ปัญหาเรื่องการนับครั้งในการทำสังคายนา Show ในปัจจุบันประเทศพม่าถือว่า ตั้งแต่เริ่มแรกมามีการทำสังคายนารวม 6 ครั้ง โดยเฉพาะครั้งที่ 6 พม่าจัดทำเป็นการใหญ่ ในโอกาสใกล้เคียงกับงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษแล้วฉลองพร้อมกันทีเดียวทั้งการสังคายนาครั้งที่ 6 และงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ แต่ตามหลักฐานของพระเถระฝ่ายไทยผู้รจนาหนังสือเรื่องสังคีติยวงศ์หรือประวัติศาสตร์การสังคายนากล่าวว่าสังคายนามี 9 ครั้ง รวมทั้งครั้งที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงกระทำในรัชสมัยของพระองค์ คือการสอบทานแก้ไขพระไตรปิฎก แล้วจารึกลงในใบลานเป็นหลักฐาน โดยเหตุที่ความรู้เรื่องการสังคายนา ย่อมเป็นเรื่องสำคัญในความรู้เรื่องความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก เพราะฉะนั้นจะได้รวบรวมมติของประเทศต่าง ๆ เกี่ยวกับการทำสังคายนาและปัญหาเรื่องการนับครั้งมารวมเป็นหลักฐานไว้ในที่นี้ รวมเป็น 6 หัวข้อ คือ 1. การนับครั้งสังคายนาที่รู้กันทั่วไป ในการรวบรวมเรื่องนี้ ผู้เขียนได้อาศัยหลักฐานจากวินัยปิฎกเล่มที่ 7 พร้อมทั้งอรรถกถา จากหนังสือมหาวงศ์,สังคีติยวงศ์ และบทความของท่าน B. Jinananda ในหนังสือ 2500 Years of Buddhism ซึ่งพิมพ์ในโอกาสฉลอง 25 พุทธศตวรรษในอินเดียและหนังสืออื่น ๆ
1) สังคายนาครั้งที่ 1 ท่านที่เป็นพระอริยบุคคล มีสติอดกลั้นด้วยคิดว่าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง คนจะได้สิ่งที่เที่ยงจากสังขารทั้งหลายแต่ที่ไหน ฝ่ายท่านที่ยังมีราคะ โทสะ โมหะ อยู่ได้แสดงความเศร้าโศก วิปโยคอย่างหนักว่า "พระผู้มีพระภาคปรินิพพานเร็วนัก พระสุคตเสด็จปรินิพพานเร็วนัก จักษุแห่งโลกหายไปจากโลกเร็วนัก" ขณะที่พระอริยบุคคลทั้งหลายได้แสดงความจริงแห่งสังขาร เพื่อให้ภิกษุเหล่านั้นยอมรับตามพระพุทธดำรัสความว่า "ท่านทั้งหลายอย่าเศร้าโศกร่ำไรไปเลย พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้มิใช่หรือว่าความเป็นต่าง ๆ ความเว้น ความเป็นอย่างอื่น จากสัตว์และสังขารทั้งหลายที่รักที่ชอบใจทั้งปวง ย่อมไม่อาจจะหาสิ่งที่เที่ยงจากสังขารทั้งหลายสิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว อันปัจจัยปรุงแต่งแล้วต้องมีความแตก ลายไปเป็นธรรมดา การที่เราจะปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้นอย่าสลายเลยไม่เป็นฐานะที่จะมีได้" ท่านสุภัททวุฑบรรพชิตกลับกล่าวปลอบโยนด้วยเหตุผลที่ต่างกันว่า "พวกเราพ้นจากมหาสมณะนั้นด้วยดีแล้ว เพราะเมื่อก่อนได้เบียดเบียนเรา ด้วยการตักเตือนว่า นี่ควรนี่ไม่ควรสำหรับพวกเราทั้งหลาย บัดนี้ พวกเราสบายแล้ว พวกเราต้องการทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น ไม่ต้องการทำสิ่งใดก็ไม่ทำสิ่งนั้น" คำพูดของท่านสุภัททวุฑบรรพชิต ถือว่าเป็นการกล่าวจ้วงจาบขาดความเคารพต่อพระธรรมวินัยทั้ง ๆ ที่ตนเองเป็นพุทธสาวก เสมือนผู้แสดงตนเป็นขบถต่อพระศาสนา แต่เนื่องจากเป็นเวลาที่ใกล้การถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ พระมหากัสสปะจึงไม่ได้กล่าวอะไรในขณะนั้น หลังจากถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระแล้ว พระมหากั ปะจึงนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมสงฆ์ พร้อมเสนอให้มีการสังคายนาพระธรรมวินัยโดยให้เหตุผลว่า ถ้าปล่อยให้นานไป "สิ่งที่ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัยจักเจริญสิ่งที่เป็นธรรม เป็นวินัยจะเสื่อมถอยพวกอธรรมวาที อวินัยวาทีได้พวกแล้วจักเจริญ ฝ่ายธรรมวาที วินัยวาทีจะเสื่อมถอย" นอกจากนี้ พระมหากัสสปเถระยังมีเหตุผลส่วนตัวของท่านที่จะต้องพิทักษ์ศาสนธรรม อันเป็นตัวแทนของพระศาสดาไว้ คือท่านได้รับยกย่องจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่ามีธรรมเครื่องอยู่เสมอด้วยพระองค์ และทรงเปลี่ยนผ้าสังฆาฎิของพระองค์กับท่านอันเปรียบเสมือนพระเจ้าจักรพรรดิ ทรงเปลื้องเกราะมอบให้เชษฐโอรส เพื่อเป็นเครื่องหมายว่าพระราชโอรสจะเป็นผู้รับผิดชอบราชการแผ่นดินต่อไป หลังจากพระองค์สวรรคตไปแล้ว ฐานะที่ทรงยกย่องพระมหากัสสปเถระทั้ง 2 นี้ ไม่เคยยกย่องพระสาวกรูปอื่นเลย ในที่สุดมติที่ประชุมของเถระทั้งหลายในคราวนั้น กำหนดให้มีการสังคายนาพระธรรมวินัย โดยใช้การกสงฆ์ 500 รูป เป็นพระอรหันต์ล้วน ๆ เพื่อประกอบกันเป็นพระสังคีติกาจารย์และกำหนดให้ทำสังคายนาที่สัตตบรรณคูหา ข้างเวภารบรรพต กรุงราชคฤห์เมื่อพระมหากัสสปเถระเลือกพระอรหันต์ทั้งหลายอยู่นั้น เลือกไปได้ครบ 499 รูป ก็เกิดปัญหาคือสังคายนาครั้งนี้จะขาดพระอานนท์ไม่ได้ เพราะท่านทรงจำพระธรรมวินัยไว้ได้มากแต่ถ้าจะเลือกท่านเข้าร่วมด้วย ก็ผิดมติที่ประชุม เพราะท่านยังเป็นพระโสดาบันอยู่ ในที่สุดที่ประชุมจึงเสนอให้พระมหากัสสปเถระเลือกพระอานนท์เข้าไปด้วย โดยให้เหตุผลว่า 1) แม้พระอานนท์จะเป็นพระเสขบุคคลอยู่ แต่ท่านก็ไม่ลำเอียงด้วยอคติ 4 2) พระอานนท์เป็นเหมือนคลังพระสัทธรรม เพราะได้สดับจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเถระทั้งหลายเป็นอันมาก พระมหากัสสปเถระจึงเลือกพระอานนท์เถระเข้าร่วมในการสังคายนา และประกาศด้วยญัตติทุติยกรรมวาจาให้พระสงฆ์ทั้งปวงยอมรับญัตติ 3 ประการ คือ 1. ยอมรับให้พระเถระจำนวน 500 รูป คัดเลือกตามมติสงฆ์ เป็นพระสังคีติกาจารย์ มีหน้าที่ในการสังคายนาพระธรรมวินัย 2. ใช้สัตตบรรณคูหา ข้างเวภารบรรพต กรุงราชคฤห์ เป็นที่ทำสังคายนา 3. ห้ามพระอื่นนอกจากพระสังคีติกาจารย์ เข้าจำพรรษาในกรุงราชคฤห์เพื่อสะดวกแก่การบิณฑบาต และป้องกันผู้ไม่หวังดีทำอันตรายแก่การสังคายนา เมื่อพระสงฆ์ทั้งปวงลงมติยอมรับเป็นเอกฉันท์แล้ว พระสังคีติกาจารย์ทั้งหลายก็เดินทางเข้ากรุงราชคฤห์ ขอพระบรมราชูปถัมภ์จากพระเจ้าอชาตศัตรู เรื่องการซ่อมวิหาร 18 ตำบลสร้างสถานที่ทำสังคายนา ทรงรับภาระเกี่ยวกับด้านราชอาณาจักรทุกประการพระอานนท์ได้บำเพ็ญเพียรจนบรรลุอรหันต์ก่อนการทำสังคายนา จึงเป็นอันว่าการทำสังคายนาในคราวนั้นทำโดยพระอรหันต์ล้วนทั้ง 500 องค์ โดยเริ่มลงมือทำหลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วได้ 3 เดือน พระมหากัสสปเถระทำหน้าที่วิสัชนาพระวินัยและพระธรรมตามลำดับ โดยที่ประชุมกำหนดให้สังคายนาพระวินัยก่อน เพราะถือว่าพระวินัยเป็นรากแก้วของพระพุทธศาสนา เมื่อพระวินัยดำรงอยู่ พระพุทธศาสนาย่อมเชื่อว่าดำรงอยู่
ในด้านพระสูตร ท่านเริ่มสังคายนาพระสูตรขนาดยาวก่อน คือ พรหมชาลสูตรสามัญญผลสูตร เป็นต้นสิ่งที่พระมหากัสสปะถาม คือ นิทาน บุคคล เนื้อหาแห่งพระสูตรนั้น ๆ เมื่อพระอานนท์ตอบแล้ว พระสงฆ์ทั้งปวงก็สาธยายพระสูตรนั้น ๆ พร้อมกัน จนจบพระสูตรทั้งหมด โดยแบ่งเป็น 5 นิกาย การสังคายนาในคราวนั้นใช้เวลาถึง 7 เดือนจึงสำเร็จ หลังจากเสร็จการสังคายนาแล้ว พระอานนท์ได้แจ้งให้สงฆ์ทราบว่า ก่อนจะปรินิพพาน พระพุทธองค์รับสั่งไว้ว่า "เมื่อเราล่วงไปสงฆ์หวังอยู่ จะพึงถอนสิกขาบทเล็ก ๆ น้อย ๆ เสียบ้างก็ได้" แต่พระอานนท์ไม่ได้กราบทูลถามว่าสิกขาบทเล็กน้อยนั้นคือสิกขาบทอะไรบ้างกับสงฆ์ไม่อาจหาข้อยุติได้ว่าสิกขาบทเช่นไรเรียกว่าสิกขาบทเล็กน้อย พระมหากัสสปเถระจึงเสนอเป็นญัตติในที่ประชุมว่าด้วยญัตติทุติยกรรมวาจาความว่า - สิกขาบทบางอย่างที่เกี่ยวกับชาวบ้าน ชาวบ้านย่อมทราบว่าอะไรควรหรือไม่ควรสำหรับสมณศากยบุตรทั้งหลาย - หากจะถอนสิกขาบทบางข้อ ชาวบ้านจะตำหนิว่า พวกเราศึกษาและปฏิบัติตามสิกขาบททั้งหลายในขณะที่พระศาสดายังดำรงพระชนม์อยู่เท่านั้นพอพระศาสดานิพพานก็ไม่ใส่ใจที่จะปฏิบัติ - ขอให้สงฆ์ทั้งปวงอย่าเพิกถอนสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้ มาทานศึกษาตามสิกขาบท ที่ทรงบัญญัติไว้เท่านั้น
1. ไม่กราบทูลถามว่าสิกขาบทเล็กน้อยที่รับสั่งนั้นคือสิกขาบทอะไร พระเถระแก้ว่า ที่ไม่กราบทูลถาม เพราะกำลังเศร้าโศกเนื่องจากพระพุทธองค์กำลังจะปรินิพพานจึงระลึกไม่ได้ 2. เวลาพระเถระเย็บผ้าของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ใช้เท้าหนีบผ้าอีกด้านหนึ่งอันเป็นการขาดความเคารพต่อพระพุทธองค์ ข้อนี้พระเถระแก้ว่า ที่ต้องทำเช่นนั้น เพราะไม่มีใครช่วยจับเวลาเย็บผ้า หาได้ทำด้วยขาดความคารวะไม่ 3. พระอานนท์ปล่อยให้สตรีถวายบังคมพระพุทธสรีระ พวกเธอร้องไห้จนน้ำตาถูกพระพุทธสรีระ ข้อนี้พระเถระแก้ว่า ท่านเห็นว่าสตรีไม่ควรอยู่ข้างนอกในเวลากลางคืน จึงจัดให้พวกเธอได้เข้าไปถวายบังคมพระพุทธสรีระก่อน จะได้กลับสู่ที่อยู่ของตนในเวลาที่ยังไม่ค่ำมืด 4. พระอานนท์ไม่กราบทูลอาราธนาให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดำรงพระชนม์อยู่ตลอดกัป ทั้ง ๆ ที่พระองค์ทรงทำนิมิตโอภา ถึง 16 ครั้ง พระเถระแก้ว่าที่ไม่กราบทูลอาราธนาเพราะไม่ทราบ เนื่องจากถูกมารดลใจ 5. พระอานนท์ขวนขวายให้สตรีเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา พระเถระแก้ว่าพระนางมหาปชาบดีโคตมีพระมาตุจฉาได้ประคับประคอง เลี้ยงดูพระผู้มีพระภาคเจ้ามาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ การกระทำทั้งหมดนี้ท่านไม่เห็นด้วยว่าเป็นความผิดอะไร แต่เมื่อสงฆ์เห็นว่าเป็นการกระทำไม่ดี ท่านยินดียอมรับและถ่ายโทษผิดนั้น การกระทำของพระสังคีติกาจารย์นอกจากเป็นการเน้นให้เห็นว่า การทำบางอย่างถึงแม้ว่าจะทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่เมื่อความรู้สึกส่วนใหญ่ท่านตำหนิ การจะดื้อรั้นถือดีไปนั้นเป็นการไร้ประโยชน์ การยอมรับนับถือมติส่วนใหญ่ในบางกรณี เพื่อยุติปัญหาและสร้างแบบแผนที่ดีงาม เป็นสิ่งที่ควรกระทำ
"ท่านทั้งหลาย พระเถระทั้งหลายได้ทำสังคายนาพระธรรมวินัยกันเรียบร้อยก็ดีแล้วแต่ผมได้ฟังได้รับมาเฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธองค์ว่าอย่างไร จักถือปฏิบัติตามนั้น" เมื่อได้ชี้แจงกันพอสมควรแล้ว ปรากฏว่าพระปุราณะมีความเห็นตรงกับพระสังคีติกาจารย์ส่วนมาก แต่มีความเห็นขัดแย้งกันเรื่องวัตถุ 8 ประการ ซึ่งเป็นพุทธานุญาตพิเศษที่ทรงอนุญาตให้พระทำได้ในคราวเกิดทุพภิกขภัย แต่เมื่อภัยเหล่านั้นระงับ ก็ทรงบัญญัติห้ามมิให้กระทำอีก เรื่องทั้ง 8 นั้น คือ 1. อันโตวุฏฐะ เก็บของที่เป็นยาวกาลิกคืออาหารไว้ในที่อยู่ของตน วัตถุทั้ง 8 นี้เป็นพุทธานุญาตพิเศษในคราวทุพภิกขภัย 2 คราว คือ ที่เมืองเวสาลีและเมืองราชคฤห์ แต่เมื่อทุพภิกขภัยหายไปแล้ว ทรงห้ามมิให้พระภิกษุกระทำ พระปุราณะและพวกของท่านคงจะได้ทราบเฉพาะเวลาที่ทรงอนุญาต จึงทรงจำไว้อย่างนั้น เนื่องจากการอยู่กระจัดกระจายกัน การติดต่อบอกกล่าวกันบางเรื่องทำไม่ได้ จะถือว่าท่านดื้อรั้นเกินไปก็ไม่ถนัดนัก เพราะท่านถือตามที่ได้สดับมาจากพุทธสำนักเหมือนกัน เมื่อฝ่ายพระสังคีติกาจารย์ชี้แจงให้ท่านฟัง ท่านกลับมีความเห็นว่า "พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระสัพพัญุตญาณ ไม่ มควรที่จะบัญญัติห้ามแล้วอนุญาต อนุญาตแล้วกลับบัญญัติห้ามมิใช่หรือ" "เพราะพระองค์ทรงมีพระสัพพัญุตญาณนั่นเอง จึงทรงรู้ว่ากาลใดควรห้ามกาลใดควรอนุญาต" พระมหากัสสปเถระกล่าว และได้กล่าวเน้นให้พระปุราณะทราบว่าสมติของที่ประชุมได้ตกลงกันว่า "จักไม่บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้ามิได้ทรงบัญญัติ จักไม่เพิกถอนสิ่งที่ทรงบัญญัติไว้แล้วจัก สมาทานศึกษาสำเหนียกในสิกขาบททั้งหลาย ตามที่ทรงบัญญัติไว้" พระปุราณะยืนยันว่าท่านจักปฏิบัติตามมติของท่านที่ได้สดับฟังมา หลักฐานฝ่ายมหายานบอกว่า พระปุราณะไม่ยอมรับเรื่องวัตถุ 8 ประการนี้ แล้วนำพวกของตนไปจัดการสังคายนาขึ้นอีกต่างหากซึ่งแน่นอนว่า วัตถุ 8 ประการนี้ ซึ่งตามพระวินัยห้ามมิให้ทำและปรับอาบัติปาจิตตีย์บ้าง ทุกกฏบ้างนั้น ฝ่ายพระปุราณะถือว่ากระทำได้ เป็นอันว่าความแตกแยกในปฏิบัติ คือ ความเสียแห่ง สีลสามัญญตา ได้เกิดขึ้นในพระพุทธศาสนาหลังจากพุทธปรินิพพานผ่านไปเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น ความไม่เสมอกันในด้านการปฏิบัติอย่างน้อยได้แตกแยกออกเป็น 2 ฝ่าย - ฝ่ายที่ยอมรับนับถือมติของพระสังคีติกาจารย์ ในคราวปฐมสังคายนา - ฝ่ายที่สนับสนุนคล้อยตามมติของพระปุราณะกับพวก อย่างน้อยฝ่ายนี้ต้องมีไม่ต่ำกว่า 500 รูป ซึ่งในที่สุดฝ่ายพระปุราณะต้องได้พวกเพิ่มขึ้น
1. การลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนเถระ ซึ่งพระอานนท์ได้กระทำไปตามพระพุทธดำรัสหลังจากทราบพรหมทัณฑ์แล้ว พระฉันนเถระถึงกับเป็นลมและได้กลับความประพฤติ บำเพ็ญเพียร บรรลุอรหัตในระยะเวลาไม่นานนัก พรหมทัณฑ์สำหรับท่านจึงไม่ทันได้ลง 2. พระอานนท์ได้แสดงให้พระเจ้าอุเทนทรงทราบว่า จีวรที่ถวายแก่พระผืนหนึ่งสามารถอำนวยประโยชน์ไปตามลำดับ คือ ท่านผู้ได้จีวรใหม่ให้แก่ท่านที่มีจีวรเก่า ผู้ที่มีจีวรเก่าให้แก่ท่านที่มีจีวรเก่ากว่า จากนั้นใช้เป็นผ้าปูนอน เพดาน ผ้าเช็ดเท้า ผ้าเช็ดพื้น ขยำปนกับดินฉาบฝาในที่สุดพระเจ้าอุเทนทรง ดับแล้วเห็นว่า ผ้าที่ถวายแก่พระนั้นมีประโยชน์มากจึงได้ถวายผ้าแก่พระอานนท์ถึง 1,000 ผืน พระเถระได้นำผ้านั้นไปแจกแก่ภิกษุในวิหารต่าง ๆ จนหมด ความแตกแยกในด้านสีลสามัญญตา คงมีต่อมาและเพิ่มขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะฝ่ายที่ถือตามพระปุราณะ เมื่อไม่ยอมรับมติของพระสังคีติกาจารย์ที่ไม่ได้ถอนสิกขาบทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้ว การเพิกถอนสิกขาบทที่เห็นว่าเล็กน้อย ตามความเข้าใจของพวกท่านก็ติดตามมา แต่ไม่มีอะไรรุนแรงจนถึงต้องทำสังคายนา
ผลที่เกิดจากการทำสังคายนาครั้งที่ 1 1. ได้ร้อยกรองพระธรรมวินัยเข้าเป็นหมวดหมู่ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย 2.การปฏิบัติของพระอานนท์และการลงพรหมทัณฑ์พระฉันนะเป็นตัวอย่างที่ดีชี้ถึงหลักประชาธิปไตยและธรรมาธิปไตยอย่างแจ้งชัด 3. ทำให้คำสั่งสอนของพระพุทธองค์ดำรงมั่นและได้ตกทอดมาถึงพวกเราทุกวันนี้ 4. แสดงถึงความสามัคคีของพระภิกษุสงฆ์ที่ได้พรั่งพร้อมกันทำสังคายนา เป็นแบบอย่างที่ดีจนได้ถือเป็นตัวอย่างในการทำสังคายนาในกาลต่อมา 5. เป็นการยอมรับมติของพระมหากัสสปเถระให้คงเถรวาทไว้ 2) สังคายนาครั้งที่ 2 ความวิบัติแห่งสีลสามัญญตา 1. ภิกษุจะเก็บเกลือไว้ในเขนงแล้วนำไปฉันปนกับอาหารได้ (สิงฺคิโลกปฺป) 2. ภิกษุจะฉันอาหารหลังจากตะวันบ่ายผ่านไปเพียง 2 องคุลีได้ (ทฺวงฺคุลกปฺป) 3. ภิกษุฉันภัตตาหารในวัดเสร็จแล้ว ห้ามภัตแล้วเข้าไปสู่บ้าน จะฉันอาหารที่ไม่เป็นเดน และไม่ได้ทำวินัยกรรมตามพระวินัยได้ (คามนฺตรกปฺป) 4. ในอาวา เดียวมีสีมาใหญ่ ภิกษุจะแยกกันทำอุโบสถได้ (อาวาสกปฺป) 5. ในเวลาทำอุโบสถ แม้ว่าพระจะเข้าประชุมยังไม่พร้อมกัน จะทำอุโบสถไปก่อนได้ โดยให้ผู้มาทีหลังขออนุมัติเอาเองได้ (อนุมติกปฺป) 6. การประพฤติการปฏิบัติตามพระอุปัชฌาย์อาจารย์ ไม่ว่าจะผิดหรือถูกพระวินัยก็ตาม ย่อมเป็นการกระทำที่สมควรเสมอ (อาจิณฺณกปฺป) 7. นมสบ้มที่แปรมาจากนมสดแต่ยังไม่กลายเป็นทธิ ภิกษุฉันภัตตาหารเสร็จแล้วห้ามภัตรแล้ว
จะฉันนมนั้นทั้งที่ยังไม่ได้ทำวินัยกรรมหรือทำให้เป็นเดนตาม 8.สุราที่ทำใหม่ ๆ ยังมีสีแดง เหมือนสีเท้านกพิราบ ยังไม่เป็นสุราเต็มที่ ภิกษุจะฉันก็ได้ (ชโลคึปาตํ) 9. ผ้าปูนั่งคือนิสีทนะอันไม่มีชาย ภิกษุจะบริโภคใช้สอยก็ได้ (อทสกํ นิสีหนํ) 10. ภิกษุรับและยินดีในทองเงินที่เขาถวายหาเป็นอาบัติไม่ (ชาตรูปรชต) วัตถุ 10 ประการนี้ ภิกษุวัชชีบุตร ชาวเมืองเวสาลี คงประพฤติมานานแล้ว เพราะเป็นที่ยอมรับนับถือของชาวบ้าน ชาวบ้านเองไม่มีความรู้สึกว่าท่านเหล่านั้นทำผิดแต่ประการใดจึงมีการถวายทองเงินแก่พระภิกษุ โดยการประเคนให้ท่านรับอย่างวัตถุที่เป็นกัปปิยะทั้งหลาย ต่อมาพระเถระอรหันต์รูปหนึ่งชื่อพระยสะกากัณฑกบุตร ชาวเมืองโกสัมพีได้ไปที่เมืองเวสาลี ได้พบเห็นพระภิกษุวัชชีบุตรชาวเมืองเวสาลีนำถาดทองสำริดเต็มด้วยน้ำ นำมาวางไว้ที่โรงอุโบสถ แล้วประกาศเชิญชวนชาวบ้านบริจาคเงินใส่ลงไปในถาดนั้น โดยบอกว่าพระมีความต้องการด้วยเงินทอง แม้พระย เถระจะห้ามปรามไม่ให้มีการถวายเงินทองในทำนองนั้น พระภิกษุวัชชีบุตรก็ไม่เชื่อฟัง ชาวบ้านเองก็คงถวายตามที่เคยปฏิบัติมา พระเถระจึงตำหนิทั้งพระวัชชีบุตรและชาวบ้านที่ถวายเงินทองและรับเงินทองในลักษณะนั้นเมื่อพระภิกษุวัชชีบุตรได้รับเงินทองแล้วนำมาแจกกันตามลำดับพรรษา นำส่วนของพระยสะกากัณฑบุตรมาถวาย ท่านพระเถระไม่ยอมรับและตำหนิอีก ภิกษุวัชชีบุตรไม่พอใจที่พระเถระไม่ยอมรับและตำหนิ จึงประชุมกันฉวยโอกาลงปฏิสารณียกรรม คือการลงโทษให้ไปขอขมาคฤหัสถ์ โดยกล่าวว่าพระเถระรุกรานชาวบ้านซึ่งพระเถระก็ยินยอมไปขอขมา โดยนำภิกษุอนุทูตไปเป็นพยานด้วย เมื่อไปถึงสำนักของอุบาสกพระเถระได้ชี้แจงพระวินัยให้ฟัง และบอกให้ชาวบ้านเหล่านั้นทราบว่า การกระทำของภิกษุวัชชีบุตรเป็นความผิด โดยยกเอาพระพุทธภาษิตที่พระพุทธองค์ทรงบัญญติไว้ความว่า "พระจันทร์และพระอาทิตย์ไม่ได้ร้อนแรงและรุ่งเรืองด้วยรัศมีเพราะโทษมลทิน 4 ประการ คือ หมอก ควัน ธุลี และอสุรินทราหูกำบังฉันใด ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้จะไม่มีตบะรุ่งเรืองด้วยศีล เพราะโทษมลทิน 4 ประการปิดบังไว้ คือ ดื่มสุราเมรัย เสพเมถุนธรรม ยินดีรับเงินและทอง อันเป็นเหมือนภิกษุนั้นยินดีบริโภคซึ่งกามคุณ และยินดีเลี้ยงชีพในทางที่ไม่ชอบธรรม ด้วยเวชกรรม กุลทูสกะ อเนสนา และวิญญัติ พร้อมด้วยกล่าวอวดอุตริมนุสธรรม อันไม่มีจริง" เมื่อพระยสะกากัณฑกบุตรชี้แจงให้อุบาสก อุบาสิกาเข้าใจแล้ว คนเหล่านั้นเกิดความเสื่อมใสพระเถระ อาราธนาให้ท่านอยู่จำพรรษา ณ วาลุการาม โดยพวกเขาจะอุปัฏฐากบำรุงและได้อาศัยท่านบำเพ็ญกุศลต่อไป ฝ่ายภิกษุที่เป็นอนุทูตไปกับพระเถระได้กลับมาแจ้งเรื่องทั้งปวงให้ภิกษุวัชชีบุตรทราบ ภิกษุวัชชีบุตรหวังจะใช้พวกมากบีบบังคับพระเถระด้วยการลงอุกเขปนียกรรมแก่ท่าน ได้พากันยกพวกไปล้อมกุฏิของพระเถระ แต่พระเถระทราบล่วงหน้าเสียก่อนจึงได้หลบออกไปจากที่นั้น พระยสะกากัณฑกบุตรพิจารณาเห็นว่า เรื่องนี้หากปล่อยไว้เนิ่นนานไป พระธรรมวินัยจะเสื่อมถอยลง พวกอธรรมวาที อวินัยวาทีได้พวกแล้วจักเจริญขึ้น จึงได้ไปที่เมืองปาฐา เมืองอวันตี และทักษิณาบถ แจ้งให้พระที่อยู่ในเมืองนั้น ๆ ทราบ เพื่อจะได้ร่วมกันแก้ไข และได้เรียนให้พระสาณสัมภูตวาสี ซึ่งพำนักอยู่ ณ อโหคังคบรรพตทราบ และขอการวินิจฉัยจากพระเถระ พระสาณสัมภูตวาสีมีความเห็นเช่นเดียวกับพระยสะกากัณฑกบุตรทุกประการ ในที่สุดพระเถระอรหันต์จากเมืองปาฐา 60 รูป จากแคว้นอวันตี และทักษิณาบถ 80 รูป ได้ไปประชุมร่วมกับพระสาณสัมภูตวาสีและยสะกากัณฑกบุตร ณ อโหคังคบรรพต มติของที่ประชุมเห็นร่วมกันว่า เรื่องนี้ต้องมีการชำระให้เรียบร้อย โดยตกลงให้ไปอาราธนาพระเรวตเถระซึ่งเป็นพระอรหันต์ที่เป็นพหูสูต ชำนาญในพระธรรมวินัย ทรงธรรมวินัยมาติกา ฉลาดเฉียบแหลม มีความละอายบาป รังเกียจบาป ใคร่ต่อสิกขา และเป็นนักปราชญ์ให้เป็นประธานในการวินิจฉัยตัดสินเรื่องวัตถุทั้ง 10 ประการนี้ พระเรวตเถระหยั่งรู้ด้วยญาณว่า อธิกรณ์นี้หยาบช้า กล้าแข็ง เราไม่ควรท้อถอยที่จะชำระเรื่องนี้ แต่เพราะไม่ต้องการที่จะคลุกคลีด้วยหมู่คณะ จึงหลีกไปพักอยู่ที่โ เรยยนครพระเถระทั้งหลายต้องติดตามพระเรวตเถระจากเมืองสู่เมืองตามลำดับดังนี้ คือ โสเรยยะ สังกัสสะ กุณณกุชชะ อุทุมพร อัคคฬปุระ ไปพบกับพระเถระที่ หชาตินคร พระสาณสัมภูตวาสีได้นำเรื่องวัตถุ 10 ประการ เรียนถวายให้พระเรวตเถระทราบและขอให้ท่านวินิจฉัยทีละข้อ ปรากฏว่าทุกข้อที่ภิกษุวัชชีบุตรกระทำนั้น เป็นความผิดทางพระวินัยทั้งหมด จึงตกลงร่วมกันที่จะชำระเรื่องนี้ และจัดการสังคายนาพระธรรมวินัย ตามที่พระสังคีติกาจารย์ได้กระทำแล้วในคราวปฐมสังคายนา ฝ่ายภิกษุวัชชีบุตร เมื่อพระยสะกากัณฑกบุตรหายไปก็ร้อนใจ ต่อมาได้ทราบการตระเตรียมงานเพื่อชำระอธิกรณ์ของพระอรหันต์ทั้งหลาย จึงพยายามหาพวกเพื่อป้องกันตนเองโดยตกลงให้พระเรวตเถระช่วยเหลือเช่นเดียวกัน แต่พระเถระได้ปฎิเสธด้วยความนุ่มนวลว่า "อย่าเลยท่านทั้งหลาย ไตรจีวรของผมมีบริบูรณ์แล้ว" และไม่รับเครื่องบรรณาการเหล่านั้น ภิกษุวัชชีบุตรเมื่อเข้าทางพระเรวตเถระไม่สำเร็จ จึงไปหาพระอุตตระศิษย์ของท่านพร้อมด้วยบรรณาการเช่นเดียวกัน ในขั้นแรกพระอุตตระปฏิเสธ แต่ทนการรบเร้าของภิกษุวัชชีบุตรไม่ไหวจึงรับจีวรไว้ผืนหนึ่ง เมื่อรับจีวรเข้าแล้วจึงทำงานให้เขา พระอุตตระจึงเข้าไปหาพระเรวตเถระ พร้อมกับขอให้พระเถระช่วยสนับสนุนฝ่ายวัชชีบุตรโดยให้เหตุผลว่า "พระฝ่ายปราจีนคือวัชชีบุตรเป็นธรรมวาที ฝ่ายเมืองปาฐา คือพระอรหันต์ทั้งหลายเป็นอธรรมวาที ขอให้พระเถระช่วยสนับสนุนฝ่ายวัชชีบุตรด้วย" พระเรวตเถระตำหนิพระอุตตระว่า ชักชวนให้ท่านสนับสนุนฝ่ายอธรรมวาทีจึงต้องกลับมาบอกฝ่ายวัชชีบุตรว่า งานที่รับไปนี้ทำไม่สำเร็จ เป็นอันว่าสังคมสงฆ์ในพุทธศตวรรษที่ 1 ก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง คือการให้สินบนและรับสินบนกัน ทั้ง ๆ ที่พระอรหันต์ยังมีอยู่เป็นจำนวนมากก็ตาม จึงเป็นเรื่องที่คนจะต้องยอมรับความจริงว่า การเสียสละเพื่อประโยชน์ของตน และการลุอำนาจแก่ความอยากที่เกิดขึ้นนั้นมีได้แก่คนทุกประเภททุกยุคทุกสมัย ถ้าเขาตกอยู่ภายใต้ของตัณหา ไม่ต้องกล่าวถึงสังคมในปัจจุบัน ที่มีคนมากไปด้วยกิเล แม้แต่ในที่พระอรหันต์ปรากฏอยู่ คนจำพวกนี้ก็คงมีอยู่นั่นเอง ในที่สุดที่ประชุมของพระอรหันต์ทั้งหลายได้ตกลงกันว่าอธิกรณ์เกิดขึ้นในที่ใดควรไปจัดการระงับในที่นั้น โดยพระเรวตเถระประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจาขอให้สงฆ์ระงับอธิกรณ์ด้วยอุพพาหิกา คือ การยกอธิกรณ์ไปชำระในที่เกิดอธิกรณ์สงฆ์ได้คัดเลือกพระเถระ 8 รูป คือ - พระสัพพกามีเถระ พระสาฬเถระ พระขุชชโสภิตเถระ พระวาสภคามีเถระทำหน้าที่แทนฝ่ายเมืองปราจีนคือพวกวัชชีบุตร ทำหน้าที่ในการวินิจฉัยอธิกรณ์ - พระเรวตเถระ พระสาณสัมภูตวาสีเถระ พระยสะกากัณฑกบุตรเถระพระสุมนเถระ เป็นตัวแทนฝ่ายเมืองปาฐา ทำหน้าที่เป็นตัวแทนฝ่ายธรรมวาทีมีหน้าที่ในการเสนออธิกรณ์ต่อสงฆ์ สงฆ์ได้รับมอบหมายการสวดปาติโมกข์ การจัดแจงเสนา นะให้เป็นหน้าที่ของพระอชิตะ ซึ่งมีพรรษาได้ 10 พรรษา และตกลงเลือกเอาวาลิการามหรือวาลุการาม เมืองเวสาลี อันเป็นที่เกิดเรื่องวัตถุ 10 ประการ เป็น ถานที่วินิจฉัยเรื่องวัตถุ 10 และทำสังคายนา พระเถระที่ทำหน้าที่สำคัญทั้ง 8 ท่านนี้ พระวาสภคามีเถระกับพระสุมนเถระเป็นศิษย์ของพระอนุรุทธเถระ อีก 6 รูปเป็นศิษย์ของพระอานนทเถระ ซึ่งเป็นพระสังคีติกาจารย์สำคัญในการปฐมสังคายนา ฝ่ายภิกษุวัชชีบุตร เมื่อไม่อาจหาเสียงสนับสนุนจากพระเรวตเถระได้ จึงได้เข้าเฝ้าพระเจ้ากาฬาโศกราช ขอความอุปถัมภ์โดยแจ้งให้ทราบว่า พวกตนรักษาวัดวาลุการาม แต่มีภิกษุฝ่ายปราจีนกำลังจะแย่งวัด พระเจ้ากาฬสาโศกราชหลงเชื่อ ตกกลางคืนทรงสุบินนิมิตว่าพระองค์ถูกนายนิรยบาลจับลงไปทอดในหม้อทองแดง ทรงตกพระทัยมาก พระนันทาเถรีซึ่งเป็นพระกนิษฐภคินีของพระองค์และเป็นพระอรหันต์ ได้ทราบเรื่องทั้งปวงจึงได้มาถวายพระพรให้ทรงทราบว่า ใครเป็นใคร และขอให้พระองค์สนับสนุนฝ่ายพระธรรมวาที พระเจ้ากาฬาโศกราชจึงรับสั่งให้พระสงฆ์ทั้ง 2 ฝ่ายประชุมรวมกัน และขอให้แต่ละฝ่ายแถลงเหตุผลให้ทรงทราบ ทรงโปรดในเหตุผลฝ่ายอรหันต์ทั้งหลาย จึงปวารณาพระองค์ที่จะให้การอุปถัมภ์ฝ่ายอาณาจักรทุกประการ และโปรดให้ชำระมลทินพระศาสนาพร้อมด้วยการทำทุติยสังคายนาที่วาลุการาม เมืองเวสาลี พระสงฆ์เข้าร่วมในคราวนั้น 700 รูป โดยมีการทำตามลำดับ ดังนี้ พระเถระที่ได้กำหนดหน้าที่กันไว้ฝ่ายละ 4 รูปนั้น พระเรวตเถระยกเอาวัตถุ 10 ประการขึ้นมาถามทีละข้อ พระสัพพกามีเถระได้ตอบไปตามลำดับว่า 1. ภิกษุชาววัชชี ภิกษุเก็บเกลือไว้ในเขนงแล้วนำไปฉันปนกับอาหารได้ ไม่เป็นอาบัติ 2. ภิกษุชาววัชชี ภิกษุจะฉันอาหารหลังจากตะวันบ่ายผ่านไปเพียง 2 องคุลีก็ได้ไม่เป็นอาบัติ 3. ภิกษุชาววัชชี
ภิกษุฉันภัตตาหารในวัดเสร็จแล้ว
ฉันเสร็จแล้วเข้าไปสู่บ้าน จะฉันอาหารที่ไม่เป็นเดนและไม่ได้ทำวินัยกรรมได้ ไม่เป็นอาบัติ 4. ภิกษุชาววัชชี ในอาวาสเดียวกันมีสีมาใหญ่ ภิกษุจะแยกทำอุโบสถได้ ไม่เป็นอาบัติ 5. ภิกษุชาววัชชี ในเวลาทำอุโบสถ แม้ว่าพระจะเข้าประชุมยังไม่พร้อมกัน จะทำอุโบสถไปก่อนก็ได้ โดยให้ผู้มาทีหลังขออนุมัติเอาเองได้ ไม่เป็นอาบัติ 6. ภิกษุชาววัชชี การประพฤติปฏิบัติตามพระอุปัชฌาย์อาจารย์ ไม่ว่าจะผิดหรือถูกพระวินัยก็ตาม ย่อมเป็นการกระทำที่สมควรเสมอ 7.
ภิกษุชาววัชชี นมส้มที่แปรมาจากนมสดแต่ยังไม่กลายเป็นทธิ (เนยใส) ภิกษุฉันอาหารเสร็จแล้ว จะฉันนมนั้นทั้งที่ยังไม่ได้ทำวินัยกรรมหรือทำให้เป็นเดนตามพระวินัยก็ได้ ไม่เป็นอาบัติ
8. ภิกษุชาววัชชี สุราที่ทำใหม่ ๆ ยังมีสีแดงเหมือนสีเท้านกพิราบยังไม่เป็นสุราเต็มที่ภิกษุจะฉันก็ได้ ไม่เป็นอาบัติ 9. ภิกษุชาววัชชี ผ้าปูนั่งนิสีทนะอันไม่มีชาย ภิกษุจะบริโภคใช้ อยก็ได้ ไม่เป็นอาบัติ 10. ภิกษุชาววัชชี ภิกษุรับและยินดีในเงินทองที่เขาถวาย ไม่เป็นอาบัติ ทุกข้อที่พระสัพพกามีวิสัชนา ฝ่ายพระเรวตเถระได้เสนอให้สงฆ์ทราบทุกข้อ และขอมติจากสงฆ์เพื่อให้ยอมรับว่า "วัตถุเหล่านี้ผิดธรรม ผิดวินัย เป็นการหลีกเลี่ยงต่อคำ อนของพระพุทธองค์" และได้ขอให้สงฆ์ลงมติทุกครั้งที่พระสัพพกามีเถระตอบ มติของสงฆ์เห็นว่าวัตถุ 10 ประการนี้ ผิดธรรม ผิดวินัย โดยเสียงเอกฉันท์ จากนั้นพระเถระทั้งหลายจึงได้เริ่มสังคายนาพระธรรมวินัยตามแบบที่พระมหากัสสปะเถระ เป็นต้น ได้กระทำในคราวปฐมสังคายนา การกระทำสังคายนาคราวนี้ใช้เวลา 8 เดือนจึงเสร็จ
1. พระอรหันต์อาจถูกมารยั่วยวนจนอสุจิเคลื่อนในเวลาหลับได้ ท่านได้เล่าประวัติความเป็นมาของพระเทวะและทิฏฐิของท่านไว้ว่า พระมหาเทวะเป็นบุตรพ่อค้าของหอมเมืองมถุรา เป็นชายหนุ่มรูปงามเป็นที่ต้องการของ ตรีเป็นอันมาก เมื่อพ่อของเขาไปค้าของหอมต่างเมือง เขาได้ลักลอบได้เสียกับมารดาของตน เมื่อบิดากลับมากลัวความลับจะแตก จึงวางแผนร่วมกับมารดาฆ่าบิดาของตนเสีย กลัวความผิดจะปรากฏจึงนำมารดาไปอยู่ที่เมืองปาฏลีบุตร ได้พบพระอรหันต์รูปหนึ่งซึ่งตนเคยบำรุงเมื่ออยู่เมืองมถุรา ที่เมืองปาฏลีบุตร กลัวท่านจะเปิดเผยความเป็นมาของตนจึงลอบฆ่าพระอรหันต์รูปนั้นเสีย หลังจากนั้นมารดาที่เป็นภรรยานั้น ได้ลักลอบเป็นชู้กับชายอื่น เขาโกรธมากจึงฆ่าเสียอีก หลังจากได้ทำบาปกรรมมามากแล้วเกิดความ ลดใจ จึงไปขอบวชที่วัดกุกกุฏาราม เล่าเรียนพระปริยัติธรรมจนมีความรู้แตกฉานเป็นนักเทศน์มีชื่อเสียง มีคนเคารพนับถือและบริวารมาก ต้องการจะได้ลาภสักการะเพิ่มขึ้น จึงได้กล่าวอวดอุตริมนุสธรรมว่าตนเป็นพระอรหันต์ทำให้คนเคารพนับถือและได้ลาภสักการะเพิ่มขึ้น เพื่อจะเอาใจพวกศิษย์ของตนจึงได้พยากรณ์ว่าคนนั้นเป็นโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ เป็นต้น ต่อมาท่านนอนหลับฝันอสุจิเคลื่อน เมื่อลูกศิษย์นำผ้าไปซักเห็นเข้าถึงถามว่า "อาจารย์บอกว่าเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่ทำไมพระอรหันต์จึงยังนอนฝันจนอสุจิเคลื่อนเล่า" "พระอรหันต์ทั้งหลายอาจถูกมารยั่วยวน จนอสุจิเคลื่อนได้ในเวลาหลับ"พระมหาเทวะตอบ ศิษย์ที่ท่านบอกว่า เป็นพระอริยบุคคลนั้น มีความรู้สึกว่า ท่านเองไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเอามาก ๆ แต่ทำไมอาจารย์จึงบอกว่า ตนเป็นพระอริยบุคคล จึงเข้าไปเรียนถามว่า "ท่านอาจารย์บอกว่ากระผมเป็นพระอรหันต์ แต่ทำไมกระผมไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรทั้ง ๆ ที่ผู้เป็นพระอรหันต์น่าจะรู้ทุกสิ่งตามความเป็นจริง มิใช่หรือ " "พระอรหันต์อาจมีอัญญาณ คือความไม่รู้ในบางสิ่งได้" พระมหาเทวะชี้แจง "ในเมื่ออาจารย์บอกว่าเป็นพระอรหันต์ แต่ทำไมกระผมจึงยังมีความสงสัยอยู่เล่า " "พระอรหันต์อาจมีกังขา คือความสงสัยในบางสิ่งได้" พระมหาเทวะกล่าว "ตามธรรมดาท่านที่จะเป็นพระอรหันต์ จะต้องเกิดญาณรู้ด้วยตนเองมิใช่หรือว่าตนบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่ทำไมผมจึงไม่มีความรู้เช่นนั้น ยังต้องอาศัยการพยากรณ์จากอาจารย์อยู่เล่า" ศิษย์ถาม "ผู้ที่จะรู้ว่าตนเป็นพระอรหันต์ ต้องอาศัยการแนะนำพยากรณ์จากคนอื่น"พระมหาเทวะตอบ หลังจากทำเรื่องนอกรีตนอกรอยหลายอย่างเข้า พระมหาเทวะเกิดความไม่สบายใจรู้สึกว่าจะอยู่ในอิริยาบถใดก็มีแต่ความเร่าร้อน คืนหนึ่งรู้สึกว่าเร่าร้อนมากจนนอนไม่หลับจึงอุทานว่า "อโห ทุกฺขํ อโห ทุกฺขํ" แปลว่า ทุกข์หนอ ๆ เม่อื ศิษย์ของท่านได้ยินเข้าจึงถามว่า "อาจารย์บอกว่าเป็นพระอรหันต์แล้ว ทำไมจึงยังบ่นว่า อโห ทุกฺขํ อโห ทุกฺขํ อยู่เล่าพระอรหันต์ยังมีทุกข์อยู่อีกหรือ " "อริยมรรค อริยผลจะปรากฏ เมื่อบุคคลเปล่งวาจาว่า อโห ทุกฺขํ อโห ทุกฺขํ"พระมหาเทวะตอบ พระมหาเทวะตั้งทิฏฐิ 5 ประการของตนขึ้นแล้ว ได้พยายามหาพวกให้ความสนับสนุนความเห็นตน เมื่อเห็นว่าได้มากพอควรแล้ว จึงเสนอความเห็นทั้ง 5 นี้ในท่ามกลางสงฆ์ที่กุกกุฏาราม เพื่อให้สงฆ์ทั้งปวงยอมรับว่า ทิฏฐิของท่านเป็นธรรม แต่พระเถระอรหันต์และท่านที่ยึดมั่นในธรรมทั้งปวงปฏิเสธ พระมหาเทวะจึงขอให้ลงมติด้วยเยภุยยสิกา คือถือเอาเสียงข้างมากเป็นประมาณ เนื่องจากท่านได้เตรียมบุคคลไว้มากพอก่อนแล้วจึงชนะในการลงมติ พระเถระที่ยึดมั่นในธรรมวินัยเห็นว่า ขืนอยู่ต่อไปก็ขาดความสุข ทั้งไม่อาจแก้ไขเรื่องนี้ได้ จึงหนีออกจากปาฏลีบุตรเพื่อไปจำพรรษาที่เมืองอื่น พระเจ้ากาฬาโศกราชทรงทราบ จึงขอร้องไม่ให้พระเหล่านั้นไป แต่พระเถระทั้งหลายไม่ยินยอม
ทำให้พระเจ้ากาฬาโศกราชกริ้วมาก เพราะเข้าพระทัยผิด จึงรับสั่งให้ปล่อยพระเหล่านั้นลงในเรือและทำให้เรือแตกกลางแม่น้ำคงคา พระเถระทั้งหลายใช้อิทธาภิสังขารลอยขึ้นไปบนอากาศลงสู่แคว้นกาศมีระ พระเจ้ากาฬาโศกราชทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น ทรงทราบว่าพระองค์หลงผิดจนถึงกับทำอันตรายต่อพระอริยเจ้า จึงส่งคนไปขอขมาและอาราธนาให้ท่านเหล่านั้นกลับ เมื่อพวกท่านไม่ยอมกลับ จึงโปรดให้สร้างอารามถวายที่แคว้นกาศมีระ เถรวาท หรือ ถวีระ อันเป็นนิกายเดิมกับ มหาสังฆิกวาท คือพวกที่แตกออกไป ในกาลต่อมา นิกายทั้ง องนั้นได้แตกแยกออกไปเรื่อย ๆ จนถึง 18 นิกายคือ 1.สายเถรวาทหรือ สถวีรวาท แยกออกคราวแรกเป็นเหมวันตวาทกับสรวาสติวาท 1.1 นิกายสรวาสติวาทแยกเป็น 4 นิกาย คือ มหิศา กวาท, กาศฺยปิยวาท,เสาตฺรนฺติกวาท, วาตฺสิปุตฺริวาทหรือวัชชีบุตรวาท 2. นิกายมหาสังฆิกวาท แยกออกเป็นกิ่งนิกายย่อยถึง 8 นิกาย คือ เอกวยหาริกวาท, โลโกตฺตรวาท, โคกุลิกวาท, พหุศฺรุติยวาท, บัญญัติวาท, ไจติกวาท, อประเสลิกวาท และอุตตรเสลิวาท หลักฐานเกี่ยวกับนิกายเหล่านั้นใช้ภาษาสันสกฤตเพราะมาจากปกรณ์ทางสันสกฤตเมื่อนับเรียงลำดับจากยุคต่าง ๆ มีถึง 20 นิกาย ความแตกแยกเป็นนิกายในตอนต้นนั้นมีข้อที่ควรสังเกตบางประการคือ 1. วัตถุ 10 ประการที่ภิกษุวัชชีบุตรละเมิดนั้น เมื่อว่ากันในแง่ของพระวินัย ก็เป็นความผิดตามที่พระสัพพกามีเถระได้วิสัชนาไว้ แต่เมื่อคำนึงประวัติศาสตร์ ท่านเหล่านั้นอาจจะสืบเชื้อสายมาจากสายของพระปุราณะที่ไม่เห็นด้วยต่อมติของพระสังคีติกาจารย์ในคราวปฐมสังคายนาบางประการ มติที่ไม่ให้ถอนสิกขาบทเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พระสังคีติกาจารย์ คราวปฐมสังคายนาท่านลงไว้ อาจจะมีพระกลุ่มหนึ่งไม่เห็นด้วย
เพราะถือว่าเป็นพุทธานุญาตให้ถอนได้ท่านเหล่านั้นก็ถอนกับเฉพาะข้อที่พวกท่านเห็นว่าเล็กน้อย ท่านพระวัชชีบุตรและรุ่นหลังได้ถือ 2. พระเถระในคราวทุติยสังคายนา ท่านเป็นศิษย์ร่วม มัยกับพระสังคีติกาจารย์ผู้ทำปฐมสังคายนา ท่านต้องเคารพรักษามติของพระเถระอรหันต์ ซึ่งเป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ของท่าน เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ท่านมีเดชานุภาพจะจัดการแก้ไขได้ จึงได้จัดการแก้ไขไปตามหน้าที่อันเป็นกรณียะที่ควรแก่การอนุโมทนา แต่การจะให้อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งมีความฝังใจมาแต่เดิมว่า ตนทำถูกต้องแล้ว กลับความประพฤติ ความเชื่อถือทั้งหมด ย่อมไม่อาจเป็นไปได้ความแตกแยกจึงเกิดขึ้นทั้งในด้านศีลและทิฏฐิ 3. ความแตกแยกในด้านศีลและทิฏฐินี้ เมื่อเวลาผ่านไปปรากฏชัดมากยิ่งขึ้นจนเกาะกลุ่มกันเป็นพวกที่เชื่อว่า การปฏิบัติและความเห็นเช่นนั้นถูกต้อง นิกายย่อย ๆ จึงเพิ่มขึ้นตามลำดับกาล แต่ในขั้นแรกจริง ๆ ท่านเหล่านั้นคงอยู่อาศัยในที่เดียวกัน คือ วัดหนึ่ง ๆ อาจจะมีพระอยู่ด้วยกันหลายนิกายก็ได้ กาลต่อมาจึงแยกออกไปตั้งสำนักของพวกตนขึ้นจนไม่อาจประสานสามัคคีกันได้ในที่สุด 4. ความเจริญมั่นคงของนิกายต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับศรัทธาจากใจของประชาชนเป็นผู้กำหนด หากนิกายใดประชาชนยอมรับนับถือเชื่อฟังและปฏิบัติตามมาก นิกายนั้นก็เจริญแพร่หลายออกไปมาก ฝ่ายตรงข้ามแพร่หลายไปน้อย จนค่อย ๆ หายไปในที่สุด 5. ความแตกต่างทางด้านศีลและทิฏฐินั้น น่าสังเกตว่าไม่ใช่เรื่องรุนแรงอะไรนัก คือ ไม่ถึงกับแตกต่างในหลักสำคัญ เช่น อริยสัจ 4 เป็นต้นส่วนที่เป็นหลักสำคัญจริง ๆ ทั้งศีลและทิฏฐิ ทุกนิกายยังคงรักษาไว้ด้วย ซึ่งตามหลักความเป็นจริงแล้วควรจะหาทางประนีประนอมกันได้ในหลายเรื่อง แต่ยังหาคนจัดการไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะเข้าสูตรที่ว่า "ทิฏฐิพระ มานะเจ้า" ก็ได้ ความแตกแยกเหล่านี้จึงยืดเยื้อมาจนถึงปลายพุทธศตวรรษที่ 3 อันเป็นรัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช
พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาซิโดเนีย ชนชาติกรีก ได้ยกมาตีดินแดนต่าง ๆ ทางทวีปเอเชียในปีพ.ศ. 209 ตีได้เฟนิเซียน อิหร่านส่วนแอฟริกา ประเทศอียิปต์ยอมสวามิภักดิ์หลังจากตีอิหร่านได้แล้ว ก็ยกเข้าตีอินเดีย ยึดได้แคว้นปัญจาปหลังจากได้พิชิตพระเจ้าเปาระวะหรือสิงห์แห่งปัญจาปได้ แต่ยังไม่ทันบุกเข้ามคธ ทหารเกิดเบื่อหน่ายการรบเพราะจากบ้านเมืองมานาน ทำให้พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชตัดสินพระทัยยกกองทัพกลับ โดยมอบหมายให้ทหารผู้ใหญ่ปกครองเมืองที่ยึดได้ พร้อมด้วยกำลังทหารจำนวนหนึ่ง พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชยกกองทัพตีเมืองต่าง ๆ อยู่ในอินเดีย 1 ปี กับ 8 เดือน โดยตีเมืองแถบลุ่มแม่น้ำสินธุตอนบนและตอนล่างได้หมด เมื่อเสด็จออกจากชมพูทวีปแล้ว พระองค์ไป วรรคตที่กรุงบาลิโลนในปีพ.ศ. 220 ขณะพระชนมายุเพียง 33 พรรษาเท่านั้น หลังจากกองทัพกรีกยกกลับออกไปแล้ว ราชวงศ์นันทะก็ถูกทำลายโดยกองทัพของมหาโจรจันทรคุปต์ ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์บอกว่า เป็นเชื้อสายศากยวงศ์ที่อพยพออกจากแคว้นสักกะ เมื่อพระเจ้าวิฑูฑภะยกกองทัพไปตีกรุงกบิลพัสดุ์ ในปีที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน คนเหล่านั้นได้มาสร้างเมืองอยู่แถบภูเขาที่มีนกยูงอาศัยอยู่มาก จึงตั้งวงศ์ของตนว่าโมริยะหรือเมารยะ ตามชื่อของนกยูง แต่หลักฐานบางอย่างบอกว่า จันทรคุปต์เป็นเชื้อสายราชวงศ์นันทะ แต่มารดาเกิดในตระกูลต่ำ คือเป็นธิดาของคนเลี้ยงนกยูง จึงได้ชื่อตามตระกูลมารดาว่าเมารยวงศ์ จันทรคุปต์ได้อาจารย์ที่ปรึกษาคนสำคัญคือ จาณักยะ ซึ่งในมหาวังสะเรียกว่า "ปาณกพราหมณ์" ได้เพียรพยายามยึดครองบ้านเมืองในราชอาณาจักรมคธหลายครั้ง จนประสบความสำเร็จ ล้างราชวงศ์นันทะทำพิธีปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ครองปาฏลีบุตร ตั้งราชวงศ์เมารยะขึ้นเมื่อ พ.ศ. 222 ในรัช มัยของพระองค์มีข้าศึกมาก จึงต้องมีการปราบปรามกันอยู่เสมอ ในสมัยที่พระองค์ทำตนเป็นมหาโจรอยู่นั้น ได้ศึกษาชีวิตและผลงานของศาสดาทั้งหลายไปด้วย เกิดประทับใจในชีวประวัติของท่านวรรธมาณหรือมหาวีระ จนยอมรับนับถือเป็นศาสดาของตน หลังจากเสวยราชย์อยู่ 26 ปีก็ ละราชสมบัติออกผนวชเป็นนิครนถ์ในศาสนาเชน โดยตั้งพระทัยจะให้เชษฐโอรสคือสิงหเสนเสวยราชย์แทน แต่มุขมนตรีซึ่งเป็นพราหมณ์ส่วนมากสนับสนุนพินทุสารราชกุมาร ซึ่งเป็นราชโอร อีกพระองค์หนึ่งขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เพราะเจ้าชายพินทุสารนับถือศาสนาพราหมณ์ ตามหลักฐานจากมหาวังสะบอกว่า ทรงเลี้ยงพราหมณ์ภายในพระราชวังวันละ 60,000 คนทุกวัน ซึ่งออกจะเป็นจำนวนที่มากไป อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพระเจ้าจันทรคุปต์จะนับถือศาสนาเชน พระเจ้าพินทุสารจะนับถือศาสนาพราหมณ์ ตลอดเวลา 28 ปีที่เสวยราชย์อยู่ก็ตาม พระพุทธศาสนาก็ไม่ได้ถูกเบียดเบียนแต่อย่างใดไม่ ศูนย์กลางของพระพุทธศาสนายังคงอยู่ที่แคว้นมคธ นิกายสำคัญ ๆ ยังได้ออกไปตั้งหลักมั่นคงในส่วนต่าง ๆ ของชมพูทวีปอีกมาก เช่น นิกายเถรวาท ได้เลื่อนไปตั้งหลักแหล่งเพิ่มเติมขึ้นที่แคว้นอวันตี
1. ปกครองบ้านเมืองโดยระบบธรรมาธิปไตย คือใช้หลักพระธรรมวินัยบริหารบ้านเมือง 2. อุทิศพระองค์เป็นธรรมทา ทรงหวังผลทั้งในภพนี้และภพหน้า นำประชาชนให้เว้นจากมิจฉาชีพ ดำรงชีวิตโดยหลักสัมมาอาชีวะ 3. เสด็จประพา เพื่อธรรม คือ เที่ยวนมัสการปูชนียสถานในพระพุทธศาสนาและทรงแนะนำสั่งสอนประชาชนให้รู้และปฏิบัติ 4. ปฏิวัติสังคมโดยธรรม ยกเลิกพิธีกรรมที่มีการเบียดเบียนทำลายล้าง ห้ามฆ่าสัตว์บูชายัญ ด้วยกฎ "มา ฆาต" คือห้ามฆ่า แม้ภายในส่วนต่าง ๆ ของประเทศ 5. ใช้ระบบรัฐสวัสดิการด้วยการสร้างโรงพยาบาลรักษาคนและโรงพยาบาลรักษาสัตว์ ปลูก มุนไพรไว้ในส่วนต่าง ๆ ของประเทศ ขุดบ่อน้ำ ระน้ำสร้างถนน คูคลอง เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน 6. ให้เลิกพิธีกรรมทุกชนิดที่ไม่เป็นธรรม และได้นำเอาหลักของมงคลสูตรสิงคาลกสูตร ให้คนปฏิบัติต่อกันตาม มควรแก่ฐานะหน้าที่ เน้นให้ประชาชนรู้จักคุณค่าของธรรมทาน เห็นคุณค่าของการแนะนำ การรับการแนะนำสั่งสอนกันด้วยเมตตา กรุณา 7. ตั้งข้าหลวงแทนพระองค์เพื่อส่งเสริมการปฏิบัติธรรม โดยให้ข้าหลวงเหล่านั้นสร้างความรู้สึกต่อประชาชนว่า เป็นเหมือนลูกหลานของตน พยายามสอดส่องดูแลสุขทุกข์ของเขาดุจบิดาเอาใจใส่ดูแลบุตรธิดา การกระทำทุกอย่างเน้นหนักไปที่ผลประโยชน์อันผู้กระทำพึงได้ในภพนี้และภพหน้า การปกครองโดยระบบธรรมาธิปไตย ทำให้เพื่อนบ้านใกล้เคียงมีสัมพันธไมตรีกับพระองค์ มีเมืองเป็นอันมากที่ยอมเป็นข้าขอบขันธเสมา เพราะความเคารพศรัทธาต่อพระเจ้าอโศกมหาราช ความสงบสุขได้บังเกิดขึ้น ดังข้อความในศิลาจารึกตอนหนึ่งว่า "มา ณ ยุคปัจจุบัน โดยเหตุที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้เป็นที่รักแห่งทวยเทพ ได้ทรงปฏิบัติธรรมแล้ว ประชาราษฎรแทนที่จะได้ยินเสียงยุทธเภรี แต่กลับได้ยินเสียงธรรมเภรีแทนในกาลก่อน นิกรชนแห่งชมพูทวีปไม่ได้อยู่ร่วมกับทวยเทพ ครั้นมาบัดนี้ได้อยู่ร่วมกับทวยเทพแล้ว อย่างนี้คือผลแห่งการปฏิบัติธรรมโดยเคร่งครัดกวดขันของข้าโดยไม่ต้องสงสัย"
พระโมคคลีบุตรติสสเถระนี้ ท่านเล่าว่าเป็นผู้ที่พระอรหันต์ในคราวทุติยสังคายนาขอให้จุติจากพรหมโลกมาชำระพระศาสนาในคราวนี้โดยตรง โดยมอบหมายให้พระเถระ 2 รูปคือ พระสิคควเถระและพระจันทวัชชีเถระ รับหน้าที่ในการนำติสสมหาพรหม ซึ่งมาปฏิสนธิในครรภ์ของโมคคลีพราหมณี ให้ออกบวช อบรม ให้การศึกษาจนแตกฉานพระธรรมวินัยโดยถือเป็นทัณฑกรรมของท่านทั้ง 2 ฐานขาดการประชุม ในคราวที่พระสงฆ์ทำทุติยสังคายนาพระเถระทั้ง องได้ทำหน้าที่ของท่านตามมติสงฆ์ โดยพระสิคควเถระนำติ กุมารออกบวชเป็นสามเณร ให้ศึกษาธรรมเบื้องต้น พระจันทวัชชีเถระให้อุปสมบทเป็นภิกษุ ให้ศึกษาธรรมเบื้องสูงขึ้นไป เดียรถีย์ปลอมเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาเมื่อพระโมคคลีบุตรติสสเถระเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่เป็นเรื่องใหญ่มาก ไม่อาจจัดการได้โดยลำพังอำนาจสงฆ์ ต้องอาศัยพระราชอำนาจจึงทำได้ พระเถระเมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นจึงคิดว่า "บัดนี้ อธิกรณ์เกิดขึ้นแล้ว ไม่นานนักอธิกรณ์นี้จะหยาบช้ากล้าแข็งขึ้น ถ้าเราอยู่ในท่ามกลางเดียรถีย์เหล่านี้ จักไม่อาจระงับอธิกรณ์ได้ จึงมอบหมายการบริหารสงฆ์ให้พระมหินทเถระ ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกของท่าน และเป็นราชโอร ของพระเจ้าอโศกมหาราชท่านเองได้หลีกไปพักอยู่ที่อโธคังคบรรพต ตอนเหนือแม่น้ำคงคา พระเจ้าอโศกมหาราชส่งอำมาตย์ พระธรรมกถึก 48 ท่าน พร้อมด้วยบริวารไปเรียนให้พระโมคคลีบุตรติ เถระมา ตามพระบรมราชโองการ 2 คราว แต่พระเถระไม่ยอมรับอาราธนา เพราะท่านเหล่านั้นพูดไม่ถูกเรื่อง จึงต้องเพิ่มจำนวนพระธรรมกถึก อำมาตย์ 16 คน พร้อมด้วยบริวารให้ไปอาราธนาว่า "ข้าแต่พระคุณเจ้า ศาสนากำลังเสื่อมโทรม ขอพระคุณเจ้าเป็น หายของข้าพเจ้าเพื่อเชิดชูพระพุทธศาสนาเถิด" เมื่อพระเถระได้สดับพระราชสาสน์นั้นคิดว่า "เราบวชมาด้วยความตั้งใจว่าจะเชิดชูพระศาสนามาตั้งแต่ต้นแล้ว เวลาของเรามาถึงแล้ว" พระเถระได้มาด้วยแพล่องมาตามลำน้ำคงคา พระเจ้าอโศกมหาราชต้อนรับด้วยความเลื่อมใสแต่ยังข้องใจในคุณสมบัติของพระเถระ หลังจากได้ทด อบแล้วจึงเกิดความมั่นพระทัยในคุณสมบัติของพระเถระ จึงได้เรียนถามข้อที่ทรงข้องพระทัยเรื่องอำมาตย์ฆ่าพระเถระมรณภาพไปหลายรูป พระเถระได้ถวายวิสัชนาให้ทรงหายข้องพระทัย ความว่า เมื่อพระองค์ไม่มีพระประสงค์ให้อำมาตย์ฆ่าภิกษุ บาปจะไม่มีแก่พระองค์ และให้พระราชามั่นพระทัยด้วยพระพุทธภาษิตว่า "ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม บุคคลคิดแล้วจึงกระทำกรรมด้วยกาย วาจา และใจ" นอกจากนั้นพระเถระยังได้ยกภาษิตของดาบสในติตติรชาดก ความว่า "ถ้าท่านไม่มีความคิดไซร้ บาปก็ไม่มี แท้จริง กรรมย่อมถูกต้องบุคคลผู้คิดอยู่เท่านั้นหาถูกต้องบุคคลผู้ไม่คิดไม่" หลังจากพระเจ้าอโศกมหาราชทรงสบายพระทัย เพราะได้ฟังคำวินิจฉัยของพระเถระแล้ว พระเถระได้ถวายพระพรให้ทราบเรื่องสถานการณ์ของพระพุทธศาสนาในกรุงปาฏลีบุตรพร้อมกับให้พระราชาเรียนสัจธรรมทางพระพุทธศาสนา จนสามารถแยกได้ว่า อะไรเป็นคำสอนของพระพุทธศาสนา อะไรไม่ใช่ พระเจ้าอโศกมหาราชได้เรียกภิกษุทั้งหลายมาสอบถามด้วยพระองค์เองว่า "กึวาที สมฺมาสมฺพุทฺโธ พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีปกติตรัสว่าอย่างไร " ท่านรูปใดตอบว่า "วิภชฺชวาที มีปกติตรัสจำแนก" ถือว่าเป็นพระที่แท้จริง ท่านที่ตอบเป็นอย่างอื่น ถือว่าเป็นเดียรถีย์ปลอมบวช รับสั่งให้แจกผ้าขาวแก่คนเหล่านั้น ให้สึกออกมาเป็นจำนวนมาก ตามหลักฐานในมหาวังสะและ มันตปาสาทิกาบอกว่า พระที่ถูกจับสึกไปคราวนั้นถึง 60,000 รูป เมื่อได้มีการชำระสังฆมณฑลให้บริสุทธิ์แล้ว พระเจ้าอโศกมหาราชจึงได้อาราธนาให้พระสงฆ์ทำอุโบ ถสังฆกรรมกันตามปกติ โดยพระองค์ประทานการอารักขา พระสงฆ์ทั้งปวงก็พร้อมเพรียงกันทำอุโบ ถตั้งแต่นั้นมา พระโมคคลีบุตรติ เถระได้เลือกพระจำนวน 1,000 รูป เฉพาะท่านที่ทรงปริยัติ แตกฉานในปฏิสัมภิทา ชำนาญในวิชชา 3 ประชุมกันทำสังคายนา ครั้งที่ 3 ขึ้นที่อโศการาม เมืองปาฏลีบุตร ภายใต้พระบรมราชูปถัมภ์ของพระเจ้าอโศกมหาราช ประเด็นสำคัญในตติยสังคายนา คือ 1. พระโมคคลีบุตรติ เถระเป็นประธาน มีพระสังคีติกาจารย์เข้าร่วม 1,000 รูป ทำที่อโศการาม เมืองปาฏลีบุตร พระเจ้าอโศกมหาราชเป็นองค์อุปถัมภ์เริ่มทำเมื่อปี พ.ศ. 218 2. พระโมคคลีบุตรติ เถระได้ยกเอาวาทะในนิกายต่าง ๆ ที่เผยแพร่กันในสมัยนั้นขึ้นวิพากษ์ 300 ข้อ ถือว่าเป็นความเห็นผิดจากพระพุทธศาสนาเป็นเหตุให้เกิดคัมภีร์กถาวัตถุ ในพระอภิธรรมปิฎกขึ้น คัมภีร์ในอภิธรรมปิฎกสมบูรณ์ในคราวนี้เอง 3. รูปแบบของการสังคายนาอย่างอื่น ทำตามแบบที่พระสังคีติกาจารย์ในคราวปฐมสังคายนาท่านกระทำ โดยใช้เวลานานถึง 9 เดือนจึงสำเร็จ 4. พระโมคคลีบุตรติสสเถระพิจารณาเห็นว่า กาลต่อไปพระพุทธศา นาจะตั้งมั่นนอกชมพูทวีป จึงจัดส่งพระเถระพร้อมด้วยบริวารให้ไปเผยแผ่ศาสนาในส่วนต่าง ๆ ของทวีปเอเชีย 9สาย คือ 4.1 พระมหินทเถระ พระอิฏฏิยะเถระ พระอุตติยเถระ พระสัมพลเถระพระภัททสาลเถระ และสุมนสามเณร ไปเผยแผ่พระศาสนาที่เกาะลังกา ในรัชสมัยพระเจ้าเทวานัมปิยติสะ 4.2 พระมัชฌันติกเถระไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่แคว้นคันธาระและกัษมีระ ทรมานพวกนาคให้ยอมรับนับถือพระพุทธศาสนา 4.3 พระมหาเทวะไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ แคว้นมหิ กมณฑล ได้แก่ แถบตอนใต้ของลุ่มแม่น้ำโคธาวารี อันเป็นแคว้นไมเซอร์ในปัจจุบัน 4.4 พระรักขิตเถระไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ วนวา สีประเทศ ได้แก่ แว่นแคว้นกนราเหนือ ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย มหาวังสะบอกว่ามีวัดเกิดขึ้น 500 วัด ในดินแดนส่วนนี้ 4.5 พระโยนกธรรมรักขิต ซึ่งเป็นพระอรหันต์ชนชาติกรีกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ อปรันตกชนบท เชื่อกันว่าได้แก่ ดินแดนชายทะเล อันเป็นเมืองบอมเบย์ในปัจจุบัน 4.6 พระมหารักขิตเถระไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ โยนกประเทศ คือ ดินแดนที่อยู่ในการยึดครองของฝรั่งชาติกรีก ในทวีปเอเชียตอนกลาง เหนืออิหร่านขึ้นไปจนถึงเตอรกีสถาน 4.7 พระมัชฌิมเถระพร้อมพระเถระอีก 4 รูป คือ พระกัสสปโคตตะพระอฬกเทวะ พระทุนทุภิสสระ พระสหัสเทวะ ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ดินแดนแถบภูเขาหิมาลัย 4.8 พระโสณะกับพระอุตตรเถระไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ ดินแดนที่เรียกว่า "สุวรรณภูมิ" เชื่อกันว่าได้แก่ ดินแดนที่เป็นจังหวัดนครปฐมในปัจจุบัน 4.9 พระมหาธรรมรักขิตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่แคว้นมหาราษฎร์ คือ ดินแดนแถบตะวันออกเฉียงเหนือห่างจากเมืองบอมเบย์ในปัจจุบัน การเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระธรรมทูตทุกสายเป็นการไปอย่างเป็นคณะสงฆ์สามารถให้การอุปสมบทแก่กุลบุตรผู้มีศรัทธาได้ ซึ่งท่านบอกไว้เฉพาะหัวหน้าสายเสียส่วนมากนอกจากสายพระมหินเทเถระสายของพระมัชฌิมเถระ
และสายของพระโสณเถระกับพระอุตตรเถระ เพราะศาสนาในดินแดนส่วนนี้มีหลักฐานอาจ สืบค้นได้ในปัจจุบัน เพราะมีการสืบต่อกันมาไม่ขาดสาย โดยเฉพาะจากหลักฐานที่ค้นพบที่นครปฐม บอกว่า พระโสณเถระกับพระอุตตรเถระมาประดิษฐานพระพุทธศาสนาในดินแดนส่วนนี้ เมื่อพ.ศ. 274-304 ซึ่งเป็นปี
1. ในยุคพระเจ้าอโศกมหาราช แม้พระองค์จะทรงนับถือพระพุทธศาสนาและเป็นพุทธมามกะ แต่ทรงให้การยกย่องและสนับสนุนลัทธิศาสนาต่าง ๆ ทุกศาสนาในยุคนั้น แสดงว่าไม่มีใครขาดแคลนลาภสักการะในเรื่องนี้ 2. เดียรถีย์ที่ว่าปลอมบวช ตามหลักฐานคัมภีร์ที่เขียนในลังกา น่าจะเป็นพระในนิกายต่าง ๆ ซึ่งปะปนกันจนแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร ทำให้มีความรังเกียจกันในด้านศีลและทิฏฐิ ถ้าเป็นพวกเดียรถีย์ปลอมบวชจริง ไม่รู้ว่าจะปลอมบวชเข้ามาทำไม เพราะเป็นนักบวชในลัทธิใดก็ได้รับการบำรุงเช่นเดียวกัน หากปลอมเข้ามาบวชจริง แสดงว่าการปกครองในยุคนี้หละหลวมมาก จนไม่อาจเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ เพราะยังมีพระอรหันต์อยู่มาก 3. เรื่องที่พระโมคคลีบุตรติ เถระนำมาวิพากษ์และแก้ทิฏฐิต่าง ๆส่วนมากแล้วเป็นความเชื่อถือของนิกายต่าง ๆ ในพระพุทธศาสนานั้นเอง แต่ไม่ตรงกับหลักการของฝ่ายเถรวาทเท่านั้น 4. การเรียกขานพระพวกอื่นที่ตนไม่ชอบด้วยคำว่า "อลัชชี เดียรถีย์" ท่านผู้รจนาหนังสือของลังกาถนัดมาก ดังนั้นมหาวังสะจึงเรียกท่านวัชชีบุตรว่า "อลัชชี" และเรียกพระที่ถูกจับสึกไปว่า "เดียรถีย์" จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ยิ่งตัวเลขพระที่จับสึกไปมีถึง 60,000 รูป นึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าทำไมจำนวนจึงมากอย่างนั้นประเทศไทยใหญ่กว่าเมืองปาฏลีบุตรเป็นอันมาก พระยังมีประมาณ 300,000 รูปเท่านั้น 5. เรื่องการส่งพระธรรมทูต 9 สายออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ถึงแม้จะไม่ปรากฏในศิลาจารึก แต่จากหลักฐานในที่ต่าง ๆ ที่ขุดค้นพบตอนหลังบ้าง หลักฐานที่สืบต่อกันมาบ้าง แสดงว่ามีการส่งพระออกไปเผยแผ่ศาสนาในส่วนต่าง ๆ ของทวีปเอเชียจริง ๆ ที่น่าเสียดายคือด้านยุโรป แทนที่จะส่งพระภิกษุไป กลับส่งธรรมมหาอำมาตย์ซึ่งเป็นฆราวาสไป เมื่อท่านเหล่านั้นสิ้นชีวิตลง จึงไม่มีใครสืบต่อ หลักธรรมในพุทธศาสนาจึงหายไปจากกรีก แต่ไปปรากฏในปรัชญาสโตอิสม์ของปรัชญาเมธีชื่อ เซโน ซึ่งได้นำหลักธรรมในพระพุทธศาสนาไปสั่งสอนในลัทธิสโตอิสม์ ความว่า "สุขทุกข์ของมนุษย์เราอยู่ที่การปรับปรุงจิตใจให้เข้มแข็ง ไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรมสามารถปลงให้ตกในความเป็นอนิจจังของสังขารธรรม โดยให้เห็นว่าเป็นของธรรมดา แล้วจะมีความสุข" หากในครั้งนั้นได้ส่งพระสงฆ์ไปโดยเฉพาะคือ พระโยนกธรรมรักขิต ให้ไปเผยแผ่ในดินแดนอันเป็นมาตุภูมิของท่านสถาบันสงฆ์ก็จะสามารถตั้งมั่นที่กรีกและจักรวรรดิโรมัน ซึ่งแน่นอนเหลือเกินว่า พระพุทธศาสนาก็จะเผยแผ่อยู่ในทวีปแอฟริกาและยุโรป ก่อนศาสนาคริสต์ถึง 200 ปี จึงไม่เป็นการแปลกอะไรที่นักนิรุกติศาสตร์อย่างศาสตราจารย์เดวิดกล่าวว่า "ก็อด (GOD) เลือนมาจาก อัลเลาะห์ เลือนมาจากคำว่า อรหันต์"
1.สามารถขจัดอลัชชีในพระพุทธศาสนาได้ และรวบรวมพระธรรมวินัยให้บริสุทธิ์ผุดผ่องได้ 2. มีการรวบรวมแยกพระไตรปิฎกเป็น 3 อย่างสมบูรณ์ คือ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก โดยเฉพาะได้บรรจุคัมภีร์กถาวัตถุเข้าในอธิธรรมปิฏกด้วย 3. มีการส่งพระมหาเถระออกไปเป็นพระธรรมทูตในเมืองต่าง ๆ ถึง 9สายสืบต่อพระพุทธศาสนามาจนถึงปัจจุบันในนานาประเทศ
การสังคายนาครั้งที่ 3 ในอินเดีย ทางฝ่ายจีนและทิเบตก็ไม่บันทึกรับรองไว้ เพราะเป็นคนละสาย แต่การสังคายนาครั้งนี้ เป็นที่รู้กันทั่วไปในวงการของผู้ศึกษาพระพุทธศาสนาจึงนับว่ามีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ควรนำมากล่าวไว้ด้วย และเมื่อคิดตามลำดับเวลาแล้วก็นับเป็นสังคายนาครั้งที่ 4 ที่ทำในอินเดีย เมื่อประมาณ ค.ศ. 100 หรือ พ.ศ. 643 เรื่องปีที่ทำสังคายนานี้ หนังสือบางเล่มก็กล่าวต่างออกไปสังคายนาครั้งนี้กระทำ ณ เมืองชาลันธร แต่บางหลักฐานก็ว่า ทำที่กัษมีระหรือแคชเมียร์ รายละเอียดบางประการจะได้กล่าวถึงตอนที่ว่าด้วยการสังคายนาของนิกายสัพพัตถิกวาท มีข้อสังเกต คือหนังสือประวัติศาสตร์ของอินเดียบางเล่ม กล่าวว่า ในค.ศ.634 (พ.ศ.1177) พระเจ้าศีลาทิพย์ได้จัดให้มีมหาสังคายนาขึ้นในอินเดียภาคเหนือ มีกษัตริย์ประเทศราชมาร่วมด้วยถึง 21 พระองค์ พิธีมีพระสงฆ์ผู้คงแก่เรียนและพราหมณ์ผู้ทรงความรู้มาประชุมกัน วันแรกตั้งพระพุทธรูปบูชาในพิธี วันที่ 2 ตั้งรูปสุริยเทพ วันที่ 3 ตั้งรูปพระศิวะการสังคายนาครั้งนี้จึงมีลักษณะผ ม คือ ทั้งพุทธและพราหมณ์ ภิกษุที่เข้าประชุมก็มีทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายาน แต่เมื่อสอบดูหนังสือประวัติของภิกษุเฮี่ยนจัง ซึ่งบันทึกเหตุการณ์ตอนนี้ไว้ด้วย กลายเป็นการประชุมเพื่อให้มาโต้แย้งภิกษุเฮี่ยนจังผู้แต่งตำรายกย่องพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน หาใช่การสังคายนาไม่ ที่บันทึกไว้ในที่นี้เพื่อให้หมดปัญหาประวัติการสังคายนาในประเทศอินเดีย
1. ประสงค์จะบันทึกคัมภีร์ฝ่ายสัพพัตถิกวาทเป็นภาษาสันสกฤต และทำให้พระพุทธศาสนาแบบมหายานมั่นคง
1. มีการเขียนคำอธิบายพระไตรปิฎกหรืออรรถกถาเป็นภาษาสันสกฤต ปิฎกละ 1,000,000 โศลก โดยความอุปถัมภ์ของพระเจ้ากนิษกะและการแนะนำของพระปารศวเถระ 2. มีการประสานความคิดระหว่างนิกายทั้ง 18
นิกาย แล้วจารึกคัมภีร์ทางศาสนาเป็นสัน กฤตครั้งแรก *----------------------------------------------------------------------------------------------------------* การสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 4 มีสาเหตุมาจากอะไรมูลเหตุแห่งการทำสังคายนาครั้งนี้ก็คือ พวกเดียรถีย์หรือนักบวชศาสนาอื่นปลอมเข้ามาบวชแล้วแสดงลัทธิศาสนา และความเห็นของตนว่าเป็นพระพุทธศาสนา พระโมคคัลลีบุตร ติสสเถระ ได้ขอความอุปถัมภ์จากพระเจ้าอโศกมหาราช ชำระสอบสวน กำจัดเดียรถีย์เหล่านั้นจากพระธรรมวินัยแล้ว จึงทำสังคายนาพระธรรมวินัย
การสังคายนาครั้งที่ 4 เกิดขึ้นที่ใดการทำสังคายนาครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 236 การสังคายนาครั้งที่ 4 ในอินเดียเกิดขึ้นที่ชาลันธร หรือบางหลักฐานคือกัษมีร์ ในรัชสมัยของพระเจ้ากนิษกะ แต่เป็นการสังคายนาของนิกายมหายาน ฝ่ายเถรวาทจึงไม่ยอมรับว่าเป็นการสังคายนา
การสังคายนาครั้งที่ 5 เกิดขึ้นที่ใดการทำสังคายนาครั้งที่ 5 นี้ จัดขึ้นที่มหาวิหาร ประเทศลังกา เมื่อพุทธศักราช 450 ปี (บางแห่งเป็น พ.ศ. 433) สาเหตุของการจำทำครั้งนี้เกิดจากพระราชดำริของพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย (บางแห่งเป็นทุฏฐคามินีอภัย) กษัตริย์ปกครองลังกา ที่ว่าเมื่อกาลเวลาล่วงไป หากยังคงใช้วิธีการท่องจำพระพุทธวจนะ โดยไม่มีการจารึกไว้หเป็นลายลักษณ์อักษร ...
การสังคายนาครั้งที่ ๑ เรียกว่าการสังคายนาอะไร เกิดขึ้นที่ใดการสังคายนาครั้งที่ 1 ของลังกาเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 238 หลังจากพระมหินทเถระเดินทางไปเผยแผ่ศาสนาในลังกาได้ไม่นาน ทั้งนี้เพื่อวางรากฐานการท่องจำพระพุทธวจนะ จึงมีการประชุมชี้แจงแสดงพระพุทธวจนะตามแนวที่ได้จัดระเบียบไว้ในสังคายนาครั้งที่ 3 (ของเถรวาท) ในประเทศอินเดีย
|