กระแสชของ Cloud Computing ในบ้านเราแรงขึ้นมาเรื่อยๆ ทุกคนพูดถึง Cloud พอถามว่าใครใช้ Cloud บ้าง? ทุกคนจะบอกเสียงเดียวกว่าองค์กรตัวเองก็ติดตั้งระบบ Cloud แล้ว แต่ที่ผมแปลกใจคือเวลาผมบรรยายตามที่ต่างๆให้กับคนไอทีที่เป็นผู้ดูแลระบบไอทีในองค์กร เมื่อเวลาถามว่าใครเคยใช้เคยเล่น Public IaaS อย่าง Amazon Web Services แล้วกลับพบว่าแทบจะมีจำนวนน้อยมากหรือเกือบไม่มีเลย จำนวนมากไม่เคยเห็นหน้าจอ Admin Console ของระบบ Amazon ไม่ทราบว่ามีบริการ IaaS อะไรอยู่ จึงอาจสรุปสั้นๆว่าโดยแท้จริงหน่วยงานส่วนใหญ่ในบ้านเรายังไม่เป็น Cloud เพราะแม้แต่ผู้ดูแลระบบยังไม่เข้าใจความหมาย Cloud ที่แท้จริง ผู้ใช้จะมาใช้ Cloud ได้อย่างไร ซึ่งเวลาองค์กรในบ้านเราเวลาพูดถึง Cloud จริงๆแล้วเรากำลังพูดถึง Virtualization มากกว่า Cloud Computing เพราะระบบที่ทำอยู้ไม้ได้มีคุณสมบัติของ Cloud ที่สำคัญ 5 อย่างคือ
อีกตัวอย่างหนึ่งที่อยากกล่าวถึง วันก่อนผมมีโอกาสได้ให้คำปรึกษากับหน่วยงานไอทีภาคเอกชนรายหนึ่ง ที่จะจัดหาซื้อเครื่อง Server ราคาเป็นแสนแล้วต้องไปเช่า Data Center เพื่อทำ Co-Location เดือนละหลายพัน เพื่อทำระบบอีเมล์และ Application เล็กๆน้อย พอถามว่าทำไมไม่ใช้ Cloud พร้อมทั้งแสดงหน้าจอราคาของ Cloud Provider ต่างประเทศอย่าง www.digitalocean.com หรือของในประเทศอย่าง True IDC ซึ่งดูเรื่องราคาจะคุ้มค่ากว่า คำตอบที่ผมได้รับกลับเป็นในเรื่องการอ้างความปลอดภัยบ้าง การจะขยาย Server อนาคตบ้าง และพยายามนึกถึงข้อจำกัดต่างๆซึ่งบางครั้งขาดหลักการของ Cloud จึงทำให้ผมเห็นชัดเจนว่า วัฒนธรรมผู้ดูแลระบบไอทีบ้านเรายังยึดติดกับความเป็นเจ้าของ อยากเห็นตัวเครื่อง และยังขาดความเข้าใจเรื่อง Cloud ที่ถูกต้อง รูปที่ 1 ราคาการใช้บริการ Cloud ของ DigitalOcean รูปที่ 2 True IDC หนึ่งในผู้ให้บริการ IaaS Public Cloud ในประเทศ ระบบใดควรขึ้น Cloud Computing คำถามแรกที่คนมักจะถามคือผมควรใช้ Public Cloud ดีไหม Cloud มีความปลอดภัยไหม ในแง่ของระบบความปลอดภัย ผมว่าก่อนที่เราจะถามว่า Cloud ปลอดภัยแค่ไหน เราจะต้องแยกแยะชั้นความลับข้อมูลและระบบเราก่อน กล่าวคือทำ Classification ผมเชื่อว่าข้อมูลบางอย่างของเราเป็นความลับแต่บางอย่างก็ไม่เป็นความลับ ดังนั้นบางอย่างเราสามารถนำไปเก็บที่สาธารณะได้บางอย่างอาจต้องเก็บไว้ในองค์กร ผมอยากคิดเสมือนว่าถ้าเรามีตู้เซฟไว้ในบ้าน เราคงไม่เอาของทุกอย่างในบ้านเป็นเก็บไว้ในตู้เซฟและบางอย่างเราสามารถเอามาวางไว้นอกตัวบ้านด้วยซ้ำโดยไม่ต้องกังวลว่าจะสูญหายมากนัก องค์กรต้องดูก่อนว่าองค์กรของตัวเองเป็นรูปแบบใด ถ้าองค์กรเป็น SME การใช้ Cloud อาจมีความเหมาะสมข้อมูลส่วนใหญ่มักจะไม่เป็นความลับ และ Cloud Provider รายใหญ่ๆก็มักจะมีมาตรฐานความปลอดภัยที่ดี การใช้บริการ Public Cloud เผลอๆการรักษาความลับข้อมูลในองค์กรอาจปลอดภัยกว่าการให้พนักงานในองค์กรมาจัดการเสียอีก เพราะโดยมากการรั่วไหลของข้อมูลมักจะมาจากองค์กรภายใน องค์กรใหญ่ๆก็สามารถนำระบบบางระบบที่ต้องออกอินเตอร์เน็ตอยู่แล้ว และไม่มีความลับมากขึ้น Public Cloud ได้เช่น ระบบอีเมล์ที่มีหลายองค์กรหันไปใช้อีเมล์ของ Google Apps หรือ Office 365 ซึ่งในปัจจุบันทราบว่ามีธนาคารหลายแห่ง รวมทั้งสถาบันการศึกษามาใช้กัน นอกจากนี้อาจรวมถึงระบบอื่นๆที่ไม่ได้มีผลกระทบต่อกฎระเบียบหรือมาตรฐานขององค์กรเช่นระบบ Salesforce ที่ทางธนาคารในประเทศไทยบางแห้งนำเข้ามาใช้ แต่อย่างไรก็ตามองค์กรที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย ความมั่นคง บางครั้งการใช้่ Public Cloud อาจไม่เหมาะสมนัก เช่น หน่วยงานด้านความมั่นคง หรือด้านสาธารณสุข ด้านภาษี สำหรับการใช้ Server ที่เป็น Public Cloud ถ้าองค์กรห่วงเรื่องความปลอดภัย เราก็สามารถที่จะเลือกใช้ผู้ให้บริการที่สามารถทำ Virtual Private Cloud ที่จะแยกระบบของเรา ออกจากบริการของ Public Cloud ทั่วไปทำให้สามารถใช้บริการใน Virtual Network ที่มีความปลอดภัยยิ่งขึ้น ตัวอย่างของการให้บริการแบบนี้คือ Amazon Virtual Private Cloud ของ AWS และมีตัวอย่างของผู้ให้บริการในประเทศอย่าง WhiteSpace-Cloud รูปที่ 3 WhiteSpace ผู้ให้บริการ Virtual Private Cloud ในประเทศไทย การใช้ Server ที่เป็น Public IaaS Cloud จะมีประโยชน์ในแง่ของการพัฒนาระบบ Application ใหม่ หรือย้ายระบบ Application เดิมที่อยู่ใน Server Hosting ในองค์กรไปสู่ Public Cloud เพื่อลดค่าใช้จ่ายการที่จะต้องบำรุงรักษาและดูแล Data Center ในองค์กรของตัวเอง ซึ่ง Application ส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ติดปัญหาเรื่องกฎระเบียบ เรื่องความปลอดภัยของข้อมูล โดยมากมักจะย้ายขึ้นมาบน Public Cloud ได้ แต่ก็มีบางระบบเช่น Legacy Application หรือ Mission Critical Application ที่ไม่ควรรันหรือย้ายไปบน Public Cloud เพราะอาจไม่สามารถย้ายได้ด้วยปัญหาทางเทคนิคและมีความเสี่ยง อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจในการใช้ Public Cloud คือการใช้เป็นระบบสำรองหรือ DR Site ซึ่งทำให้เราลดรายจ่ายในการที่จะต้องจัดหา Backup Server นอกจากนี้ระบบ Software หลายๆอย่างสามารถที่จะใช้ public SaaS ได้อาทิเช่น ระบบ Desktop Software, ระบบ CRM, ระบบ Workflow หรือระบบ HR ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการพัฒนา Application ไปด้วย ระบบ Cloud Computing เสถียรพอหรือไม่ ประเด็นต่อมาที่มักจะได้ยินบ่อยคือกลัวระบบ Cloud Computing จะล่ม เพราะแม้แต่ผู้ให้บริการรายใหญ่อย่าง Amazon Web Services ก็เคยล่ม ผมคิดว่าประเด็นนี้เกิดจากเรามั่นใจในผู้ดูแลระบบของเรามากเกินไปว่าเก่งกว่าคนของผู้ให้บริการ Cloud ทั้งๆที่ผู้ให้บริการ Cloud โดยมากจะมีผู้ดูแลระบบที่ดี มี Server อยู่เป็นจำนวนมากอาทิเช่น Amazon มี Server หลายแสนตัว จะมีระบบ DR Site และผ่านมาตรฐานต่างๆที่ดี ผู้ดูแลระบบมักจะมีความเชี่ยวชาญด้าน Data Center โดยตรงดีกว่าองค์กรขนาดเล็ก การที่เรามี Server เองก็เสมือนเราซื้อรถมาใช้เอง ต้องดูแลเอง บำรุงรักษาเอง ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แต่การใช้บริการ Cloud เปรียบเสมือนบริการเช่าหรือใช้รถสาธารณะซึ่งก็มีบริการหลายแบบ ตั้งแต่รถสองแถว รถเมล์ รถไฟฟ้า รถ Limousine ก็ขึ้นอยู่กับบริการที่เราเลือก ถ้าเราเรียกบริการทีดีก็อาจมีราคาสูงขึ้น แต่มีความปลอดภัย และมีความเสถียรขึ้น การที่ Cloud Server ใหญ่ๆอย่าง Amazon ล่ม ก็ย่อมเป็นข่าวใหญ่ เพราะเปรียบเสมือนเครื่องบินตกที่นานๆจะเกิดขึ้นที แต่ Server ในองค์กรทั่วๆไปบ่อยครั้งที่ล่ม และอาจมากกว่าของ Amazon แต่ไม่เป็นข่าวหรอกครับ เพราะมันเหมือนกับข่าวรถชนกันที่เกิดขึ้นประจำทุกๆวัน ระบบ Cloud Computing ไม่รู้ว่าอยู่ใดเก็บข้อมูลเราตรงไหน อีกประเด็นหนึ่งที่ผู้ใช้เป็นห่วงคือไม่ทราบตำแหน่งของเครื่อง Server หรือ ที่เก็บข้อมูล คำว่า Cloud Computing ก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นระบบประมวลผลบนก้อนเมฆ เราไม่ทราบว่าระบบหรือ Server อยู่ที่ใด คำถามที่ผมอยากถามกลับคือว่าแล้วจะทราบไปทำไมละ ทุกวันนี้เราใช้ไฟฟ้าเราทราบไหมว่าผลิตมาจากที่ใด เราใช้ Facebook ใช้ Line เราสนใจไหมว่าระบบรันมาจากที่ไหน ตราบใดที่ตอบโจทย์เราได้ ระบบทำงานอย่างต่อเนื่องไม่ล่ม เราก็พอใจและยินดีที่ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง การมี Server ของตัวเองบ่อยครั้งเราก็จะจัดหา Server มาแล้วก็เห็นเครื่องเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง ก่อนที่จะย้ายไปอยู่ใน Data Center แล้วเราก็็แทบจะไม่เคยเห็นเครื่องอีกเลยยกเว้นว่าจะมีปัญหาเราถึงจะเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ลองจินตนาการว่าถ้าเราใช้ Cloud แล้วระบบไม่เคยล่ม เราก็คงไม่มีเหตุที่จะต้องเข้าไปดู หรือถ้ามีปัญหาแล้วเราสามารถติดต่อผู้ให้บริการมาแก้ปัญหาให้เราได้ เราก็ไม่ต้องไปกังวลอะไร ส่วนเรื่อง Data อาจมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาเพราะ ข้อมูลเราย้ายไปอยู่บน Cloud ถึงแม้ผู้ให้บริการจะไม่มายุ่งเกี่ยวกับข้อมูลของเรา แต่การสำรองข้อมูลสำหรับเก็บไว้ใช้เองในอนาคตอาจเป็นหน้าที่ของเราเอง เพราะเมื่อเราเลิกใช้บริการ Cloud หรือจะย้ายผู้ให้บริการเป็นเจ้าอื่นก็เป็นหน้าที่ของเราต้องจัดการเรื่องข้อมูลเอง เราควรเลือกผู้ให้บริการ Cloud อย่างไร ปัจจุบันเรามีผู้ให้บริการ Data Center หรือ Software จำนวนมากที่พยายามบอกว่าตัวเองเป็นผู้ให้บริการ IaaS หรือ SaaS ผู้ให้บรืการ Data Cenetr บางรายก็อาจทำแค่ Virtualization ผู้ให้บริการ Software บางรายก็อาจเป็นแค่ Web Application ที่โฮสต์อยู่บน Server ตัวเองไม่สามารถขยายได้โดยง่ายและไม่เสถียร การจะเลือกผู้ให้บริการ Cloud จึงจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลต่างๆให้ดีโดยอาจต้องดูข้อมูลต่างๆเช่น
ประเด็นสำคัญในการเลือกใช้บริการ Cloud จึงอยู่ที่มีข้อตกลงการใช้บริการ (SLA: Service Level Agreement) ทีดี ประเด็นนี้เราต้องรอบคอบและควรศึกษาให้ละเอียด เพื่อจะได้ดูว่าผู้บริการรับรองการบริการเพียงใด หากมีข้อเสียหายจะรับผิดชอบเพียงใด ประเด็นหนึ่งเรื่องผู้ให้บริการ IaaS Public Cloud หลายคนจะเห็นว่าราคาของผู้บริการต่างประเทศจะราคาถูกกว่าของผู้ให้บริการในประเทศ ข้อนี้จริงอยู่เพราะระบบของผู้ให้บริการต่างประเทศมีขนาดใหญ่ มีความสมบูรณ์และบริการที่หลากหลายกว่า มีลูกค้าจำนวนมากกว่า แต่ก็จะติดเรื่องของการ Support และการบริการที่ถ้าเราใช้บริการจากผู้ให้บริการในประเทศ เราอาจได้บริการที่เข้าถึงได้ง่ายกว่า บทสรุปเราจะใช้บริการรายใดก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของเราเองอยู่ที่ความพร้อมด้านบุคลากรของเรา งบประมาณ และประเภทของการบริการ |