บทที่1 ระบบสารสนเทศทางการบัญชีและนักบัญชี( ACCOUNTING INFORMATION SYSTEM AND THE ACCOUNTANT )
นิยามอาชีพ ให้บริการทางการบัญชีแก่สถานประกอบการ ธุรกิจ บุคคล สถาบันเอกชนหรือหน่วยงานรัฐบาล รวมถึงการควบคุมดูแลการทำบัญชี การตรวจสอบบัญชี แนะนำการวางแผนการจัดระบบการจัดทำบัญชีและงบประมาณ รับรองความถูกต้องและความครบถ้วนของงบการเงินเพื่อแสดงต่อผู้บริหาร ผู้ถือหุ้น และหน่วยงานทางกฎหมายและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จัดทำงบประมาณการรายได้ ประมาณการรายจ่าย ผลการดำเนินงานและงบประมาณอื่นๆ ดำเนินการเกี่ยวกับการคืนภาษี และให้คำแนะนำเกี่ยวกับปัญหาด้านการจัดเก็บภาษี ตรวจสอบเงินได้พึงประเมินเพื่อยื่นต่อเจ้าพนักงานประเมิน หรือจัดส่งให้เจ้าหน้าที่ผู้ประเมินภาษีเพื่อยื่นต่อเจ้าหน้าที่สรรพากร รวมถึงตรวจสอบหลักฐานทางการเงินต่างๆ เช่น การฉ้อฉลและการล้มละลายตลอดจนปฏิบัติงานหน้าที่การงานเกี่ยวข้อง และควบคุมดูแลผู้ปฏิบัติงานอื่นๆนักบัญชี ที่มา : (กรมจัดหางาน กระทรวงแรงงาน)
1. นักบัญชีต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาการบัญชี ซึ่งคณะกรรมการการอุดมศึกษารับรอง 2. พนักงานบัญชีต้องมีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าอนุปริญญาหรือประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.) ทางการบัญชีหรือเทียบเท่าหรือมีคุณวุฒิปริญญาตรีทางการบัญชีบริหารธุรกิจ หรือเทียบเท่าจากสถาบันการศึกษาซึ่งคณะกรรมการการอาชีวศึกษาและคณะกรรมการการอุดมศึกษารับรอง 3. มีความซื่อสัตย์ในหน้าที่เนื่องจากทำงานเกี่ยวกับการเงิน 4. มีความรับผิดชอบต่อวิชาชีพในการนำเสนอข้อมูลทางการบัญชีที่เชื่อถือได้ถูกต้องมีการรวดเร็วและทมีประโยชน์อย่างแท้จริงในการตัดสินใจ 5. มีความรอบคอบ มีวิจารณญาณ เพื่อพิจารณาหาหลักปฏิบัติที่เหมาะสม และส่งผลกระทบในด้านลบให้น้อยที่สุดแก่หน่วยงานหรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง 6. รับผิดชอบในการพัฒนาตนเองและให้ความร่วมมือในการพัฒนาวิชาชีพและสังคม 7. สามารถใช้คอมพิวเตอร์มีประสบการณ์ในด้านโปรแกรม software ที่บัญชีมีความรู้ภาษาอังกฤษตามสมควร มีความรู้ระบบภาษีของไทย
ลักษณะโดยทั่วไปของงานบัญชีที่ให้บริการกันได้แก่ การรับทำบัญชี การตรวจสอบบัญชี การวางระบบบัญชี การบัญชีต้นทุน การพยากรณ์ทางการเงิน การวางแผนภาษีอากร การบัญชีเพื่อการบริหาร เป็นต้น งานบัญชีทำอะไรบ้างโดยนักบัญชีจะมีหน้าที่ความรับผิดชอบหลัก ๆ ดังนี้ 1. ทำหน้าที่บันทึกข้อมูลทางการเงินตามระบบของการบัญชี 2. ทำบัญชีรายรับบัญชีรายจ่าย ให้กับองค์กร 3. ตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารทางบัญชี 4. บันทึกการจ่ายเงินการรับเงิน และธุรกรรมทางการเงิน 5. ทำงบแสดงฐานะการเงินและรวบรวมรายงานการเงินตามระยะเวลาที่กำหนด 6. จัดแสดงรายรับรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของบริษัท 7. ทำรายงานปิดงบการเงินประจำเดือนให้กับบริษัท
งานในวิชาชีพบัญชีสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 1. งานบัญชีของธุรกิจ (Private Accounting) คืองานบัญชีทั่วไปที่นักบัญชีรับทำให้แก่บริษัทเอกชนทั่วไป 2. งานบัญชีสาธารณะ (Public Accounting) คืองานการบัญชีอิสระที่ผู้ทำบัญชีจะให้บริการด้านการบัญชีโดยไม่ต้องเป็นลูกจ้างของหน่วยงานหรือองค์กรใด 3. งานบัญชีของรัฐบาล (Governmental Accounting) คืองานการบัญชีที่ทำให้กับหน่วยงานรัฐบาล โดยนักบัญชีจะมีฐานะเป็นข้าราชการประจำของหน่วยงานราชการนั้น
ระบบ(System) หมายถึงกิจกรรมที่มีความสัมพันธ์กันตั้งแต่ 2 กิจกรรมขึ้นไปมาประกอบกัน โดยมีวัตถุประสงค์ร่วมกัน เช่น ระบบของมหาวิทยาลัยจะประกอบด้วยคณะต่างๆหลายคณะ แต่ละคณะก็สามารถแบ่งออกเป็นสาขาวิชาได้อีก จะเห็นได้ว่าสาขาวิชาเป็นระบบย่อยของคณะ และคณะก็เป็นระบบย่อยในมหาวิทยาลัย ข้อมูล (Data) หมายถึงข้อเท็จจริงต่างๆ ที่เก็บรวบรวมไว้ เป็นเพียงสิ่งที่บอกเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้น แต่ไม่มี สารสนเทศ (Information) หมายถึงข้อมูลที่ได้ผ่านการประมวลผลและถูกจัดให้ อยู่ในรูปที่ มีความหมายและมีประโยชน์ต่อการตัดสินใจ หรือนำไปใช้งาน เช่น ยอดขายเพิ่มขึ้น หรือลดลงจากปีที่แล้ว ในอัตราร้อยละเท่าใด ระบบสารสนเทศทางการบัญชี ( Accounting Information System) คือ ระบบที่ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อแปลงหรือประมวลผลข้อมูลทางการเงิน ( Financial data ) ให้เป็นสารสนเทศที่มีประโยชน์ในการตัดสินใจต่อผู้ใช้ ระบบสารสนเทศทางการบัญชีจะให้ความสำคัญกับการรวบรวมข้อมูลและการติดต่อสื่อสารทางการเงินนั้น ซึ่งเป็น กระบวนการติดต่อสื่อสารมากกว่าการวัดมูลค่า โดยที่ AIS จะแสดงภาพรวม จัดเก็บ จัดโครงสร้าง ประมวลข้อมูล ควบคุมความปลอดภัย และการรายงานสารสนเทศทางการบัญชี ปัจจุบันการดำเนินงานและการไหลเวียนของข้อมูลทางการบัญชีมีความซับซ้อนมาก ขึ้น ทำให้นักบัญชีต้องกำหนดคุณสมบัติของสารสนเทศด้านการบัญชีให้สัมพันธ์กับการ ดำเนินงานขององค์การ ประการสำคัญ AIS และระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการจะมีทั้งส่วนที่แยกออกจากกันและเกี่ยวเนื่อง สัมพันธ์กัน แต่ MIS จะให้ความสำคัญกับการจัดการสารสนเทศสำหรับการตัดสินใจของผู้บริหาร ขณะที่AIS จะประมวลสารสนเทศเฉพาะสำหรับผู้ใช้งานทั้งภายในและภายนอกองค์การ เช่น นักลงทุน เจ้าหนี้ และผู้บริหาร เป็นต้น
1. วงจรรายจ่าย (Expenditure Cycle) ประกอบด้วยกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อ การชำระหนี้ 2. วงจรการผลิต (Production Cycle) ประกอบด้วยกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ การผลิต 3. วงจรทรัพยากรมนุษย์ (Human Resources/Payroll Cycle) ประกอบด้วยกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ การสรรหาคัดเลือก เงินเดือน ค่าตอบแทนของพนักงาน 4. วงจรรายรับ (Revenue Cycle) ประกอบด้วยกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ การรับเงิน 5. วงจรการเงิน (Financing Cycle) ประกอบด้วยกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ การจัดหาเงิน การชำระเงินกู้ การจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น จากรูป⟹ แสดงถึงความสัมพันธ์ลักษณะรับ – จ่าย ในระบบย่อยของระบบสารสนเทศทางการบัญชี ทั้ง 5 วงจร เช่น ในวงจรรายจ่าย มีการจ่ายเงินสดเพื่อชำระค่าสินค้าหรือบริการ ในวงจรรายรับ มีการส่งมอบสินค้าหรือบริการและรับเงิน เป็นต้น นอกจากนี้ระบบย่อยทั้ง5 วงจรยังเชื่อมโยงข้อมูลกับ ระบบบัญชีแยกประเภททั่วไป และการออกรายงานงบการเงินให้กับผู้ใช้ทั้งภายนอกธุรกิจ ได้แก่ เจ้าหนี้ ผู้ถือหุ้น หน่วยงานราชการและผู้ใช้ภายในธุรกิจได้แก่ ผู้บริหารระดับสูง ผู้จัดการ พนักงาน ด้วย ระบบสารสนเทศทางด้านการบัญชี จะประกอบด้วย 2 ส่วนคือ 1. ระบบบัญชีทางการเงิน (Financial Accounting System) จะเป็นการบันทึกรายการค้าที่เกิดขึ้นในรูปตัวเงิน จัดหมวดหมู่รายการต่าง ๆ สรุปผลและตีความหมายในงบการเงิน ได้แก่ งบกำไรขาดทุน งบดุล และงบกระแสเงินสด โดยมีวัตถุประสงค์หลัก คือ นำเสนอสารสนเทศแก้ผู้ใช้และผู้ที่สนในข้อมูลทางการเงินขององค์การ เช่น นักลงทุน และเจ้าหนี้ 2. ระบบบัญชีผู้บริหาร (Managerial Accounting System) เป็นการนำเสนอข้อมูลทางการเงินแก่ผู้บริหาร เพื่อใช้ในการตัดสินใจทางธุรกิจ ระบบบัญชีจะประกอบด้วย บัญชีต้นทุน การงบประมาณ และการศึกษาระบบ ส่วนประกอบของระบบสารสนเทศทางการบัญชี ส่วนประกอบทางการบัญชี 1.เป้าหมายและวัตถุประสงค์ (Goals and Objectives) 2.ข้อมูลเข้า (Inputs) - ยอดขายสินค้า ราคาขายของกิจการ - ราคาขายของคู่แข่งขัน ยอดขายของคู่แข่งขัน 3.ตัวประมวลผล (Processor) คือ เครื่องมือที่ใช้ในการแปลงสภาพจากข้อมูลให้เป็นสารสนเทศมักใช้คอมพิวเตอร์ทำงานการคำนวณ การเรียงลำดับ การคิดร้อยละ การจัดหมวดหมู่ การจัดทำกราฟ ฯลฯ 4. ข้อมูลออกหรือผลลัพธ์ (Output) คือ สารสนเทศที่มีประโยชน์ต่อผู้ใช้ 5. การป้อนกลับ (Feedback) 6 .การเก็บรักษาข้อมูล (Data Storage) 7. คำสั่งและขั้นตอนการปฏิบัติงาน (Instructions and Procedures) 8. ผู้ใช้ (Users) 9. การควบคุมและรักษา ความปลอดภัยของข้อมูล (Control and Security Measures) หน้าที่ Account Information System : AIS 1. การรวบรวมข้อมูล (Data Collection) 2. การประมวลผลข้อมูล (Data Processing) 3. การจัดการข้อมูล (Data Management) 4. การควบคุมข้อมูลและรักษาความปลอดภัยของข้อมูล (Data Control and Data Security) 5. การจัดทำสารสนเทศ (Information Generation) ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (MIS) หมายถึง ระบบที่รวบรวมและจัดเก็บข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ทั้งภายใน และภายนอกองค์การอย่างมีหลักเกณฑ์ เพื่อนำมาประมวลผลและจัดรูปแบบให้ได้สารสนเทศที่ช่วยสนับสนุนการทำงาน และการตัดสินใจในด้านต่าง ๆ ของผู้บริหารเพื่อให้การดำเนินงานขององค์การเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่เราจะเห็นว่า MIS จะประกอบด้วยหน้าที่หลัก 2 ประการ ดังนี้ 1. สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ทั้งจากภายในและภายนอกองค์การมาไว้ด้วยกันอย่างเป็นระบบ 2. สามารถทำการประมวลผลข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ได้สารสนเทศที่ช่วย สนับสนุนการปฏิบัติงานและการบริหารงานของผู้บริหาร ดังนั้นถ้าระบบใดประกอบด้วยหน้าที่หลักสองประการ ตลอดจนสามารถปฏิบัติงานในหน้าที่หลักทั้งสองได้อย่างครบถ้วน และสมบูรณ์ ระบบนั้นก็สามารถถูกจัดเป็นระบบ MIS ได้ ระบบ MIS ไม่จำเป็นที่จะต้องสร้างขึ้นจากระบบคอมพิวเตอร์ MIS อาจสร้างขึ้นมาจากอุปกรณ์อะไรก็ได้ แต่ต้องสามารถปฏิบัติหน้าที่หลักทั้งสองประการได้อย่างครบถ้วนและสมบูรณ์ แต่เนื่องจากปัจจุบันคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพในการจัดการข้อมูล นักวิเคราะห์และออกแบบระบบ (System Analyst and Designer) จึงออกแบบระบบสารสนเทศให้มีคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์หลักในการจัดการสารสนเทศ ปัจจุบันขอบเขตการทำงานของระบบสารสนเทศขยายตัวจากการรวบรวมข้อมูลที่มาจากภายในองค์การไปสู่การเชื่อมโยงกับแหล่งข้อมูลจากสิ่งแวดล้อมภายนอก ทั้งจากภายในท้องถิ่น ประเทศ และระดับนานาชาติปัจจุบันธุรกิจต้องใช้เทคโนโลยีสาร สนเทศที่มีศักยภาพ สูงขึ้นเพื่อสร้าง MIS ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเพิ่ม ขีดความสามารถของธุรกิจ และขีดความสามารถในการบริหารงานของผู้บริหารในยุคปัจจุบัน แต่ปัญหาที่น่าเป็นห่วงนั่นเอง และคือคนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจในศักยภาพ และขอบเขตของการใช้งานระบบสารสนเทศ (MIS) นอกจากนี้บุคลากรบางส่วนที่ขาดความเข้าใจอย่างแท้จริงเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการใช้งานระบบสารสนเทศ ไม่ยอมเรียนรู้และเปิดรับการเปลี่ยนแปลง จึงให้ความสนใจหรือความสำคัญกับการปรับตัวเข้ากับ MIS น้อยกว่าที่ควร
1. AIS คือ ระบบย่อย ของ MIS 2. AIS และ MIS มีความสัมพันธ์แบบคาบเกี่ยวกัน เทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับนักบัญชี 1. เทคโนโลยีพื้นฐาน เช่น - คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เนท และการแก้ปัญหาเบื้องต้น - การทํางานจากระยะไกล (Remotely online working) - เครื่องมือเครื่องใช้สํานักงาน เช่น Scanner, Fax, Printer 2. เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการติดต่อสื่อสารทั่วไป - อีเมล (Email) - โปรแกรมเพื่อการสื่อสารอื่นๆ เช่น Line, Skype บทบาทของนักบัญชีต่อระบบสารสนเทศทางการบัญชี หลักการขั้นพื้นฐานในการจัดทำสารสนเทศทางการบัญชี 1. รวบรวบเอกสารขั้นต้นที่ใช้เป็นหลักฐานประกอบการบันทึกรายการค้า 1.1 วงจรรายได้ : ขายสินค้า - ใบสั่งซื้อของลูกค้า - ใบกำกับสินค้า/ใบกำกับภาษี - ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษี 1.2 วงจรค่าใช้จ่าย : ซื้อสินค้า, จ่ายค่าใช้จ่าย - ใบขอซื้อ, ใบสั่งซื้อ - ใบกำกับสินค้า/ใบกำกับภาษี - ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษี 2. บันทึกรายการค้าลงในสมุดรายวัน - วิเคราะห์รายการค้า - จัดทำผังบัญชีตามลักษณะรายการค้าของธุรกิจ - สมุดรายวันทั่วไป สำหรับ ธุรกิจขนาดเล็ก - สมุดรายวันเฉพาะ สำหรับธุรกิจขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ 3. ผ่านรายการไปยังบัญชีแยกประเภททั่วไปและแยกประเภทย่อย 4. จัดทำงบทดลองและกระดาษทำการ 5. จัดทำรายงานการเงินและรายงานเพื่อการบริหารรายงานการเงินตามมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 35 ย่อ - งบดุล - งบกำไรขาดทุน - งบกระแสเงินสด - งบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของเจ้าของ หรืองบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ - หมายเหตุประกอบงบการเงิน ประโยชน์จากระบบสารสนเทศทางบัญชี 1. ให้ข้อมูลเพื่อใช้ในการปฏิบัติงานประจำวัน - รายงานการขายประจำวันแยกตามสายผลิตภัณฑ์ - รายงานสินค้าคงเหลือ/วัตถุดิบแยกตามคลัง - รายงานการรับเงินประจำวัน - รายงานการจ่ายเงินประจำวัน - รายงานวิเคราะห์อายุลูกหนี้ที่เกินกำหนดชำระ 2. ให้ข้อมูลเพื่อใช้ในการตัดสินใจวางแผน และควบคุมการดำเนินงาน - รายงานต้นทุนการผลิตแยกตามสายผลิตภัณฑ์, สาขา - รายงานจำนวนและมูลค่าสินทรัพย์ถาวรแยกตามฝ่าย - รายงานยอดขายรายไตรมาสแยกตามผู้จำหน่าย, พนักงาน - รายงานค่าใช้จ่ายประจำเดือนแยกตามฝ่าย - เป็นต้น ขึ้นอยู่กับความต้องการใช้งานของผู้บริหาร 3. ให้ข้อมูลขั้นพื้นฐานตามกฎหมายกำหนดแก่ผู้ใช้ภายนอก - รายงานการเงินตามที่มาตรฐานการบัญชีฉบับที่35 กำหนดให้จัดทำ - รายงานการเงินตามที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนดให้จัดทำ - รายงานการเงินตามที่กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ กำหนดให้นิติบุคคลจัดทำ (ที่มา : https://www.spu.ac.th,2558)
|