คำว่า ประวัติศาสตร์มี ความ หมาย สอดคล้องกับข้อใด มากที่สุด

การจัดเก็บภาษีอากรในสมัยกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. 1893 - พ.ศ. 2310)

คำว่า ประวัติศาสตร์มี ความ หมาย สอดคล้องกับข้อใด มากที่สุด

ในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้มีการจารึกในประวัติศาสตร์ว่า เป็นยุคที่มีการจัดเก็บภาษีอากรรุ่งเรืองมาก การก่อตั้งกรุงศรีอยุธยาเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 1893 ตั้งแต่สมัยพระเจ้าอู่ทอง ได้สร้างพระนครขึ้นที่ริมหนองโสน แล้วทำการราชาภิเษกทรงพระนามว่า สมเด็จพระรามาธิบดี ขนานนามราชธานีว่า กรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยา ในช่วงตลอดอายุกรุงศรีอยุธยา เป็นเวลา 417 ปี บ้านเมืองมีทั้งความเจริญและความเสื่อม ในสมัยที่บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองมาก คือ สมัยสมเด็จพระรามาธิบดี สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระนารายณ์มหาราช และสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ แต่ในบางรัชสมัยพระมหาธรรมราชาและพระเพทราชา การจัดเก็บภาษีอากรในสมัยกรุงศรีอยุธยา หรือที่เรียกกันในสมัยนั้นว่า ส่วยสาอากร ได้มีการแบ่งการจัดเก็บออกเป็น 4 ประเภท คือ จังกอบ อากร ส่วย และฤชา โดยมีรายละเอียดดังนี้

1. จังกอบ หรือ จำกอบ เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากการชักส่วนสินค้า ที่นำเข้ามาจำหน่ายตามที่ได้อธิบายข้างต้น

2. อากร หมายถึง ส่วนที่เก็บจากผลประโยชน์ที่ราษฎรทำมาหาได้ในการประกอบการต่างๆเช่น ทำนา ทำไร่ ทำสวน ฯลฯ หรือการได้รับสิทธิจากรัฐบาลไปกระทำการ เช่น ต้มกลั่นสุรา เก็บของในป่า จับปลาในน้ำ ฯลฯ เช่น อากรค่านา อากรสวน อากรสุรา อากรค่าน้ำ เป็นต้น การเก็บอากรอาจจัดเก็บเป็นตัวเงินหรือเป็นสิ่งของ ถือเป็นภาษีที่จัดเก็บตามหลักผลประโยชน์ที่ได้รับจากรัฐไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

3. ส่วย ความหมายของส่วย สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงสันนิษฐานว่า คำว่า ส่วย

คำว่า ประวัติศาสตร์มี ความ หมาย สอดคล้องกับข้อใด มากที่สุด

- สิ่งของที่รัฐบาลเรียกร้องเอาจากเมืองที่อยู่ภายใต้ปกครอง หรืออยู่ในความคุ้มครองเป็นค่าตอบแทนการปกครองหรือคุ้มครอง ส่วยตามความหมายนี้จึงมีลักษณะเป็นเครื่องราชบรรณาการ

- เงินช่วยราชการตามที่กำหนดเรียกเก็บจากราษฎรชายที่มิได้รับราชการทหารเป็นรายบุคคล เนื่องจากสังคมไทยแต่ดั้งเดิม มีระบบเกณฑ์แรงงานจากราษฎร โดยรัฐไม่ต้องจ่ายค่าจ้าง แต่จะให้ความคุ้มครองทางกฎหมายเป็นการตอบแทน ทั้งนี้เดิมราษฎรที่ถูกเกณฑ์แรงงาน จะมาประจำการเป็นเวลาปีละ 6 เดือน โดยผู้ที่ไม่มารับราชการเมื่อถึงเวรของตน จะต้องเสียส่วยเรียกว่า ส่วยแทนแรง เพื่อที่ราชการจะได้จ้างคนมาทำงานแทน ส่วยแทนแรง เพื่อที่ราชการจะได้จ้างคนมาทำงานแทน ส่วยแทนแรงนี้ได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นเงินรัชชูปการในระยะต่อมา ( รัชกาลที่ 6 )

- เงินที่ทางราชการกำหนดให้ราษฎรร่วมรับภาระในการกระทำบางอย่าง เช่น เกณฑ์ให้ช่วยสร้างป้อมปราการ เป็นต้น

- ทรัพย์มรดกของผู้มรณภาพซึ่งต้องถูกริบเป็นของหลวง อันเนื่องจากเกินกำลังของทายาทที่จะเอาไว้ใช้สอย เป็นต้น

4. ฤชา คือค่าธรรมเนียมที่ทางราชการเรียกเก็บจากราษฎรซึ่งได้รับประโยชน์จากรัฐเป็นการเฉพาะตัว เช่น ผู้ใดจะขอโฉนดตราสาร เพื่อมิให้ผู้อื่นบุกรุกแย่งชิงที่เรือกสวนไร่นา จักต้องเสียฤชาแก่รัฐ เป็นต้น ฤชาที่สำคัญได้แก่ ค่าธรรมเนียม และค่าปรับทางการศาล

เมื่อพิจารณาตามลักษณะการจัดเก็บภาษีอากรข้างต้น จะเห็นว่ามีการจัดเก็บภาษีทั้งในรูปของการบังคับจัดเก็บจะได้รับประโยชน์ในทางอ้อม คือ กรณีจังกอบและส่วย ส่วนอีกกรณีหนึ่งคือในรูป ที่ผู้ถูกจัดเก็บจะได้รับผลประโยชน์จากรัฐโดยตรง คือ อากรและฤชา

ในขณะเดียวกัน เมื่อมีการศึกษาค้นคว้าถึงวิวัฒนาการในด้านการบริหารงานจัดเก็บในสมัยกรุงศรีอยุธยา จะพบว่าในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็นช่วงเวลาที่มีการปฏิรูประบบการปกครองแผ่นดินครั้งใหญ่ ทั้งในด้านการวางระเบียบทางการคลัง การส่วยสาอากร ฯลฯ โดยพระองค์ได้ทรงแบ่งการบริหารการปกครองออกเป็น 4 ส่วน เรียกว่า จตุสดมภ์ โดยแต่ละส่วนมีหน้าที่ดังนี้

คำว่า ประวัติศาสตร์มี ความ หมาย สอดคล้องกับข้อใด มากที่สุด

  • เวียง เรียกว่า นครบาล มีหน้าที่ราชการปกครองท้องที่ และดูแลทุกข์สุขของราษฎรพลเมือง
  • วัง เรียกว่า ธรรมธิกรณ์ มีหน้าที่ว่าราชการศาลหลวง และว่าราชการอรรถคดีในพระราชสำนัก
  • คลัง เรียกว่า โกษาธิบดี มีหน้าที่ราชการจัดการพระราชทรัพย์ เก็บส่วยสาอากรซึ่งเป็นผลประโยชน์แผ่นดิน
  • นา เรียกว่า เกษตราธิบดี มีหน้าที่ปฏิบัติราชการเกี่ยวกับ เรื่องนาและสวน การเพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร ทั้งนี้โดยรูปแบบการบริหารงานฯของพระองค์ข้างต้น ได้ถูกใช้เป็นแบบอย่างรูปแบบการปกครองต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

ที่มา :: หนังสือที่ระลึกในการเปิดอาคารกรมสรรพากร 2 กันยายน 2540

การเมือง

โครงสร้างทางการเมืองของสหรัฐฯ

สหรัฐอเมริกามีระบอบการปกครองในแบบสหพันธรัฐ (Federal Republic) ที่มีการแบ่งแยกอำนาจออกเป็น 3 ฝ่าย ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ที่แต่ละฝ่ายจะได้รับเลือกในลักษณะที่แตกต่างกัน และมีการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน (check and balance) ดังนี้

ฝ่ายบริหาร

มีประธานาธิบดีเป็นประมุขและเป็นหัวหน้ารัฐบาล (Chief of Executive) ได้รับเลือกจากการเลือกตั้งทั่วไป ร่วมกับรองประธานาธิบดีทุก 4 ปี ในวันอังคารแรกหลังวันจันทร์แรกของเดือนพฤศจิกายน ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งผ่านคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) จำนวน 538 คน ดำรงตำแหน่งไม่เกิน 2 สมัย สมัยละ 4 ปี ประธานาธิบดีจะเป็นผู้ร่างรัฐบัญญัติต่อรัฐสภา และทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้ทำสนธิสัญญาต่างๆ ตลอดจนแต่งตั้งผู้พิพากษาเอกอัครราชทูตและตำแหน่งต่างๆของฝ่ายบริหารตั้งแต่ระดับรองผู้ช่วยรัฐมนตรี (Deputy Assistant Secretary) ขึ้นไป

ฝ่ายนิติบัญญัติ

ประกอบด้วย 2 สภา คือ วุฒิสภา มีสมาชิกจากแต่ละมลรัฐ มลรัฐละ 2 คน รวมเป็น 100 คน ดำรงตำแหน่งสมัยละ 6 ปี โดยสมาชิกจำนวน 1 ใน 3 ครบวาระทุก 2 ปี วุฒิสภามีอำนาจให้ความเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบต่อบุคคลที่ประธานาธิบดีเสนอขอแต่งตั้ง รวมทั้งคณะรัฐมนตรี และให้สัตยาบันสนธิสัญญา รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นผู้ดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภาโดยตำแหน่ง (President of the Senate) คือนาย Joseph Robinette Biden, Jr., ผู้นำฝ่ายเสียงข้างมาก (Majority Leader) ในวุฒิสภา ได้แก่ นาย Mitch McConnell (R-KY) ผู้นำฝ่ายเสียงข้างน้อย (Minority Leader) ได้แก่ นาย Harry Reid (D-NV) สภาผู้แทนราษฎร มีสมาชิก 435 คน แบ่งตามสัดส่วนของประชากรในมลรัฐ คือ ประชากร 575,000 คน ต่อ สมาชิก 1 คน ดำรงตำแหน่งสมัยละ 2 ปี ประธานสภา (Speaker of the House) ได้แก่ นาย John Boehner (R-OH) ผู้นำฝ่ายเสียงข้างมาก คือ นาย Kevin McCarthy  (R-CA) ส่วนผู้นำฝ่ายเสียงข้างน้อย คือ นาง Nancy Pelosi (D-CA)

ฝ่ายตุลาการ

ประกอบด้วย ศาลชั้นต้น (Curcuit Court) ศาลอุทรณ์ (Appeal Court) และศาลฎีกา (Supreme Court) ศาลฎีกามีอำนาจที่จะล้มเลิกกฎหมายใดๆ และการปฏิบัติการของฝ่ายบริหารที่ได้วินิจฉัยแล้วว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ ในการแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลฎีกานั้น ประธานาธิบดีเป็นผู้เสนอชื่อและวุฒิสภาเป็นผู้ให้การรับรอง โดยศาลสูงของสหพันธ์มีผู้พิพากษาทั้งหมด 9 คน ซึ่งตำรงตำแหน่งได้โดยไม่มีการกำหนดวาระ

อำนาจของรัฐสภาสหรัฐฯ (Congress)

อำนาจตามรัฐธรรมนูญ

รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ได้บัญญัติให้อำนาจตามที่ระบุในรัฐธรรมนูญแก่ รัฐสภา (Congress) อันประกอบด้วยวุฒิสภา (Senate) และสภาผู้แทนราษฎร (House of Representatives) ผู้ก่อตั้งสหรัฐฯ ต้องการให้รัฐสภาเป็นสถาบันที่สำคัญที่สุดและมีอำนาจมากที่สุดในการปกครองประเทศ และยกอำนาจของรัฐสภาเสมอกับอำนาจแห่งชาติ พร้อมทั้งกำหนดบทบาทที่ชัดเจนให้กับรัฐสภาในการปกครองประเทศ

มาตราที่ 1 ของรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ได้ให้อำนาจรัฐสภาในการจัดเก็บภาษี การกู้ยืมและใช้จ่ายเงิน การควบคุมการค้าระหว่างรัฐ การตั้งเงินสำรองของประเทศ การประกาศสงคราม การจัดตั้งและสนับสนุนกองทัพ การจัดตั้งระบบศาลยุติธรรม และการอนุมัติกฎหมายทุกฉบับที่จำเป็นและเหมาะสมเพื่อใช้อำนาจในกิจการเหล่านี้ นอกจากนั้น รัฐสภายังสามารถเสนอแก้ไขปรับปรุงรัฐธรรมนูญหรือเรียกประชุมเพื่อการดังกล่าว และมีอำนาจรับรองรัฐใหม่ด้วย

อย่างไรก็ตาม ยังมีอำนาจบางอย่างที่แต่ละสภาสามารถใช้ได้ด้วยตนเอง เช่น สภาผู้แทนราษฎรสามารถเลือกประธานาธิบดีได้ในกรณีที่ไม่มีผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีได้รับคะแนนเสียงข้างมากจากคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) หรือวุฒิสภาสามารถเป็นผู้ให้คำแนะนำและความยินยอมตามที่ได้รับการร้องขอเกี่ยวกับสนธิสัญญาและรับรองการเสนอชื่อบุคคลโดยประธานาธิบดีเพื่อดำรงตำแหน่งในฝ่ายบริหารและตุลาการ

สำหรับในกระบวนการกล่าวโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเนื่องจากการประพฤติไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง (impeachment) ทั้ง 2 สภาจะดำเนินการร่วมกัน โดยสภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจในการกล่าวโทษ (impeach) และวุฒิสภามีอำนาจสอบสวน (try) เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลรวมถึงประธานาธิบดีด้วย การเรียกประชุมรัฐสภาแต่ละสมัยจะเริ่มต้นในวันที่ 3 มกราคม ภายหลังการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาในเดือนพฤศจิกายนของปีที่ลงท้ายด้วยเลขคู่

ความขัดแย้งระหว่างสถาบันในรอบ 2 ศตวรรษที่ผ่านมา สถาบันทางการเมืองซึ่งมีลักษณะแบ่งแยกอำนาจกันในการเมืองสหรัฐฯ อันได้แก่ รัฐสภา ประธานาธิบดีและฝ่ายบริหาร และศาลสูงและกระบวนการยุติธรรม ต่างแข่งขันกันเพื่อช่วงชิงอำนาจและบทบาทที่โดดเด่นในการปกครองซึ่งเป็นลักษณะที่ผู้ก่อตั้งสหรัฐฯ วางรากฐานไว้ โดยในการร่างรัฐธรรมนูญพวกเขาได้พยายามสร้างผลประโยชน์ที่ตรงข้ามกันและความเป็นคู่แข่งกันระหว่างสถาบันการเมืองทั้ง 3 เพราะต้องการให้มีการแบ่งแยกอำนาจ (separation of power) และการตรวจสอบและถ่วงดุลซึ่งกันและกัน (check and balance) ที่ผ่านมาสถาบันทั้ง 3 ต่างผลัดกันมีอำนาจหรือบทบาทสำคัญในการเมืองสหรัฐฯ โดยส่วนมากรัฐสภาจะมีอำนาจมากที่สุด รองลงมาได้แก่สถาบันประธานาธิบดีและในบางครั้งศาลสูงก็ขึ้นมามีบทบาทสำคัญด้วย

กระบวนการออกนโยบายตลอดช่วงศตวรรษที่ 20 รัฐสภายอมให้ประธานาธิบดีและฝ่ายบริหารครองบทบาทนำในการออกนโยบายระดับชาติ โดยส่วนมากรัฐสภาจะเป็นฝ่ายตอบรับแนวนโยบายและร่างงบประมาณที่เสนอโดยประธานาธิบดี หน่วยงานฝ่ายบริหารหรือกลุ่มผลประโยชน์ อย่างไรก็ตาม รัฐสภาไม่เพียงแต่เป็นผู้ให้รับรองหรือเป็นตรายางให้กับข้อเสนอนโยบายเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทที่เป็นอิสระในกระบวนการออกนโยบายอันได้แก่บทบาทในการให้ความเห็นอีกด้วย กล่าวคือ รัฐสภาสามารถยอมรับ ปรับปรุง แก้ไขเพิ่มเติม หรือปฏิเสธ นโยบายหรือการของบประมาณที่เสนอโดยฝ่ายอื่นได้

ในกระบวนการออกนโยบาย รัฐสภาสามารถให้ความเห็นที่จะสนับสนุนหรือขัดขวางข้อเสนอนโยบายของประธานาธิดีได้ง่ายกว่าริเริ่มนโยบายเสียเอง ทั้งนี้ เพราะรัฐสภามีอำนาจระงับข้อเสนอนโยบายของประธานาธิบดี ปฏิเสธการขอใช้งบประมาณ หน่วงเวลาหรือปฏิเสธการแต่งตั้งบุคคลโดยประธานาธิบดี ตรวจสอบหน่วยงานฝ่ายบริหาร จัดคณะกรรมการเพื่อเปิดเผยการกระทำผิด และระงับการทำงานฝ่ายบริหารอย่างทั่วไปได้ รัฐสภาสามารถตรวจสอบและตั้งคำถามต่อผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้พิพากษาศาลสูงและผู้พิพากษาศาลส่วนกลาง (federal courts) สามารถบัญญัติการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการยุติธรรมในศาลส่วนกลาง และสามารถพยายามกลับ (reverse) คำพิพากษาของศาลโดยการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญได้ นอกจากนั้น รัฐสภายังสามารถขู่ว่าจะกล่าวโทษ (threaten to impeach) ประธานาธิบดีหรือผู้พิพากษาได้ด้วย อย่างไรก็ตาม บทบาทของรัฐสภาในกระบวนการออกนโยบายมักมีลักษณะตั้งรับและขัดขวางมากกว่าและโดยส่วนมากจะแสดงออกมาในรูปแบบของการอภิปราย

อำนาจรัฐสภาที่แบ่งแยกระหว่างสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาในการเมืองสหรัฐฯ สถาบันรัฐสภาไม่เพียงแต่แบ่งแยกอำนาจกับฝ่ายบริหารและตุลาการเท่านั้น แต่ยังต้องแบ่งแยกอำนาจภายในรัฐสภาด้วยกันเองด้วย ผู้ร่างรัฐธรรมนูญยึดแนวคิดของเบนจามิน แฟรงคลิน ที่ว่าสภานิติบัญญัติควรมีการแบ่งแยกอำนาจ โดยฝ่ายหนึ่งควรดูแลและควบคุมอีกฝ่ายหนึ่ง และควรตอบสนองความต้องการของฝ่ายนั้นๆ พร้อมทั้งแก้ไขข้อผิดพลาดของกันและกันได้ในกรณีที่มีการกระทำผิดร้ายแรงหรือกระทำการที่ไม่ถูกต้อง รัฐสภาสหรัฐฯ จึงถูกออกแบบให้มีลักษณะ 2 สภา (bicameral) ที่ประกอบด้วยวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรแม้ว่าโดยทั่วไปแล้วจะไม่สามารถผ่านกฎหมายหรือนำงบประมาณออกใช้ได้หากสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาไม่ผ่าน identical laws อย่างไรก็ตาม สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภามีการแบ่งเขตเลือกตั้งและวาระการดำรงตำแหน่งที่แตกต่างกันมาก กล่าวคือ สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกที่มีสิทธิโวต 435 คน ซึ่งได้รับการเลือกตั้งจากเขตเลือกตั้งในแต่ละมลรัฐที่จัดแบ่งตามจำนวนประชากรที่เท่าๆ กัน นอกจากนั้น สภาผู้แทนราษฏรยังประกอบด้วยตัวแทนที่ไม่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งจาก ปอโตริโก ดัสทริคท์ ออฟ โคลัมเบีย เวอร์จินไอส์แลนด์ และอเมริกัน ซามัว โดยสมาชิกสภาผู้แทนฯ มาจากการเลือกตั้งทุกๆ 2 ปี ส่วนสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีวาระ 2 ปี ถูกออกแบบให้ตอบสนองความรู้สึกนึกคิดของประชาชนได้มากกว่า โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมักจะอ้างถึงสภาของตนในนามสภาของประชาชน (the peoples House) ส่วนวุฒิสภาซึ่งมีสมาชิกวาระ 6 ปีถูกออกแบบให้มีขนาดเล็กกว่า แต่มีบทบาทเน้นในการให้คำปรึกษาหารือมากกว่า นอกจากนั้น วุฒิสภายังสามารถใช้อำนาจจำนวนหนึ่งซึ่งสภาผู้แทนฯ ไม่มี คืออำนาจในการให้สัตยาบันสนธิสัญญาและอำนาจรับรองผู้พิพากษา เอกอัครราชทูต สมาชิกคณะรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของฝ่ายบริหาร

การเลือกตั้งสหรัฐฯ

กระบวนการสรรหาตัวแทนพรรคการเมือง

การเลือกตั้งขั้นต้นภายในพรรคการเมือง (พรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน) มี 2 แบบ คือ แบบ Caucus และ Primary โดยมีเพียง 12 มลรัฐ และ 3 เขตที่ใช้รูปแบบการเลือกตั้งแบบ Caucus ในขณะที่มลรัฐส่วนมากใช้รูปแบบ Primary การเลือกตั้งทั้งสองแบบมีเป้าหมายที่จะกำหนดจำนวนคณะผู้เลือกตั้ง (delegates) ที่จะไปลงคะแนนเลือกตัวแทนพรรคเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในการประชุมใหญ่ของแต่ละพรรค โดยในการเลือกตั้งแบบ Caucus ผู้สมัครแต่ละคนจะได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งตามสัดส่วนของคะแนนเสียงสนับสนุนที่ได้ ในขณะที่การเลือกตั้งแบบ Primary ผู้สมัครที่ได้รับคะแนนเสียงสูงที่สุดจะได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งของรัฐนั้นไปทั้งหมด ทั้งนี้ จำนวนคณะผู้เลือกตั้งของแต่ละรัฐจะแตกต่างกันไป รวมทั้งสิ้น 4,322 คน ดังนั้น ผู้ที่จะได้เป็นตัวแทนพรรคลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีต้องได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งอย่างน้อย 2,162 คน

ภายหลังเสร็จสิ้นการเลือกตั้งขั้นต้นภายในพรรคที่จัดขึ้นในทุกรัฐแล้ว คณะกรรมการพรรคแห่งชาติ ทั้ง Democrat National Committee และ Republican National Committee จะกำหนดจัดให้มีการประชุมใหญ่ของพรรค (National Convention) เพื่อให้คณะผู้เลือกตั้งลงมติยืนยันเลือกบุคคลที่จะมาการเป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการของพรรคเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดี จึงนับว่าเป็นการสิ้นสุดกระบวนการเลือกตั้งขึ้นต้น (primary election) เพื่อเริ่มต้นสู่กระบวนการเลือกตั้งทั่วไป (general election)

กระบวนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

แม้ว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนสหรัฐฯ แต่ในกระบวนการเลือกตั้งเป็นการเลือกตั้งทางอ้อม โดยประชาชนเป็นผู้เลือกคณะผู้เลือกตั้ง หรือ Electoral College ซึ่งคณะผู้เลือกตั้งมีทั้งหมด 538 คน (จำนวน Electoral College กำหนดจากจำนวนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 435 คน วุฒิสมาชิก 100 คน และผู้เลือกตั้งจากกรุง Washington D.C. จำนวน 3 คน)

การเลือก Electoral College นั้น ในแต่ละมลรัฐ แต่ละพรรคจะเลือกสรรชุด “คณะผู้เลือกตั้ง” ของตนไว้ก่อน ในวันเลือกตั้ง หากประชาชนต้องการที่จะเลือกผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคใดก็ให้เลือกจากผู้สมัคร Electoral College พรรคนั้น ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใดได้รับคะแนนเสียงข้างจากประชาชนมาก จะได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งทั้งชุดที่พรรคได้เตรียมได้ เรียกว่า winner-take-all’s system

ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้นผู้ที่จะเป็นประธานาธิบดีจะต้องได้รับคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนคณะผู้เลือกตั้งทั้งหมด คือ ต้องได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้ง เกิน 270 เสียง ทั้งนี้ หลังจากเสร็จสิ้นการเลือกตั้งประธานาธิบดี ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีจะเข้าร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค. ของปีถัดจากปีที่มีการเลือกตั้ง

ที่มา: US Watch

คำว่า“ ประวัติศาสตร์”มีความหมายตรงกับข้อใดมากที่สุด

"ประวัติศาสตร์" เป็นคำที่มีความหมายหลากหลาย แต่ความหมายที่สำคัญที่ใช้โดยทั่วไปคือ 1) เหตุการณ์ในอดีตทั้งหมดของมนุษย์ หรืออดีตทั้งหมดของมนุษย์ตั้งแต่มีมนุษย์เกิดขึ้นมาในโลกจนถึงวินาทีที่พึ่งผ่านมา 2) หมายถึงเรื่องราวของบางเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีตที่เรารู้หรือเข้าใจ นั่นคือสิ่งที่นักประวัติศาสตร์สร้างขึ้นมาเกี่ยว ...

ข้อใดต่อไปนี้มีความหมายตรงกับคำว่าประวัติศาสตร์

ประวัติศาสตร์คือการศึกษาถึงเรื่องความสัมพันธ์และกิจกรรมของคนทั้งหมดในสังคม โดยเน้นในแง่ของการพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในยุคสมัยต่างๆ ตั้งแต่อดีตเป็นร้อยเป็นพันปี อดีตเมื่อปีที่แล้ว เดือนที่แล้ว นาทีที่แล้ว จนถึงปัจจุบัน ที่มีลักษณะเคลื่อนไหวต่อเนื่องกับเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป

ข้อใดหมายถึงยุคประวัติศาสตร์

(2) ยุคประวัติศาสตร์ เป็นสมัยที่มนุษย์รู้จักคิดตัวอักษรขึ้น และจารึกเป็นลายลักษณ์อักษรจารึกลงบน แผ่นหิน ดินเหนียว อิฐ หรือเขียนลงบนแผ่นผ้า ยุคประวัติ ศาสตร์ยังแบ่งย่อยออกเป็น 4 ยุค เพื่อประโยชน์ในการบันทึกประวัติศาสตร์ ดังนี้คือ

เวลา กับ ประวัติศาสตร์ มีความ สัมพันธ์ ตาม ข้อ ใด

การศึกษาเหตุการณ์สำคัญในอดีตนั้นย่อมมีช่วงเวลาและสถานที่เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ตลอดเวลานักประวัติศาสตร์จําเป็นต้องอาศัยอ้างอิงช่วงเวลาด้วยคำต่างๆเพื่อแสดงการเปลี่ยนแปลงและรายละเอียดของเหตุการณ์ต่างๆเวลาจึงมีความสำคัญต่อการศึกษาสังคมมนุษย์ในอดีตเพราะเวลาจะช่วยบอกได้ว่าสังคมในพื้นที่ต่างๆมีเรื่องราวสำคัญเกิดขึ้นในแต่ละช่วง ...