ตลาดผูกขาดกับตลาดแข่งขันสมบูรณ์แตกต่างกันอย่างไร

ตลาดผูกขาดกับตลาดแข่งขันสมบูรณ์แตกต่างกันอย่างไร

ตลาดแข่งขันไม่สมบรูณ์
         ตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ ตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์เป็นลักษณะของตลาดสินค้าอุตสาหกรรมเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งในตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ประกอบด้วยตลาด 3 ลักษณะ คือ ตลาดผูกขาด ตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด และตลาดผู้ขายน้อยราย เส้นอุปสงค์หรือเส้นราคาและเส้นรายรับส่วนเพิ่มในตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์  ซึ่งประกอบด้วยตลาดทั้งสามลักษณะนั้นมีลักษณะเหมือนกัน  การอธิบายดุลยภาพในตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์จะใช้เส้นอุปสงค์และเส้นรายรับเพิ่มในลักษณะเดียวกัน ซึ่งในบทนี้จะศึกษาลักษณะของตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ การกำหนดราคาในตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์และศึกษาตลาดผูกขาดก่อน
ลักษณะของตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์
         1. ผู้ขายมีจำนวนไม่มาก ในตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ลักษณะของตลาดจะตรงกันข้ามกับตลาดแข่งขันสมบูรณ์ ผู้ขายมีจำนวนไม่มาก อาจเนื่องจากเป็นกิจการที่ผูกขาดโดยรัฐ หรือการให้สัมปทานแก่เอกชนโดยรัฐ จำนวนผู้ผลิตไม่มากอาจด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ซับซ้อน การลงทุนที่สูงเกินไป เป็นต้น
         2. ลักษณะสินค้าไม่เหมือนกันทุกประการ สินค้ามีลักษณะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันอาจจะแตกต่างกันที่คุณภาพ การบริการ การโฆษณา บรรจุ หีบห่อ หรือต่างกันที่ รุ่น
         3. การเข้าหรือออกจากการผลิตทำได้ยาก การเข้าไปผลิตแข่งขัน หรือออกจากการผลิตทำได้ยากเนื่องจาก ต้องมีลิขสิทธิ์ มีเทคโนโลยี และมีการลงทุนที่สูงในการผลิต ดังนั้นการเข้าไปผลิตแข่งขันทำได้ยากและการจะออกจากการแข่งขัน หรือเลิกกิจการก็ทำได้ยาก เช่นกันเนื่องจากการลงทุนที่สูง และสัญญาการลงทุนบางประการ
         4. ความรู้ในเรื่องการตลาดไม่สมบูรณ์ ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายไม่มีความรู้เรื่องการตลาดหรือข้อมูลการตลาดอย่างสมบูรณ์ทำให้ราคาแตกต่างกัน
         การกำหนดราคาในตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ เนื่องจากในตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ราคามีหลายระดับราคา การกำหนดราคาในตลาดแบบต่าง ๆ ก็จะกำหนดราคาแตกต่างกัน

ตลาดผูกขาดกับตลาดแข่งขันสมบูรณ์แตกต่างกันอย่างไร

          https://www.l3nr.org/posts/261204

ตลาดผูกขาดกับตลาดแข่งขันสมบูรณ์แตกต่างกันอย่างไร

ประเภทของตลาดในทางเศรษฐศาสตร์ มี 2 ประเภทคือ

1. ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ (perfect competitive market) มีผู้ขายจำนวนมากและขายสินค้าเหมือนกัน
2. ตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ (imperfect competitive market)

ตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท
1. ตลาดผูกขาด (monopoly) มีผู้ขายรายเดียวขายสินค้าไม่สามารถทดแทนได้
2. ตลาดผู้ขายน้อยราย (oligopoly) ผู้ขายมีน้อยรายขายสินค้าคล้ายกัน หรือแตกต่างกันแต่ทดแทนกันได้
3. ตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด (monopolistic competition) ตลาดที่มีผู้ซื้อเป็นจำนวนมาก แต่ผู้ขายมีความพอใจจะขายให้แก่ผู้ซื้อบางคนเท่านั้น
1. ตลาดที่มีการแข่งขันสมบูรณ์ (competitive market) หรืออาจเรียกว่าตลาดที่มีการแข่งขันอย่างสมบูรณ์ (perfect or pure competition) ตลาดประเภทนี้มีอยู่น้อยมากในโลกแห่งความเป็นจริง อาจกล่าวได้ว่าเป็นตลาดในอุดมคติ (ideal market) ของนักเศรษฐศาสตร์ ตลาดชนิดนี้เป็นตลาดที่ราคาสินค้าเกิดขึ้นจากแรงผลักดันของอุปสงค์และอุปทาน โดยแท้จริง ไม่มีปัจจัยอื่นๆมาผลักดันในเรื่องราคา ลักษณะสำคัญของตลาดประเภทนี้ คือ
1. มีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมาก (many buyers and sellers) แต่ละรายมีการซื้อขายเป็นส่วนน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนผู้ซื้อและผู้ขาย ทั้งหมดในตลาด การซื้อขายสินค้าของผู้ซื้อหรือผู้ขายแต่ละรายไม่มีอิทธิพลต่อการกำหนดราคา ในตลาด กล่าวคือ ถึงแม้ผู้ซื้อหรือผู้ขายจะหยุดซื้อหรือขายสินค้าของตนก็จะไม่กระทบกระเทือน ต่อปริมาณสินค้าทั้งหมดในตลาด เพราะผู้ซื้อหรือผู้ขายแต่ละคนจะซื้อสินค้าหรือขายสินค้าเป็นจำนวนเล็กน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณสินค้าทั้งหมดที่มีอยู่ในตลาด
2. สินค้าที่ซื้อหรือขายจะต้องมีลักษณะเหมือนกัน (homogeneity) สามารถที่จะใช้แทนกันได้อย่างสมบูรณ์ในทรรศนะหรือสายตาของผู้ซื้อ ไม่ว่าจะซื้อสินค้าประเภทเดียวกันนี้จากผู้ขายคนใดก็ตามผู้ซื้อจะได้รับความ พอใจเหมือนกัน เช่น ผงซักฟอก ถ้าตลาดมีการแข่งขันกันอย่างแท้จริงแล้ว ผู้ซื้อจะไม่มีความรู้สึกว่าผงซักฟอกแต่ละกล่องในตลาดมีความแตกต่างกัน คือใช้แทนกันได้สมบูรณ์ แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่ผู้ซื้อมีความรู้สึกว่าสินค้ามีความแตกต่าง เมื่อนั้นภาวะของความเป็นตลาดแข่งขันอย่างสมบูรณ์ก็จะหมดไป
3. ผู้ซื้อและผู้ขายจะต้องมีความรอบรู้ในภาวะของตลาดอย่างสมบูรณ์ คือ มีความรู้ภาวะของอุปสงค์ อุปทาน และราคาสินค้าในตลาด สินค้าชนิดใดมีอุปสงค์เป็นอย่างไร มีอุปทานเป็นอย่างไร ราคาสูงหรือต่ำก็สามารถจะทราบได้
4. การติดต่อซื้อขายจะต้องกระทำได้โดยสะดวก หมายความว่าทั้งผู้ซื้อและผู้ขายสามารถทำการติดต่อค้าขายกันได้อย่างสะดวก และรวดเร็ว รวมถึงการเคลื่อนย้ายปัจจัยการผลิตจะต้องเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็วด้วย
5. หน่วยธุรกิจสามารถเข้าหรือออกจากธุรกิจการค้าโดยเสรี ตลาดประเภทนี้จะต้องไม่มีข้อจำกัดหรือข้อกีดขวางในการเข้ามาประกอบธุรกิจของ นักธุรกิจรายใหม่ หมายความว่าหน่วยการผลิตใหม่ๆจะเข้ามาประกอบกิจการแข่งขันกับหน่วยธุรกิจที่ มีอยู่ก่อนเมื่อใดก็ได้ หรือในทางตรงกันข้ามจะเลิกกิจการเมื่อใดก็ได้
ตลาดที่มีการแข่งขันอย่างไม่สมบูรณ์ พิจารณาในด้านผู้ขาย แบ่งออกเป็น
1. ตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด (monopolistic competition) ตลาดประเภทนี้มีลักษณะที่สำคัญ คือ มีผู้ซื้อและผู้ขายเป็นจำนวนมาก และทั้งผู้ซื้อและผู้ขายต่างมีอิสระเต็มที่ในการที่จะวางนโยบายการขายและการ ซื้อของตนโดยไม่กระทบกระเทือนคนอื่น แต่สินค้าที่ผลิตมีลักษณะหรือมาตรฐานแตกต่างกันถือเป็นสินค้าอย่างเดียวกัน แต่ก็มีหลายตรา หลายยี่ห้อ การบรรจุหีบห่อ การโฆษณาต่างกัน เป็นเหตุให้ผู้ซื้อชอบหรือพึงใจในสินค้ายี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่งโดยเฉพาะทำให้ ผู้ขายสามารถกำหนดราคาสินค้าของตนได้ทั้ง ๆ ที่ผู้ขายในตลาดชนิดนี้ต้องแข่งขันกับผู้ขายรายอื่น เช่น สินค้าผงซักฟอก สบู่ ยาสีฟัน ฯลฯ
2. ตลาดที่มีผู้ขายน้อยราย (oligopoly) ตลาดประเภทนี้จะมีผู้ขายเพียงไม่กี่ราย และผู้ขายแต่ละรายจะขายสินค้าเป็นจำนวนมาก เมื่อเทียบกับปริมาณสินค้าทั้งหมดในตลาด ถ้าหากว่าผู้ขายรายใดเปลี่ยนราคาหรือนโยบายการผลิตและการขายแล้วก็จะกระทบ กระเทือนต่อผู้ผลิตรายอื่น ๆ เช่น บริษัทผู้ขายน้ำมันในประเทศไทยซึ่งมีเพียงไม่กี่ราย ผู้ขายแต่ละบริษัทจะต้องวางนโยบายของตนให้สอดคล้องกับนโยบายของบริษัทอื่น ๆ เพื่อที่จะดำเนินการค้าร่วมกันอย่างราบรื่น และผู้ขายทุกคนก็มีอิทธิพลต่อการกำหนดราคาและปริมาณสินค้าในตลาด ถ้าบริษัทใดเปลี่ยนนโยบายการขายย่อมมีผลกระทบกระเทือนต่อสินค้าชนิดนั้น ๆ ทั้งหมด เช่น ถ้าบริษัทใดบริษัทหนึ่งลดราคา สินค้าของคู่แข่งขัน ก็จะลดราคาลงด้วยเพื่อรักษาระดับการขายไว้
3. ตลาดผูกขาด (monopoly) คือตลาดที่มีผู้ขายอยู่เพียงคนเดียว ทำให้ผู้ขายมีอิทธิพลเหนือราคาและปริมาณสินค้าอย่างสมบูรณ์ในการที่จะเพิ่ม หรือลดราคาและควบคุมจำนวนขายทั้งหมด (total supply) ได้ตามต้องการ ส่วนมากจะเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ใช้เงินลงทุนมาก มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กรายอื่น ๆ ไม่สามารถเข้ามาแข่งขันได้ ตลาดประเภทนี้ ได้แก่ บริษัทผลิตเครื่องบิน เครื่องจักรกล หรือกิจการสาธารณูปโภค เช่น การเดินรถประจำทาง โรงงาน ยาสูบ ไฟฟ้า น้ำประปา โทรศัพท์ เป็นต้น
บทบาทของรัฐในการแทรกแซงเศรษฐกิจ
การประกันราคามี 2 แบบ คือ
การประกันราคาขั้นต่ำ คือการที่รัฐบาลออกกฎหมายควบคุมราคมไม่ให้มีการซื้อขายกันต่ำกว่าราคาที่ กำหนด เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร เนื่องจากผลผลิตทางการเกษตรมักมีราคาต่ำ
การ ประกันราคาขั้นสูง การที่รัฐบาลออกกฎหมายควบคุมราคมไม่ให้มีการซื้อขายกันเกินกว่าราคาที่กำหนด เพื่อช่วยผู้บริโภค เวลาที่เศรษฐกิจมีภาวะเงินเฟ้อ
การพยุงราคา คือ การแทรกแทรงโดยรัฐบาลโดยใช้นโยบายทางเศรษฐกิจเพื่อทำให้ราคาสินค้าไม่ให้ลดลงหรือสูงขึ้น
การให้เงินอุดหนุนคือ การที่รัฐบาลกำหนดราคาขั้นต่ำไว้ แล้วปล่อยให้มีการซื้อขายตามกลไกตามตลาดไปก่อน จากนั้นรัฐบาลจึงจ่ายเงินอุดหนุนให้เกษตกรเท่ากับส่วนต่างของราคาประกับกับ ราคาตลาด
การลดปริมาณการผลิต
ข้อดี รายได้เกษตรกรเพิ่ม รัฐไม่รับภาระในผลผลิตส่วนเกิน
ข้อเสีย ผู้บริโภคซื้อสินค้าในราคาที่สูงขึ้น

การกำหนดราคาขั้นสูง เป็นมาตรการที่รัฐบาลควบคุมราคาเพื่อให้ความ ช่วยเหลือผู้บริโภคที่ได้รับความเดือดร้อนจากการที่สินค้าที่จำเป็นแก่การ ดำรงชีวิตมีราคาสูงขึ้น การควบคุมราคาขั้นสูงรัฐบาลจะกำหนดราคาขายสูงสุดของสินค้านั้นไว้และห้ามผู้ ใดขายสินค้าเกินกว่าราคาที่รัฐบาลกำหนด
ผลที่ตามมา คือ
เกิดการขายแบบใครมาก่อนได้ก่อน รอคิวยาว สูญเสียด้านเวลา
เกิดการลดคุณภาพสินค้า เพื่อลดต้นทุน
เกิดการลักลอบซื้อขายสินค้า โดยราคาซื้อขายจะสูงกว่าราคาขั้นสูง
ต้องใช้ร่วมกับมาตรการอื่น เพื่อกระจายสินค้าให้ครอบคลุม เช่น การแจกคูปอง

https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=393718314015526&id=382968295090528อ้างอิง