ในต่างประเทศแทบไม่มีฝรั่งขายของผ่าน Facebook แต่เขาใช้ Facebook เป็นทางผ่านในการส่ง Traffic เข้าเว็บไซต์ซึ่งวางระบบ E-Commerce อันซับซ้อนเพื่อที่จะให้ผู้คนเหล่านั้นไม่หลุดมือไปไหน Show
ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้ง Conversion pixels เพื่อนำไปทำโฆษณาแบบ Re-target ทั้งสำหรับ Facebook ads และ Google AdWord มีการเก็บรายชื่อหรือ List-building เพื่อส่งอีเมล์หรือโทรศัพท์ไปขายของแก่ผู้มุ่งหวัง รวมไปถึงทำระบบตะกร้าหรือ Online shopping cart ที่สร้างประสบการณ์ซื้อของออนไลน์ที่ดีแก่ผู้เข้าเว็บไซต์ การทำเว็บไซต์ E-Commerce มีข้อดีหลายประการแต่ในบ้านเราไม่นิยมทำเพราะคนเกรงว่ามันจะยุ่งยาก ซับซ้อน และเสียเวลา ซึ่งมันก็เป็นเรื่องจริง! แต่หากคุณทำสำเร็จ คุณอาจหลงรักการมีระบบ E-Commerce เต็มรูปแบบ และหากคุณอ่านบทความนี้เพราะคุณคือคนหนึ่งที่สร้างเว็บไซต์ E-Commerce สำเร็จเป็นครั้งแรก ขอแสดงความยินดีด้วย คุณก้าวสู่เจ้าของธุรกิจออนไลน์เต็มตัวแล้ว และต่อไปนี้เราจะพาคุณไปเรียนรู้ การวัดผลและอ่านค่าที่มีความสำคัญต่อการพัฒนายอดขายและบริหารต้นทุน E-Commerce ของคุณ ทำไมคุณต้องวัดผลและอ่านค่าการตลาดออนไลน์เป็นเนื่องจากการเปิดร้านค้าออนไลน์นั้น ไม่สามารถสัมผัสลูกค้าได้เท่ากับการอยู่หน้าร้าน ไม่ว่าจะเป็นปฏิกิริยาของลูกค้า อารมณ์ ลักษณะ การพูดคุย รวมไปถึงท่าทางต่าง ๆ ที่สามารถบอกอารมณ์ได้อย่างชัดเจน แต่ในขณะที่ร้านค้าออนไลน์นั้น เราไม่สามารถสัมผัสกับลูกค้าแบบนั้นได้ จึงจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาข้อมูลออนไลน์ที่สามารถเก็บสถิติเอาไว้ แล้วนำมาจำลองเหตุการณ์หรือตั้งสมมติฐานขึ้นมาจากตัวเลขเหล่านั้น แล้วค่อยนำมาวิเคราะห์อีกที ยกตัวอย่างเช่น… ลูกค้าเข้ามายังหน้าขายสินค้าและมีการ Click ซ้ำ ๆ บริเวณรูปภาพ คุณสามารถเดาว่า ลูกค้าอาจคิดว่า รูปภาพนั้นกดแล้วจะเป็น ลิงค์ ต่อไปยังหน้าชำระเงิน คุณอาจพิจารณาใส่ ลิงค์ลงไปในรูปภาพด้วยเช่นกันจะดีหรือไม่ — เครื่องมือที่ใช้ตรวจสอบพฤติกรรมการกดปุ่มบนเว็บเพจเรียกว่า Heat Map Application ดังนั้น นอกจากที่คุณจะต้องเรียนรู้การติดตั้งตัวเก็บสถิติออนไลน๋ต่าง ๆ แล้ว ยังต้องวิเคราะห์และเข้าใจข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างท่องแท้ เพื่อที่จะได้นำผลการวิเคราะห์เหล่านั้น ไปตัดสินใจในการใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าบนโลกออนไลน์ของธุรกิจ แล้วข้อมูลจากตัวเก็บสถิติสามารถบอกเล่าเรื่องราวได้อย่างไรขึ้นชื่อว่าตัวเลขและสถิติแล้ว มีคำกล่าวนึงที่ใช้ได้เสมอก็คือ ‘ตัวเลขไม่เคยหลอกใคร’ ดังนั้น นักวิเคราะห์ข้อมูลจากตัวเลขสถิตินั้นสามารถบอกได้ว่า มีจำนวนคนเข้าร้านค้าออนไลน์กี่คน อยู่บนเว็บไซต์นานเท่าไหร่ หยิบสินค้าใดเข้าตะกร้าบ้าง และอัตราการชำระเงินเมื่อเทียบกับผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์เป็นอัตราที่เท่าไหร่ ยกตัวอย่างเช่น มีคนเข้าร้านค้าออนไลน์ของคุณเป็นจำนวน 100 คน แล้วพบว่ามีคนที่จ่ายเงินจริง ๆ เพียง 1% หรือเข้าร้านค้าออนไลน์ 100 คน จ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าจริง ๆ เพียงแค่ 1 คนเท่านั้น ดังนั้น เมื่อคุณรู้ตัวเลขเหล่านี้แล้ว ก็สามารถมากำหนดกลยุทธ์เพื่อแก้ไขปัญหาได้ถูกจุดเช่น ต้องการเพิ่มจำนวนคนเข้าเว็บไซต์เท่าไหร่ ต้องการให้อัตราการซื้อสูงขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ เป็นต้น แต่การวิเคราะห์ตัวเลขต่าง ๆ นั้น อาจแปรเปลี่ยนไป ขึ้นอยู่กับประเภทของอุตสาหกรรม ราคาสินค้า ในบางครั้งพบว่า แม้ว่าผู้คนใช้เวลาอยู่บนเว็บไซต์นานเป็นเรื่องที่ดี เพราะนั่นอาจหมายถึงผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ ใช้เวลาอ่านและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริษัทก่อนที่จะตัดสินใจจ่ายเงิน แต่ก็อาจจะหมายถึง การที่ลูกค้าสับสนวิธีการเข้าใช้งานเว็บไซต์ที่ออกแบบยุ่งเหยิงจนเกินไป และในท้ายที่สุดนอกจากจะไม่ซื้อสินค้าแล้ว เขาอาจจะไม่กลับมายังเว็บไซต์คุณอีกเลย การวัดผลเบื้องต้นสำหรับ Ecommerceก่อนที่คุณจะทำการขยายขนาดของร้านค้าออนไลน์และลงงบโฆษณาให้มากขึ้น คุณควรมีข้อมูลเบื้องต้นที่เพียงพอสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว คุณอาจจะต้องสูญเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์ และนี่คือสถิติทั้ง 5 ที่คุณจำเป็นที่จะต้องเก็บข้อมูลเพื่อมาวิเคราะห์ โดยคุณสามารถติดตั้ง Google Analytics ลงบนเว็บไซต์ได้ฟรี
การวัดผลของลูกค้าที่อุดหนุนสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพการจะวัดว่าแคมเปญโฆษณาใดที่ได้รับผลการตอบรับที่ดีที่สุด หรือแคมเปญใดสามารถเพิ่มยอดขายได้ดีที่สุดนั้น สามารถใช้ตัวแปรดังต่อไปนี้ เพื่อตัดสินใจว่า จะเพิ่มงบประมาณในแคมเปญใด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
การวัดผลสำหรับการขยายการเติบโตของธุรกิจเมื่อคุณสามารถวัดผลเบื้องต้นได้แล้วต้องการที่จะก้าวสู่การขยายธุรกิจโดยมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มยอดขายเป็นหลัก เนื่องจากสินค้าได้รับความนิยมเป็นอย่างดี และเมื่อคุณต้องการขยายธุรกิจ จึงต้องมีตัววัดผลที่สำคัญเพิ่มเติมขึ้นมาซึ่งได้แก่
Search Engine Optimization (SEO)ถ้าหากสินค้าหรือบริการของคุณมักจะเป็นสิ่งที่ผู้คนชอบค้นหาบน Google คุณก็ต้องให้ความสำคัญกับ แหล่ง Traffic ฟรีที่มีผู้ใช้งานอย่างมหาศาล และนี่คือตัววัดผลที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ SEO
Search Engine Marketing (SEM)ถ้า SEO คือจำนวน Traffic ที่ได้มาฟรี ๆ เนื่องจาก Google จัดอันดับผลการค้นหาให้โดยอัตโนมัติ(ซึ่งอาจใช้เวลานานและไม่มีความแน่นอน) ดังนั้น SEM ก็คือการจ่ายเงินเพื่อลงโฆษณากับ Google เพื่อให้ได้เห็นผลลัพธ์ได้อันดับที่ดีในทันที และนี่คือตัวแปรที่คุณต้องทราบ
Facebook AdsFacebook ads หรือที่เราเรียกกันว่า Boost Post คือการกระตุ้นการเข้าถึงของโพสต์นั้น ๆ ด้วยการจ่ายเงิน เป็นที่รู้กันดีว่าปัจจุบันคนไทยโพสต์โฆษณาขายสินค้าบน Facebook เยอะมาก ทำให้การแข่งขันกันประมูลราคาค่าโฆษณาสูงตามไปด้วย ใครที่ยิงโฆษณาร้อยสองร้อยบาทนั้นยากที่เกิดยอดขายกลับมา แต่ที่ยากไปกว่านั้นคือการโพสต์ขายของตรง ๆ ลงใน Facebook นั้นวัดผลและวิเคราะห์ได้ไม่ละเอียดเท่าการส่งคนเข้าเว็บไซต์ เพราะปัจจุบันจำนวน Like บนโพสต์นำไปวัดผลไม่ได้มาก บางคนกด Like โดยที่ไม่อ่านโพสต์เสียด้วยซ้ำไป ในขณะที่การกดลิงค์ไปยังเว็บไซต์ คุณยังรู้ว่า ลูกค้า Landing ไปยังเว็บเพจที่อยู่บนเว็บไซต์ของคุณแล้ว นอกจากนั้นยังวัดผลได้ว่า อยู่บน Landing page นั้นนานแค่ไหนจาก Bounce rate และ Time-on-site ของ Google Analytics — และที่เจ๋งสุดคือคุณสามารถเช็คว่าลูกค้าอ่านหน้าเว็บจนถึงบรรทัดสุดท้ายหรือไม่และเป็นจำนวนกี่เปอร์เซ็นต์ด้วย Content analytics application! ทีนี้เมื่อคุณมีเว็บไซต์ และใช้ Facebook เป็นสะพานในการส่งคนเข้าเว็บไซต์ กรณีนี้ Like, Comment, Share จะไม่ใช่ KPI หลัก เพราะบางครั้ง Like น้อยยอดขายเยอะเพราะคนคลิ๊กเข้าเว็บเยอะนั่นเอง สิ่งสำคัญที่คุณอยากดูสถิติของ Facebook ได้แก่
สรุปคนที่เพิ่งเริ่มต้นบริหารเว็บไซต์ E-Commerce ของตนเองอาจต้องปรับตัวมากหน่อยในช่วงแรก แต่สักพักคนจะยินดีกับศักยภาพในการรายงานและวัดผลของเครื่องมือออนไลน์สำหรับคนมีเว็บไซต์ที่ช่วยให้คุณตัดสินใจการตลาดและทุ่มเทงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วงแรกยังไม่ต้องโฟกัสหลายช่องทางการตลาดและให้มุ่งเน้นที่คุณถนัด ซึ่งส่วนมากถนัด Faceboo กัน คุณก็เน้นทำการตลาดบน Facebook และเว็บไซต์เป็นหลักก่อนขยับขยายไป Google และ Google AdWord ตามลำดับ |