มหัศจรรย์แห่งความมุ่งมั่น นอนหลับก็ฝันเป็นเพลงอมตะได้! เบื้องหลัง “เพลงพระสุบิน”-“น้ำตาแสงไต้”!เผยแพร่: 24 มิ.ย. 2559 10:37 ปรับปรุง: 24 มิ.ย. 2559 10:58 โดย: โรม บุนนาคการที่คนเรานอนหลับแล้วฝันเป็นเรื่องราว หรือไม่ก็ฝันเลอะเทอะต่อกันไม่ติด ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่มีอยู่ทั่วไป แต่ที่ฝันเป็นเพลงทั้งเพลง และเพลงนั้นมีความไพเราะประทับใจจนกลายเป็นเพลงอมตะ ก็ไม่ใช่เรื่อง“เหลือเชื่อ” หรือเกิดจากอภินิหารแต่อย่างใด ในสมัยโบราณเคยเกิดขึ้น มีจารึกไว้ในพงศาวดาร และในยุคปัจจุบัน เพลงประเภทนี้ก็มีอีกเช่นกัน พงศาวดารรัชกาลที่ ๒ กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ซึ่งประสูติในสมัยที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงดำรงพระยศเป็น หลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี มีนิวาสสถานอยู่ที่บ้านอัมพวา พระนามเดิมว่า “คุณชายฉิม” ครั้นเจริญพระชันษาได้ ๘ พรรษาได้โดยเสด็จติดตามพระราชบิดาไปในสงครามทุกครั้ง เริ่มตั้งแต่ไปรบพม่าที่เชียงใหม่ แล้วกลับมารบพม่าที่บ้านนางแก้ว เขาชะงุ้ม เมืองราชบุรี กลับขึ้นไปรักษาเมืองเชียงใหม่อีก จนมารบอะแซหวุ่นกี้ที่เมืองพิษณุโลก ต่อจากนั้นได้โดยเสด็จไปปราบเมืองนางรอง เมืองนครจำปาศักดิ์ และไปตีกรุงศรีสัตนาคนหุต ครั้งได้พระแก้วมรกตกลับมา พอพระชันษาได้ ๑๓ พรรษาก็เข้าพิธีโสกันต์ ต่อมาอีก ๑ ปีก็โดยเสด็จพระบรมชนกนาถนำทัพไปกรุงกัมพูชา ในระหว่างนั้นได้เกิดจลาจลในกรุงธนบุรี เมื่อเสด็จกลับมาบรรดาข้าราชการจึงพร้อมกันอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯขึ้นผ่านพิภพ ในขณะที่สมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯพระชนม์ได้ ๑๖ พรรษา แม้จะทรงเจริญชันษาอยู่ในกองทัพมาตลอดตั้งแต่ได้ ๘ พรรษา แต่เมื่อขึ้นครองราชย์เป็นช่วงเวลาที่ประเทศชาติว่างเว้นศึก จึงมีโอกาสได้ทะนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมที่ทรุดโทรมไปกับกรุงศรีอยุธยา ทรงสนพระทัยในการศึกษาโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน และทรงฝึกหัดศิลปะการดนตรีอย่างลึกซึ้ง ทรงสร้างซอสามสายด้วยพระองค์เอง เป็นซอคู่พระหัตถ์ที่ทรงโปรดเป็นพิเศษ พระราชทานนามว่า
“ซอสายฟ้าฟาด” โปรดให้ตามเจ้าพนักงานดนตรีมาทันทีในคืนนั้น ทรงบรรเลงเพลงในพระสุบินให้ฟังจนจบ และพระราชทานนามว่า “บุหลันลอยเลื่อน” หรือ “บุหลันลอยฟ้า” ซึ่งนักดนตรีทั้งหลายได้จดจำกันต่อๆมา แต่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ “เพลงพระสุบิน” ซึ่งเป็นเพลงอมตะมาจนทุกวันนี้ เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนนิยมดนตรีไทย
และเคยใช้เป็นเพลงสรรเสริญพระบารมีก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้ทำนองแบบฝรั่งในปัจจุบัน แต่เพลงพระสุบินก็ยังเรียกกันว่า “เพลงสรรเสริญพระบารมีไทย” เพลงพระสุบินจึงนับได้ว่าเป็นเพลงอมตะ ยืนยงมาถึงวันนี้ราว ๒๐๐ ปีแล้ว ทั้งๆ ที่เกิดมาจากความฝัน แสดงให้เห็นว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงใฝ่พระราชหฤทัยในการดนตรีอย่างแท้จริง แม้แต่บรรทมก็ยังทรงพระสุบินเป็นเพลงอมตะได้เช่นนี้ ส่วนเพลงอมตะยุคใหม่ที่มีกำเนิดมาจากความฝันเช่นเดียวกับ“เพลงพระสุบิน” ก็คือ “น้ำตาแสงไต้” ตอนนั้น“ลุงแจ๋ว”
ไม่ได้มีหน้าที่แต่งเพลงกับเขา เป็นเพียงคนเล่นเปียโนให้นาฏศิลป์และนักร้องซ้อมเท่านั้น เพิ่งเข้ามาเป็นนักดนตรีได้เพียงปีเดียว แต่เก็บเอาความกังวลในเรื่องยังแต่งเพลงเอกไม่ได้มาใส่ใจด้วย “เพลงไทยนั้นมีแยะ แต่ไอ้รสหวานเย็นและเศร้าที่หง่าว่ามันมีน้อย ที่อั๊วชอบมากและรู้สึกหวานเย็นเศร้า ก็เห็นมีแต่เขมรไทรโยคและลาวครวญเท่านั้น” พูดขาดคำก็ร้องออกมาทันที เมื่อแยกกับทองอินที่โว่กี่ราว ๔-๕ ทุ่ม “ลุงแจ๋ว” ข้ามกลับมาที่เฉลิมกรุง เห็นฝ่ายฉากของประสิทธ์ ยุวะพุกกะ ยังทำงานกันอยู่ จึงแวะเข้าไปหลังเวที และเมื่อง่วงจัดก็เลยหาที่เหมาะเอนตัวลงหลับอยู่แถวนั้น “ลุงแจ๋ว” เล่าไว้ใน “ความเอย ความหลัง” ว่า “...ผมรู้สึกแปลกใจมาก ที่ใครไม่ทราบขึ้นมาเล่นเปียโนในห้องเล็กก่อนผม เสียงเปียโนที่แว่วมาไพเราะเหลือเกิน เป็นสำเนียงไทยแท้มีรสหวานเย็นเศร้า รวมวิญญาณของเขมรไทยโยคและลาวครวญให้เป็นเกลียวเขม็งเข้าหากันอย่างสนิทแนบ สำเนียงและวิญญาณถอดออกมาจากเพลงสองเพลงนี้อย่างครบถ้วน โดยที่เพลงเดิมไม่ได้เสียหายอะไรแม้แต่น้อย ดูดุจวิญญาณเก่าเข้าเคล้ากันจนเกิดวิญญาณใหม่ที่สวยงามขึ้นอีกวิญญาณหนึ่ง... ผมฟังเพลินอยู่จนสะดุ้งเมื่อมีมือหนักๆมาเขย่าจนรู้สึกตัว ตื่นจากภวังค์ เอ๊ะ! นี่ผมไม่ได้อยู่บนห้องเล็กของเฉลิมกรุงหรือนี่ ผมมานอนที่เก้าอี้นวมใต้ถุนเฉลิมกรุง และมือที่มาเขย่านี้คือมือของคนเก็บกวาดทำความสะอาด ผมนอนอยู่จนเช้าเทียวหรือนี่...” ในวันนั้น หลังจากที่ซ้อมนาฏศิลป์เสร็จแล้ว “ลุงแจ๋ว” ได้ยิน “เนรมิต” และ “มารุต” บ่นกันถึงเรื่องเพลง “น้ำตาแสงไต้” ว่าทำนองที่คนแต่งส่งมายังใช้ไม่ได้ “ลุงแจ๋ว”นึกถึงเพลงที่ได้ยินในความฝันเมื่อคืนนี้ จึงเดินไปที่เปียโน แล้วนิ้วก็พรมไปบนคีย์ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เคลิบเคลิ้มล่องลอยไปตามทำนองเพลงในความฝัน จนสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียง “เนรมิต” ร้องว่า “หง่า...นั่นเล่นเพลงอะไร?” จากนั้นทั้ง “เนรมิต” และ “มารุต” ก็ประสานเสียงกันว่า “ลุงแจ๋ว” ดีใจรีบจดโน้ต จากนั้น “มารุต”ก็ร้องขึ้นก่อนว่า “คำน้องเอ่ยล้ำคร่ำครวญ” เนรมิตต่อ “ถ้อยคำดังเหมือนจะชวน ใจพี่หวนครวญคร่ำอาลัย” ต่างช่วยกันต่อ จากนั้น สุรสิทธิ์ สัตยวงค์ ผู้จะร้องเพลงนี้ในละครก็ร้องเกลา ภายใน ๑๐ นาที เพลงเอกของ “พันท้ายนรสิงห์”ก็เสร็จ “น้ำตาแสงไต้” จึงกำเนิดมาจากความฝันเช่นเดียวกับ“เพลงพระสุบิน”ในสมัยรัชกาลที่ ๒ ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องอภินิหารแต่อย่างใด นักจิตวิทยาได้บอกไว้ว่า เมื่อคนเราหมกมุ่นครุ่นคิดเรื่องหนึ่งเรื่องใด แม้เมื่อเราหยุดคิด หรือขณะนอนหลับ สมองบางส่วนจะนำเรื่องนั้นไปคิดต่อ พอตื่นเช้าก็มักจะคิดได้เสมอ บางทีตื่นมากลางดึกก็คิดได้แล้ว นี่ก็เป็นคุณสมบัติพิเศษอีกอย่างของมนุษย์ ที่มักไม่ค่อยได้นำออกมาใช้กัน นอกจากคนที่มีความมุ่งมั่น หรือเผชิญวิกฤติ คุณสมบัติพิเศษที่ซ่อนอยู่นี้ ซึ่งยังมีอีกหลายอย่าง ก็จะแสดงอิทธิฤทธิ์ออกมาคลี่คลายปัญหาที่กำลังเผชิญนั้นให้ |