พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ppt

พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ppt
Download

พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ppt

Skip this Video

Loading SlideShow in 5 Seconds..

สื่อประกอบการเรียน สาระประวัติศาสตร์ PowerPoint Presentation

พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ppt
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ppt

สื่อประกอบการเรียน สาระประวัติศาสตร์

สื่อประกอบการเรียน สาระประวัติศาสตร์ . เรื่อง. พัฒนาการของไทยสมัยรัตนโกสินทร์. ครูสุดเฉลิม อ่อนเปี่ยม โรงเรียนฟากกว๊านวิทยาคม จ.พะเยา. ประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น. พระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช . พระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย.

Uploaded on Jul 25, 2014

พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ppt

Download Presentation

พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ppt

สื่อประกอบการเรียน สาระประวัติศาสตร์

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - E N D - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

Presentation Transcript

  1. สื่อประกอบการเรียน สาระประวัติศาสตร์ เรื่อง พัฒนาการของไทยสมัยรัตนโกสินทร์ ครูสุดเฉลิม อ่อนเปี่ยม โรงเรียนฟากกว๊านวิทยาคม จ.พะเยา

  2. ประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น พระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช พระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

  3. เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกปราบการจลาจลที่เกิดขึ้น ในปลายรัชกาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จนบ้านเมืองอยู่ในความสงบเรียบร้อย พวกขุนนางข้าราชการและราษฎร ทั้งหลายจึงเห็นพ้องต้องกันในการอัญเชิญสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์สมบัติในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2325 พระนามที่ปรากฏในพระสุพรรณบัฏ คือ “สมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดีฯ” ส่วนพระนาม“พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก”นั้น เป็นพระนามที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงถวาย นับว่าพระองค์เป็นปฐมกษัตริย์ในพระบรมราชจักรีวงศ์

  4. การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงปราบจลาจลภายในกรุงธนบุรีและสร้างความมั่นคงภายในประเทศแล้ว พระองค์ทรงย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันตกมายังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาและตั้งชื่อใหม่ว่ากรุงเทพฯ ทั้งนี้เนื่องด้วยสาเหตุหลายประการ คือ

  5. 1.พระราชวังเดิมของกรุงธนบุรีคับแคบ มีวัดขนาบอยู่ทั้ง 2 ด้าน คือ วัดแจ้ง (วัดอรุณราชวราราม) และวัดท้ายตลาด (วัดโมลีโลกยาราม) ทำให้ไม่สามารถขยายอาณาเขตของพระราชวังให้กว้างขวางขึ้นได้

  6. 2. พระองค์ไม่ทรงเห็นด้วยที่จะให้พระนครแบ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยมีแม่น้ำเจ้าพระยาผ่ากลาง เป็นเสมือนเมืองอกแตก ดังเช่น เมืองพิษณุโลก สุพรรณบุรี เพราะหากข้าศึกยกทัพมาตาม ลำน้ำ ก็สามารถบุกตีใจกลางเมืองหลวงได้ ทำให้ยากแก่การป้องกันพระนคร ครั้นจะสร้างป้อมปราการทั้ง 2 ฝั่งแม่น้ำ ก็จะเป็นการสิ้นเปลืองเงินทองมาก ทำให้ยากแก่การเคลื่อนพลจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่งซึ่งเป็นการยากลำบากมาก ดังนั้นพระองค์จึงย้ายพระนครมาอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเพียงแห่งเดียว โดยมีแม่น้ำเป็นคูเมืองทางด้านตะวันตก และใต้ ส่วนทางด้านตะวันออกและทางด้านเหนือ โปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองขึ้นเพื่อเป็นคูเมืองป้องกันพระนคร

  7. 3. พื้นที่ทางฝั่งตะวันออกเป็นที่ราบลุ่ม สามารถขยายเมืองให้กว้างขวางออกไปได้เรื่อย ๆ ตรงบริเวณที่ตั้งพระนครพื้นที่เป็นแหลม โดยมีแม่น้ำเป็นกำแพงกั้นอยู่เกือบครึ่งเมือง4.ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา พื้นที่เป็นท้องคุ้ง น้ำกัดเซาะตลิ่งพังทลายอยู่เสมอ จึงไม่เหมาะแก่การสร้างอาคารหรือถาวรวัตถุใดๆ ไว้ริมฝั่งแม่น้ำ

  8. พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชมีรับสั่งให้สร้างเมืองใหม่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่บริเวณหัวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา คือ บริเวณพระบรมมหาราชวังในปัจจุบัน พระราชทานนามเมืองใหม่นี้ว่า “กรุงเทพมหานครบวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุทธนา มหาดิลกภพนพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์ มหาสถานอมรพิมาน อวตารสถิต สักกทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์” ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงเปลี่ยนจากคำว่า “บวรรัตนโกสินทร์” เป็น “อมรรัตนโกสินทร์”

  9. ในการสร้างพระมหาบรมราชวัง โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดขึ้นภายในด้วย คือ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว แล้วให้อัญเชิญพระแก้วมรกตขึ้นประดิษฐาน ทรงพระราชทานนามใหม่ว่า “พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร” เพื่อเป็นสิริมงคลแก่กรุงเทพฯ

  10. การปกครองของไทยสมัยรัตนโกสินทร์การปกครองของไทยสมัยรัตนโกสินทร์ มีระเบียบแบบแผนตามแบบสมัยอยุธยา พระมหากษัตริย์มีอำนาจสูงสุดและเด็ดขาดในการปกครองประเทศ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ1. การปกครองส่วนกลาง 2. การปกครองส่วนภูมิภาค 3. การปกครองส่วนท้องถิ่น

  11. จัดงานพิธีต่างๆในวังและพิจารณาและจัดงานพิธีต่างๆในวังและพิจารณาและ พิพากษาคดีความ ด้านการเงิน,เก็บภาษี,ทำสัญญาการค้าและติดต่อทูตต่างชาติ กรมวัง กรมคลัง ดูแลความสงบของราษฎร บ้านเมือง ดูแลเรื่องไร่ นาสวนทั่วไปและจัดเตรียมเสบียงไว้ใช้ในสงคราม กรมเวียง กรมนา จตุสดมภ์ รับผิดชอบบังคับบัญชาการฝ่าย พลเรือนและดูแลจตุสดมภ์ รับผิดชอบด้านการทหาร และเกณฑ์ไพร่พลยามมีศึกสงคราม สมุหกลาโหม สมุหนายก การปกครองส่วนกลาง แผนผังรูปแบบการปกครองในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ การปกครองส่วนภูมิภาค หัวเมืองประเทศราช หัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นนอก ผู้ปกครองคือ มีเจ้านายในท้องถิ่นเป็นเจ้าเมืองแต่ยังต้องส่งเครื่องราชบรรณาการเหมือนเดิม ผู้ปกครอง คือ ผู้รั้งเมือง ผู้ปกครอง คือ ข้าราชการขุนนาง ชั้นผู้ใหญ่ เมืองชั้นจัตวา เมืองชั้นตรีโท เอก ตามขนาด

  12. กฎหมายและการศาล รากฐานกฎหมายของไทยที่ใช้กันในสมัยรัตนโกสินทร์ ได้มาจากคัมภีร์พระธรรมศาสตร์หรือคัมภีร์ธรรมสัตถัมของอินเดีย ซึ่งไทยได้รับมาจากมอญอีกต่อหนึ่ง นำมาเป็นรากฐานกฎหมายของสุโขทัยและอยุธยา นอกจากนี้ยังมีพระราชศาสตร์ ซึ่งเป็นพระบรมราชโองการและพระบรมราชวินิจฉัยของพระมหากษัตริย์ใช้สำหรับติดสินคดีความต่างๆ

  13. คราวที่เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 พ.ศ.2310 พระราชกำหนดกฎหมายต่างๆ สูญหายกระจัดกระจายและถูกทำลายไปมากมาย มีเหลืออยู่เพียงส่วนน้อย เมื่อมาถึงสมัยธนบุรี มีการปรับปรุงบ้านเมืองและปราบปรามศัตรูที่คอยมารุกรานอธิปไตยของชาติ ตลอดรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทำให้มีเวลาแก้ไขตัวบทกฎหมายน้อย ส่วนใหญ่ใช้ของเดิมซึ่งรับมาจากสมัยอยุธยา

  14. ครั้นมาถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมกฎหมายที่หลงเหลืออยู่ นำมาชำระให้ถูกต้อง และโปรดให้อาลักษณ์คัดลอกไว้ 3 ชุด แต่ละชุดให้ประทับตราไว้ ได้แก่ ตราราชสีห์เป็นตราประจำตำแหน่งสมุหนายก ตราคชสีห์เป็นตราประจำตำแหน่งสมุหกลาโหมตราบัวแก้วเป็นตราประจำตำแหน่งพระคลัง หรือกรมท่า หรือโกษาธิบดี กฎหมายฉบับนี้จึงมีชื่อว่า “กฎหมายตราสามดวง”หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ประมวลกฎหมายรัชกาลที่ ๑” กฎหมายตราสามดวงนี้เป็นกฎหมายหลักในการปกครองประเทศมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕

  15. เศรษฐกิจสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นเศรษฐกิจสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น • การค้ากับต่างประเทศ มีการค้าขายกับต่างประเทศดังนี้1.1การค้ากับประเทศในเอเชีย ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นการค้าขายส่วนใหญ่ทำกับจีน ชวา สิงคโปร์และอินเดีย ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นการค้าสำเภา มีทั้งสำเภาหลวงและสำเภาเอกชน ซึ่งเป็นการค้าที่สำคัญและทำรายได้ให้กับประเทศมาก สำเภาหลวงที่ปรากฏชื่อในสมัยรัชกาลที่ 1 มีอยู่ 2 ลำ คือ เรือหูสูงและเรือทรงพระราช-สาสน์ เรือสำเภานี้ลักษณะแบบจีน ต่อในเมืองไทยใช้ไม้อย่างดี ใช้ลูกเรือเป็นคนจีนทั้งหมด แต่ผู้คุมเป็นคนไทยอยู่ในความดูแลของกรมท่าหรือพระคลังสินค้า

  16. ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เรือสำเภาทั้งไทยและจีนติดต่อกับค้าขายกันถึง 140 ลำ สำเภาหลวงที่สำคัญมี เรือมาลาพระนคร และเรือเหราข้ามสมุทร สินค้าออกที่สำคัญได้แก่ ดีบุก งาช้าง ไม้ น้ำตาล พริกไทย รังนก กระดูกสัตว์ หนังสัตว์ กระวาน และครั่ง ส่วนสินค้าเข้าที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องถ้วยชามสังคโลก ชา ไหม เงิน ปืน ดินปืน กระดาษ เครื่องแก้ว

  17. นอกจากนี้พระองค์ทรงเล็งเห็นความสำคัญและทรงสนับสนุนให้กิจการด้านนี้เจริญก้าวหน้าออกไปโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้กรมหมื่นเจษฎา-บดินทร์ ซึ่งมีพระปรีชาสามารถเรื่องการค้ากับต่างประเทศเป็นผู้บังคับบัญชากรมท่า มีการต่อเรือกำปั่น 10 ลำ ลำแรกชื่อ อรสุมพลไทยมีการส่งเครื่องบรรณาการ (จิ้มก้อง) แลกเปลี่ยนกับจีนตลอดมาจนกระทั่งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่า วิธีการนี้จีนจะเข้าใจว่าไทยยอมอ่อนน้อมและตกอยู่ภายใต้อำนาจของจีน จึงให้ยกเลิกเสีย

  18. 1.2 การค้ากับประเทศตะวันตก ตลอดเวลาที่ไทยติดต่อกับชาติตะวันตกนั้นคนไทยมีความรู้สึกไม่ไว้วางใจตลอดมา แม้ไทยจะยอมมีสัมพันธไมตรีทางการทูตและการค้า แต่ไทยก็มีเจ้าหน้าที่คอยเข้มงวด และดูแลอย่างใกล้ชิด ในสมัยรัชกาลที่ 2 อังกฤษได้ส่งนายจอห์น ครอว์เฟิร์ด เป็นทูตเข้ามาเจรจาเรื่องการค้ากับไทย พยายามให้ไทยยกเลิกการผูกขาดของพระคลังสินค้า ให้ไทยจัดระบบการเก็บภาษีขาเข้าและขาออกให้แน่นอน แต่ไม่สำเร็จ

  19. 2.ภาษีอากร รายได้ส่วนหนึ่งของประเทศที่นำมาใช้สำหรับปรับปรุงประเทศ นอกจากการค้าขายแล้ว ยังได้จากการเรียกเก็บภาษีอากรจากประชาชน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท 2.1 ภาษีอากรที่เก็บภายในประเทศ2.2 ภาษีอากรที่ได้จากภายนอกประเทศ

  20. การเรียกเก็บสินค้าของราษฎร โดยชักส่วนสินค้าที่ผ่านด่านทั้งทางบกและทางน้ำ ในอัตรา 10 หยิบ 1 จังกอบ เงิน หรือสิ่งของ ที่รัฐเรียกเก็บจากผลประโยชน์ ของราษฎรที่ได้จากการประกอบอาชีพ นอกจากอาชีพค้าขาย เช่น การทำนา เรียกว่า อากรค่านา การทำสวน เรียกว่า อากรสวนใหญ่ หรือ พลากร หรือ สมพัตสร การจับสัตว์น้ำ เรียกว่า อากรค่าน้ำ การเก็บไข่เต่าเก็บรังนก เรียกว่า อากรค่ารักษาเกาะ อากร เงินหรือสิ่งของที่ไพร่หลวงนำมาให้แก่ทางราชการทดแทนการเข้าเดือน โดยได้มาจากผลิตผลตามธรรมชาติที่หาได้ภายในท้องถิ่น เช่น ดีบุก พริกไทย มูลค้างคาว ส่วย ค่าธรรมเนียมที่ทางราชการเรียกเก็บเฉพาะรายบุคคล เนื่องจากได้รับการบริการจากราชการ เช่น ออกโฉนดที่ดินให้ ฤชา ภาษีอากรที่เก็บภายในประเทศ

  21. ภาษีอากรที่ได้จากภายนอกประเทศ ภาษีที่เก็บจากเรือสินค้าต่างประเทศ โดยคิดจากขนาดความกว้างของปากเรือหรือยานพาหนะที่บรรทุกสินค้าเข้ามา ภาษีเบิกร่อง หรือภาษีปากเรือ รัฐเรียกเก็บตามประเภทของสินค้า เช่น ข้าวสารหาบละ 1 สลึง น้ำตาลหาบละ 2 สลึง พอถึงสมัยรัชกาลที่ 3 รัฐเรียกเก็บภาษีขาออกต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มมากขึ้น เช่น เก็บภาษีพริกไทย ภาษีเกลือ ภาษีไม้แดง ภาษีน้ำมันมะพร้าว ภาษีฝ้าย ภาษีปอ ภาษีน้ำตาลทราย ฯลฯ ภาษีสินค้าออก

  22. 3. หน่วยงาน สินค้าผูกขาด สินค้าต้องห้าม3.1กรมพระคลังสินค้า ต่อมาเรียกว่า กรมท่า มีหน้าที่ติดต่อกับต่างประเทศ เก็บภาษีเข้าและภาษีออก ตรวจตราเรือสินค้าต่างประเทศ และเลือกซื้อสินค้าตามที่ราชการต้องการ ซึ่งอยู่ในความดูแลของเสนาบดีกรมท่าหรือโกษาธิบดี โดยจะส่งเจ้าหน้าที่ลงไปตรวจเรือสินค้าก่อน เรียกว่า การเหยียบหัวตะเภา3.2สินค้าผูกขาด คือ สินค้าที่ทางราชการต้องการและคิดว่ามีอันตรายหากพ่อค้าจะทำการติดต่อซื้อขายกันโดยตรง ได้แก่ อาวุธ กระสุนปืน ดังนั้นรัฐจึงผูกขาดการซื้อขายเสียเอง3.3สินค้าต้องห้าม คือ สินค้าที่หายากและมีราคาแพง ราษฎรต้องนำมาขายให้ทางราชการ เพื่อทางราชการจะได้นำไปขายให้พ่อค้าต่างประเทศ จะได้เป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่รัฐ สินค้าต้องห้าม ได้แก่ งาช้าง รังนก ฝาง กฤษณา ฯลฯ

  23. 4. เงินตรา สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ใช้เงินพดด้วงเหมือนอยุธยา แต่ประทับตราแตกต่างกันออกไป แล้วแต่ตราประจำรัชกาลนั้นๆ เช่น รัชกาลที่ 1 พ.ศ. 2325 - 2342ตราที่ประทับ ใช้ตราจักร 8 กลีบเป็นตราประจำแผ่นดิน ส่วนตราประจำรัชกาลเป็นตราบัวผัน (มหาอุณาโลม ) รัชกาลที่ 2พ.ศ. 2342 - 2367  ลักษณะของเงินพดด้วงในรัชกาลนี้คล้ายกับสมัยรัชกาลที่ 1 แต่เปลี่ยนตราประจำแผ่นดินเป็นรูปจักร 6 กลีบ และตราประจำรัชกาลเป็นตราครุฑ ซึ่งมี 2 แบบคือ ครุฑ อกสั้นและครุฑ อกยาว รัชกาลที่ 3 พ.ศ. 2367 - 2394เงินพดด้วงในรัชสมัยนี้ ใช้ตราจักรเป็นตราประจำแผ่นดิน ส่วนตราประจำรัชกาลคือตราปราสาท

  24. สภาพสังคมและการศึกษา สภาพสังคม โครงสร้างของสังคมไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นมีลักษณะคล้ายคลึงกับสังคมอยุธยา ถึงแม้ภายในสังคมจะไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะอย่างอินเดีย แต่ฐานะความเป็นอยู่ของคนก็แตกต่างกันอย่างมาก แต่ละคนจะสามารถเลื่อนฐานะของตนขึ้นได้ก็ต่อเมื่อได้รับความดีความชอบหรือมีความสามารถ เช่น คนสามัญจะมีโอกาสเลื่อนฐานะของตนจนกระทั่งเป็นถึงขุนนางได้ต้องได้รับการศึกษา รวมทั้งมีความสามารถอยู่ในตัวเองด้วย

  25. การแบ่งชนชั้นทางสังคมของคนแบ่งได้ ดังนี้1.1เจ้านายสูงสุด ได้แก่ พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์1.2ขุนนางและข้าราชการต่างๆ ที่มีศักดินาตั้งแต่ 400-10,000 ไร่ ซึ่งมีความเป็นอยู่ดี ฐานะร่ำรวย มีสิทธิพิเศษหลายอย่าง1.3ไพร่และสามัญชน ได้แก่ ชนส่วนใหญ่ของประเทศ 1.4 ทาส เป็นผู้ที่ไม่มีอิสระในตัวเอง แต่สภาพความเป็นอยู่ของทาสในเมืองไทยดีกว่าประเทศต่างๆ มาก ถ้าทาสทำความดีความชอบต่อบ้านเมือง ก็สามารถเลือกฐานะตนเองเป็นขุนนางได้ ส่วนขุนนางถ้าทำความผิดร้ายแรงก็อาจถูกลดฐานะลงเป็นทาสได้เช่นกันทาสในสังคมสมัยนั้น ได้แก่ ทาสเชลย ทาสในเรือนเบี้ย ทาสสินไถ่ ทาสได้มาแต่บิดามารดา ทาสที่เลี้ยงไว้เมื่อเกิดทุพภิกขภัย ทาสที่ช่วยมาจากทัณฑโทษ ทาสท่านให้

  26. การศึกษา ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ศูนย์กลางของการศึกษาที่สำคัญมีอยู่ 2 แห่ง คือ วังและวัด ขุนนางหรือผู้ดีมีตระกูลมักส่งบุตรหลานของตนเข้าไปฝึกอบรมตามวังและราชสำนัก ถ้าเป็นผู้ชายมักฝากตัวเข้าเป็นมหาดเล็ก เพื่อจะได้ศึกษาวิชาการต่างๆ การใช้อาวุธ การใช้พาหนะในยามสงคราม ผู้หญิงฝึกอบรมวิชาแม่บ้านแม่เรือนการเย็บปักถักร้อย สำหรับการศึกษาในวัดสามัญชนมักนำลูกหลานไปฝากตัวไว้ กับพระตามวัด เป็นลูกศิษย์สำหรับใช้สอย หรือบวชอยู่กับพระที่วัด พระจะได้สอนให้หัดเขียนอ่านวิชาหนังสือ วิชาด้านพระศาสนา เช่น ภาษาบาลี สันสกฤต และขอม และจะได้รู้จักขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ

  27. การเรียนที่สำคัญอีกแบบหนึ่ง คือ การศึกษาวิชาชีพตามบรรพบุรุษสืบตระกูลถ่ายทอดกันต่อๆ มา เช่น แพทย์ นักกฎหมาย ครูอาจารย์ หรือการสืบทอดอาชีพกันเป็นกลุ่มตามอาชีพ ของท้องถิ่น นั้น ๆ เช่น ช่างถม ช่างทอง ช่างปั้น ช่างแกะสลัก ฯลฯ

  28. ศาสนา รัชกาลที่ 1 จึงมีพระราชดำริให้ทำการสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้นที่วัดมหาธาตุ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ชำระพระไตรปิฎกตั้งแต่ครั้งกรุงเก่าที่กระจัดกระจาย ให้เป็นระเบียบหมวดหมู่ แล้วจารลงบนใบลาน คัดลอกพระไตรปิฎกเป็นฉบับหลวงขึ้น ปิดทองทั้งปกหน้าปกหลัง และด้านข้างเรียกว่า “ฉบับทองหรือทองใหญ่ หรือฉบับทองทึบ”และเชิญประดิษฐานไว้ในตู้ประดับมุก ในหอพระมณเทียรธรรมกลางสระ ในวัดพระศรีรัตนศาสดารามในพระบรมมหาราชวัง

  29. สมัยรัชกาลที่ 2 ทรงส่งสมณทูตไปยังลังกาเพื่อศึกษาความเป็นของศาสนาในลังกาและได้นำหน่อพระศรีมหาโพธิมาจากลังกาสมัยรัชกาลที่ 3 ทรงให้ตรวจสอบพระไตรปิฎกทั้งจากลังกาและมอญ และให้จารึกอย่างสวยงาม สมัยนี้ได้รับยกย่องว่ามีพระไตรปิฎกที่สวยงามและถูกต้องที่มากที่สุด

  30. การสังคายนาพระธรรมวินัย รัชกาลที่ 1 ทรงออกกฎหมายสำหรับพระสงฆ์หลายฉบับ เพราะพระสงฆ์สมัยนั้นหย่อนพระธรรมวินัยไปมาก ไม่สนใจเล่าเรียนพระไตรปิฎก การเทศน์ พระสงฆ์เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของฆราวาส จึงจำเป็นเข้าต้องกำหนดโทษขั้นรุนแรง สมัยรัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้สำรวจความประพฤติของสงฆ์ ปรากฏว่าพระสงฆ์ถูกจับสึกและหนีเข้าป่าเป็นอันมาก

  31. การตั้งธรรมยุติกนิกายการตั้งธรรมยุติกนิกาย ในสมัยรัชกาลที่ 3 สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฏทรงผนวชอยู่ ณ วัดมหาธาตุทรงสนพระทัยศึกษาพระไตรปิฎก พระพุทธวจนะ และพระธรรมวินัยและทรงเห็นว่า พระภิกษุสงฆ์ในสมัยนั้นไม่ได้เคร่งครัดในพระธรรมวินัย จึงต้องการจะทำการสังคายนาเสียใหม่ พระองค์ได้ทรงพบพระภิกษุรามัญผู้หนึ่ง ชื่อ ซาย เคร่งครัดในพระธรรมวินัยมาก พระองค์จึงทรงถือเป็นแบบอย่างและทรงปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ข้อปฏิบัติของพระองค์จึงผิดไปจากพระสงฆ์รูปอื่นๆ การห่มผ้าก็เป็นแบบรามัญ พระองค์จึงย้ายที่ประทับมาอยู่ ณ วัดสมอราย (วัดราชาธิวาส) ทรงให้นามคณะสงฆ์ของพระองค์ว่า “คณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย” ส่วนคณะสงฆ์เดิมเรียกตนเองว่า “คณะสงฆ์มหานิกาย”หลักธรรมของคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ถือว่าเป็นหลักธรรมถูกต้อง เชื่อในสิ่งที่มีเหตุผลมากขึ้น ทำให้ใกล้ชิดและได้รับความเลื่อมใสจากประชาชนมากขึ้น ที่สำคัญคือ มีการเปลี่ยนแปลงการเทศน์ จากภาษาบาลีเป็นภาษาไทย ทำให้เข้าใจง่าย

  32. การสร้างและปฏิสังขรณ์วัด 1)วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นในเขตพระบรมมหาราชวังชั้นนอก เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ให้มีลักษณะคล้ายคลึงกับวัดพระศรีสรรเพชญสมัยอยุธยา และวัดมหาธาตุสมัยกรุงสุโขทัย เป็นที่ประดิษฐานแก้วมรกต หรือพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร วัดนี้จึงได้ชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า “วัดพระแก้ว”

  33. 2) วัดสุทัศนเทพวราราม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดขนาดใหญ่เช่นเดียวกับวัดพนัญเชิงสมัยกรุงศรีอยุธยา บริเวณกำแพงพระนครตรงใจกลางเมืองกรุงเทพฯ เป็นที่ประดิษฐานของพระศรีศากยมุนี หรือพระโตหล่อด้วยโลหะ ซึ่งอัญเชิญมาจากวิหารหลวงวัดมหาธาตุ สุโขทัย วันนี้ได้ชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า “วัดพระโต”

  34. 3) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้ปฏิวังขรณ์ขึ้นมาใหม่จากเดิมชื่อว่า วัดโพธาราม พระราชทานนามว่า “วัดพระเชติพนวิมลมังคลาวาส ” ต่อมาเปลี่ยนเป็น วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (สมัยรัชกาลที่ 4) เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่จากวัดพระศรีสรรเพชญ กรุงศรีอยุธยา และพระพุทธสาวกปฏิมากร วัดคูหาสวรรค์ กรุงธนบุรี ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่และโปรดเกล้าฯ ให้ประชุมนักปราชญ์ ราชบัณฑิต และช่างต่างๆให้ช่วยกันชำระตำราต่างๆ เช่น วิชาแพทย์โบราณ ยาแก้โรคต่างๆ ตำราหมอนวด กวีนิพนธ์ต่างๆ โดยจารึกไว้บนแผ่นศิลาตามเสาและผนังรายรอบบริเวณวัด วัดนี้จึงจัดว่าเป็น “วิทยาลัยแห่งแรกในประเทศไทย”

  35. 4) วัดอรุณราชวราราม เป็นวัดโบราณสร้างแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เดิมเรียกว่า วัดมะกอก แล้วเปลี่ยนเป็นวัดแจ้งในสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 1 สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิสรสุนทร (รัชกาลที่ 2) ได้ทรงสร้างพระอุโบสถใหม่ เมื่อขึ้นครองราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามวัดว่า วัดอรุณราชธาราม ภายหลังเปลี่ยนเป็น วัดอรุณราชวราราม วัดนี้มีพระปรางค์องค์ใหญ่ที่เป็นปูชนียสถานที่สำคัญและงดงามมาก

  36. ขนบธรรมเนียมประเพณี สมัยต้นรัตนโกสินทร์ยึดตามแบบอยุธยา ที่สำคัญได้แก่  2.1ขนบธรรมเนียมประเพณีเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีโสกันต์ (โกนจุก) พระราชพิธีพระเมรุมาศ (การเผาพระบรมศพ) พระราชพิธีฉัตรมงคล พระราชพิธีสมโภชช้างเผือก ฯลฯ   2.2ขนบธรรมเนียมประเพณีเกี่ยวกับพราหมณ์ เช่น พิธีการโล้ชิงช้า การสร้างโบสถ์พราหมณ์ ฯลฯ

  37. 2.3 ขนบธรรมเนียมประเพณีเกี่ยวบ้านเมือง เช่น พระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา พระราชพิธีอาพาธพินาศ พระราชพิธีพืชมงคล ฯลฯ            2.4 ขนบธรรมเนียมประเพณีเกี่ยวกับชาวบ้าน เช่น การเล่นเพลงสักวา พิธีการทำขวัญนาค การแต่งงาน การเผาศพ การโกนจุก พิธีตรุษสงกรานต์ สารทไทย          2.5 ขนบธรรมเนียมประเพณีเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เช่น พิธีวิสาขบูชา อาสาฬหบูชา มาฆบูชา เข้าพรรษา ออกพรรษา การบวชนาค เทศน์มหาชาติ สมโภชพระแก้วมรกต ฯลฯ

  38. พระราชพิธีและขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆที่สำคัญๆ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ครั้นมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ได้รับการฟื้นฟูหลายพิธี เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีโสกันต์ พระราชพิธีสมโภชช้างเผือก พระราชพิธีสมโภชพระแก้วมรกต การเล่นสักวา พระราชพิธีตรียัมปวาย(โล้ชิงช้า) พระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินทอดผ้าพระกฐิน โดยกระบวนพยุหยาตรา ทางสถลมารคและชลมารค พระราชพิธีอาพาธพินาศ พระราชพิธีวันวิสาขบูชา ฯลฯ พระราชพิธีดั้งเดิมเก่าแก่ของไทยนี้แสดงให้เห็นถึงอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรือง ความสามัคคีกลมเกลียวของคนในชาติ รวมทั้งความมั่นคงเป็นปึกแผ่นมาช้านานของชาติไทย

  39. วรรณกรรมและศิลปกรรม 1. ด้านวรรณกรรม สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ราชสำนักจัดว่าเป็นศูนย์กลางของวรรณกรรมและเป็นที่ชุมนุมของบรรดากวีทั้งหลาย ซึ่งมีทั้งองค์พระมหากษัตริย์ เ จ้านาย และบุคคลธรรมดา วรรณคดีที่สำคัญในสมัยรัชกาลที่ 1 ได้แก่ รามเกียรติ์ ราชาธิราช และสามก๊ก ในรัชกาลที่ 2 ทรงนิพนธ์บทละครไว้หลายเรื่อง แต่ที่ได้รับการยกย่องมากที่สุด คือ บทละครเรื่องอิเหนา ส่วนกวีเอกสมัยนี้ คือ สุนทรภู่ ซึ่งมีผลงานชั้นเยี่ยมหลายประเภทด้วยกัน มีทั้งบทละคร เสภา นิราศ บทเห่ และกลอน เช่น เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน นิราศภูเขาทอง กลอนสุภาษิตสอนหญิง ฯลฯ

  40. 2. ด้านศิลปกรรม ศิลปะแขนงต่างๆ ได้รับการฟื้นฟูอย่างจริงจังจนกลับเจริญรุ่งเรือง เหมือนสมัยกรุงศรีอยุธยา สถาปัตยกรรมที่สร้างอย่างประณีตงดงาม ทรงคุณค่ายิ่งของชาติ ได้แก่ พระราบรมมหาราชวัง วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามวัดอรุณราชวราราม และวัดราชโอรสาราม ซึ่งทั้ง 3 วัดหลังนี้เป็นประจำรัชกาลที่ 1, 2,3 ตามลำดับ นอกจากนี้แล้วช่างสิบหมู่ยังร่วมกันสร้างผลงานไว้มากมาย เช่น เครื่องราชูปโภคขององค์พระมหากษัตริย์ เครื่องราชกกุธภัณฑ์ เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ ตู้พระไตรปิฎกลายรดน้ำ และเครื่องถ้วยชามเบญจรงค์

  41. การต่างประเทศสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น

  42. การป้องกันเอกราชของประเทศ ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไทยทำสงครามกับพม่าทั้งหมด 10 ครั้ง ในสมัยรัชกาลที่ 1 นี้มีการทำสงคราม 7 ครั้ง ในสมัยรัชกาลที่ 2 1 ครั้ง สมัยรัชกาลที่ 3 1 ครั้ง และในสมัยรัชกาลที่ 4 1 ครั้ง แต่ส่วนใหญ่ของสงครามในระยะหลังเป็นสงครามย่อยๆ เนื่องจากกรณีพิพาทกันแถบชายแดนระหว่างประเทศ ครั้งสำคัญที่สุดเกิดในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช คือ ศึกเก้าทัพ เป็นสงครามที่ไทยต้องรับศึกหนัก เพราะพม่าได้ใช้กำลังเข้าตีไทยจากทุกด้านในเวลาเดียวกัน

  43. สงครามเก้าทัพนับเป็นสงครามครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาติไทยที่เกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกมหาราช เมื่อพระเจ้าปดุงกษัตริย์พม่ายกทัพใหญ่ถึง ๙ ทัพ จำนวนไพร่พล ๑๔๔,๐๐๐ คน เข้ามาตีไทย ๕ ทิศทาง ในขณะที่ไทยซึ่งมีกำลังเพียงครึ่งหนึ่งของพม่า จัดทัพออกไปรับศึก ๔ ทัพ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสีหนาทได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นแม่ทัพใหญ่ ยกไปตั้งรับที่ทุ่งลาดหญ้า จังหวัดกาญจนบุรี สกัดทัพหลวงของพม่าที่ทุ่มกำลังถึง ๕ ทัพ บุกเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ ด้วยพระปรีชาสามารถของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสีหนาทที่ทรงบัญชาการทัพอย่างกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ประกอบกับการเตรียมพลที่ดี มีแผนการทัพที่รัดกุม การใช้สงครามจิตวิทยาทำลายขวัญข้าศึก เช่น การลวงให้เห็นว่ามีการเพิ่มเติมกำลังเข้ามาเสมอ ๆ การนำท่อนไม้มาทำกระสุนปืนใหญ่ เป็นต้นรวมทั้งมีการรบแบบกองโจรของพระองค์เจ้าขุนเณรที่ประสบความสำเร็จเป็นอันมาก ทำให้ไทยประสบชัยชนะอย่างงดงาม ผลสำเร็จของสงครามเก้าทัพยังมีความสำคัญต่ออธิปไตยของชาติเป็นอย่างยิ่งซึ่งหากไทยไม่สามารถเอาชนะข้าศึกในสงครามครั้งนั้นได้ อาจต้องถูกผนวกเป็นอาณานิคมของประเทศมหาอำนาจทางตะวันตกในเวลาต่อมา สงครามเก้าทัพจึงเป็นการทำสงครามเพื่อรักษาเอกราชของชาติไทยโดยแท้ "

  44. ในศึกเก้าทัพนี้ ทำให้เกิดวีรสตรี 2 ท่าน คือ คุณหญิงจัน ภรรยาเจ้าเมืองถลาง และคุณมุกน้องสาว ได้แสดงความกล้าหาญ รวบรวมผู้คนป้องกันเมืองถลางไว้ได้ โดยใช้อุบายหลอกล่อทหารพม่า เสร็จศึกพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้คุณหญิงจัน เป็นท้าวเทพกระษัตรี คุณมุกเป็นท้าวศรีสุนทร

  45. ฝรั่งชาติแรกที่เข้ามาติดต่อกับไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น คือชาวโปรตุเกส ชื่อ อันโตนิโอ เดอ วิเสนท์ (Antonio de Veesent) คนทั่วไป เรียกว่า“องตนวีเสน” เป็นอัญเชิญพระราชสาสน์จากกรุงลิสบอน มายังประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้การต้อนรับอย่างใหญ่โต และทรงให้องตนวีเสนเข้าเฝ้าด้วย และทางไทยได้มีพระราชสาสน์ตอบมอบให้องตนวีเสนเป็นผู้อัญเชิญกลับไป โปรตุเกส

  46. ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พ.ศ.2361 ได้ส่งเรือชื่อ มาลาพระนคร ออกไปค้าขายกับโปรตุเกสที่เมืองมาเก๊า ในการติดต่อครั้งนี้ไทยได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ขากลับข้าหลวงโปรตุเกสที่มาเก๊าได้ส่ง คาร์ลอส มานูแอล ซิลเวียรา (Carlos Manuel Silviera) เป็นทูตอัญเชิญพระราชสาส์นเข้ามาขอเจริญสัมพันธไมตรีกับไทย พร้อมทั้งส่งเครื่องราชบรรณาการมาให้มากมาย โดยให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกเป็นอย่างดี ในขณะนั้นไทยมีความประสงค์จะซื้ออาวุธปืน ซึ่งโปรตุเกสก็ยินยอมจัดหาซื้อปืนคาบศิลาให้ไทยถึง 400 กระบอก รัชกาลที่ 2 โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้คาร์ลอส เดอ มานูแอล ซิลเวียรา รับราชการเป็นขุนนาง พระราชทานตำแหน่งให้เป็น หลวงอภัยพานิช

  47. อังกฤษ สมัยรัชกาลที่ 1 พระยาไทรบุรี คือ อับดุลละ โทกุรัมซะ ตกลงเซ็นสัญญาให้อังกฤษเช่าเกาะหมาก (ปีนัง) และสมารังไพร ซึ่งเป็นดินแดนที่อยู่ตรงข้ามเกาะหมากปีละ 1,000 เหรียญ ซึ่งดินแดนเหล่านี้อยู่ในความดูแลของไทย เหตุที่พระยาไทรบุรีให้อังกฤษเช่าดินแดนทั้ง 2 นี้ ก็เพื่อหวังพึ่งอังกฤษให้พ้นจากอิทธิพลของไทย แต่อังกฤษก็พยายามผูกไมตรีกับไทย โดยให้ ฟรานซิส ไลท์ หรือกัปตันไลท์ (Francis Light)นำดาบประดับพลอยกับปิ่นด้ามเงินมาทูลเกล้าฯ ถวายรัชกาลที่ 1 พระองค์จึงทรงพระราชทานบรรดาศักดิ์ว่า “พระยาราชกปิตัน”ซึ่งเป็นชาวยุโรปคนแรกในสมัยรัตนโกสินทร์ที่เข้ารับราชการเป็นขุนนาง และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์

  48. สมัยรัชกาลที่ 2 พ.ศ.2365 มาร์ควิส เฮสติงส์ (Marquis Hestings) ผู้สำเร็จราชการอังกฤษที่อินเดีย ได้ส่งนายจอห์น ครอว์เฟิร์ด (John Craeford)หรือที่คนไทยเรียกว่า “การะฟัด”นำเครื่องราชบรรณาการเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับไทย พร้อมมาขอเจรจาเพื่อทำสนธิสัญญากับไทยโดยมุ่งหวังจะขยายตลาดการค้าเข้ามาในไทย ให้ไทยยอมรับการเช่าเกาะหมากและสมารังไพรของอังกฤษ ขอให้ไทยยกเลิกและลดหย่อนการเก็บภาษีบางอย่าง และต้องการมาศึกษาเรื่องราวความเป็นมาของบ้านเมืองไทยให้ละเอียด เพื่อจะได้ทำแผนที่ และทำรายงานเกี่ยวกับพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ต่างๆ ประชากร สภาพความเป็นอยู่และความเป็นไปของไทยต่อรัฐบาลอังกฤษ แต่ปรากฏว่าการเจรจาไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะ

  49. ทั้ง 2 ฝ่ายไม่เข้าใจภาษากันดีพอ ต้องใช้ล่ามแปลกันหลายต่อ ทำให้ความหมายคลาดเคลื่อนไป ล่ามของทั้งสองฝ่ายเป็นพวกคนชั้นต่ำพวกกะลาสีเรือ ทำให้ขุนนางไทยและครอว์เฟิร์ดไม่เข้าใจกันประเพณีบางอย่างของไทยทำให้ฝรั่งดูถูกเหยียดหยาม เช่น ขุนนางออกรับแขกเมืองไม่ยอมสวมเสื้อ ครอว์เฟิร์ดไม่พอใจที่ไทยไม่ยอมอ่อนน้อมต่ออังกฤษเหมือนพวกชวาและมลายูที่เคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ส่วนไทยไม่พอใจที่อังกฤษแสดงท่าทางเย่อหยิ่งข่มขู่ดูหมิ่นไทย ไม่เหมือนกับจีนที่ปฏิบัติตนอ่อนน้อมยินยอมทำตามระเบียบต่างๆ อย่างดีไทยไม่ยอมตกลงปัญหาดินแดนไทรบุรีที่อังกฤษขอร้องคอรว์ เฟิร์ดทำการสำรวจระดับน้ำตามปากอ่าวไทยเพื่อทำแผนที่ ทำให้ไทยไม่พอใจ

  50. สมัยรัชกาลที่ 3 อังกฤษทำสงครามกับพม่า และได้ขอร้องให้ไทยยกกองทัพไปช่วยปราบพม่า แต่เกิดเหตุผิดใจกันไทยจึงยกทัพกลับหมด ต่อมา ลอร์ดแอมเฮิร์สต์ (Lord Amgerst) ผู้สำเร็จราชการอังกฤษประจำอินเดียได้ ส่งร้อยเอก เฮนรี เบอร์นี (Henry Berney)เป็นทูตเข้ามาเจรจาขอทำสนธิสัญญากับไทย โดยมีจุดมุ่งหมาย ดังนี้