หากร้านค้าออนไลน์ หรือธุรกิจ E-Commerce ของคุณเริ่มประสบความสำเร็จ ทั้งทางด้านยอดขาย หรือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อผู้ซื้อจนมีลูกค้าประจำแล้ว การเริ่มขยายช่องทางการขายด้านออนไลน์นั้นเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงต่อไป Show
แน่นอนว่า ไม่ว่าคุณจะขายดีบนช่องทางใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น เพจของร้าน หรือแพลตฟอร์ม ใดๆ ก็แล้วแต่ รวมถึงบริษัทเจ้าใหญ่ๆ ที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเองก็ตาม นั่นไม่ใช่แพลตฟอร์ม E-Commerce เดียวที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่เข้าไป หรือเข้าถึงผู้ซื้อได้ ดังนั้นการขยายช่องทางการขาย โดยการเข้าสู่แพลตฟอร์มที่เป็นที่นิยมต่าง ๆ เป็นการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าสำหรับผลิตภัณฑ์ของคุณมากกว่าที่คุณเคยทำได้ในไซต์หรือช่องทางของคุณเองได้ค่ะ วันนี้ MyCloud มีข้อคิดหรือจุดหลัก ๆ ที่น่าสนใจสำหรับแบรนด์เมื่อก้าวไปขายยังแพลตฟอร์ม E-Commerce อื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น Marketplace หรือ Social media หรือการทำ Omni-channel มาฝากกันค่ะ 1. เข้าใจช่องทางการขายแน่นอนว่าค่าใช้จ่ายในการทำธุรกิจบนเว็บไซต์ของคุณจะแตกต่างจากค่าใช้จ่ายในการทำธุรกิจบน Marketplace ดังนั้น ต้องไม่ลืม คำนึง และเข้าใจต้นทุนในการดำเนินงานที่แน่นอน ก่อนที่จะกระโดดเข้าไปในต่างแพลตฟอร์มที่เคยขายมา Marketplace ที่มีจุดเด่นด้านผู้ติดตามที่มีกำลังซื้อมาก และเข้ามาในแพลตฟอร์มด้วยความต้องการซื้อ นั้นจะหักเปอร์เซ็นต์ของยอดขายของคุณ ซึ่งมีผลต่อกำไรของคุณแน่นอนค่ะ ดังนั้นการวางแผน และการคำนวณการตั้งราคาเมื่อย้ายแพลตฟอร์มเพื่อทำกำไรได้ตามต้องการนั้นเป็นสิ่งแรก ๆ ที่ต้องทำค่ะ 2. วางแผนการจัดส่งและการคืนสินค้าการจัดส่งสินค้าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อขายออนไลน์ และบางแพลตฟอร์มร้านค้าของคุณไม่สามารถเลือกขนส่งเองได้ รวมถึงบน Marketplace เหล่านั้นยังกำหนดให้ผู้ซื้อสามารถคืนสินค้าได้เมื่อซื้อของไปแล้วอีกด้วย ซึ่งอาจจะแตกต่างกับเมื่อคุณขายบนช่องทางของตัวเอง ดังนั้นจะมีค่าใช้จ่ายที่มาจากค่าขนส่งและการคืนสินค้าเพิ่มเข้ามาได้ค่ะ 3. ข้อจำกัดของ Marketplacesในตอนนี้ Marketplace ดัง ๆ ในไทยเริ่มจำกัดสิทธิ์ผู้ขายในการเข้าถึงข้อมูลของผู้ซื้อมากขึ้น เช่น การจำกัดเบอร์ และที่อยู่ของลูกค้า อาจทำให้การติดต่อกับลูกค้ายากขึ้น รวมถึงการกำหนดเวลาจัดส่ง อย่าง SLA ที่ส่งผลต่อการร่วมแคมเปญเพิ่มยอดในการขายได้ 4. ข้อดีของ Marketplaceอีกหนึ่งจุดเด่นของช่องทาง Marketplace นอกจากจะมีผู้ซื้อมากบนแพลตฟอร์มแล้วคือ เป็นช่องทางการขายที่มีเครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ขายได้มากขึ้น และช่วยเพิ่มยอดขายได้ต่างกัน ดังนั้นเมื่อเปิดร้านบนแพลตฟอร์มอื่น ๆ ต้องศึกษาเครื่องมือเหล่านั้นเพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับธุรกิจของคุณให้มากที่สุด ตัวอย่างของเครื่องมือต่าง ๆ อาทิเช่น Media Center, Management Review, Join Campaign, Bundels, Seller Vourcher ของ Lazada หรือ โค้ดส่วนลด, โปรโมชันส่วนลด, Bundel deals, Add-on deals, Flash sale, Seller coin และ Follow prize ของ Shopee เป็นต้น 5. การเตรียมรับมือกับออเดอร์ที่เพิ่มมากขึ้นจากหลายช่องทางการขายเมื่อเพิ่มช่องทางการขายแล้ว นั่นหมายถึงออเดอร์ที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ผู้ขายต้องคำนึงถึงงานหลังบ้านที่ต้องเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นสต๊อกสินค้าให้เพียงพอต่อยอดขาย และออเดอร์ที่เข้ามาช่องทาง ต้องมีระบบรองรับที่ช่วยจัดการออเดอร์ที่เข้ามาจากทุกช่องทางนั้นไม่ให้ตกหล่น รวมถึงการแพ็คสินค้าที่ดูเหมือนง่ายแต่ต้องอาศัยความชำนาญ เพื่อป้องกันการผิดพลาดของการแพ็คผิด หรือแพ็คตกหล่น ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายและกระทบต่อความพึงพอใจของลูกค้า ตลอดจนการส่งสินค้า ที่มีเวลาในการจัดส่งที่จำกัดเมื่อขายบนแพลตฟอร์ม Marketplace ดังนั้นหากไม่มีระบบ หรือการวางแผนรองรับออเดอร์และจัดการคลังสินค้าแล้ว อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจ E-Commerce ของคุณได้อย่างมาก บริการ Fulfillment ที่เชื่อมต่อทุกช่องทางการขายจาก MyCloud ช่วยคุณได้บริการ Fulfillment เก็บ แพ็ค ส่ง จาก MyCloud นอกจากจะมีระบบจัดการออเดอร์และระบบจัดการคลังสินค้าที่ได้มาตรฐานแล้ว เราช่วยให้คุณสามารถเก็บสต๊อกไว้ทีเดียว และเชื่อมต่อทุกช่องทางการขาย ไม่ว่าจะเป็น Marketplace, Social commerce หรือเว็บไซต์ E-Commerce ของคุณเอง ช่วยให้ออเดอร์ไม่ตกหล่น ไม่เสียโอกาสในการขาย และประหยัดต้นทุนได้มากขึ้น นอกจากนี้บริการ Fulfillment ของเรายังยืดหยุ่นตลอดการทำงานตั้งแต่ เก็บ แพ็ค และส่งสินค้า สามารถ customize การทำงานให้ตอบโจทย์ธุรกิจ E-Commerce ของคุณโดยเฉพาะให้มากที่สุดได้ ทำให้คุณสามารถขยายช่องทางการขายพร้อม ๆ กับการจัดการงานหลังบ้านที่มีประสิทธิภาพช่วยให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน สอบถามบริการและปรึกษาเกี่ยวกับการขายออนไลน์กับเราได้ที่ www.mycloudfulfillment.comหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร: 021389920 อีเมล: [email protected]line: @mycloudgroupMyCloudFulfillment ขายของง่ายไม่ต้องแตะสต๊อกบริการคลังสินค้าออนไลน์ เก็บ แพ็ค ส่ง ครบวงจรE-commerce คือ การค้ารูปแบบใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน แต่หลายคนก็ยังคิดว่าการทำธุรกิจ E-commerce เป็นเรื่องไกลตัว เพราะนึกไปถึงการมีเว็บไซต์ที่มีระบบชำระเงินและระบบคลังสินค้าขนาดใหญ่ แต่จริง ๆ แล้ว E-commerce มีความหมายกว้างกว่านั้น และทุกธุรกิจสามารถเริ่มต้นทำ E-commerce ได้ บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าธุรกิจ E-commerce คืออะไร ประเภทและช่องทางการทำธุรกิจ E-commerce ในปัจจุบัน พร้อมแนะนำกลยุทธ์การตลาดในการโปรโมตสินค้าผ่านสื่อออนไลน์ เพื่อเพิ่มยอดขายและกำไรให้มากขึ้น E-commerce คืออะไร?ธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์, อีคอมเมิร์ซ หรือ E-commerce คือ การดำเนินการซื้อขายสินค้าและบริการด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรืออินเทอร์เน็ต พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือการซื้อขายกันแบบออนไลน์นั่นเอง E-commerce มีประโยชน์ต่อการทำธุรกิจอย่างไร?ปฏิเสธไม่ได้ว่าอินเตอร์เน็ตได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้คนในปัจจุบันไปแล้ว คนไทยใช้อินเตอร์เน็ตกันมากกว่าวันละ 8 ชั่วโมงต่อวัน และช้อปออนไลน์สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก! นั่นทำให้หลาย ๆ ธุรกิจหันมาทำ E-commerce เพื่อขยายช่องทางเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และเพิ่มโอกาสเติบโตธุรกิจให้มากขึ้น ข้อดีของการทำ E-commerceธุรกิจ E-commerce มีข้อดีหลายด้านด้วยกัน อาทิ
สินค้าอะไรขายผ่าน E-commerce ได้บ้าง?สินค้าทุกอย่างสามารถขายผ่าน E-commerce ได้ ไม่ได้มีข้อจำกัด เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น เราอาจแบ่งประเภทสินค้าแบบกว้าง ๆ ได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่
ยิ่งสินค้าที่ขายมีความแตกต่าง น่าสนใจ จะยิ่งดึงดูดลูกค้าได้มาก แต่หากเป็นสินค้าที่คนอื่น ๆ ขายเหมือนกัน ก็อาจจะทำให้ขายได้ยาก และต้องอาศัยการทำการตลาดเข้ามาช่วย ช่องทางการขายบน E-commerce มีอะไรบ้าง?ช่องทางการขายบน E-commerce มีหลากหลายช่องทางที่คุณสามารถทำได้ ดังนี้ 1. เว็บไซต์ E-commerce / Brand.comการขายสินค้าผ่าน เว็บไซต์ E-commerce หรือ Brand.com คือ การที่แบรนด์ทำเว็บไซต์ แล้วขายโดยตรงกับลูกค้าเอง ข้อดีของ เว็บไซต์ E-commerce / Brand.com
ข้อเสียของ เว็บไซต์ E-commerce / Brand.com
2. MarketplaceMarketplace คือ เป็นเว็บไซต์ที่ทำหน้าที่เหมือนตลาดกลางรวบรวมสินค้า จากร้านค้า หรือแบรนด์ต่างๆ ที่สามารถเข้ามาทำการซื้อ-ขายสินค้าผ่านทางออนไลน์ได้ และเป็นช่องทางเพิ่มโอกาสขยายฐานลูกค้าไปทั่วโลก ตัวอย่าง Marketplace ในไทย เช่น Lazada, Shopee, JD Central เป็นต้น ข้อดีของ Marketplace
ข้อเสียของ Marketplace
3. Social CommerceSocial Commerce คือ การซื้อขายสินค้า-บริการผ่านแพลตฟอร์ม Social Media เช่น Facebook, Instagram, Twitter และ LINE ซึ่งปัจจุบันแพลตฟอร์มเหล่านี้มีการพัฒนาระบบให้ผู้ใช้งานสามารถซื้อสินค้าและชำระเงินได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องออกจากแพลตฟอร์มนั้นๆ ข้อดีของ Social Commerce
ข้อเสียของ Social Commerce
Hero Tips การเลือกแพลตฟอร์มสำหรับ E-commerce ต้องพิจารณาจากหลาย ๆ ปัจจัย เช่น ประเภทของสินค้า เงินลงทุน หรือความรู้ความเชี่ยวชาญในการใช้งานแพลตฟอร์มนั้น ๆ ที่สำคัญคือต้องตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด เช่น ธุรกิจ SME ซึ่งสินค้าหรือแบรนด์อาจจะยังไม่เป็นที่รู้จัก ระยะแรกอาจจะใช้ Social Commerce ในการเริ่มต้นทำการตลาดออนไลน์ เพื่อให้สินค้าหรือแบรนด์เป็นที่รู้จักได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง จากนั้นอาจดึงลูกค้าจาก Social Commerce ให้เข้ามาเลือกซื้อสินค้าผ่านช่องทาง Marketplace ซึ่งมีความน่าเชื่อถือ และมีระบบอำนวยความสะดวกที่ครบครัน เมื่อสินค้าหรือแบรนด์เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ก็อาจขยายมาสร้างเว็บไซต์ Brand.com ของตัวเอง สุดท้ายคือต้องเชื่อมโยงแพลตฟอร์มต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ที่เรียกว่าการทำ Multi-Channel หรือ Omni-Channel เพื่ออำนวยความสะดวก และตอบสนองลูกค้าได้อย่างไม่มีสะดุด โปรโมตธุรกิจ E-commerce อย่างไรให้ขายดี?ผู้ประกอบการที่สนใจจะรุกตลาด E-commerce หลายราย อาจมีคำถามว่าทำอย่างไรให้สินค้าและแบรนด์ของเราเป็นที่รู้จัก และเพิ่มยอดขาย ท่ามกลางการของแข่งของธุรกิจ E-commerce ที่ค่อนข้างรุนแรง การทำ E-commerce Marketing หรือการทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ เป็นวิธีทำการตลาดที่มีประสิทธิภาพ เพราะสอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว และเป็นช่องทางที่มีต้นทุน ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับช่องทางอื่น ๆ E-commerce Marketing คืออะไร? E-commerce Marketing คือ วิธีทำการตลาดเพื่อเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจออนไลน์ โดยการสร้างโฆษณาดึงดูดคนไปยังร้านค้าออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าบนเว็บไซต์ หรือ marketplace หรือ Social Commerce ตัวอย่างการทำ E-commerce Marketing เช่น โปรโมตสินค้าด้วย Social MediaSocial Media ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter, Instagram, Line, YouTube หรือ TikTok สามารถช่วยให้สินค้าและแบรนด์ของเราเป็นที่รู้จักได้อย่างรวดเร็ว และยังเข้าถึงผู้คนได้แทบทุกเพศ ทุกวัย ไม่ว่าธุรกิจขนาดเล็กหรือใหญ่ก็สามารถใช้สื่อ Social Media โปรโมตสินค้าและแบรนด์ได้ ตัวอย่างการใช้ Social Media โปรโมตธุรกิจ E-commerce ให้มีประสิทธิภาพ
Hero Tips ปัจจุบัน แพลตฟอร์ม Social Media ต่าง ๆ มีการปรับแพลตฟอร์มของตัวเองให้สามารถซื้อขายสินค้าผ่านทางออนไลน์ได้แล้ว เช่น Facebook Marketplace และ Instagram Shopping เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ที่สามารถช่วยกระตุ้นยอดขายบน Marketplace ได้ด้วย ผ่านการทำโฆษณา Facebook Collaborative Ads หรือ CPAS ลักษณะของโฆษณาประเภทนี้ก็คือ แบรนด์แชร์ catalogue สินค้าบน Marketplace เข้าไปในระบบของ Facebook > Facbook โชว์โฆษณาสินค้ากับกลุ่ม target audience ที่ตั้งไว้ > ลูกค้าคลิกจากโฆษณาเข้าไปซื้อสินค้าบน Marketplace ได้เลยทันที (อ่านเพิ่มเติม : วิธีลงโฆษณา CPAS บน Facebook เพิ่มยอดขายให้ธุรกิจบน E-Marketplace) โปรโมตเว็บไซต์ด้วยการทำ SEOSearch Engine Optimization หรือ SEO คือ กระบวนการปรับปรุง จัดการ พัฒนาเว็บไซต์ของเรา เพื่อให้ได้รับการจัดอยู่ในลำดับต้น ๆ ของ Search Engine คนส่วนใหญ่หากต้องการจะหาซื้อสินค้าอะไรสักชิ้น สิ่งที่เขาทำก่อนอื่นเลยก็คือ “การค้นหาข้อมูลบน Google” ดังนั้นการทำ SEO จุดประสงค์เพื่อให้เว็บไซต์ E-commerce ของเราอยู่ในลำดับแรก ๆ ของการค้นหานั่นเอง ตัวอย่างการใช้ SEO โปรโมตธุรกิจ E-commerce ให้มีประสิทธิภาพ
ลงโฆษณา Google Adwordการทำ SEO เป็นวิธีการโปรโมตเว็บไซต์ที่ใช้เงินลงทุนน้อย แต่ให้ผลลัพธ์ในระยะยาว แต่สำหรับแบรนด์ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์แบบทันทีทันใด การลงโฆษณา Google Adword เป็นเครื่องมือที่จะมองข้ามไม่ได้ ลักษณะของโฆษณา Google Adword คือ ตัวโฆษณาจะปรากฏตาม Keyword ที่กำหนดไว้ โดยจะโชว์อยู่ด้านบนของหน้าแสดงผลการค้นหา เมื่อกลุ่มเป้าหมายของเราคลิกที่โฆษณาก็จะลิงค์ไปยังหน้าเว็บไซต์ของเราทันที เราจะเสียค่าใช้จ่ายเมื่อมีคนคลิกเท่านั้น แต่ถ้าแค่เห็นแล้วเลื่อนผ่าน ไม่มีการคลิก ก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ตัวอย่างการใช้โฆษณา Google Adword โปรโมตธุรกิจ E-commerce ให้มีประสิทธิภาพ
Hero Tips ปัจจุบัน Google Analytics มีฟีเจอร์ที่ชื่อว่า Enhanced E-commerce ซึ่งช่วยให้เราสามารถเห็น Shopping Behavior และ Customer Journey ที่เกิดขึ้นบนเว็บไซต์ E-commerce ของเราได้แบบครบวงจร เช่น มีคนเข้ามาเลือกดูสินค้าชิ้นไหนบ้าง หยิบสินค้าไหนใส่ลงตะกร้าแล้วชำระเงินเลย หรือมีการทิ้งตะกร้าสินค้าไว้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ จะเป็นประโยชน์ในการปรับแต่งหน้าร้าน, คิดโปรโมชัน และทำการ Re-Marketing อย่างไรก็ตาม การติดตั้ง Enhanced E-commerce จำเป็นต้องใช้ผู้ที่เชี่ยวชาญด้าน website development และคุ้นเคยกับ Content Management System หลายๆ platform หรือแม้กระทั่งต้องเคยเขียนโปรแกรม front-end มาเบื้องต้น เพราะถ้า implement ไม่ถูกวิธี ข้อมูลเหล่านี้จะไม่โชว์บน Google Analytics และไม่สามารถ analyze data ต่อได้ เพราะ funnel step หรือบาง journey ขาดหายไป (สนใจการทำ Enhanced E-Commerce คลิกที่นี่ เรามีทีม Data Analytics Specialist ที่ช่วยให้คำแนะนำ และติดตั้งฟีเจอร์นี้ให้กับเว็บไซต์ของคุณได้) จำเป็นไหมที่ต้องใช้นักการตลาดที่เชี่ยวชาญด้านธุรกิจ E-commerce โดยเฉพาะ?ทั้งหมดข้างต้นเป็นเพียงข้อมูลพื้นฐานในการทำ E-commerce Marketing เพื่อโปรโมตธุรกิจ E-commerce ของคุณให้เป็นที่รู้จัก และกระตุ้นยอดขายให้มากขึ้น ต่อไปเมื่อทุกคนพร้อมใจกันลงมาแข่งในสนามนี้ เทคนิคทำการตลาดแบบทั่ว ๆ ไป อาจจะไม่พอที่จะใช้แข่งขันกับคนอื่น ๆ เป้าหมายหลักของธุรกิจ E-commerce คือ ต้องการขายของได้ ดังนั้นนอกจากทำโฆษณาออนไลน์แล้ว ยังมีเรื่องของการทำ Website Analysis หรือการทำ Commercial Strategy ด้วย ที่ Heroleads เรามีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดสำหรับธุรกิจ E-commerce โดยเฉพาะ และมี E-commerce Solution ที่ตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจได้ทุกขนาด ไม่ว่าจะเป็น กลุ่ม Social Commerce, Marketplace หรือ Brand.com หากคุณไม่อยากสู้คนเดียวในสนามนี้ Heroleads พร้อมเป็นพาร์ตเนอร์ที่ช่วยผลักดันธุรกิจของคุณและเติบโตไปพร้อมกัน ปรึกษาเรา Source : กรมพัฒนาธุรกิจการค้า, ศูนย์วิจัยกสิกรไทย |