การขับถ่ายเรื่องปกติที่ทุกคนต้องทำเป็นกิจวัตร แต่ความเป็นจริงแล้วอาจมีอันตรายแอบแฝงอยู่ซึ่งหากพบความผิดปกติบางอย่างเช่น พบเลือดที่ปนมากับอุจจาระ ร่วมกับมีอาการเจ็บที่บริเวณรูทวารหรือปวดท้องร่วมอยู่ด้วย อาจเป็นภัยเงียบที่นำไปสู่โรคร้ายได้อย่างไรก็ตามอันตรายที่มาจากการขับถ่ายเป็นเลือด(Hematochezia)สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุซึ่งจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ ได้แก่ Show 1. ทางเดินอาหารส่วนต้น 2. ทางเดินอาหารส่วนกลาง 3. ทางเดินอาหารส่วนปลาย อาการที่เกิดขึ้น โดยภาวะเลือดออกช่วงแรก จะมีลักษณะเป็นเลือดสีแดง เมื่อเลือดออกมาสักพัก ก็จะใช้เวลาหรือมีการทำปฏิกิริยากับกรดในกระเพาะ เลือดสีแดงจะมีการเปลี่ยนสีกลายเป็นสีดำ ดังนั้นถ้าสมมุติว่าเลือดออกจากทางเดินอาหารส่วนต้น ส่วนใหญ่มักจะเป็นเลือดสีดำ และสำหรับโรคที่ตามมาในเรื่องของเลือดออกในทางเดินระบบอาหาร ต้องแบ่งออกเป็นแต่ละส่วนของทางเดินระบบอาหารว่าเป็นส่วนไหนเช่น 1.ทางเดินอาหารส่วนต้น ปัญหาเลือดออกส่วนใหญ่มักจะมาจากเรื่องของการอักเสบหรือว่าการเป็นแผลในกระเพาะซึ่งการเป็นแผลในกระเพาะสามารถนำมาซึ่งกระเพาะอาหารทะลุได้รวมถึงปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่สำหรับทางเดินอาหารส่วนต้นที่ต้องคอยเฝ้าระวัง คือเรื่องมะเร็งในกระเพาะอาหาร ซึ่งในปัจจุบัน มีสัดส่วนคนไข้ที่เป็นมะเร็งในกระเพาะอาหารมากขึ้นเรื่อยๆ 2.ทางเดินอาหารส่วนปลาย ปัญหาที่เจอได้บ่อยที่สุดในเรื่องทางเดินอาหารส่วนปลายที่มีเลือดออกก็คือภาวะเลือดออกจากริดสีดวงทวารแต่ในขณะเดียวกันต้องคอยเฝ้าระวังปัญหาเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนปลายที่เป็นอันตรายได้อาทิมะเร็งในลำไส้ใหญ่ ภาวะดังกล่าวนี้การคัดกรองไม่ว่าจะเป็นเรื่องของมะเร็งกระเพาะอาหารหรือมะเร็งในลำไส้ใหญ่เป็นสิ่งสำคัญเพราะปัญหาดังกล่าว สามารถพบได้ในระยะต้นของโรคก็สามารถรักษาได้ ความเสี่ยงที่จะเกิดเป็นมะเร็ง นอกจากนี้สัญญาณเตือนที่ทำให้ คนไข้มีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งระบบทางเดินอาหารนั้นจะไม่มีอาการอะไรเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่แล้วคนไข้จะมีอาการก็ต่อเมื่อโรคเป็นค่อนข้างเยอะซึ่งคนไข้หลายๆคน ควรเข้ารับการคัดกรองมะเร็งในทางเดินอาหาร การคัดกรองจะทำในกรณีที่หนึ่งคือมีอายุเกิน 50 ปี กรณีที่สองคือมีอาการบางอย่างที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งทางเดินอาหารเช่น น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ,ถ่ายอุจจาระออกมาแล้วมีเลือดปน หรือมีอาการปวดท้องเรื้อรัง อาการเหล่านี้อาจจะเป็นสัญญาณเตือนสำหรับโรคมะเร็งทางเดินอาหารได้ วิธีแก้ไขอาการ เมื่อเกิดอาการขับถ่ายเป็นเลือด คนไข้สามารถรับประทานยาเพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคได้หรือควรมาพบแพทย์ทันทีเพราะในภาวะเลือดออกบางครั้งผู้ป่วยอาจจะคิดว่าไม่มีภาวะอันตราย แต่อาจเป็นสัญญาณของโรคอันตรายร้ายแรงได้ อย่างเช่นโรคมะเร็งในทางเดินอาหารหรือแผลในทางเดินอาหารซึ่งการส่องกล้องเป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการถ่ายเป็นเลือด สามารถใช้ได้ทั้งเรื่องของการวินิจฉัยและการรักษาอีกด้วย บทความโดย : นายแพทย์ อัครวุฒิ จันทราพิรัตน์ แพทย์ผู้ชำนาญการด้าน ระบบทางเดินอาหารและตับ ศูนย์ระบบทางเดินอาหารและเอ็นโดสโคป ชั้น 3 โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล ถนนแจ้งวัฒนะ โทร. 02-836-9999 ต่อ 3821-2 นายแพทย์ระพีพันธุ์ กัลยาวินัย อายุรแพทย์ และ อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางเดินอาหารและโรคตับ ร.พ. พระรามเก้า (โปรดอ่านเพิ่มความรู้เกี่ยวกับโรคกระเพาะที่เกิดจากกรดเพิ่มเติม ในหัวข้อ “โรคกระเพาะที่เกิดจากกรด” ) รู้ได้อย่างไรว่าเลือดออกจริง เมื่อมีเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบน ต้องมีปวดท้องร่วมด้วยหรือไม่ กรณีล้างท้องไม่เห็นมีเลือดออก ทำไมต้องส่องกล้องตรวจด้วย รู้ได้อย่างไรว่าเลือดที่ออกรุนแรงมาก อันตรายอาจเสียชีวิตได้ 1. ความดันโลหิตตก หรือที่เรียกว่าช๊อค กรณีวัดความดันเปรียบเทียบท่านอนและนั่งแล้วพบว่าความดันตกลงต่างกัน ก็ถือว่าเป็นภาวะความดันตกที่มีปัญหาเช่นกัน 2. ดูความข้นของเลือด ที่เรียกว่า Hct แต่ต้องระวัง เพราะมักประมาณผิดพลาดทั้งบอกประเมินต่ำเกินไป หรือ โอเวอร์มากเกินไป เพราะเลือดจะจางหรือข้นต้องใช้เวลาเจือจาง หลังเลือดออกถึง 6 – 24 ชั่วโมง 3. อาเจียนเป็นเลือดชัดเจน แย่กว่าไม่มีอาเจียนเลย (มาด้วยถ่ายเป็นเลือด หรือ สีดำอย่างเดียว) 4. รับเลือดมากกว่า 2 ถุง (Unit) 5. ดูสีของน้ำที่ล้างท้องออกมา (NG content) และ สีของอุจจาระ ถ้าแดงแย่กว่าสีน้ำตาล ซึ่งแย่กว่าสีดำ (สีดำดีที่สุด) 5. รู้ได้อย่างไรว่าเลือดออกจากทางเดินอาหารส่วนบน หรือ ส่วนล่าง ตอบ ผู้ที่น่าเลือดออกจากทางเดินอาหารส่วนบน จะมีลักษณะดังนี้ 1. ถ่ายเป็นสีดำ (Melena) น่าเป็นจากด้านบนมากกว่า (แต่ส่วนที่ต่ำกว่า หรือ ลำใส้ใหญ่ก็ตามถ้าไหลช้า ๆ ก็ถ่ายเป็นสีดำได้) ขณะที่ถ่ายเป็นเลือดสดมักออกจากด้านล่างมากกว่า (แต่กรณีด้านบนเลือดออกเร็ว ๆ ก็อาจทำให้ถ่ายเป็นสีแดงสดได้) 2. มีประวัติโรคกระเพาะมาก่อน 3. มีค่าความข้นเลือดของสาร BUN สูง (แต่พบว่าเกิดจากภาวะเสียน้ำหรือเลือดมากกว่า การดูส่วนนี้จึงอาจไม่แน่นอนนัก) 4. สีของสายล้างท้อง (NG tube) ถ้าเป็นเลือด ตลอดเวลา ก็แน่นอนแล้วว่าเกิดจากปัญหาเลือดออกจากทางเดินอาหารส่วนบนแน่ 6. การล้างท้องมีประโยชน์ หรือควรทำอย่างไร ? ตอบ ควรทำในทุกรายที่แนวโน้มว่าเลือดออกรุนแรง เพื่อประเมินว่า มากหรือน้อย เลือดยังออกอยู่หรือหยุดไปแล้ว เลือดออกจากทางเดินอาหารส่วนบนหรือส่วนล่าง และเพื่อเตรียมล้างเอาอาหารและเลือดออกเพื่อส่องกล้องได้เห็นชัดเจนและรวดเร็วขึ้น 7. ควรส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบน Endoscope (Esophagogastroduodenoscope) ในรายไหน และเมื่อไร ? ตอบ 1. โรคตับ ควรรีบทำเร็วที่สุด เพราะการวางแผนและการรักษาต่างกันมาก 2. เมื่อเลือดออกรุนแรงมาก ๆ พบว่าการส่องกล้องช้าหรือเร็ว อาจไม่เปลี่ยนแปลงการวินิจฉัย และ ผลที่ได้ เช่นอย่างไรก็แย่ หรือ แนวโน้มเสียชีวิตอยู่แล้ว เข้าไปทำอะไรไม่ไหว ทั้งแพทย์และผู้ป่วย เท่าที่รักษามาเนื่องจากวิธีการรักษาพัฒนาไปมาก และ การล้างท้องเร็ว ๆ ก่อนทำพบว่าไม่เหมือนดังการศึกษาเก่า ๆ ผู้เขียนมักส่องกล้องเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ ถ้าเลือดดูไม่บังจริง ๆ ผู้ป่วยยังส่องกล้องไหว หรือ ไม่มีอาหารบังจะรีบส่องเลย 8. น่าผ่าตัดเร็ว คือให้ศัลยแพทย์ รักษาเป็นหลักในรายไหนดี ? ตอบ ในรายที่รุนแรงโดยทั่วไปแล้วควรดูร่วมกันระหว่างศัลยแพทย์ และ อายุรแพทย์ทางเดินอาหาร และ โรคตับ – อายุ > 60 ปี – มีโรคร่วมโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคไตวาย (CRF) – เสียเลือดมาก: ได้เลือดมาแล้วมากกว่าหรือเท่ากับ 2-6 ยูนิต, หรือมีความดันตกตลอดเวลา – มีภาวะเลือดออกใน รพ. แย่กว่าเลือดออกที่บ้าน – เป็นผู้ป่วยที่มีแผลขนาดใหญ่ (Giant ulcer) คือแผลในกระเพาะขนาดมากกว่า 3 cm. หรือแผลในลำใส้เล็กส่วนต้นขนาดมากกว่า 2 cm. – มีร่องรอยอันตราย (stigmata) ของพื้นแผลว่าเลือดจะออกซ้ำได้สูง เช่นเห็นเลือดยังออกอยู่ หรือ เห็นเส้นเลือดแดงบนพื้นแผล หรือ เห็นจุดนูนที่พื้นแผล – มีสาเหตุมาจากเส้นเลือดขอดที่หลอดอาหาร หรือ กระเพาะ (varice) ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากตับแข็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเลือดออกไม่หยุด ไม่มีกลุ่มเลือด (blood group) ที่จะให้อีกแล้ว ตอบ กรณีเลือดออกพบว่าอาจเกิดจาก 1. แผล ให้ดูรอยที่พื้นแผล (Stigmata ulcer base) ซึ่งพบว่าเป็นตัวบอกความรุนแรง โอกาสเลือดออกซ้ำ ( predictor) ที่ดีในการทำนายผลที่เกิดขึ้นต่อมา หรือ โอกาสอันตรายมากน้อย (outcome) : กรณีที่พบพื้นแผลมีลักษณะ เช่นเห็นเลือดยังออกอยู่ หรือ เห็นเส้นเลือดแดงบนพื้นแผล หรือ เห็นจุดนูนที่พื้นแผล ควรฉีดยาห้ามเลือด รอบ และ เข้าไปที่พื้นแผล นอกจากกรณีนี้คือพื้นแผลเป็นจุดดำเรียบ หรือ พื้ยขาวไม่มีรอยดำหรือนูนใด ๆ ไม่ควรฉีดยาห้ามเลือด เพราะโอกาสเลือดออกต่ำหายได้ง่าย ขณะที่การฉีดยา กลับทำให้เลือดออกซ้ำสูงถึง 50 % (ฉีดยาทำให้เลือดออก โดยไม่จำเป็น) 2. เส้นเลือดขอดในหลอดอาหาร ส่วนใหญ่เกิดจากตับแข็ง กรณีเห็นว่าน่าจะรุนแรง โดยดูจาก พบเส้นเลือดใหญ่มาก และดูการทอดของเส้นเลือดคดเคี้ยว พบจุดแดงบนเส้นเลือดขอด หรือ เห็นเส้นเลือดเล็ก ๆ บนเส้นเลือดขอด มีแนวโน้มว่าเลือดออกได้สูง ควรกำจัดโดยเอาออก ด้วยการดีดยางรัดเส้นเลือด หรือ ฉีดยาทำให้เลือดแข็งตัว ทำให้เส้นเลือดขอดฝ่อหายไป และเลือดหยุด ควรทำทุก 3-6 อาทิตย์จนเส้นเลือดขอดนี้หายไปไม่เหลือรอยใด ๆ โดยทั่วไปมักทำ 1- 4 ครั้งจึงหายขาด แต่ต้องนัดมาส่องกล้องดูซ้ำทุก 3- 6 เดือน ว่าไม่กลับมาอีก 3. เส้นเลือดขอดในกระเพาะ ส่วนใหญ่เกิดจากตับแข็งเช่นกัน การดีดยางหรือฉีดยาทำให้เลือดแข็งตัวจะทำไม่ได้ และ อาจเกิดปัญหายางไม่แน่นพอ หลุดได้ง่าย และ ไม่ห้ามเส้นเลือดได้ดีเลย ควรฉีดกาว เข้าไปทำให้เล้นเลือดนี้ฝ่อหายแทน 10. หลังเลือดหยุดยังต้อง ดูอะไรอีกหรือไม่ ต้องระวังอะไร ตอบ ให้กระทำดังต่อไปนี้ ดูว่าสาเหตุของแผลเกิดจากเชื้อโรค helicobacter pylori หรือไม่ เพื่อรักษาแล้วแผลอาจหายขาดได้ หรือควรให้ยาลดกรดตลอดไปเพื่อป้องกันกรณีที่แผลไม่พบสาเหตุเกิดจากการติดเชื้อ – ระวังการติดเชื้อแทรกซ้อน ระยะแรกแพทย์อาจให้ยาฆ่าเชื้อป้องกันการติดเชื้อทั้งที่ยังไม่มีการติดเชื้อเกิดขึ้นจริง – รักษาภาวะตับอักเสบตามสาเหตุ ถ้ามีอยู่ เช่น เลิกเหล้าเด็ดขาดถ้าเคยดื่มเหล้ามาก่อน หาไวรัสบี และ ไวรัสซี ถ้าไม่เคยตรวจเช็ค – รักษาน้ำในท้อง หรือ ภาวะบวมขา – บางรายที่มีอาการสับสน มือสั่น หรือ ซึมลง แสดงว่าตับเสื่อมพอควร ควรปรับยารักษาจนหายสับสน โดยแพทย์อย่างใกล้ชิดจนหายดี – มีอาการผิดปกติใด ๆ เช่น จ้ำเลือด ถ่ายดำซ้ำ จ้ำเลือดตามตัว ไอ หอบ ท้องโตขึ้นมาก ปวดท้อง หนาวสั่น ให้รีบบอกแพทย์ทันที (โปรดอ่านเพิ่มความรู้เกี่ยวกับโรคกระเพาะที่เกิดจากกรดเพิ่มเติม ในหัวข้อ “โรคกระเพาะที่เกิดจากกรด” ) นายแพทย์ระพีพันธุ์ กัลยาวินัย อายุรแพทย์ และ อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางเดินอาหารและโรคตับ ร.พ. พระรามเก้า บทความล่าสุดตรวจเต้านมด้วยตนเอง เพื่อรู้ทันมะเร็งเต้านมอ่านเพิ่มเติมHigh altitude illness หรือภาวะแพ้ที่สูง ที่นักปีนเขาต้องระวัง !อ่านเพิ่มเติมการผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อเข่าเทียมบางส่วน หรือ UKA เป็นการผ่าตัดรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม โดยเอาผิวข้อเฉพาะส่วนที่สึกหรอออก และเก็บผิวข้อเข่าส่วนที่ยังมีสภาพดีไว้ ทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องใช้เวลาปรับตัวนาน ในการกลับไปใช้ข้อเข่าได้เหมือนธรรมชาติ |