื แร่เคโอลิไนต์
(kaolinite; Al2O3•2SiO2•2H2O)

วัตถดุ ิบเสริม

แร่ดิกไคต์

• มีองค์ประกอบเหมือนดนิ แตม่ โี ครงสรำ้ งผลึกแตกต่ำงกัน
• มีปรมิ ำณอะลมู นิ ำท่ีเปน็ องคป์ ระกอบแตกต่ำงกัน ทำใหผ้ ลติ ภณั ฑ์มีสมบัตแิ ตกตำ่ งกนั ไป

แรโ่ ดโลไมต์

• มอี งคป์ ระกอบหลัก คือ แคลเซียมแมกนีเซียมคำรบ์ อเนต
• ใช้ผสมกบั เนอื ดนิ เพอื่ ลดจดุ หลอมเหลวของวตั ถุดบิ

สารประกอบออกไซด์ • อะลูมิเนียมออกไซด์หรอื อะลูมนิ ำ (Al2O3) ใชผ้ สมทำผลติ ภณั ฑท์ ที่ นไฟ
• ซิลคิ อนไดออกไซด์ (SiO2 ) และ โบรอนไตรออกไซด์ (B2O3) ใชผ้ สมทำผลิตภัณฑ์ท่เี ปน็ เนือแกว้
• สแตนนิกออกไซด์ (SnO2) และสงั กะสอี อกไซด์ (ZnO) ใช้เคลือบเพอ่ื ทำให้ผลิตภณั ฑ์ทบึ แสง

การขน้ึ รปู ผลติ ภณั ฑ์เซรามิก การขนึ้ รปู ผลิตภณั ฑเ์ ซรามิก แบง่ ออกเปน็ 2 วิธี

การเทแบบ เทนา้ ดิน ตดั แตง่ ผลติ ภณั ฑ์
ลงในแบบ
เป็นกำรขึนรูปโดยนำดนิ มำผสมกบั นำ แลว้ เทลงในแบบทมี่ รี ูปร่ำงตำ่ ง ๆ ผลิตภัณฑ์หลงั แกะ
ตำมที่ตอ้ งกำร กำรขนึ รปู วิธีนีเหมำะสำหรับกำรผลติ แจกัน ขวด และ แบบท่ปี ระกอบแล้ว ออกจากแบบ
เครอ่ื งสขุ ภัณฑ์
การใชแ้ บบหมนุ เทนา้ ดนิ ที่เหลือออกจากแบบ

เปน็ กำรขนึ รปู โดยกำรวำงดินบนแป้น แล้วหมุนแปน้ และใช้มือป้นั ดิน
ให้ไดร้ ปู ทรงตำมท่ีต้องกำร นยิ มใช้ในกำรขึนรปู ผลติ ภัณฑ์ทีม่ ีลกั ษณะ
เปน็ ทรงกลม หรือทรงกระบอก เช่น ไห โอง่ กระถำง แจกัน

การเผาและเคลือบผลิตภัณฑ์ มี 2 ข้นั ตอน

ขน้ั ตอนที่ 1 การเผาดบิ
1 เพิม่ อณุ หภูมขิ องเตำเผำใหส้ ูงขึนอยำ่ งชำ้ ๆ และสม่ำเสมอ โดยใช้เวลำที่เหมำะสม

2 ทำใหผ้ ลติ ภัณฑค์ งรปู ไม่แตกชำรุด

3 ผลิตภัณฑเ์ ซรำมกิ บำงชนดิ เมื่อผำ่ นกำรเผำดบิ แลว้ สำมำรถนำไปใชง้ ำนได้โดยไม่ตอ้ งเคลือบผิว เชน่ อิฐ
กระถำงต้นไม้ ตมุ่ นำ

ขัน้ ตอนท่ี 2 การเผาเคลือบ

1 นำผลิตภณั ฑ์เซรำมิกมำเคลือบผวิ ด้วยนา้ เคลือบ ซ่งึ เป็นสำรผสมระหวำ่ งซลิ เิ กตกบั สำรชว่ ยหลอมเหลว
และสำรเพ่ิมคุณภำพอ่ืน ๆ แล้วจงึ นำไปใหค้ วำมร้อน เพอื่ ให้นำเคลอื บหลอมละลำยรวมเป็นเนอื เดียวกบั เนอื ดิน

2 ทำให้ผลิตภัณฑ์เกิดควำมสวยงำม มีผวิ มัน แวววำว คงทนตอ่ กำรขดี ข่วน และมสี มบตั ิตำมทตี่ อ้ งกำร กำรเผำเคลือบ

ประโยชน์ของวสั ดุประเภทเซรามกิ ผลติ ภณั ฑแ์ กว้

แกว้ ถกู นามาใชป้ ระโยชน์หลายดา้ น เชน่ นามาผลติ
เป็นภาชนะ เครื่องใช้ เครื่องประดบั รวมท้ังเป็น

สว่ นประกอบของอาคาร เน่ืองจากแกว้ มสี ว่ นประกอบ
ของสารตา่ ง ๆ ท่ที าใหแ้ กว้ มสี มบตั ิ ดังน้ี คอื โปรง่ ใส
ทนต่อกรด-เบส ไอนา้ และแกส๊ ซมึ ผ่านได้ยาก แข็งแรง

และทนตอ่ แรงดนั

ประโยชนข์ องวัสดปุ ระเภทเซรามิก

กระบวนการผลิตแก้ว

เติมซลิ กิ ำ หินปนู โซดำแอช แรโ่ ดโลไมต์
เศษแก้วเขำ้ ดว้ ยกนั แลว้ ใหค้ วำมรอ้ น

ส่วนผสมหลอมเหลว
เปน็ สำรประกอบออกไซด์

ส่วนผสมทุกอย่ำงหลอมละลำย
เป็นเนือเดียวกนั เรยี กวำ่ นำแกว้

ลดอุณหภูมิ ใหน้ ำแกว้
มคี วำมหนืด เพอ่ื ขึนรูปผลติ ภณั ฑ์

ประเภทของแกว้

แกว้ โซดาไลม์ ส่วนประกอบ แกว้ คริสตัล สว่ นประกอบ
- SiO2 ร้อยละ 71-75 โดยมวล - SiO2 รอ้ ยละ 54-65
แก้วโบโรซิลิเกต - Na2O ร้อยละ 12-16 โดยมวล แกว้ โอปอล - K2O และออกไซด์ของตะกว่ั มีออกไซด์
- CaO ร้อยละ 10-15 โดยมวล ของตะกว่ั มำกกว่ำร้อยละ 24 โดยมวล
คณุ สมบตั ิ คุณสมบตั ิ
- ไมท่ นตอ่ กรด- เบส เมือ่ มีแสงมำกระทบจะเห็นประกำย
- แตกง่ำยเมอ่ื ได้รับควำมร้อน แวววำวสวยงำม

สว่ นประกอบ สว่ นประกอบ
- SiO2 ปรมิ ำณมำก - เติม NaF และ Ca2F ลงไป
- Na2O CaO B2O3 ปรมิ ำณเลก็ น้อย
คณุ สมบัติ
คุณสมบตั ิ มคี วำมขุน่ โปรง่ แสง หลอมและขนึ รูปได้ง่ำย
- ทนตอ่ กำรเปล่ยี นแปลงอณุ หภมู ไิ ด้ดี
- ทนตอ่ กำรกัดกรอ่ นของสำรเคมี

ประโยชนข์ องวสั ดุประเภทเซรามกิ ปูนซีเมนต์

เปน็ วัสดุทีช่ ่วยยดึ ส่วนผสมตำ่ ง ๆ ที่ใชใ้ นกำรก่อสรำ้ ง ซ่งึ เปน็ ผลิตภัณฑท์ ไี่ ดจ้ ำกกำรบดเมด็ ปนู และกำรเผำส่วนผสมตำ่ ง ๆ

วัตถดุ บิ ที่ใชใ้ นการผลติ ปนู ซเี มนต์ วตั ถดุ บิ เนอ้ื ดิน

วตั ถดุ ิบเนื้อปนู

เปน็ สว่ นประกอบหลัก มอี ย่รู อ้ ยละ ประกอบด้วยซิลิกำ อะลมู นิ ำ
80 โดยมวลของส่วนผสมกอ่ น และออกไซด์ของเหล็ก มีประมำณ
กำรเผำ วตั ถดุ ิบท่ใี ช้อำจจะเป็น รอ้ ยละ 15-18 โดยมวล วตั ถุดิบท่ี
หินปูน ดนิ สอพอง หรอื ดนิ มำร์ล
หนิ อ่อน หนิ ชอลก์ โดยหินปนู เปน็ ใชส้ ่วนใหญ่ คอื หนิ ดนิ ดำน
วตั ถดุ บิ ทน่ี ยิ มใชม้ ำกทส่ี ดุ

ประโยชน์ของวสั ดปุ ระเภทเซรามกิ ปนู ซเี มนต์

วตั ถุดบิ ปรบั คณุ ภาพ สารเตมิ แต่ง

ประกอบดว้ ยเนอื ปูน อะลมู นิ ำ เปน็ วัตถุดบิ ทเ่ี ตมิ ลงไปในปูนเม็ด
ซลิ กิ ำ หรือออกไซด์ของเหล็ก ภำยหลงั กำรเผำ เพอ่ื ปรบั สมบตั ิ
ในปริมำณสงู ใชเ้ มอื่ มสี ่วนผสม บำงประกำร เช่น เตมิ ยปิ ซัมลงไป
บำงชนิดตำ่ กว่ำมำตรฐำน เพือ่ ทำใหป้ นู ท่ผี สมนำแล้วแข็งตวั ชำ้
เตมิ หินปูนบดลงไปเพือ่ เพม่ิ เนอื ปูน

ประเภทของปนู ซีเมนต์

ปนู ซีเมนต์ปอรต์ แลนด์ ปูนซเี มนตผ์ สม ปูนซเี มนตข์ าว

เปน็ ปนู ซีเมนตท์ ี่ไดจ้ ำกกำรบดปนู เม็ด เป็นปนู ซเี มนตท์ ี่มีแรงอดั ต่ำกวำ่ เป็นปนู ซเี มนต์ที่มวี ตั ถดุ ิบหลกั คือ
กบั ยปิ ซมั ตำมมำตรฐำนอุตสำหกรรม ปนู ซเี มนตธ์ รรมดำเลก็ นอ้ ย เนอ่ื งจำกมี ปนู ขำว นิยมใชใ้ นงำนตกแตง่ อำคำร
กำรเตมิ ทรำย หรอื หินปนู ละเอยี ดลงไป หอ้ งนำ สระนำ เพอ่ื ให้เกดิ ควำมสวยงำม
ซึง่ แบง่ เปน็ 5 ประเภท เหมำะสำหรับใช้ในงำนก่อสร้ำงทไ่ี มร่ ับ
ประเภทที่ 1 ปูนซีเมนต์ปอรต์ แลนด์ธรรมดำ นำหนักมำก เช่น งำนกอ่ งำนฉำบ เทพนื ปูนซีเมนตป์ ระเภทใด
ทใ่ี ช้ทาถนน
ประเภทท่ี 2 ปูนซเี มนต์ปอรต์ แลนด์เสริม

ประเภทที่ 3 ปูนซีเมนต์ปอรต์ แลนด์
ประเภทใหก้ ำลังอัดสงู

ประเภทท่ี 4 ปนู ซีเมนต์ปอรต์ แลนด์
ประเภทเกิดควำมรอ้ นตำ่

ประเภทที่ 5 ปูนซีเมนตป์ อรต์ แลนด์
ประเภททนซัลเฟตสงู

วสั ดผุ สม วัสดผุ สม คือ การนาเอาวัสดุต้งั แต่ 2 ชนิดขึ้นไป ผสมรวมกัน ทาใหม้ สี มบตั ทิ ่ดี ีขึ้น
โดยวัสดผุ สมท่นี ามาต้องไมร่ วมเป็นเนอื้ เดียวกนั
แผ่นไม้
เสื้อกันฝน ยานอวกาศ อ่างอาบนา้

ทาไมตอ้ งมกี ารผลิตวัสดผุ สม

สมบตั ิทางกายภาพของวัสดผุ สม

สมบัตขิ องวัสดผุ สมจะขนึ อยกู่ บั วสั ดุทีน่ ำมำใชป้ ระกอบกันเปน็ วัสดผุ สม โดยวัสดุผสมจะต้องประกอบด้วยวัสดุ 2 แบบ

วสั ดพุ ืน้ หรือเมทรกิ ซ์ (matrix) วัสดุเสริม หรอื ตัวเสรมิ แรง (reinforcement)

เป็นวัสดุท่ลี กั ษณะของเนอื วัสดุมีควำมตอ่ เนือ่ ง และ เป็นวัสดทุ ี่เพ่มิ คณุ สมบตั ิใหก้ ับวัสดุพนื โดยจะฝังตัวอยใู่ นวัสดพุ นื
ลอ้ มรอบอกี วัสดุไว้ ทำหน้ำท่ีในกำรถำ่ ยทอดแรงกระทำ ซ่ึงอำจจะอยู่ในรูปของเส้นใย อนุภำค แผ่นหรอื ชนิ เลก็ ๆ
โดยวัสดทุ น่ี ำมำใช้เปน็ วัสดพุ ืน อำจเปน็ พอลิเมอร์ เซรำมกิ
โลหะ หรอื คำร์บอนและแกรไฟต์

การใช้ประโยชนว์ สั ดุประเภทวัสดุผสม วสั ดผุ สมจากธรรมชาติ

เปน็ วัสดผุ สมท่ไี ดจ้ ำกกำรรวมตัวของสำรที่อยใู่ นธรรมชำติ
กระดกู
ประกอบดว้ ยคอลลาเจน 20% แคลเซยี มฟอสเฟต 69% น้า 9 % และอนื่ ๆ

คอลลาเจน ทำหนำ้ ท่เี ป็นวสั ดุพืน อยู่ในรปู ไมโครไฟเบอร์
มลี กั ษณะเหมือนตำข่ำย

แคลเซยี มฟอสเฟต ทำหน้ำท่ีเป็นวัสดเุ สรมิ
ช่วยใหก้ ระดกู แข็งแรง

การใช้ประโยชนว์ สั ดปุ ระเภทวัสดุผสม วัสดผุ สมจากธรรมชาติ

ไม้
ประกอบด้วยองคป์ ระกอบหลกั 4 ชนดิ ไดแ้ ก่ เสน้ ใยเซลลโู ลส
สารกงึ่ เซลลโู ลส ลิกนิน และสารสกัดจากธรรมชาติ

เซลลูโลส ทำหน้ำที่เปน็ วัสดพุ นื

ลิกนินกับสารก่งึ เซลลูโลส ทำหน้ำท่ีเปน็ วสั ดเุ สริม ชว่ ยประสำนให้
องคป์ ระกอบในไม้เกิดกำรเชอ่ื มกัน

การใชป้ ระโยชนว์ ัสดุประเภทวัสดผุ สม วสั ดผุ สมจากการสงั เคราะห์

เปน็ วัสดุผสมทไ่ี ด้จำกกำรนำวสั ดชุ นิดตำ่ ง ๆ มำสงั เครำะหร์ วมกนั เกิดเป็นวสั ดผุ สมทม่ี ีสมบัติแตกตำ่ งไปจำกเดิม
และมสี มบัติเฉพำะตำมทต่ี อ้ งกำร เชน่ คอนกรีต ไฟเบอร์กลำสส์

ซเี มนต์ คอื วัสดผุ งละเอียดเมด็ เล็กสีเทำ เมือ่ ผสมกบั นำในปริมำณมำกพอสมควร
แลว้ ทงิ ไวใ้ หแ้ ห้งจะเกดิ กำรแข็งตัว อำจจะเรยี กวำ่ ไฮดรอลกิ ซีเมนต์ (hydraulic cement)

หนิ ลูกรงั และก้อนหิน จะตอ้ งมีควำมสะอำด แขง็ ทนทำน หนิ มมุ แหลมจะให้ควำมแขง็ แรง
ไดด้ กี ว่ำหนิ ทีม่ ีควำมกลม

เป็นแร่ขนำดเล็ก ทรำยเป็นตวั เตมิ เตม็ ในช่องว่ำงขนำดเลก็ ๆ ระหวำ่ ง
ทราย หนิ ขนำดใหญ่ ช่วยลดชอ่ งว่ำงในเนอื คอนกรีตลง และลดปัญหำกำรไมร่ วมตัว

ของคอนกรีตขณะเกิดกำรแข็งตวั

ผลกระทบจากการใชว้ ัสดปุ ระเภทพอลิเมอร์ เซรามิกและวสั ดผุ สม

ปัจจบุ นั ขยะทีเ่ กิดขนึ้ จากวัสดุ พลาสตกิ ส่งผลกระทบตอ่
สงั เคราะหม์ จี านวนมาก และยาก สิ่งแวดล้อมอยา่ งไร
ต่อการกาจัด หากนาไปเผาจะทาให้
เกิดมลพษิ ทางอากาศ หากนาไปฝงั
จะทาดนิ เสื่อมสภาพสง่ ผลเสยี ตอ่
สภาพแวดลอ้ ม

การรณรงคเ์ ก่ยี วกับแนวทางการใช้วสั ดอุ ยา่ งคุ้มค่า
และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดลอ้ มนอ้ ยท่ีสดุ

การใช้ซ้า (reuse) การลดการใช้ (reduce) การนากลับมาใชใ้ หม่ (recycle)

เป็นกำรนำผลติ ภัณฑ์พอลเิ มอร์ เป็นกำรลดหรอื ใช้ผลติ ภัณฑ์พอลิเมอร์ เปน็ กำรนำผลิตภัณฑพ์ อลเิ มอร์สงั เครำะห์
สงั เครำะห์ทผี่ ำ่ นกำรใช้งำนแล้ว สังเครำะห์ให้นอ้ ยลง อำจใชว้ ัสดุหรอื บรรจภุ ณั ฑ์ ทีเ่ คยผ่ำนกำรใช้งำนแลว้ มำผ่ำนกำรแปรรปู
แต่ยงั มีคณุ ภำพดีกลับมำใชง้ ำนอกี ครัง เป็นผลิตภณั ฑ์ใหม่ เพอื่ นำกลบั มำใช้งำนอกี ครงั
จำกธรรมชำติแทนบรรจุภณั ฑจ์ ำกพอลิเมอร์ โดยเฉพำะพลำสตกิ ซง่ึ เป็นผลิตภณั ฑ์ทใี่ ชก้ ัน
สงั เครำะห์ หรือใช้บรรจุภณั ฑ์ท่ีมคี วำมคงทน
อย่ำงแพร่หลำย
สำมำรถนำกลับมำใชใ้ หมไ่ ด้

การคดั แยกขยะ การคดั แยกขยะโดยการทิง้ ขยะใหถ้ กู ประเภทเปน็ อีกหนึง่ แนวทาง
ท่ชี ่วยลดปัญหาขยะล้นเมอื ง

สำหรับขยะทย่ี อ่ ยสลำยได้ สำหรับขยะรไี ซเคลิ หรอื สำหรบั ขยะท่ียอ่ ยสลำยยำก สำหรับขยะอันตรำย หรือ
สำมำรถนำไปหมกั เปน็ ปยุ๋ ได้ ขยะที่นำไปแปรรปู ได้ เชน่ และไมค่ ้มุ ค่ำสำหรบั กำรนำ ขยะทม่ี ีพิษต่อสิ่งมชี ีวิตและ
เชน่ เศษผัก เปลอื กผลไม้ แกว้ กระดำษ กระปอ๋ งเครื่องด่ืม กลับมำใช้ประโยชน์ใหม่ เช่น สิ่งแวดล้อม เชน่ หลอดไฟฟำ้
หอ่ พลำสตกิ ใสข่ นม ซองบะหมี่ ถ่ำนไฟฉำย กระป๋องสเปรย์
เศษอำหำร ใบไม้ เศษพลำสติก กึ่งสำเรจ็ รปู โฟมบรรจอุ ำหำร
กระปอ๋ งยำฆำ่ แมลง

ขยะเหลา่ นี้ควรท้งิ ลงถงั ขยะประเภทใดบา้ ง

Summary หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 3 วสั ดุในชีวิตประจาวนั พอลเิ มอร์ เซรามิก วัสดุผสม

เปน็ สารทีม่ โี มเลกุลขนาดใหญ่ เกิดจากสารโมเลกุลเลก็ ทเี่ รียกว่า มอนอเมอร์ มาสร้างพนั ธะโคเวเลนตต์ ่อกัน

ประเภทของพอลิเมอร์ สมบตั ทิ างกายภาพของพอลเิ มอร์

แบ่งตามลกั ษณะการเกิด ข้ึนอยูก่ ับโครงสร้างของพอลเิ มอร์
โครงสร้างแบบเส้น
พอลเิ มอร์ธรรมชาติ พอลิเมอร์สังเคราะห์ โครงสรา้ งแบบก่ิง

แบง่ ตามชนดิ ของมอนอเมอร์ โครงสรา้ งแบบร่างแห

โฮโมพอลเิ มอร์ โคพอลเิ มอร์

Summary หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 3 วัสดใุ นชวี ิตประจาวนั พอลเิ มอร์ เซรามิก วัสดุผสม

พลำสติก การใชป้ ระโยชนว์ สั ดุประเภทพอลเิ มอร์ เส้นใย

ยำง

พอลเิ อทิลีน ยางธรรมชาติ นามารีดและปน่ั เป็นเส้นด้าย
เพื่อทาเครอ่ื งนงุ่ ห่ม
ใช้ทาถงุ ใส่ของเย็น ถุงขยะ ของเล่นเดก็ ใช้ทาถุงมือแพทย์ ถงุ ยางอนามยั

พอลิสไตรีน ยางสังเคราะห์

ใช้ทาช้นิ ส่วนของต้เู ยน็ โฟมบรรจุอาหาร ยางบีอาร์ ใชท้ ายางรถยนต์
ยางลอ้ เครื่องบิน
พอลไิ วนิลคลอไรด์ ยางเอสบีอาร์ ใชท้ ายางรถยนต์
พ้ืนรองเทา้
ใชท้ าทอ่ นา้ ประปา กระเบื้องปูพื้น

Summary หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 3 วัสดุในชวี ติ ประจาวนั พอลเิ มอร์ เซรามกิ วัสดผุ สม

ผลติ ภณั ฑ์ทีท่ าจากวตั ถดุ ิบในธรรมชาติ เชน่ ดนิ หนิ ทราย แร่ธาตุ นามาผสมกันขึน้ รูปแลว้ นาไปเผา

สมบัติทางกายภาพของเซรามกิ การใชป้ ระโยชนข์ องวสั ดุประเภทเซรามิก

วัตถุดิบที่ใช้ในอตุ สาหกรรมเซรามิก ผลิตภัณฑ์จากแกว้
วตั ถดุ ิบหลกั วตั ถดุ ิบเสริม แกว้ โซดาไลม์ ใชท้ าแกว้ น้า ขวดนา้ กระจกแผ่น

การเผาและเคลือบ การเผาเคลอื บ แก้วโบโรซลิ ิเกต ใชท้ าเคร่ืองแกว้ ในหอ้ งปฏิบัติการ
การเผาดิบ ทางวทิ ยาศาสตร์

การข้ึนรปู ผลติ ภณั ฑ์ ปูนซเี มนต์
ปูนซีเมนต์ เมอ่ื นาปูนซเี มนต์มาผสมกับน้าจะได้ผลกึ
การเทแบบ การใช้แป้นหมุน
ของแขง็ ใชเ้ ป็นวัสดุประสานในงานกอ่ สร้าง

Summary หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 3 วัสดใุ นชวี ิตประจาวัน พอลิเมอร์ เซรามกิ วสั ดุผสม

วัสดุทป่ี ระกอบดว้ ยวัสดุ 2 ประเภทขึ้นไป ท่ีมอี งคป์ ระกอบทางเคมีแตกต่างกนั โดยทอี่ งคป์ ระกอบน้ันไมล่ ะลายเข้าด้วยกัน

วัตถุในชีวิตประจําวัน มีอะไรบ้าง

ประเภทของวัสดุ วัสดุธรรมชาติ ได้มาจากสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติ ทั้งจากสิ่งมีชีวิต เช่น ไม้ เปลือกหอย ขนสัตว์ ใยไหม ใยฝ้าย หนังสัตว์ ยาง ธรรมชาติ และจากสิ่งไม่มีชีวิต เช่น ดินเหนียว หินปูน ศิลาแลง กรวด ทราย เหล็ก ซึ่งอาจนำมาใช้โดยตรงหรือนำมาแปรรูป เพื่อให้เหมาะกับการใช้งาน

วัสดุ จําแนกได้เป็น 4 ประเภท อะไรบ้าง

1. ไม้(wood) ... .
2. โลหะ (metals) ... .
3. พลาสติก (plastic) ... .
4. ยาง (rubber).

วัสดุมีกี่ประเภท อะไรบ้าง

วัสดุแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ วัสดุธรรมชาติและวัสดุสังเคราะห์ ซึ่งวัสดุธรรมชาติได้แก่ หิน ดิน ทราย ไม้และเปลือกหอย เป็นต้น ส่วนวัสดุสังเคราะห์ ได้แก่ พลาสติก ผ้า กระดาษและโลหะ เป็นต้น 19.

วัสดุที่นำมาทำสิ่งของเครื่องใช้ที่พบเจอในชีวิตประจำวัน ประเภทโลหะ แบ่งได้เป็นกี่ประเภท

โลหะแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ โลหะกลุ่มเหล็ก (ferrous metals) และโลหะนอกกลุ่มเหล็ก (non-ferrous metals)