อยู่ดีๆ ก็เกิดเวียนศีรษะ บ้านหมุน พอจะยืนก็ทรงตัวไม่อยู่จะล้มเสียให้ได้ หูอื้อ ได้ยินไม่ชัด อาการเหล่านี้เป็นความผิดปกติของหูชั้นใน หรือที่รู้จักกันในโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน ซึ่งมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของน้ำที่อยู่ภายในหูชั้นในนั่นก็คือ มีแรงดันของน้ำในหูมากเกินปกติ พบบ่อยในวัยทำงานที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี ถ้าทิ้งไว้ระดับการได้ยินอาจแย่ลงเรื่อยๆ ได้ Show
โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน เป็นอย่างไร?โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน หรือโรคมีเนีย (Meniere’s disease) เป็นสาเหตุของโรคที่พบอันดับสองของสาเหตุอาการเวียนศีรษะ ส่วนใหญ่มักเป็นกับหูเพียงข้างเดียว มีเพียง 15-20% ที่เป็นหูทั้งสองข้าง เกิดจากความผิดปกติของน้ำในหูชั้นใน ซึ่งปกติหูชั้นในจะมีน้ำในปริมาณที่พอดีกับการทำงานของเซลล์ประสาทที่ทำหน้าที่ควบคุมการทรงตัวและการได้ยิน และมีการไหลเวียนถ่ายเทเป็นปกติ แต่เมื่อเกิดความผิดปกติขึ้น เช่น การดูดซึมของน้ำในหูไม่ดี ทำให้น้ำในหูชั้นในมีปริมาณมากกว่าปกติ ก็จะส่งผลต่อการทำงานของเซลล์ประสาทที่ควบคุมการทรงตัวและการได้ยิน ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการวิงเวียนศีรษะ หูอื้อ สูญเสียการได้ยิน รู้สึกถึงแรงดันภายในหู เป็นต้น สาเหตุโรคน้ำในหูไม่เท่ากันโรคนี้มีโอกาสเป็นได้ทุกเพศ และทุกวัย เพราะเป็นโรคที่ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด พบมากในวัยทำงานที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป แต่มีปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการดำเนินโรคได้ เช่น กรรมพันธุ์โดยมีโครงสร้างหูชั้นในผิดปกติแต่กำเนิด โรคภูมิแพ้ การติดเชื้อไวรัส หูชั้นกลางอักเสบ หูน้ำหนวก ซิฟิลิส มีประวัติเคยประสบอุบัติเหตุที่ศีรษะ และโรคเบาหวาน ไทรอยด์ ไขมันในเลือดสูง เป็นต้น
อาการแบบไหนบ่งบอกน้ำในหูไม่เท่ากันโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน จะส่งผลต่อการทำงานของเซลล์ประสาทที่ควบคุมการทรงตัว และการได้ยิน ทำให้เซลล์ดังกล่าวทำงานผิดปกติ ทำให้ผู้ป่วยโรคนี้มีอาการ ดังนี้
การตรวจและวินิจฉัยโรคน้ำในหูไม่เท่ากันโดยปกติทั่วไป แพทย์จะทำการซักประวัติอาการ เช่น ลักษณะอาการเวียนศีรษะ ความรุนแรงของอาการ ระยะเวลาและความถี่ของอาการ อาการทางหูที่เกิดร่วมด้วย ในกรณีที่อาการไม่ชัดเจนก็จำเป็นต้องอาศัยการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เพื่อช่วยในการวินิจฉัย ดังนี้
โรคน้ำในหูไม่เท่ากันรักษาอย่างไร?การรักษาโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน ส่วนใหญ่จะรักษาตามอาการที่ตรวจพบ โดยมีทั้งการให้ยาบรรเทาอาการ และการผ่าตัดโดย
แม้ว่าโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่อาการของผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถควบคุมได้ด้วยยา และการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง รวมทั้งสามารถป้องกันได้โดยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต รวมไปถึงการดูแลสุขภาพ หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อน ลดความเครียด หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ ชากาแฟ
โรคเมเนียส์โรคเมเนียส์, โรคมีเนียร์ หรือ โรคเมนิแยร์ (Ménière’s disease – MD) หรือที่ทั่วไปมักเรียกกันว่า “โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน” หรือ “โรคน้ำในหูชั้นในผิดปกติ” หรือบางครั้งก็เรียกกันสั้น ๆ ทางพยาธิวิทยาว่า “โรคน้ำในหู” (Endolymphatic hydrops) เป็นโรคที่มีความผิดปกติของหูชั้นใน โดยมีน้ำในหูชั้นในมากผิดปกติ เป็นเหตุให้เสียความรู้สึกเกี่ยวกับการทรงตัว (เกิดอาการเวียนศีรษะแบบบ้านหมุน) และการได้ยิน (เกิดอาการหูตึง แว่วเสียงดังในหู) ส่วนใหญ่มักเป็นกับหูเพียงข้างเดียว แต่อาจเป็นกับหูได้ทั้ง 2 ข้างประมาณ 10-15%[1] หรือประมาณ 30% ในบางรายงาน[2] หูชั้นใน (Inner ear) ของคนเราจะมีเซลล์ประสาทที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการทรงตัวและการได้ยิน ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีน้ำในหูชั้นในอยู่ในปริมาณที่พอดีกับการทำงานของเซลล์ประสาทที่ทำหน้าที่ควบคุมการทรงตัวและการได้ยิน และมีการไหลเวียนถ่ายเทเป็นปกติ เมื่อมีการเคลื่อนไหวของน้ำในหูขณะเคลื่อนไหวศีรษะ จะกระตุ้นเซลล์ประสาทดังกล่าวให้มีการส่งสัญญาณไปยังสมองเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย แต่เมื่อใดก็ตามที่มีความผิดปกติของการไหลเวียนของน้ำในหู เช่น การดูดซึมของน้ำในหูไม่ดี ทำให้น้ำในหูชั้นในมีปริมาณมากกว่าปกติ (Endolymphatic hydrops) ก็จะส่งผลต่อการทำงานของเซลล์ประสาทที่ควบคุมการทรงตัวและการได้ยิน โรคนี้เป็นโรคพบได้ค่อนข้างบ่อย โดยเป็นโรคที่พบได้เป็นอันดับ 2 ของสาเหตุอาการเวียนศีรษะ[5] มักพบได้ในผู้คนอายุ 30-60 ปี[2] ทั้งเพศหญิงและเพศชายมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้พอ ๆ กัน[4] (ส่วนอีกข้อมูลระบุว่า โรคนี้พบได้น้อย มักพบในผู้ชายอายุประมาณ 40-60 ปี แต่อาจพบได้ในคนหนุ่มสาวด้วยเช่นกัน[1]) IMAGE SOURCE : www.hearinglink.orgสาเหตุของโรคเมเนียส์ในปัจจุบันยังไม่ทราบกลไกที่แน่ชัดว่า เหตุใดปริมาณของเหลวในหูชั้นใน (Endolymph) จึงเกิดมีมากกว่าปริมาณปกติขึ้นมาเป็นระยะ ๆ แล้วส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติต่าง ๆ ตามมา (อาการของโรคเป็นผลมาจากความผิดปกติของน้ำในหูชั้นในที่มากผิดปกติ) ผู้ป่วยอาจมีอาการเกิดขึ้นหรือมีอาการกำเริบได้เมื่อมีปัจจัยเหล่านี้มากระตุ้น เช่น
อาการของโรคเมเนียส์
การแบ่งระยะของโรคเมเนียส์โรคนี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ (ความรุนแรงและระยะเวลาแต่ละระยะไม่แน่นอน) ได้แก่
ภาวะแทรกซ้อนของโรคเมเนียส์
การวินิจฉัยโรคเมเนียส์แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้จากการซักประวัติผู้ป่วยอย่างละเอียด และการตรวจร่างกาย ถ้าผู้ป่วยมาด้วยอาการดังกล่าว แพทย์ก็มักให้การวินิจฉัยได้ ซึ่งพบว่าผู้ป่วยประมาณ 50% เท่านั้นที่มีอาการดังกล่าวเด่นชัด ส่วนในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการไม่ชัดเจนก็จำเป็นต้องอาศัยการตรวจพิเศษอื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อช่วยในการวินิจฉัยและแยกจากโรคหรือภาวะต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
อาการเวียนศีรษะเป็นอาการที่พบได้บ่อย แต่อาการดังกล่าวอาจไม่ได้เกิดโรคเมเนียส์หรือน้ำในหูไม่เท่ากันเสมอไป เพราะอาจเกิดจากโรคอื่น ๆ เช่น
วิธีรักษาโรคเมเนียส์ดังที่กล่าวมาแล้วว่า อาการเวียนศีรษะแบบบ้านหมุนเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนั้น เมื่อมีอาการดังกล่าว ผู้ป่วยจึงควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัดและรับการรักษาที่ถูกต้องต่อไป สำหรับผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเมเนียส์ การรักษาจะประกอบไปด้วยการปฏิบัติตัวให้ถูกต้องเมื่อเกิดอาการบ้านหมุน การให้ยาบรรเทาอาการ การรักษาไปตามสาเหตุของโรค และการผ่าตัดในรายที่มีอาการรุนแรงและไม่สามารถควบคุมได้จากการใช้ยา
เอกสารอ้างอิง
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai) เมดไทยเมดไทย (Medthai) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นอิสระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การรักษาโรค การใช้ยา สมุนไพร แม่และเด็ก ฯลฯ เราร่วมมือกับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีที่สุด โรคน้ําในหูไม่เท่ากัน อันตรายไหมอาการของน้ำในหูไม่เท่ากันสามารถส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วย อาจทำให้เกิดความเครียด วิตกกังวล ซึมเศร้าได้ โดยเฉพาะอาการวิงเวียนศีรษะอาจทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการล้มลงไปที่พื้น เกิดอุบัติเหตุในขณะขับขี่ยานพาหนะ หรือในระหว่างการทำงานกับเครื่องจักรได้ รวมถึงอาจทำให้ผู้ป่วยสูญเสียการได้ยินไปอย่างถาวร เป็นต้น
โรคน้ำในหูไม่เท่ากันเกิดจากสาเหตุใดปัจจุบันยังไม่ทราบอย่างแน่ชัดว่า “โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน” เกิดจากสาเหตุใด แต่มีหลายปัจจัยที่เป็นส่วนสำคัญในการเกิดโรค เช่น กรรมพันธุ์ พบได้บ่อยในผู้ป่วยที่มีคนในครอบครัวเป็นไมเกรน หรือมีโครงสร้างหูชั้นในผิดปกติ การติดเชื้อไวรัส
โรคน้ําในหูไม่เท่ากันรักษาหายไหมHIGHLIGHTS: โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน ไม่มีวิธีรักษาที่ทำให้โรคหายขาดได้ อาการของผู้ป่วย ส่วนใหญ่สามารถควบคุมได้ด้วยยา และการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง นอกเหนือจากอาการเวียนหัวแล้ว ยังมีอาการอื่นๆด้วยเช่น หูอื้อ ได้ยินไม่ชัด รู้สึกแน่นในหูเป็นๆ หายๆ มีเสียงดังในหู
ทำยังไงให้น้ำในหูเท่ากันโรคน้ำในหูไม่เท่ากันรักษาอย่างไร?. การให้ยาบรรเทาอาการ เช่น การรับประทานยาขับปัสสาวะ เพื่อลดสภาวะอาการบวม และคั่งของน้ำในหูชั้นใน รวมทั้งยาขยายหลอดเลือดจะช่วยให้การไหลเวียนของน้ำในหูดีขึ้น ยาลดอาการเวียนศีรษะ และคลื่นไส้อาเจียน ตลอดจนยากล่อมประสาท และยานอนหลับ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยผ่อนคลาย และนอนหลับได้เป็นปกติ. |