Cloud Storage คือการเก็บข้อมูลบนเครื่อง Server และอยู่ในโลกออนไลน์ที่เราเรียกว่า Cloud ผ่านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในการเรียกดูและใช้งานข้อมูลบน Cloud ซึ่งอาจจะเก็บข้อมูลไว้ใน server หลาย ๆ ตัว โดยกระจายข้อมูลออกเป็นเครื่องละเล็กละน้อย ผู้ให้บริการคลาวด์ (Host) จะดูแลเป็นคนจัดการบำรุงรักษาฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ทั้งหมดที่ใช้ในการจัดเก็บข้อมูล ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถลดต้นทุนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ได้ อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีที่จะตอบรับกับสถานการณ์ยุค Big data ที่มีข้อมูลขนาดใหญ่ นั่นคือ Cloud storage ที่เป็น Software Defined Storage โดยหลักการง่าย ๆ ของ software defined storage คือ การรวมศูนย์ควบคุมให้เป็นจุดเดียวแล้ว Virtualize Storage Layer แบ่งเป็น pools ตามจุดประสงค์การใช้งานที่ต้องการ รูปที่ 1 แสดง Infratructure แบบเก่า (ด้านบน) และแบบใหม่ที่ใช้ Software Defined Storage (ด้านล่าง) ซึ่งจะพบว่าในระบบแบบเดิม แต่ละ Application จะมี Storage Tier เป็นของตัวเองและแยกจากกันโดยสมบูรณ์ ทำให้ Cluster ตรงกลางสองอัน มีปริมาณการใช้งานจนเต็มหรือเกือบเต็มแต่ว่า ใน Cluster ด้านข้างทั้งสองอันยังเหลือพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อยู่ Action ที่ทีม Infra ขององค์กรจะต้องทำคือ ต้องขยาย พื้นที่ในส่วนของ Cluster ตรงกลางสองอัน ทั้งที่ยังมีพื้นที่เหลือให้ใช้งานในระบบโดยรวมด้วยซ้ำ นอกจาก Cost ที่ต้องซื้อเพิ่มแล้ว ในแง่ของการใช้งานทรัพยากรให้คุ้มค่าก็ล้มเหลวอีก แต่หากเป็น Software Define Storage ปัญหานี้ก็จะหมดไป เนื่องจากใน Software Define Storage เรารวมศูนย์การควบคุม Storage Tiers ของทุก Application มาไว้ที่จุดเดียวกันแล้ว ทำให้เราสามารถ manage ได้อย่างอิสระว่า Application ตัวไหนเราจะให้พื้นที่เท่าไหร่ QoS แบบไหนและเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบภาพด้านบนขึ้นเราก็สามารถโยกย้ายพื้นที่ที่ยังไม่ถูกใช้งานไปให้กับส่วนที่ต้องการการใช้งานเยอะได้ทันทีโดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มเฉพาะจุด ภาพที่ทางฝ่าย Infrastructure จะมอง Capacity ของระบบก็จะเป็นภาพใหญ่ๆ ภาพเดียว ลดความยุ่งยากในการบริหารจัดการได้อีกด้วย ความแตกต่างระหว่าง Traditional Storage กับ Software Defined Storageรูปที่ 2 เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง Traditional Storage กับ Software Defined Storage ภาพรวมความแตกต่างระหว่าง Traditional Storage กับ Software Defined Storage (SDS) สามารถสรุปได้ดังนี้
และนี่ก็คือสรุปภาพรวมข้อดีและข้อเสียของ SDS ที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาของการดีไซน์ Cloud Storage Infrastructure ในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีอีก 1 การทำนายที่น่าสนใจ เมื่อ Gartner ทำนายไว้ว่าภายในปี 2024 หรืออีกสองเกือบสามปีต่อจากนี้ 50% ของ Storage ทั้งหมดจะถูก Deploy แบบ SDS อย่างไรก็ตาม เรามีความเชื่อมั่นว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โลกของเราจะถูกขับเคลื่อนด้วย data และสิ่งที่สำคัญทีสุดคือ Cloud Storage หรือ Storage ขนาดมหึมา เหตุผลที่เรามีความเชื่อเช่นนั้นเนื่องจากการที่เราจะประสบสำเร็จในการทำ AI ได้ นั้น จำเป็นต้องมีข้อมูลมหาศาล และการจะมีข้อมูลมหาศาลได้นั้นจำเป็นต้องมีที่เก็บในต้นทุนต่ำ และ Software defined storage จะเป็น Cloud storage ที่สามารถตอบโจทย์นี้ได้อย่างดีที่สุด ข้อเสียของระบบ Cloud Storage คืออะไรข้อเสียของ Cloud Storage
1. จำเป็นต้องใช้งานผ่านการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตเท่านั้น ถ้าไม่มีอินเตอร์เน็ตในบริเวณนั้น ก็ไม่สามารถใช้งานข้อมูลใน Cloud ได้ 2. มีค่าใช้จ่ายจากการจัดเก็บ
ข้อดีของ "Cloud" มีอะไรบ้างCloud หรือ Cloud Computing คือ ระบบที่ช่วยให้การใช้งานด้านต่างๆ เช่น ระบบการเก็บข้อมูล การติดตั้งฐานข้อมูลหรือระบบภายในให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งสามารถปรับเพิ่ม-ลดพื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูลได้ตามการใช้งานจริง ยืดหยุ่นได้ทุกเวลา ช่วยลดต้นทุนธุรกิจและรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต Cloud จึงกลายมาเป็น ...
Cloud Computing มีข้อดี ข้อเสสีย อย่างไร1) ลดต้นทุนค่าดูแลบำรุงรักษาเนื่องจากค่าบริการได้รวมค่าใช้จ่ายตามที่ใช้งาน จริง เช่น ค่าจ้างพนักงาน ค่าซ่อมแซม ค่าลิขสิทธิ์ ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำ ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าอัพเกรด และค่าเช่าคู่สาย เป็นต้น 2) ลดความเสี่ยงการเริ่มต้น หรือการทดลองโครงการ 3) สามารถลดหรือขยายได้ตามความต้องการ
Cloud Storage ดียังไงประโยชน์ของการใช้งาน Cloud Storage
สามารถเข้าถึงไฟล์ต่างๆ ได้ทุกที่ทุกเวลา สามารถเพิ่มขนาดจัดเก็บไฟล์ได้ คุ้มค่ามากกว่าการซื้ออุปกรณ์จัดเก็บไฟล์อย่างพวกฮาร์ดดิสก์ ไม่มีความเสี่ยงกับในเรื่องของอุปกรณ์จัดเก็บไฟล์เสีย
|