Show e-Commerce
e-Commerce ไทย ยุคหลัง COVID-19Key Takeaways
ภาพรวมของธุรกิจ e-Commerce จากการแพร่ระบาดของ Covid-19 ทั่วโลกในช่วงไม่กี่ปีมานี้แนวโน้มการค้าโลกได้เข้าสู่ระบบออนไลน์และเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี เทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการจะต้องทำความเข้าใจและนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด การประกอบธุรกิจ e-Commerce จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ เพิ่มความสะดวกรวดเร็ว และเป็นช่องทางที่ผู้ประกอบการ SMEs สามารถสู้กับบริษัทใหญ่ ๆ และออกสู่ตลาดโลกได้ จนกระทั่ง…เกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 ขึ้น การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) นำไปสู่พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยพบว่ามีการปรับเปลี่ยนไปใช้ e-Commerce มากขึ้น และเร็วขึ้น ผู้บริโภคถูกบังคับให้คุ้นชินและต้องปรับตัวกับการซื้อของใช้ประจำวันและสินค้าอื่น ๆ ผ่านทางออนไลน์แทน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ส่งผลให้เกิดการล็อกดาวน์ และการเว้นระยะห่างทางสังคม ซึ่งเมื่อการซื้อของออนไลน์กลายเป็นกิจวัตรประจำวันของผู้บริโภคแล้วนั้น ทำให้พวกเขาเปิดรับการใช้จ่ายผ่านทาง e-Commerce มากขึ้น ส่งผลต่อผู้ประกอบการดั้งเดิมที่ต้องเร่งปรับตัวโดยหันมาทำ e-Commerce เพื่อรองรับความต้องการด้านนี้ ทำให้มูลค่า e-Commerce เติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดด (ดังภาพที่ 1) และเชื่อมั่นว่า ความต้องการในการซื้อสินค้าและบริการผ่านทางออนไลน์นั้นจะกลายเป็นช่องทางการซื้อที่สำคัญมากขึ้นสำหรับผู้บริโภค แม้เป็นยุคหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 เกิดเป็น New Normal อ้างอิงจากผลการสำรวจของ Tofugear ผู้ให้บริการด้าน Digital Solution สำหรับร้านค้าปลีก ซึ่งพบว่าโดยเฉลี่ยแล้วร้อยละ 45 ของผู้บริโภคทั่วเอเชียวางแผนที่จะเพิ่มการใช้จ่ายออนไลน์แทนการใช้ช่องทางการค้าปลีกแบบเดิมในช่วง 12 เดือนข้างหน้า (ดังภาพที่ 2[1])
ภาพที่ 2 แสดงร้อยละของผู้บริโภคทั่วเอเชียที่วางแผนจะเพิ่มการใช้จ่ายออนไลน์ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า เมื่อมองย้อนกลับไป ก่อนเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 อุปสรรคสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคที่ไม่ถนัดในการใช้ดิจิทัลบางรายโดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุรู้สึกไม่สบายใจกับการสั่งซื้อสินค้าและบริการผ่านช่องทางออนไลน์ คือปัจจัยด้านความเชื่อมั่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความกังวลเกี่ยวกับอาชญากรรมทางไซเบอร์ (แสดงดังภาพที่ 3) ที่ยังพบได้ค่อนข้างมาก และปัญหาข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล อาจทำให้แนวโน้มที่ประชาชนจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาใช้จ่ายผ่านช่องทาง e-Commerce ยังคงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก อีกทั้ง ผู้บริโภคยังมีทางเลือกในการซื้อสินค้ากับผู้ขายได้โดยตรงซึ่งสร้างความมั่นใจได้มากกว่า ภาพที่ 3 แสดงสถิติภัยคุกคามทางไซเบอร์ในประเทศไทย ปี 2559-2564 ไตรมาสที่
1 เมื่อพิจารณาในส่วนของข้อจำกัดของภาคธุรกิจโดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ในประเทศไทย[2]ที่ทำให้ยังไม่สามารถทำ e-Commerce ได้เต็มที่นั้น พบว่าอุปสรรคด้านเทคนิคเป็นอุปสรรคที่ส่งผลกระทบมากที่สุดต่อการนำ e-Commerce มาใช้ในกิจการ ประกอบด้วย ขาดพื้นฐานความรู้และเทคโนโลยี ขาดบุคลากรที่มีความสามารถเพียงพอ ขาดความมั่นคงปลอดภัยในการใช้อินเทอร์เน็ตและการชำระเงิน รวมถึงขาดความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายและข้อบังคับทางอิเล็กทรอนิกส์ ส่งผลให้ร้อยละ 80 ของผู้ประกอบการ SMEs ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อเป็นช่องทางในการสื่อสารผ่านทางอีเมลและรวบรวมข้อมูลทางธุรกิจเท่านั้น สิ่งเหล่านี้คือความเป็นจริงที่ธุรกิจต่าง ๆ จะต้องเผชิญ เนื่องจากปัจจุบันการใช้เครื่องมือทางออนไลน์ในการประกอบธุรกิจจะไม่สามารถมองข้ามได้อีกต่อไป แต่นับเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการอยู่รอดของธุรกิจก็ว่าได้ โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างการแพร่ระบาดของ COVID-19 จากการศึกษาของ ROI Revolution บริษัทการตลาดออนไลน์แห่งหนึ่ง สามารถสรุปผลกระทบที่เกิดขึ้นกับการทำ e-Commerce ในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 [3]ได้ ดังนี้
ช่วงเวลาและผลกระทบตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ปี 2563
มีการปรับตัวโดยนำนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้
พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปส่งผลทั้งทางบวกและลบในแต่ละธุรกิจ
ผู้บริโภคเริ่มหันไปพึ่งพา e-Commerce มากขึ้น
การใช้งาน Social Media ระหว่างการแพร่ระบาดของ COVID-19 เพิ่มขึ้น
ธุรกิจ Online Food Delivery เติบโตแบบก้าวกระโดด
ปี 2564
ความคาดหวังต่อประสบการณ์ที่จะได้รับผ่านทาง e-Commerce ของผู้บริโภคยังคงอยู่ในระดับสูง เนื่องจากผู้บริโภคยังคงซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์
e-Commerce ของไทยปรับตัวอย่างไรบ้างเพื่อรับมือกับ New Normal ที่เกิดขึ้นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้ผู้ค้าปลีกและเจ้าของห้างสรรพสินค้าจำนวนมากเร่งดำเนินการวางแผนและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อหาวิธีรักษาธุรกิจหรือห้างสรรพสินค้าในยุค New Normal[4]โดยธุรกิจค้าปลีกของไทยมีแนวโน้มการปรับตัวเพื่อจูงใจหรือรักษาฐานลูกค้ากลับมา ดังนี้ 1. การปรับรูปแบบบรรจุภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น มาตรฐานด้านสุขอนามัยและความสะอาดกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของลูกค้าและกระตุ้นให้พวกเขามั่นใจที่จะกลับมาซื้อสินค้าอีกครั้ง ทำให้ปริมาณขยะพลาสติกจากการสั่งสินค้าเพิ่มขึ้นกว่า 6,300 ตันต่อวัน[5] โดยเฉพาะร้านค้าในแพลตฟอร์ม Food Delivery ต่าง ๆ ที่นอกจากต้องหันมาให้ความสำคัญกับการออกแบบบรรจุภัณฑ์รูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์กับความต้องการของผู้บริโภคยุค New Normal แล้ว บางรายอาจลดการใช้พลาสติกโดยออกแบบให้บรรจุภัณฑ์นั้น ๆ สามารถรีไซเคิลและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น 2. ผู้ประกอบการเร่งการใช้การตลาดดิจิทัล (Digital Marketing) และการขายผ่านทาง Social Media เมื่อเกิดการระบาดอย่างหนัก ผู้ประกอบการค้าปลีกหลายแห่งปิดร้านค้าชั่วคราวเพื่อจำกัดของ COVID-19 และเพื่อชดเชยการลดลงของยอดขายที่เกิดจากการบังคับปิดร้านค้า ผู้ค้าปลีกส่วนใหญ่ได้เปลี่ยนช่องทางการขายจากออฟไลน์เป็นออนไลน์ และนำแนวทางการตลาดดิจิทัลใหม่ ๆ มาใช้ เช่น การใช้ประโยชน์จากการ Livestreaming แพลตฟอร์ม Social Media และกลุ่มแช็ตส่วนตัว ให้ลูกค้ามีส่วนร่วมและสนใจในผลิตภัณฑ์และบริการของตน อีกทั้งยังได้สร้างประสบการณ์ใหม่ในการซื้อสินค้าให้กับผู้บริโภค โดยสินค้าในหมวดสุขภาพและความงามเป็นหมวดสินค้ายอดนิยมที่ขายผ่าน Livestreaming ในแพลตฟอร์ม e-Commerce และ Social Media มากที่สุด ในประเทศไทย ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ เช่น ผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯ เช่น สยามพิวรรธน์ได้เปิดตัวบริการค้าปลีกรูปแบบใหม่ ได้แก่ Call & Pickup, ONESIAM Chat & Shop และ Eat at Home ผ่านบัญชี Social Media เช่น LINE และ Facebook เพื่อดึงดูดและสนับสนุนลูกค้าท่ามกลางการแพร่ระบาด บริการใหม่นี้ ช่วยให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านแชทสดได้ที่บัญชีทางการของ ONESIAM Line แอปพลิเคชัน ONESIAM และ Social Media ในขณะที่บริการ Eat at Home ยังช่วยให้ลูกค้าสามารถสั่งอาหารจากร้านอาหารมากกว่า 50 แห่งที่ Siam Paragon, Gourmet Garden, Siam Paragon Food Hall และ ICONSIAM 3. ผู้ประกอบการเร่งการนำเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้เพิ่มขึ้น COVID-19 กลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้ตลาดค้าปลีกในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงประเทศไทย เกิดการปรับเปลี่ยนเป็นรูปแบบดิจิทัลอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องเร่งปรับตัวโดยการรับเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลมาปรับใช้เพื่อให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ซึ่งการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมอัจฉริยะต่าง ๆ มาใช้นั้น จะแพร่หลายมากขึ้นในหมู่ผู้ค้าปลีกแม้ผ่านวิกฤต COVID-19 ไปแล้ว เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ที่ดีและใหม่ให้แก่ผู้บริโภค นอกเหนือจากการยกระดับประสบการณ์ของผู้บริโภคแล้วผู้ประกอบการร้านค้าปลีกยังใช้เทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมใหม่เพื่อต่อสู้กับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส เพื่อปกป้องสุขภาพและสร้างความปลอดภัยให้กับลูกค้าและพนักงาน เช่น Central Food Hall นำหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อมาใช้ 4. ทำความร่วมมือกับ fulfillment partners เพื่อเพิ่มตัวเลือกการจัดส่ง e-Commerce 5. ให้การสนับสนุนลูกค้ากลุ่มเปราะบาง ในช่วงเวลาที่ยากลำบากจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 นอกเหนือจากการทำงานอย่างไม่ลดละเพื่อนำสินค้าออกจำหน่ายในตลาดและสร้างความเชื่อมั่นไม่ให้ลูกค้าตื่นตระหนกแล้ว ร้านค้าปลีกบางแห่งยังใช้มาตรการพิเศษเพื่อสนับสนุนและดูแลกลุ่มลูกค้าที่มีความเปราะบาง เช่น Pomelo แบรนด์แฟชั่นออนไลน์ของไทยได้เปิดตัว Pomelo Cares ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มเพื่อสนับสนุนองค์กรการกุศลและองค์กรชั้นนำในการบรรเทาทุกข์จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในสิงคโปร์ ไทย และอินโดนีเซียตลอดจนให้ความรู้และสนับสนุนให้ผู้คนเว้นระยะห่างทางสังคม อีกทั้งยังให้คำมั่นว่าจะบริจาคหน้ากากอนามัยกว่า 40,000 ชิ้นให้กับสภากาชาดประเทศไทยพร้อมทั้งนำผลกำไรทั้งหมดจากผลิตภัณฑ์หน้ากากผ้าต้านเชื้อแบคทีเรียให้กับองค์กรด้านสุขภาพที่เป็นพันธมิตร
หน่วยงานของรัฐ และ ETDA สนับสนุนผู้ประกอบการ และ e-Commerce ไทยอย่างไรบ้างจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้หน่วยงานภาครัฐในประเทศได้ออกนโยบาย มาตรฐาน และกฎหมายต่าง ๆ รวมทั้งสื่อสารสิ่งที่มีอยู่เดิม ที่สามารถส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการให้ก้าวผ่านสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นมากยิ่งขึ้น เช่น นโยบายสนับสนุนธุรกิจด้านการเงิน มาตรฐานและกฎหมายเพื่อสนับสนุนการทำธุรกรรมทางออนไลน์ นโยบายการสนับสนุนด้านเทคโนโลยี โครงการเพื่อส่งเสริมและให้ความรู้กับผู้ประกอบการในการทำธุรกิจผ่านทางออนไลน์ ฯลฯ ในเดือนพฤษภาคม ปี 2563 กรมสรรพากร พร้อมทั้ง ธนาคารแห่งประเทศไทย และ สมาคมธนาคารของไทยและนานาชาติ ได้ออกมาสนับสนุนการทำธุรกรรมแบบดิจิทัล และเน้นไปที่การคืนภาษีเงินได้นิติบุคคลผ่านทางบริการ PromptPay[6] ซึ่งเป็นโปรแกรมที่เหมาะกับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนนิติบุคคล เพื่อสนับสนุนนโยบายชาติด้าน e-Payment และเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงเพื่อให้มีความสะดวกและปลอดภัยแก่สุขอนามัยในการใช้บริการ โดยเฉพาะในช่วงของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยสนับสนุนการเว้นระยะห่างทางสังคมและสนับสนุนแนวคิด “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” อีกทั้ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์นั้น จำเป็นต้องมีการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยมีการเร่งพัฒนามาตรฐานและกฎหมายที่จะใช้เป็นพื้นฐานในการให้บริการด้านธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ บริการหนึ่งที่สำคัญ ได้แก่ การพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลด้วย Digital ID ซึ่งถือเป็น Trust & security Infrastructure ที่สำคัญ (ปรากฏใน (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์เกี่ยวกับธุรกรรม ทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2564-2565) ที่จะช่วยเชื่อมโยงการยืนยันตัวตนและแลกเปลี่ยนข้อมูลจากทุกภาคส่วนเข้ามาไว้ด้วยกัน ซึ่งในส่วนของภาครัฐเองได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในจุดนี้ โดยนับตั้งแต่ปี 2561 ได้มีการประกาศข้อเสนอแนะมาตรฐานฯ เกี่ยวกับแนวทางการใช้ดิจิทัลไอดีสำหรับประเทศไทย (Digital Identity Guideline for Thailand)[7] จำนวน 3 ฉบับ โดย สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA (เอ็ตด้า) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งได้มีหน่วยงาน เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) นำมาตรฐานนี้ไปใช้ ล่าสุดในปี 2564 คณะอนุกรรมการมาตรฐานและการกำกับดูแล ภายใต้คณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (คธอ.) ยังได้เห็นชอบให้ปรับปรุงข้อเสนอแนะมาตรฐานฯ ทั้ง 3 ฉบับ เพื่อให้การพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลมีความสอดคล้องกับกฎหมายและเทคโนโลยีมีในปัจจุบันและที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยกำหนดเป็นมาตรฐานธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ว่าด้วยการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล เพื่อมาใช้แทนข้อเสนอแนะมาตรฐานฯ ฉบับเดิม[8] ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการดิจิทัลต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และมั่นใจว่า ข้อมูลส่วนบุคคลจะได้รับการปกป้องและคุ้มครอง รวมถึงเป็นการยกระดับความมั่นคงปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วย นอกจากนี้ เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นและความมั่นคงปลอดภัยในการทำธุรกรรมออนไลน์แล้ว ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Signature หรือ e-Signature) ก็ถือเป็นอีกโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่สำคัญในการพิสูจน์และยืนยันตัวตนของผู้ทำธุรกรรมออนไลน์ และเพื่อเป็นการส่งเสริมการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ทาง ETDA ได้มีการจัดทำข้อเสนอแนะมาตรฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่จำเป็นต่อธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ว่าด้วยแนวทางการลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์[9]เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนมีแนวทางในการเลือกใช้วิธีการลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่เหมาะสมกับการทำธุรกรรมออนไลน์ต่าง ๆ ซึ่งทาง ETDA ได้ประกาศข้อเสนอแนะมาตรฐานฯ ฉบับนี้ไว้อย่างเป็นทางการเมื่อเดือนพฤษภาคม 2563 ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจต่อคนไทยในการเข้าใช้ระบบออนไลน์ของทางภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงเป็นการส่งเสริมการใช้งานธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ในไทยอีกด้วยเช่นกัน นอกจากนั้น ETDA ยังได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่หรือผู้ที่ต้องการเข้าสู่ธุรกิจออนไลน์ มีพื้นฐานความรู้ที่จำเป็นสำหรับการประกอบอาชีพ เช่น การจัดหลักสูตรออนไลน์ EASY e-Commerce ผ่านแพลตฟอร์มของ สำนักงาน
ก.พ.[10] ความร่วมมือกับ มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย[11] และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ
พัฒนาศักยภาพของกลุ่มนักศึกษา กลุ่มคนว่างงานที่อยู่ในพื้นที่ให้เป็นโค้ชดิจิทัลชุมชน ที่จะช่วยปิดช่องว่างทางดิจิทัลในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล ช่วยสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน ผ่านช่องทางการค้าออนไลน์ อีกทั้งเพื่อส่งเสริมและพัฒนามาตรฐานของสินค้าและบรรจุภัณฑ์ให้แก่ผลิตภัณฑ์ชุมชนให้สามารถเข้าไปจำหน่ายทางออนไลน์ ล่าสุดคือความร่วมมือกับ กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ผลักดันให้สินค้าชุมชนขึ้นสู่แพลตฟอร์มออนไลน์อย่างเต็มระบบ
ผ่านแบรนด์ ทอฝัน by พม.[12]
สุดท้ายแล้ว เพื่อให้ประเทศไทยมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ โดยเฉพาะในส่วนของภาค e-Commerce ที่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19 เป็นปัจจัยเร่งให้เกิดการทำ Digital Transformation เร็วขึ้นนั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการผลักดัน ไม่ว่าจะเป็นการนำนวัตกรรมใหม่และเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาประยุกต์ใช้ในการประกอบธุรกิจ การร่วมกันออกมาตรฐานและกฎหมายเพื่อช่วยดูแลและส่งเสริมให้เกิดความเชื่อมั่นในการใช้งานอินเทอร์เน็ตของประชาชน รวมถึงการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ความรู้ และสร้างความเข้าใจแก่ภาคประชาชนในเรื่องความมั่นคงปลอดภัยในการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อให้เกิดการทำธุรกรรมทางออนไลน์ รวมทั้ง e-Commerce เพิ่มมากขึ้น |