รัชกาลที่ 6 คือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันเสาร์ เดือนยี่ ขึ้น 2 ค่ำ ปีมะโรง ตรงกับวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2423 เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 29 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสวยราชสมบัติเมื่อวันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม ปีจอ พุทธศักราช 2453 และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ.2468 รวมพระชนมพรรษา 45 พรรษา ครองราชสมบัติรวม 15 ปี Advertisment พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชอัจฉริยภาพและทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจในหลายสาขา ทั้งด้านการเมืองการปกครอง การทหาร การศึกษา การสาธารณสุข การต่างประเทศ และที่สำคัญที่สุดคือด้านวรรณกรรมและอักษรศาสตร์ ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทร้อยแก้วและร้อยกรองไว้นับพันเรื่อง กระทั่งทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญาเมื่อเสด็จสวรรคตแล้วว่า “สมเด็จพระมหาธีราชเจ้า” (พระมหากษัตริย์ผู้เป็นจอมปราชญ์) พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ในพระราชวงศ์จักรีพระองค์แรกที่ไม่มีวัดประจำรัชกาล แต่ได้ทรงมีการสถาปนาโรงเรียนมหาดเล็กหลวง หรือวชิราวุธวิทยาลัยในปัจจุบันขึ้นแทน ด้วยทรงพระราชดำริว่าพระอารามนั้นมีมากแล้ว และการสร้างอารามในสมัยก่อนนั้นก็เพื่อบำรุงการศึกษาของเยาวชนของชาติ จึงทรงพระราชดำริให้สร้างโรงเรียนขึ้นแทน พ.ศ.2524 องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้ยกย่องพระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่าทรงเป็นบุคคลสำคัญของโลก ผู้มีผลงานดีเด่นด้านวัฒนธรรมในฐานะที่ทรงเป็นนักปราชญ์ นักประพันธ์ กวี และนักแต่งบทละครไว้เป็นจำนวนมาก Advertisement พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวกอปรด้วยพระราชกรณียกิจหลายด้าน อาทิ ด้านการปกครอง โปรดให้จัดตั้งกระทรวงใหม่ คือ กระทรวง สำหรับด้านกฎหมาย ทรงมีพระราชกรณียกิจที่สำคัญในสองส่วน ได้แก่ การตรากฎหมายและการส่งเสริมวิชาชีพกฎหมาย การตรากฎหมาย Advertisement รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการตรากฎหมายหลายฉบับที่สำคัญขอยกมา 3 ฉบับ ได้แก่ 1.พระราชบัญญัติขนานนามสกุล พุทธศักราช 2456 นับแต่โบราณมาจนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) คนไทยเราไม่เคยมีนามสกุลใช้มาก่อน มีเพียงชื่อเรียกเดี่ยวๆ แถมแต่ละคนยังมีชื่อเรียกซ้ำกันอีกด้วย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) จึงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา “พระราชบัญญัติขนานนามสกุล พ.ศ.2456” ขึ้น โดยออกประกาศในวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ.2455 ด้วยทรงดำริเห็นว่าคนไทยทุกคนควรจะมีทั้งชื่อตัวและชื่อสกุล เพื่อช่วยกำหนดตัวบุคคลให้แน่นอนกว่าการเรียกชื่อเพียงอย่างเดียว และทรงวางหลักสำคัญในการสืบสกุลไว้โดยถือเอาสายสัมพันธ์ทางบิดาผู้ให้กำเนิดแต่ฝ่ายเดียว นอกจากการจัดตั้งนามสกุลจะเป็นแนวทางหนึ่งของการจัดระเบียบสังคมตามโลกตะวันตกแล้ว ยังเป็นเครื่องเตือนใจให้เจ้าของสกุลประพฤติแต่สิ่งดีงาม เพื่อรักษาเกียรติของสกุล ตลอดจนเป็นหลักของการสืบเชื้อสาย และก่อให้เกิดความเป็นหมู่คณะด้วย กฎหมายฉบับนี้มีการประกาศและบังคับใช้เป็นกฎหมายตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2456 เป็นต้นไป แต่มีเหตุให้เลื่อนการบังคับใช้ออกไปอีก 2 คราว เพื่ออำนวยความสะดวกแก่เจ้าพนักงานผู้ทำทะเบียนและผู้ที่เลือกจัดตั้งนามสกุล โดย “พระราชบัญญัติขนานนามสกุล พ.ศ.2456” ได้บังคับใช้เป็นกฎหมายโดยสมบูรณ์เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2458 เมื่อประกาศใช้พระราชบัญญัติขนานนามสกุลแล้ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานนามสกุลขึ้นเป็นครั้งแรก โดยทรงศึกษาถึงความเกี่ยวข้องซึ่งกันและกันของแต่ละสกุล โดยละเอียด หากทรงพบว่าบรรพบุรุษได้ทำคุณงามความดี มีวิทยฐานะและอาชีพใด ก็จะทรงแปลงคำมาจัดสรรให้ได้มงคลนามที่ไพเราะเหมาะสม จากต้นกำเนิดกฎหมายนามสกุลในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้พัฒนาถึงพระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ.2505 ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์การใช้ชื่อบุคคลไว้ดังนี้ (1) ต้องไม่พ้องหรือมุ่งหมายให้คล้ายกับพระปรมาภิไธย พระนามของพระราชินี 2.พระราชบัญญัติประถมศึกษา พระพุทธศักราช 2464 กฎหมายฉบับนี้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2464 เพื่อวางระเบียบการจัดการประถมศึกษาขึ้นเป็นครั้งแรก ครอบคลุมโรงเรียนประถมศึกษาทั้งโรงเรียนรัฐบาล โรงเรียนประชาบาล และโรงเรียนราษฎร์ คำว่า “โรงเรียนประถมศึกษา” หมายความทั้งโรงเรียนรัฐบาล โรงเรียนประชาบาล และโรงเรียนราษฎร์ คำว่า “โรงเรียนรัฐบาล” หมายความว่าโรงเรียนประถมศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการตั้งและดำรงอยู่ด้วยเงินในงบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการทั้งสิ้น คำว่า “โรงเรียนประชาบาล” หมายความว่าโรงเรียนประถมศึกษาที่ประชาชนอำเภอหนึ่งหรือตำบลหนึ่งตั้งและดำรงอยู่ด้วยทุนทรัพย์ของประชาชนที่ว่านั้น อยู่ในความดูแลของกระทรวงศึกษาธิการในหมู่บ้านหนึ่งหมู่บ้านเดียวกัน หรือตำบลหนึ่งตำบลเดียวกัน จะตั้งและดำรงโรงเรียนประชาบาลอยู่มากกว่าโรงเรียนหนึ่งก็ได้ ถ้าเป็นการจำเป็น คำว่า “โรงเรียนราษฎร์” หมายความว่าโรงเรียนประถมศึกษาที่บุคคลคนเดียวหรือหลายคนรวมกันตั้งและดำรงอยู่ตามพระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์ มาตรา 5 บัญญัติให้เด็กทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 7 ปีบริบูรณ์ต้องเรียนอยู่ในโรงเรียนประถมศึกษาจนอายุได้ 14 ปีบริบูรณ์ เว้นแต่มีเหตุจำเป็นในบางพื้นที่ มาตรา 7 เมื่อเด็กคนใดอายุได้ 14 ปีบริบูรณ์ ยังอ่านและเขียนภาษาไทยไม่ได้พอสมควร ให้ขยายการบังคับออกไปจนกว่าเด็กคนนั้นจะอ่านและเขียนภาษาไทยได้ ยกเว้นเด็กที่บกพร่องทางสมอง มาตรา 5 และมาตรา 7 คือ การศึกษาภาคบังคับที่ปรากฏในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ที่กำหนดไว้ 9 ปี นั่นเอง 3.กฎมณเทียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงพระทัยเกี่ยวกับเหตุยุ่งยากแก่งแย่งกันขึ้นในเมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตลง การแก่งแย่งช่วงชิงพระราชอำนาจกันย่อมเป็นโอกาสให้บุคคลผู้มิได้ตั้งอยู่ในสัมมาปฏิบัติคิดขัดขวางต่อทางเจริญแห่งราชอาณาจักร ทั้งเป็นโอกาสให้ศัตรูทั้งภายนอกภายในได้ใจคิดประทุษร้ายต่อราชตระกูล และอิสรภาพแห่งประเทศสยาม นำความหายนะมาสู่ชาติไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระอนุสรคำนึงถึงข้อความเหล่านี้ จึงมีพระราชประสงค์ที่จะให้มีนิติธรรมกำหนดการสืบราชสันตติวงศ์ขึ้นไว้เพื่อจะได้ตัดความยุ่งยากแก่งแย่งกันภายในพระราชวงศ์ในเมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทขึ้นไว้โดยแน่นอน ดังกล่าวมาแล้วข้างบนนี้ อนึ่ง ทรงพระราชดำริว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงสยามควรต้องทรงเป็นผู้ที่อาณาประชาชนมีความเคารพนับถือ และไว้วางใจได้โดยบริบูรณ์ทุกสถาน ฉะนั้น จึงทรงพระราชดำริว่า พระบรมวงศานุวงศ์พระองค์ใดมีข้อบกพร่องสำคัญบางอย่างในพระองค์แล้ว ก็ไม่ควรให้อยู่ในเกณฑ์สืบราชสันตติวงศ์ เพราะอาจจะเป็นเหตุให้บังเกิดความไม่เรียบร้อยหรือเดือดร้อนแก่อาณาประชาชนได้ หรืออาจถึงแก่นำความหายนะมาสู่ราชตระกูลและราชอาณาจักรได้ สาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ ได้แก่ การตั้งและถอดถอนพระรัชทายาท การกำหนดลำดับชั้นผู้ควรสืบสันตติวงศ์ ผู้ที่ต้องยกเว้นจากการสืบสันตติวงศ์ กรณีที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงพระเยาว์ การแก้กฎมณเทียรบาล และผู้ทำหน้าที่รักษาการกฎมณเทียรบาล อนึ่ง จากกฎหมายสำคัญ 3 ฉบับ ที่กล่าวมานั้น มีข้อสังเกตเกี่ยวกับปีที่นำมาใช้ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ยกเลิกการใช้รัตนโกสินทร์ศักราช (ร.ศ.) มาเป็น พุทธศักราช และพระพุทธศักราช เพื่อให้สอดคล้องกับพระพุทธศาสนาที่คนไทยส่วนใหญ่นับถือ การส่งเสริมวิชาชีพกฎหมาย คือการกำหนดมาตรฐานหรือหลักเกณฑ์ในการประกอบวิชาชีพด้านกฎหมาย อาทิ ผู้พิพากษา พนักงานอัยการ ตำรวจ และนักกฎหมายอื่นๆ ซึ่งมีองค์กรหลักในการส่งเสริมวิชาชีพกฎหมาย ได้แก่ เนติบัณฑิตยสภา เนติบัณฑิตยสภามีกำเนิดสืบเนื่องมาจากโรงเรียนกฎหมาย เนื่องมาแต่พระบรมราโชบายแห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประสงค์ให้ราชการยุติธรรมเป็นไปด้วยดีตามความต้องการของประเทศ โดยได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกาศตั้งกระทรวงยุติธรรมขึ้นเมื่อวันที่ 24 มีนาคม ร.ศ.110 (พ.ศ.2434) พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ (กรมพระสวัสดิวัตนวิศิษฎ์) เป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมพระองค์แรก ประมาณ 2 ปีต่อมาก็กราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งเพื่อไปราชการทางยุโรป จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร เป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม ในปี ร.ศ.113 (พ.ศ. 2437) แต่พระองค์ประชวรบ่อยๆ จึงทรงลาออกจากตำแหน่งหลังจากนั้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒน์ศักดิ์ (กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์) เป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม เมื่อวันที่ 3 มีนาคม ร.ศ.114 (พ.ศ.2439) เมื่อจัดระเบียบงานศาลให้ดีขึ้นแล้ว พระองค์ได้สนองพระราชประสงค์ของพระราชบิดา โดยทรงจัดตั้งโรงเรียนกฎหมายขึ้นเมื่อ ร.ศ.116 (พ.ศ.2440) และมีการสอบไล่เป็นเนติบัณฑิตรุ่นแรกในปีเดียวกันนั้นเอง ประมาณเดือนกรกฎาคมหรือสิงหาคม พ.ศ.2453 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมงกุฎราชกุมาร เป็นผู้กำกับดูแลราชการในศาลหลวงและกระทรวงยุติธรรม แต่ทรงกำกับดูแลได้เพียง 2 หรือ 3 เดือน ก็มีเหตุโศกเศร้าอันยิ่งใหญ่แก่ชาติไทย เพราะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประชวรพระโรคธาตุพิการมาตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม ร.ศ.129 ถึงวันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม ร.ศ.129 เวลา 2 ยาว 45 นาที เสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ผู้เป็นรัชทายาท สืบพระบรมราชสันตติวงศ์ดำรงสิริราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำให้พระองค์ต้องปลดราชการศาลและกระทรวงยุติธรรมไปรับหน้าที่ราชภาระ ต้องพรากจากผู้พิพากษาตุลาการไปในเวลากำลังจะได้ทอดสนิทและคิดจัดวางการลงเป็นหลักฐาน เวลาที่ได้รับราชการนั้นน้อยเดือน และยังผูกใจเป็นห่วงใยอยู่เนืองๆ ด้วยเห็นว่าราชการยุติธรรมเป็นพนักงานสำคัญอันหนึ่ง ซึ่งจะบำรุงรักษาบ้านเมืองให้รุ่งเรืองสมบูรณ์ เมื่อโรงเรียนกฎหมายเปิดสอนมาได้ 17 ปี มีเนติบัณฑิตมากขึ้น และแยกย้ายประกอบวิชาชีพทางกฎหมาย คือ ผู้พิพากษา อัยการ ทนายความ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระราชดำริจัดการตั้งเนติบัณฑิตยสภา เพื่อประสงค์บำรุงการศึกษาวิชากฎหมาย ทั้งการรักษาความประพฤติของทนายความให้ตั้งอยู่ในสัจธรรม ให้สาธารณชนได้อาศัยทนายความซึ่งมีความสามารถและสมควรจะเชื่อถือได้ดียิ่งขึ้น นอกจากการส่งเสริมวิชาชีพกฎหมายด้วยการกำกับดูแลความประพฤติของกฎหมายแล้ว ยังมีมาตรการสร้างความรู้ด้วยการกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะสอบผู้ช่วยผู้พิพากษาและพนักงานอัยการต้องสอบได้เป็นเนติบัณฑิตทางกฎหมาย ซึ่งได้พัฒนาการจากการสอบไล่เป็นเนติบัณฑิตรุ่นแรกมาสู่รุ่นปัจจุบัน สรุปภาพรวม พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ทรงมีคุณูปการต่อวงการกฎหมายไทย อย่างอเนกอนันต์ จึงมีการสร้างพระบรมราชานุสรณ์ เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณไว้หลายแห่ง ทั่วประเทศ เช่น สวนลุมพินี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย และเนติบัณฑิตยสภา เป็นต้น โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 โปรดให้ใช้วันที่ 25 พฤศจิกายน เป็นวัน ร่วมรำลึก แต่มีหลักฐานปรากฏการเสด็จสวรรคตของรัชกาลที่ 6 คือ 1.45 นาฬิกา ของวันที่ 26 พฤศจิกายน 2468 ในการนี้เนติบัณฑิตยสภาขอเชิญนักกฎหมายร่วมรำลึก วางพวงมาลาหน้าพระรูปพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ ที่ทำการเนติบัณฑิตยสภา เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร ระหว่างเวลา 07.00-15.00 น. วันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 พร้อมกันนี้ขอเชิญชมนิทรรศการที่ชั้น 1 ของอาคารเนติบัณฑิตยสภาด้วย |