ทำผมเกล้ามวย หรือถักเปียเป็นจอมสูงเหนือศีรษะ ใช้ผ้าสลับสีรัดเกล้าไว้ตรงกลาง แล้วปล่อยชายผมลงมาหรือเกล้าแล้วรัดเกล้าไว้ไม่ปล่อยชายผมหรือถักเปียเป็นจอม สูงเหนือ ศีรษะรัดตรงกลางให้ตอนบนสยายออก เครื่องประดับ ต่างหูเป็นแผ่นกลม หรือเป็นห่วงกลม สายสร้อยทำเป็นแผ่นทับทรวงรูป สี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนเป็นลวดลายนก ต้นแขนประดับด้วยกำไลเล็ก ๆ ทำด้วยทองคำสำริด และ ลูกปัดสีต่าง ๆ สวมกำไลมือหลายเส้น เครื่องแต่งกาย นุ่งผ้าซิ่นจีบพื้น หรือลวดลาย ย้อมสีกรัก (สีจากแก่นขนุน) ทบซ้อนกัน ข้างหน้าทิ้งชายแนบลำตัว ไม่สวมเสื้อ ห่มผ้าสะไบเฉียงบ่าซ้ายไพล่มาข้างขวา เป็นผ้า ฝ้ายบางจีบไม่สวมรองเท้า ลักษณะการแต่งกายของชาย ผม ถักเปียเป็นหลอดยาวประบ่า หรือเกล้าสูงรัดด้วยผ้า หรือเครื่องประดับแล้วปล่อย ชายผมกลับลงมา เกล้าเป็นจุกก็มี เครื่องประดับ ใส่กรองคอ กำไลแขน ต่างหู เข็มขัดโลหะคาดเอว สมัยศรีวิชัย (ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 13-18) ลักษณะการแต่งกายของหญิง ผม เกล้ามวยสูงทำเป็นพุ่มทรงข้าวบิณฑ์ สวมกลีบรวบด้วยรัดเกล้า ปล่อยชายปรกลง มาด้านหน้า บางทีมุ่นมวยเป็นทรงกลมเหนือศีรษะใช้รัดเกล้าเป็นชั้น ๆ แล้วปล่อยชายผมลงประบ่า ทั้ง 2 ข้าง หรือถักเปีย เครื่องประดับ ประดับด้วยรัดเกล้า ตุ้มหูแผ่นกลมเป็นกลีบดอกไม้ ใส่กรองคอทับทรวง ใส่กำไรต้นแขนทำด้วยโลหะ หรือลูกปัดร้อยเป็นพวงอุบะ ใส่กำไลมือและเท้า เครื่องแต่งกาย นุ่งผ้าครึ่งแข้งปลายบานยกขอบ ผ้าผืนเดียวบางแนบเนื้อคล้ายผู้ชาย ขอบผ้าชั้น บนทำเป็นวงโค้งเห็นส่วนท้อง คาดเข็มขัดปล่อยชายผ้าลงทางด้านขวา ลักษณะการแต่งกายของชาย ผม เกล้ามวยเป็นกระพุ่มเรียงสูง ด้วยเครื่องประดับ ปล่อยปลายผมสยายลงรอบศีรษะ เป็นชั้น ๆ บางทีปล่อยชายผมชั้น ล่างสยายลงประบ่า สมัยลพบุรี (ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 16-19) ลักษณะการแต่งกายของผู้หญิง ผม ผมแสกกลาง ตอนบนมุ่นเป็นมวย ปักด้วยปิ่นยอดแหลม เครื่องแต่งกาย ไม่สวมเสื้อ นุ่งผ้าให้ชายซ้อนกันตรงหน้า แล้วปล่อยชายออก 2 ข้าง เป็นปลี บางทีปล่อยชายยาวลงถึงสะโพกทั้งขวาและซ้าย เป็นชายไหว คาดเข็มขัด ปลายทำเป็น พู่คล้ายกรวยเชิงห้อยเรียงเป็นแถว ไม่สวมรองเท้า ลักษณะการแต่งกายของผู้ชาย ผม เกล้าผมเหนือศีรษะ เครื่องแต่งกาย นุ่งผ้าถุงสูง ขวาทับซ้ายแล้วทิ้งชายเป็นกาบใหญ่ คาดเข็มขัด นุ่งสั้น เหนือเข่าทิ้งชายพกออกมา ข้าหน้าเป็นแผ่นใหญ่ ไม่สวมรองเท้า สมัยเชียงแสน (ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 18 – 24) ลักษณะการแต่งกายของผู้หญิง ผม ผมทรงสูง เกล้าผมไว้ตรงกลาง ลักษณะการแต่งกายของผู้ชาย ผม ไว้ผมทรงสูง สวมเครื่องประดับศีรษะ สมัยสุโขทัย (ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 19 – 20) ลักษณะการแต่งกายของผู้หญิง ผม ผมยาวเกล้ามวยบนศีรษะ มีพวงดอกไม้หรือพวงมาลัยสวมรอบมวย หรือไว้ผมแสก กลางรวบผมไว้ท้ายทอย มีเกี้ยวหรือห่วงกลมคล้องตรงที่รวบ เครื่องประดับ กรองคอ รัดแขน กำไลมือและกำไลเท้า เครื่องปักผมเป็นเข็มเงิน เข็ม ทอง ใส่แหวน รัดเกล้า ผม มุ่นผม หรือปล่อยผมเมื่อยามพักผ่อนอยู่บ้าน เครื่องประดับ กษัตริย์จะสวมเทริด กำไล เพชร พลอยสี สมัยอยุธยา (สมัยที่ 1 พ.ศ. 1893 ถึง พ.ศ. 2031) หญิง ผม ยังคงเกล้าผม การเกล้ามี 2 แบบ คือ เกล้าไว้ท้ายทอย และเกล้าสูงบน(หนูนหยิก) ศีรษะมีเครื่องประดับเรียกว่า เกี้ยว เป็นเครื่องรัดมวยผม ชาย ผม มหาดเล็กและคนรับใช้ตัดผมสั้น ชายยังคงเกล้าผมกลางกระหม่อมเช่นเดียวกับ หญิง เครื่องแต่งกาย นุ่งกางเกงยาวลงมาแค่หน้าแข้ง ปลายขาเรียวเล็กกว่าเดิม นุ่งผ้าหยักรั้ง แบบเขมรซ้อนทับกางเกง ชายผ้ายาวเสมอเข่า ใช้ผ้าคาดเอว สวมเสื้อคอแหลม แขนยาวจรดข้อมือ ผ่าอก สาบซ้ายทับสาบขวา มีผ้ากุ๊นตรงปลายแหลม คอ สาบหน้า และชายเสื้อ สมัยอยุธยา (สมัยที่ 2 พ.ศ. 2034-2171) หญิง ผม ตัดผมสั้น หวีเสยขึ้น ไปเป็นผมปีก บ้างก็ยังไว้ผมยาวเกล้าบนศีรษะ เลิกเกล้าเมื่อ พ.ศ. 2112เพราะต้องทำงานหนักไม่มีเวลาเกล้าผม ชาย ผม ตัดผมสั้น แสกกลาง สมัยอยู่ธยา (สมัยที่ 3 พ.ศ. 2173 – พ.ศ. 2275) หญิง ผม สตรีในสำนักไว้ผมแบบหญิงพม่าและล้านนาไทย คือ เกล้าไว้บนกระหม่อมแล้ว คล้องด้วยมาลัย ถัดลงมาปล่อยผมสยายยาว ส่วนหญิงชาวบ้านตัดผมสั้น ตอนบนแล้วถอนไรผม รอบ ๆ ผมตอนที่ถัดลงมาไว้ยาวประบ่า เรียกว่า “ผมปีก” บางคนโกนท้ายทอย คนรุ่นสาวไว้ผม ดอกกระทุ่มไม่โกนท้ายทอยปล่อยยาวเป็นรากไทร ชาย ผม ตัดสั้น ทรงมหาดไทย (คงไว้ตอนบนศีรษะรอบๆ ตัดสั้น และโกนท้ายทอย) สมัยอยุธยา (สมัยที่ 4 พ.ศ. 2275 ถึง พ.ศ. 2310) การแต่งผม มี 4 แบบ คือ
เครื่องประดับ นิยมสวมเทริด สวมกำไลข้อมือหลายอัน มีสร้อยข้อมือที่ใหญ่กว่าสมัยใด สร้อยตัวสวมเฉียงบ่ามีลวดลายดอกไม้ สิ่งที่ใหม่กว่าสมัยใดคือ สวมแหวนก้อยชนิดต่าง ๆ และ แหวนงูรัดต้นแขน ชาย ผม ไว้ทรงมหาดไทย ทาน้ำมันหอม การแต่งกาย สวมเสื้อคอกลมสวมศีรษะ แขนยาวเกือบจรดศอก มีผ้าห่มคล้องคอแล้ว ตลบชายทั้งสองไปข้างหลัง นุ่งโจงกระเบน ส่วนเจ้านายจะทรงสนับเพลาก่อน แล้วทรงภูษา จีบโจง มีไหมถักรัดพระองค์ แล้วจึงทรงฉลองพระองค์ คาดผ้าทิพย์ทับฉลองพระองค์อีกที สมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1-3 พ.ศ. 2325 – 2394 ระยะ 69 ปี หญิง ผม ไว้ผมปีกประบ่ากันไรผมวงหน้าโค้ง ส่วนบนกระหม่อมกันไรผมเป็นหย่อมวงกลม แบ่งผมออกดูคล้ายปีกนก จึงเรียกผมปีก แต่ไม่ยาวเท่าสมัยอยุธยา ปล่อยจอน ข้างหูยาวแล้ว ยกขึ้น ทัดไว้ที่หู เรียกว่า “จอนหู” ส่วนเด็ก ๆ นิยมไว้ผมจุก การแต่งกาย นุ่งผ้าจีบ ห่มสไบเฉียง ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากสมัยอยุธยา ชาวบ้านนุ่งผ้าถุง หรือโจงกระเบน สวมเสื้อรัดรูปแขนกระบอก ห่มตะเบงมาน หรือผ้าแถบคาดรัดอก และห่มสไบ เฉียงทับ ชาย ผม ยังคงไว้แบบเดียวกับสมัยอยุธยา คือ ทรงมหาดไทย ชาวบ้านเรียกว่า “ทรงหลักแจว” รัชกาลที่ 4 พ.ศ. 2394 – 2411 ระยะ 17 ปี หญิง การแต่งกาย นุ่งผ้าลายโจงกระเบน นุ่งผ้าจีบ ใส่เสื้อผ่าอก คอตั้งเตี้ย ๆ ปลายแขน แคบยาวถึงข้อมือ เสื้อพอดีตัวยาวเพียงเอว เรียกว่า เสื้อกระบอกแล้วห่มแพรสไบจีบเฉียงบนเสื้อ อีกที (ต่อมาเรียกว่า “แพรสพาย” ในสมัยรัชกาลที่ 5) ชาย รัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2411 – 2453) ระยะ 42 ปี ต้นสมัยรัชกาลที่ 5 หญิง ผม เลิกไว้ผมปีก หันมาไว้ผมยาวประบ่า กลางสมัยรัชกาลที่ 5 หญิง ไว้ผมยาวเสมอต้นคอ ปลายรัชกาลที่ 5 หญิง สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว หญิง
สมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 (พ.ศ. 2468 – 2477) ระยะ 9 ปี สตรีไทยสมัยนี้แต่งกายแบบตะวันตกมากขึ้น เลิกนุ่งโจงกระเบน นุ่งซิ่นแค่เข่า สวมเสื้อ ทรงกระบอกตัวยาวคลุมสะโพก ไม่มีแขน จะเป็นเอกลักษณ์ของสมัยนี้ ไว้ผมสั้น ดัดลอน นิยมดัดผม มากขึ้น ชายนิยมนุ่งกางเกงแบบสีต่าง ๆ เช่นเดียวกับผ้าม่วง ข้าราชการนุ่งผ้าม่วงสีน้ำเงิน เสื้อ ราชปะแตน สวมถุงเท้า รองเท้า สวมหมวกสักหลากมีปีกหรือหมวกกะโล่ ราษฎรยังคงนุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อธรรมดา ไม่สวมรองเท้า ใน พ.ศ. 2475 ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นการสิ้นสุด ระบบสมบูรณาญาสิทธิราช เป็นการปกครองระบบประชาธิปไตย คนไทยสนใจกับอารยธรรม ตะวันตกอย่างเต็มที่ การแต่งกายมีการเลียนแบบฝรั่งมากขึ้น ให้นุ่งกางเกงขายาวแทนการนุ่งผ้าม่วง สมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 (พ.ศ. 2477 – 2489) ระยะ 12 ปี หญิง สวมเสื้อแบบไหนก็ได้ แต่ต้องคลุมไหล่ นุ่งผ้าถุง ต่อมานุ่งกระโปง หรือผ้าถุงสำเร็จ สวมรองเท้า สวมหมวก เลิกกินหมาก สตรีสูงอายุไม่คุ้นกับการนุ่งผ้าถุงก็จะนุ่งโจงกระเบนไว้ข้างใน สมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ชุดไทยพระราชนิยม ได้แก่ ไทยเรือนต้น ใช้แต่งในงานที่ไม่เป็นพิธี และต้องการความสบาย เช่น ไปเที่ยว ไทยจิตรลดา เป็นชุดไทยพิธีกลางวัน ใช้รับประมุขต่างประเทศเป็นทางการหรืองาน สวนสนาม ไทยอมรินทร์ สำหรับงานเลี้ยงรับรองตอนหัวค่ำ อนุโลมไม่คาดเข็มขัดได้ ไทยบรมพิมาน ชุดไทยพิธีตอนค่ำ คาดเข็มขัด ไทยจักรี คือชุดไทยสไบ ไทยดุสิต สำหรับงานพิธีตอนคํ่า จัดให้สะดวกสำหรับสวมสายสะพาย ไทยจักรพรรดิ เป็นแบบไทยแท้ ไทยศิวาลัย เหมาะสำหรับเมื่ออากาศเย็น อ้างอิงจากเว็บไซต์ : [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา http://www.baanjomyut.com/library_2/history_of_costume |