302 Foundnginx/1.20.1 จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ความสัมพันธ์จีน–ไทย
ความสัมพันธ์จีน–ไทย ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2518 หลังจากเจรจากันมาหลายปี[1][2] ซึ่งเป็นเวลานานแล้ว ที่ประเทศไทยหรือในชื่อเดิมคือสยามได้เป็นประเทศที่แน่นแฟ้นต่อจีนอย่างมาก และโดยปกติแล้ว ชาวจีนก็แสดงความนับถือสยามอย่างสูงโดยรับรองสัมพันธไมตรีต่อกัน อย่างไรก็ตาม หลังจากที่จอมพล แปลก พิบูลสงคราม พยายามลบล้างและขัดขวางชาวจีน ความรู้สึกชื่นชอบของคนไทยที่มีต่อจีนได้รับความสูญเสียอย่างหนัก ขณะนี้ อาจมีการแย่งชิงอำนาจระหว่างสหรัฐและจีน เนื่องจากการปรากฏตัวของทั้งสองประเทศในไทยทวีความรุนแรงขึ้น[3] จีนยังคงเป็นพันธมิตรที่สำคัญของไทย ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากอิทธิพลและความโดดเด่นในภูมิภาค[4][5][6][7][8] ประวัติ[แก้]สมัยใหม่[แก้]ระหว่างการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ความตึงเครียดระหว่างทั้งสองประเทศรุนแรงขึ้นจากสงครามเย็น แต่จอมพลแปลกได้ส่งลูก ๆ ของสังข์ พัธโนทัย ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของเขาไปอาศัยอยู่ในประเทศจีนด้วยท่าทีปรารถนาดี แต่ยังเป็นการลับหลังอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งหนังสือมุกมังกรที่เขียนโดยสิรินทร์ ลูกสาวของสังข์ พัธโนทัย ได้เล่าถึงประสบการณ์ของเธอที่เติบโตขึ้นในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรมในประเทศจีน ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2506 พระมหากษัตริย์ไทยภูมิพลอดุลยเดชและพระมเหสีได้เสด็จเยือนไทเป ณ สาธารณรัฐจีน (ROC) ส่วนใน พ.ศ. 2512 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เจียง จิ่งกั๊วะ ได้เยือนกรุงเทพมหานครในฐานะทูตพิเศษของรัฐบาลสาธารณรัฐจีนเพื่อเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์ไทย ทั้งนี้ ประเทศไทยได้เปลี่ยนความสัมพันธ์ทางการทูตจากสาธารณรัฐจีนเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีนในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2518[9] ก่อน พ.ศ. 2518 ความสัมพะนธ์ระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับไทยเป็นหนึ่งในความหวาดระแวงซึ่งกัน เนื่องจากสาธารณรัฐประชาชนจีนสนับสนุนกลุ่มที่เอียงซ้ายในแวดวงการเมืองไทย และไทยได้ระมัดระวังการมีส่วนร่วมของจีนกับความขัดแย้งของประเทศกัมพูชา[1] ความสัมพันธ์สาธารณรัฐประชาชนจีน–ไทย พัฒนาไปในทางบวกใน พ.ศ. 2521 เมื่อสาธารณรัฐประชาชนจีนยังคงให้การสนับสนุนไทยในช่วงที่กัมพูชามีความขัดแย้งภายใน โดยกองกำลังมาร์กซิสต์จากประเทศเวียดนามได้ขับไล่เขมรแดงผู้นับถือลัทธิเหมาออกจากอำนาจ และคุกคามความมั่นคงของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้[10] นับตั้งแต่ไทยเชื้อสายจีนเข้าครอบงำเศรษฐกิจไทยตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1950 ธุรกิจชาวไทยเชื้อสายจีนได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายไผ่[11] ซึ่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี กรุ๊ป) กลุ่มบริษัทไทยที่มีชื่อเสียงซึ่งก่อตั้งโดยตระกูลเจียรวนนท์เชื้อสายไทย–จีน เป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดรายเดียวในประเทศจีน[12] ส่วนใน พ.ศ. 2537 ผู้นำไต้หวัน หลี่ เติงฮุย ได้มาเยือนประเทศไทยเป็นการส่วนตัว และเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทพระมหากษัตริย์ไทยเพื่อหารือเกี่ยวกับโครงการเกี่ยวกับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ[9] สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์รัฐมิตราภรณ์ และรางวัลมิตรภาพภาษาและวัฒนธรรมจีน จากงานส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างสองประเทศ พระองค์ตรัสภาษาจีนกลางได้อย่างคล่องแคล่ว และได้แปลนวนิยายจีนหลายเล่มเป็นภาษาไทย[13] ประเทศไทยมีนโยบายปรับปรุงความสัมพันธ์กับจีนตั้งแต่รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 เมื่อความสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศตะวันตกแย่ลง[14] ในสภาผู้แทนราษฎรไทยมีความกังวลเกี่ยวกับอิทธิพลของจีนที่เพิ่มขึ้นในประเทศ และบางส่วนเรียกประเทศไทยว่าเป็นมณฑลของประเทศจีน โดยจีนได้ครอบครองที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ทำให้จีนสามารถสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขงได้ รวมถึงบริษัทเอกชนจีนลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์รถไฟความเร็วสูงของไทย[15] ความสัมพันธ์ทวิภาคี[แก้]ความสัมพันธ์ทางการค้าทวิภาคีเติบโตขึ้นทุกปี[16] การค้าทวิภาคีจีน-ไทยใน พ.ศ. 2542 มีมูลค่า 4.22 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[16] ซึ่งมีมูลค่าถึง 25.3 พันล้านดอลลาร์ใน พ.ศ. 2549, 31.07 พันล้านดอลลาร์สหรัฐใน พ.ศ. 2550 และ 36.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐใน พ.ศ. 2551[17] การเปลี่ยนแปลงของจีนในคริสต์ศตวรรษที่ 21 ไปสู่อำนาจทางเศรษฐกิจที่สำคัญได้นำไปสู่การเพิ่มการลงทุนจากต่างประเทศในเครือข่ายไผ่ ซึ่งเครือข่ายธุรกิจจีนโพ้นทะเลที่ดำเนินงานในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความสัมพันธ์ในครอบครัวและวัฒนธรรมร่วมกัน[18][11] ความสัมพันธ์ทางการทหาร[แก้]นายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้สั่งซื้อรถถังหลักวีที-4 ของจีน 49 คัน และเรือดำน้ำ 3 ลำ ซึ่งมีราคากว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[19][20] จีนและไทยกำลังวางแผนที่จะเปิดโรงงานผลิตอาวุธร่วมในเทศบาลนครขอนแก่น[19] ซึ่งจะรับผิดชอบการประกอบ, การผลิต และการบำรุงรักษาระบบอาวุธภาคพื้นดินสำหรับกองทัพบกไทย รายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงอาจมีการหารือเพิ่มเติมระหว่างกระทรวงและนอริงโก ซึ่งสร้างรถถังและอาวุธในเครื่องจักรกลหนักอื่น ๆ ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2560 กองทัพเรือไทยได้ลงนามในสัญญากับบริษัทอุตสาหกรรมการต่อเรือแห่งประเทศจีนสำหรับเรือดำน้ำพลังดีเซล-ไฟฟ้า เอส26ที ซึ่งมีกำเนิดมาจากเรือดำน้ำแบบ 039A[20] โดยคาดว่าจะส่งมอบเรือดำน้ำใน พ.ศ. 2566[20] โจว เฉินหมิง ซึ่งเป็นผู้บรรยายข่าวกองทัพจีน กล่าวว่าจีนน่าจะให้คำแนะนำทางเทคนิคแก่ประเทศไทยเช่นกัน[20] ดูเพิ่ม[แก้]
อ่านเพิ่ม[แก้]
อ้างอิง[แก้]
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]หนังสือและบทความ[แก้]
เว็บไซต์[แก้]
|