เข้าพบลูกค้าในอนาคตมีประโยชน์อย่างไร

ตำแหน่งพนักงานขายโดยเฉพาะคนที่ต้องออกไปพบลูกค้า ออกไปหาลูกค้ารายใหม่ ๆ ถือว่ามีความสำคัญต่อบริษัทมากพอสมควร เป็นผู้ที่ทำเงินให้กับองค์กรคงไม่ใช่เรื่องผิดนัก นั่นหมายความว่าหากพนักงานขายไม่สามารถหาลูกค้าได้ โอกาสที่องค์กรจะย่ำแย่ลงก็มีสูง ด้วยเหตุนี้ใครที่กำลังเผชิญปัญหาไม่รู้ เทคนิคหาลูกค้า อย่างถูกต้อง พยายามเท่าไหร่ก็ยังไม่มีลูกค้าเข้าหา นั่นอาจเป็นไปได้ว่าคุณควรเรียนรู้วิธีที่น่าสนใจเพื่อช่วยให้ลูกค้าตอบรับ


อ่านเพิ่มเติม : เจาะเทรนด์การตลาดออนไลน์

อยากเป็นสุดยอดพนักงานขาย ต้องรู้ เทคนิคหาลูกค้า

กำหนดจำนวนลูกค้าในแต่ละวันให้ชัดเจน

การกำหนดจำนวนลูกค้าในแต่ละวันเป็นสิ่งที่จะช่วยให้พนักงานขายเองรู้ว่าวันนี้ควรหาลูกค้าให้ได้อย่างน้อย ๆ กี่ราย ซึ่งการกำหนดไม่ใช่แค่การเข้าพบเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการพยายามมองหาลูกค้าที่ยังไม่เคยรู้จักมาก่อน เช่น การมองหาลูกค้าที่น่าจะใช้สินค้า / บริการของเราผ่านอินเตอร์เน็ต จากนั้นลิสต์รายชื่อเพื่อเตรียมพูดคุยหรือขอเข้าพบกันต่อไป

ส่งอีเมล์แคตตาล็อกไปยังลิสต์รายชื่อลูกค้า

บางครั้งการออกไปพบลูกค้าถี่เกินไปถือว่าสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายโดยใช่เหตุ การออกไปพบเฉพาะลูกค้าที่สนใจสินค้า / บริการของเราจริง ๆ คือ เทคนิคหาลูกค้า ที่ได้ผลมากพอสมควร วิธีง่าย ๆ คือ เมื่อลิสต์รายชื่อลูกค้าที่คาดว่ามีความสนใจในสินค้า / บริการได้ ก็ให้ทำอีเมล์ส่งแคตตาล็อก พร้อมเขียนรายละเอียดในการขอเข้าพบ หากลูกค้ารายไหนสนใจก็จะมีการติดต่อกลับมาเพื่อนัดวัน-เวลาในการเข้าพบตามเหมาะสม นี่ถือเป็นโอกาสที่จะทำให้ยอดขายของคุณสูงขึ้นกว่าเดิม

อย่ากระจุกตัวอยู่แค่ลูกค้ากลุ่มเดียว

เทคนิคหาลูกค้า ของพนักงานขายอีกอย่างที่ควรรู้คือ อย่ากระจุกการมองหากลุ่มลูกค้าแค่กลุ่มใหญ่ กลุ่มหลักเพียงอย่างเดียว แต่ให้มองกลุ่มย่อย ๆ เพื่อเอาเป็นยอดขายเสริมของคุณบ้างก็ถือว่าดีไม่น้อย เช่น คุณขายอาหารสัตว์ การเข้าพบลูกค้าตามร้านขายส่ง ร้านขายปลีกอาหารสัตว์ นั่นคือกลุ่มเป้าหมายใหญ่ แต่ถ้ามีโอกาสลองแวะไปตามโรงพยาบาลสัตว์, คลินิกรักษาสัตว์ ดูบ้างก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แม้ลูกค้ากลุ่มนี้จะไม่ได้เชิงขายอาหารสัตว์โดยตรงแต่โอกาสที่พวกเขาจะเป็นลูกค้าคุณเพื่อนำอาหารสัตว์ไปต่อยอดเป็นสินค้าอีกชนิดก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

Tips 

เข้าพบลูกค้าในอนาคตมีประโยชน์อย่างไร
การเพิ่มยอดขายในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้นทุกวัน ส่งผลทำให้พฤติกรรมของคนในสังคมเปลี่ยนแปลงไป โดยกิจกรรมหลายๆ อย่างของผู้คนได้ถูกย้ายไปอยู่บนโลกออนไลน์ ในรายงานของ Marketing oops พบว่า จำนวนผู้ใช้งาน Social Media จากทั่วโลกในปี 2562 อยู่ที่ประมาณ 3,484 ล้านคน เทคนิคเพิ่มยอดขาย ดึงดูดลูกค้า สร้างกำไรทะลุเป้าไม่มีตกดึงเป็นสิ่งสำคัญ สำหรับธุรกิจที่มองข้ามไปไม่ได้

รู้จักฟีเจอร์ของเรา             สมัครสมาชิก

ออกพบลูกค้าต่อครั้งต้องให้ได้มากกว่า 1 ราย

การตัดสินใจออกไปพบลูกค้าในแต่ละวัน พนักงานขายต้องตั้งเป้าให้ชัดเจนเลยว่าวันนี้อย่างน้อย ๆ ต้องได้คุยกับลูกค้า 2 ราย 3 รายขึ้นไป อย่าคิดว่าออกไปแค่พักเดียวเพื่อต้องการคุยกับลูกค้าแค่ 1 ราย มันเสียเวลาและไม่ก่อให้เกิดประโยชน์คุ้มค่า ในทางกลับกันยังเสียดายต้นทุน เสียดายเวลาที่ออกไปนอกสถานที่แล้วอีกต่างหาก แนะนำว่าควรวางแผนให้ชัดเจน เช่น ลูกค้าหลักที่จะไปพบอยู่ตรงไหน บริเวณใกล้เคียงมีบริษัทหรือลูกค้ารายใดที่พอจะเข้าหาได้บ้าง ไม่จำเป็นต้องโทรนัดล่วงหน้าแต่ไหน ๆ เมื่อไปย่านนั้นแล้วก็เข้าพบเสียหน่อยไม่ใช่เรื่องเสียหาย

ฝึกการนำเสนอสินค้า / บริการของบริษัทบ่อย ๆ 

เรื่องนี้สำคัญมาก อย่าให้ตกม้าตายเพราะการนำเสนอสินค้า / บริการกับลูกค้าเป็นอันขาด ถือเป็น เทคนิคหาลูกค้า ที่จะตอบบทสรุปได้เลยว่าโอกาสได้มีมากน้อยแค่ไหน เมื่อคุณได้มีโอกาสเข้าพบลูกค้าแล้วการนำเสนอคือสิ่งที่พวกเขาอยากเห็นมากที่สุดว่าจะมีลีลาและพรีเซนต์ได้น่าสนใจเพียงใด หากน่าสนใจก็พร้อมจะกลายเป็นลูกค้า ในฐานะพนักงานขายจึงต้องทำความเข้าใจสินค้า / บริการนั้นอย่างละเอียด แถมต้องฝึกนำเสนอบ่อย ๆ เพื่อไม่ให้เกิดความเขินอาย

ลูกค้าเก่าที่ไม่ได้ติดต่อนานแล้วก็เป็นอีกตัวเลือกดี ๆ 

พนักงานขายหลายรายมีลูกค้าเก่า ๆ ซึ่งอาจไม่ได้ติดต่อซื้อขายกันนานแล้ว หรือบางคนเปลี่ยนสายอาชีพงาน ก็ลองติดต่อกลับไปพูดคุยสอบถามพร้อมแนะนำว่าตอนนี้คุณทำงานเกี่ยวกับอะไร มีสินค้าตัวใหม่มาแนะนำ เพราะลูกค้าเก่า ๆ เหล่านี้ก็มีสิทธิ์กลับมาเป็นลูกรายใหม่ในธุรกิจใหม่ก็ได้ ใครจะไปรู้


หากคิดจะเป็นพนักงานขาย บรรดา เทคนิคหาลูกค้า ที่กล่าวมาคือพื้นฐานในการเรียนรู้ สำคัญคือต้องมีใจรัก พร้อมเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ความเหน็ดเหนื่อยที่เกิดขึ้น แล้วจะทำให้คุณแข็งแกร่งมากกว่าเคย

Tips  นอกจากการเพิ่มยอดขายด้วยการหาลูกค้าแล้ว การรักษาฐานลูกค้าเดิมให้อยู่กับแบรนด์ก็เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ การมีทีมงานคอยดูแลลูกค้าโดยเฉพาะ เพื่อคอยช่วยเหลือและแก้ไข้ปัญหาอย่างรวดเร็ว เป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้ลูกค้าคงอยู่กับแบรนด์นั่นเอง

รู้จักฟีเจอร์ของเรา             สมัครสมาชิก

7 ขั้นตอนในการนำเสนอขาย

เข้าพบลูกค้าในอนาคตมีประโยชน์อย่างไร

1. การแสวงหาลูกค้าและการพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้า

ลูกค้าผู้คาดหวัง (Prospect) คือบุคคลหรือธุรกิจที่มีโอกาสในการที่จะมาซื้อผลิตภัณฑ์ ดังนั้นผู้คาดหวังอาจหมายถึงนิติบุคคล สถาบัน หรือบุคคลธรรมดาที่มีคุณสมบัติเพียงพอและมีศักยภาพที่จะมาซื้อสินค้า หรือใช้บริการของกิจการและเมื่อผู้คาดหวังซื้อผลิตภัณฑ์ก็จะเปลี่ยนสภาพมาเป็นลูกค้า

วิธีการแสวงหาลูกค้าผู้คาดหวัง
งานแสวงหาลูกค้าผู้คาดหวังจะต้องดำเนินงานอย่างมีหลักเกณฑ์ ต้องมีการเก็บข้อมูลที่ถูกต้องและสัมพันธ์กับผลิตภัณฑ์ที่ขาย และมีการกำหนดแผนงาน รวบรวมรายชื่อลูกค้าผู้คาดหวังอย่างสม่ำเสมอ แหล่งที่มาของรายชื่อลูกค้าผู้คาดหวังมักจะมาจากแหล่งต่างๆ ดังต่อไปนี้คือ

  1. การสอบถาม (Inquiries)
    กิจการเป็นจำนวนมากที่ได้ลูกค้าใหม่จากการที่ลูกค้าเหล่านั้นสอบถามเข้ามาทางบริษัทเอง ซึ่งอาจจะเป็นการติดต่อมาทางจดหมาย โทรศัพท์ หรือติดต่อด้วยตนเอง และส่วนมากจะติดต่อสอบถามมาเนื่องมาจากการโฆษณาของกิจการ หรือจากการได้รับจดหมายตรงหรือแคตตาล็อก
  2. โซ่ไม่มีปลาย (Endless Chain Method)
    ลักษณะของเทคนิคโซ่ไม่มีปลายนี้ จะเป็นการแนะนำต่อๆ ไปของลูกค้าของพนักงานขาย นับเป็นแหล่งที่มาของรายชื่อลูกค้าที่ใหญ่และนิยมใช้มากที่สุดแหล่งหนึ่ง เนืองจากวิธีนี้เป็นลักษณะของการได้รายชื่อลูกค้าอย่างต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา โดยการให้ลูกค้าใหม่หรือลูกค้าเก่าแนะนำรายชื่อเพื่อน หรือคนรู้จักที่มีศักยภาพในการที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ได้ให้แก่พนักงานขาย เหมาะสำหรับใช้กับการขายผลิตภัณฑ์ที่มีราคาต่อหน่วยสูง หรือขายบริการประเภทต่างๆ เช่น ประกันชีวิต เป็นต้น
  3. ศูนย์อิทธิพล (Center of Influence Method)
    วิธีนี้เป็นวิธีที่คล้ายกับโซ่ไม่มีปลาย เพียงแต่ศูนย์อิทธิพลที่พนักงานขายจะติดต่อด้วยนั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีอิทธิพลทางด้านความคิดเห็นต่อลูกค้าผู้คาดหวัง ตังอย่างของศูนย์อิทธิพลได้แก่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นักวิศวกร ครูอาจารย์ บุคคลที่มีชื่อเสียง เป็นต้น เมื่อพนักงานขายสามารถเข้าถึงบุคคลทีเป็นศูนย์อิทธิพลได้ ย่อมนำไปสู่การติดต่อกับบุคคลอื่นได้ และมีโอกาสเป็นไปได้มากที่จะขายผลิตภัณฑ์นั้นได้
  1. งานนิทรรศการและการแสดง (Exhibitions and Demonstration)
    เป็นการแสวงหาลูกค้าโดยการหาจากประชาชนที่เข้าชมนิทรรศการหรืองานแสดงสนค้าที่จัดขึ้น และได้แสดงความสนใจในผลิตภัณฑ์นั้นๆ เป็นวิธีที่จะได้ลูกค้าคาดหวังที่มีโอกาสเป็นลูกค้าได้ง่าย เนื่องจากพวกเขามีความสนใจเป็นพื้นฐานในผลิตภัณฑ์นั้นอยู่แล้ว
  2. รายชื่อ (List)
    พนักงานขายสามารถหารายชื่อลูกค้าผู้คาดหวังด้วยตนเองได้โดยวิธีการค้นหารายชื่อจากแหล่งต่างๆ เช่น สมุดโทรศัพท์ สมาชิกของสโมสรต่างๆ หนังสืออนุสรณ์ของสถานการศึกษา สมาคมศิษย์เก่า รายชื่อผู้ถือบัตรเครดิตจากสถาบันการเงิน รายงานการประชุมประจำปีของบริษัทต่างๆ เป็นต้น
  3. เพื่อนและคนรู้จัก (Friends and Acquaintances)
    เป็นวิธีที่แสวงหาลูกค้าผู้คาดหวังโดยการขอรายชื่อจากเพื่อน คนคุ้นเคย หรือญาติมิตรของพนักงานขายเอง เป็นแหล่งที่เหมาะสำหรับพนักงานขายที่เพิ่งทำอาชีพการขายใหม่ ที่ยังไม่รู้จักแหล่งอื่นในการหาลูกค้าผู้คาดหวัง ซึ่งมักจะเป็นแหล่งที่ได้รับความช่วยเหลือเป็นอย่างดี
  4. การตระเวนหาลูกค้า (cold-canvass Method)
    เป็นเทคนิคการแสวงหาลูกค้าที่พนักงานขายบางประเภทนิยมใช้กันอยู่ โดยการตระเวนหาลูกค้าไปตามแหล่งของผู้คาดหวังในเขตที่ตนเองรับผิดชอบอยู่ โดยไม่มีการสำรวจหรือวางแผนล่วงหน้า พนักงานขายจะไม่มีข้อมูลใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับลูกค้าที่เข้าพบแต่ประการใด และเมื่อลูกค้าผู้คาดหวังคนใดที่ไม่ใช่เป็นผู้ซื้อก็จะถูกคัดออกไป วิธีนี้เหมาะสำหรับการขายผลิตภัณฑ์ง่าย
  5. วิธีอื่นๆ (Other Method)
    ได้แก่ การใช้จดหมายหรือโทรศัพท์ การสังเกตส่วนตัว การค้นหาชื่อจากสื่อมวลชน หรือการใช้วิธีหาข้อมูลจากบุคคลทั่วไป เช่น พนักงานเก็บค่าไฟ บุรุษไปรษณีย์ คนส่งหนังสือพิมพ์ เสมียนพิมพ์ดีด คนเฝ้าลิฟต์ ช่างเสริมสวย เป็นต้น

การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าผู้คาดหวัง (Qualifying Prospects)
การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าผู้คาดหวัง คือการค้นหาข้อมูลและรายละเอียดต่างๆ ของลูกค้าผู้คาดหวังเพิ่มเติมก่อนการเข้าพบ เพื่อพิจารณาว่าลูกค้าผู้คาดหวังนั้น มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่ซื้อผลิตภัณฑ์ของเรา หรือผู้ที่มีคุณสมบัติตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่กำหนดขึ้นมานั้น ไม่ใช่ทั้งหมดที่มาเป็นลูกค้าหรือผู้ซื้อผลิตภัณฑ์ของเรา ลูกค้าผู้คาดหวังบางคนเท่านั้นที่จะมีโอกาสมาเป็นลูกค้าของเรา ผู้คาดหวังที่มีคุณสมบัติคือ ลูกค้าผู้ซึ่งมีความสามรถ โดยทั่วไป คุณสมบัติของลูกค้าผู้คาดหวังจะต้องมี คือ

  1. มีความต้องการในผลิตภัณฑ์ที่กิจการจำหน่ายอยู่
  2. ต้องมีความสามรถในการจ่าย
  3. ต้องมีอำนาจในการตัดสินใจซื้อ
  4. ต้องสามารถเข้าไปทำการเสนอขายได้
  5. ต้องมีคุณสมบัติอื่นๆ ตรงตามเงื่อนไขที่กิจการกำหนด หรือต้องมีความพร้อมที่จะซื้อ

2. การเตรียมตัวก่อนการเข้าพบ

การเตรียมตัวก่อนการเข้าพบ หรือบางที่เรียกว่า การวางแผนก่อนการขาย คือ การเตรียมการเสนอขายของพนักงานขายกระทำให้กับกลุ่มลูกค้าผู้คาดหวังที่กำหนดขึ้นมา หรือคือการกำหนดรายละเอียดของการเสนอขาย หรือคือ กระบวนการต่อเนื่องในการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านต่างๆ เกี่ยวกับลูกค้าผู้คาดหวัง เพื่อวิเคราะห์และวางแผนก่อนการเข้าพบลูกค้าผู้คาดหวัง ขั้นตอนนี้เป็นงานที่กระทำต่อเนื่องมาจากการแสวงหาลูกค้าผู้คาดหวัง กล่าวคือ เมื่อรายชื่อของลูกค้าผู้คาดหวังและทำการพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแล้ว ก่อนที่จะดำเนินการเข้าพบ พนักงานขายจะต้องทำการค้นหาข้อมูลและรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับลูกค้าหรือธุรกิจของลูกค้าผู้คาดหวัง และใช้ข้อมูลต่างๆ ที่หามาได้จัดทำเป็นแผนการดำเนินงานเพื่อให้การเข้าพบลูกค้าเป็นไปด้วยดีตามวัตถุประสงค์

การเตรียมตัวก่อนเข้าพบลูกค้าผู้คาดหวังของพนักงานขาย จะเป็นไปตามลำดับขั้นตอนดังต่อไปนี้คือ

  1. การกำหนดผลที่คาดว่าจะได้จากการเยี่ยม
    การกำหนดผลที่คาดว่าจะได้ จะช่วยทำให้เราสามารถวางแผนการขายได้อย่างถูกต้อง สามารถวางแผนในการนำเสนอและข้อตกลงต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และทำให้คาดได้ว่าจะพบกับข้อโต้แย้งในลักษณะใดบ้าง ซึ่งจะทำให้การปดการขายสามารถทำได้ง่ายขึ้น
  2. การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าผู้คาดหวัง
    การวางแผนก่อนการขายจะต้องมีการหาข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับลูกค้า ทั้งที่เป็นข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลทางธุรกิจ ตลอดจนการพิจารณาถึงความสัมพันธ์ที่ผ่านมาระหว่างลูกค้าผู้คาดหวังกับธุรกิจ
  3. การวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าผู้คาดหวัง
    พนักงานขายสามารถวิเคราะห์ลูกค้าได้จากข้อมูลต่างๆ ที่รวบรวมขึ้นมา ซึ่งการวิเคราะห์ดังกล่าวจะช่วยให้พนักงานขายสามารถวางแผนการเข้าพบลูกค้าผู้คาดหวัง และการวางแผนเสนอขายให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าผู้คาดหวัง จะทำให้พนักงานขายทราบเกี่ยวกับลูกค้าในด้านต่างๆ เช่น มีฐานะทางการเงินหรือรายได้ที่เหมาะสมหรือไม่ มีอำนาจในการตัดสินใจซื้อมากน้อยแค่ไหน ลูกค้ามีเงื่อนไขผูกพันอยู่กับบริษัทอื่นหรือไม่ เป็นต้น
  4. การวางแผนและการเตรียมตัวก่อนเข้าพบลูกค้าผู้คาดหวัง
    ภายหลังจากการรวบรวมข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับลูกค้าแล้ว ขั้นต่อมาคือการวางแผนการเข้าพบลูกค้า ซึ่งคือการกำหนดว่าพนักงานขายจะพูดอะไร จะนำเสนอแผนการขายอย่างไร อย่างน้อยที่สุด พนักงานขายจะต้องมีการกำหนดจุดเริ่มต้นของแนวทางหรือแนวความคิดในการเสนอขายผลิตภัณฑ์ คำถามอะไรที่พวกเขาจะนำไปสู่การสนทนา ผลประโยชน์อะไรของผลิตภัณฑ์ที่จะนำเสนอให้แก่ลูกค้า นอกจากนั้นแล้ว ยังต้องมีการเตรียมพร้อมถึงคำถามหรือข้อโต้แย้งต่างๆ ที่คาดว่าจะได้รับจากลูกค้า เพื่อที่จะเตรียมกลยุทธ์ในการตอบข้อโต้แย้งเหล่านั้น
  5. การนัดหมายลูกค้าผู้คาดหวัง
    การขายผลิตภัณฑ์บางประเภทนั้น การนัดหมายลูกค้าผู้คาดหวังล่วงหน้าเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากลูกค้าผู้คาดหวังส่วนมากมีภาระกิจประจำที่ต้องทำ ซึ่งการนัดหมายล่วงหน้านั้น นอกจากจะช่วยให้พนักงานขายประหยัดเวลาในการรอคอยพบลูกค้าแล้ว การนัดหมายล่วงหน้าจะเป็นการทำให้ลูกค้ามีการเตรียมตัว และเตรียมพร้อมในการรับฟังข้อเสนอขายของพนักงานขายอย่างเต็มที่ ซึ่งทำให้การเสนอขายแต่ละครั้งประสบผลสำเร็จมากขึ้น

3. การเข้าพบลูกค้า

ในการเข้าพบลูกค้านั้น พนักงานขายควรมีเทคนิคในการเข้าพบลูกค้าดังต่อไปนี้คือ

  1. ควรมีการนัดหมายลูกค้าก่อนเสมอ
    เพื่อประหยัดเวลาของพนักงานขาย และเพื่อเป็นการเคารพเวลาและให้เกียรติแก่ลูกค้า และถ้าเป็นการเข้าพบโดยไม่มีการนัดหมายล่วงหน้า พนักงานขายควรถามลูกค้าก่อนว่าจะสามารถให้พูดเรื่องการเสนอขายได้หรือไม่
  2. ต้องเข้าพบให้ตรงเวลา
    พนักงานขายต้องมีการวางแผนการเดินทางก่อนทุกครั้ง และควรไปให้ถึงก่อนเวลานัดหมายเล็กน้อย
  3. จงพบลูกค้าด้วยวิธีธรรมดา
    ยิ้มแย้มแจ่มใส และด้วยท่าทีที่สง่าผ่าเผย เนื่องจากลูกค้าไม่ชอบให้พนักงานขายใช้เล่ห์เหลี่ยมหรือการอำพรางความจริง จงพบลูกค้าด้วยความจริงใจ
  4. มีจุดมุ่งหมายในการเข้าพบและใช้ข้อมูลข่าวสารให้มากที่สุด
    ซึ่งจะช่วยให้พนักงานขายสามารถเตรียมการขายได้ถูกต้อง และมีความมั่นใจในการเสนอขาย
  5. อย่าพูดแต่เรื่องของตัวเองเป็นใหญ่
    ลูกค้าไม่ชอบให้พนักงานขายทำให้พวกเขาเสียเวลาในเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเขา แต่ควรต้องมีการเอ่ยชื่อลูกค้าด้วยความชัดเจนและถูกต้อง และแสดงความกระตือรือร้นในสิ่งที่ลูกค้าแสดงความคิดเห็น และอย่าโต้เถียงลูกค้า

4. การเสนอขายและการสาธิต

การเสนอขาย คือการอธิบายให้ลูกค้าได้ทราบถึงรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ และผลประโยชน์และสิทธิพิเศษต่างๆ ที่จะได้รับ ตลอดจนการโน้มน้าวให้ลูกค้าเกิดความต้องการในตัวผลิตภัณฑ์ขึ้นมา

การสาธิตการขาย เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การขายดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและไม่เสียเวลามากนัก เป็นการแสดงหรือทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ให้แก่ลูกค้าผู้คาดหวัง ให้เกิดความสนใจ เกิดภาพลักษณ์สร้างความปรารถนาไปสู่ความเชื่อมั่น และตัดสินใจชื้อในที่สุด ดังนั้น ในการเสนอขายและการสาธิตนั้น พนักงานจะต้องมีการเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ทั้งเนื้อหาที่พูด ลักษณะท่าทาง การพูด น้ำเสียง เวลาที่ใช้ไปในการสาธิต ตลอดจนการเตรียมพร้อมในอุปกรณ์ช่วยการสาธิตต่างๆ

หลักสำคัญของการสาธิต องค์ประกอบที่สำคัญของการเสนอขายและการสาธิตที่พนักงานขายจะต้องทราบมีอยู่ 4 ประการ หรือที่นิยมเรียกว่า 4Cs คือ

  1. ความชัดเจน (Clarity)
    การสาธิตที่มีประสิทธิภาพ ควรดำเนินไปสู่ความชัดเจนและเข้าใจง่าย พนักงานขายจะต้องขจัดสิ่งที่ทำให้ลูกค้าสงสัยหมดไปโดยสิ้นเชิง
  2. ความสมบูรณ์ (Completeness)
    เทคนิคนี้พนักงานขายจะทำการเสนอขายและสาธิตให้ประเด็นประเด็นหนึ่ง
  3. ความเชื่อมั่น (Confidence)
    การที่ลูกค้าผู้คาดหวังจะตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์นั้น จำเป็นต้องมีความเชื่อมั่นเกิดขึ้นก่อน ซึ่งความเชื่อมั่นนี้จะเกิดขึ้นจากสองทางด้วยกันคือ จากตัวผลิตภัณฑ์และจากตัวของพนักงานเอง สิ่งที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นกับลูกค้าผู้คาดหวัง ได้แก่ หลีกเลี่ยงการพูดโอ้อวดและการการโกหก เปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ การรับประกัน
  4. การแข่งขัน (Competition)
    หลักการสำคัญของการเสนอขายที่ดี คือ จะต้องสามารถแข่งขันกับคู่แข่งขันได้ พนักงานขายจะต้องพยยามกีดกันไม่ให้ผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งขันมาอยู่ในความสนใจของลูกค้าผู้คาดหวัง วิธีการเสนอขายที่ขจัดการแข่งขันคือ จะต้องไม่เอ่ยถึงคู่แข่งขันหรือพยายามกล่าวอ้างให้น้อยที่สุด

5. การขจัดข้อโต้แย้ง

ข้อโต้แย้ง (Objection) คือ ข้อแตกต่างระหว่างความคิดเห็นของลูกค้าและพนักงานขายในเรื่องเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ข้อโต้แจ้งดูเหมือนว่าจะเป็นอุปสรรคต่อการเสนอขายของพนักงานขาย แต่ถ้าข้อโต้แย้งนั้นสามารถขจัดไปได้ ก็จะกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการเสนอขายของพนักงานขาย ข้อโต้แย้งเป็นสิ่งปกติที่จะต้องเกิดขึ้นในการเสนอขาย

ชนิดของข้อโต้แย้ง (Type of Objections)

โดยทั่วไป ข้อโต้แย้งที่เกิดจากลูกค้าผู้คาดหวังจะแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ

  • ข้อโต้แย้งแบบจริงใจ
    เป็นข้อโต้แย้งที่พบเห็นบ่อยมากที่สุดในการเสนอการขาย เป็นข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้นจากการสงสัยหรือไม่เข้าใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจริงๆ ของลูกค้าผู้คาดหวัง ซึ่งข้อโต้แย้งชนิดนี้มักจะเป็นข้อโต้แย้งเกี่ยวกับความมั่นใจในกิจการ คุณภาพและประโยชน์จากการใช้ผลิตภัณฑ์ ราคา และข้อเสนอต่างๆ ที่เสนอให้ การให้บริการเพิ่มเติม รวมทั้งการเปรียบเทียบระหว่างผลิตภัณฑ์และข้อเสนอของกิจการและคู่แข่งขัน ข้อโต้แย้งแบบจริงใจที่เกิดขึ้น เป็นข้อโต้แย้งที่พนักงานขายสามารถขจัดได้ง่าย
  • ข้อโต้แย้งแบบไม่จริงใจ
    คือ ข้อโต้แย้งที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการสงสัย หรือมีปัญหาใดๆ กับขั้นตอนในการเสนอขาย แต่เป็นข้อกล่าวอ้างที่เกิดขึ้นเนื่องจากลูกค้าผู้คาดหวังต้องการหลบหน้าพนักงานขาย หรือต้องการที่จะหลีกเลี่ยงการตัดสินใจซื้อในตอนนั้น หรือเพื่อเป็นการกำจัดพนักงานขายออกไป ดั้งนั้น พนักงานขายจะต้องเรียนรู้ว่า ลักษณะข้อโต้แย้งใดเป็นข้อโต้แย้งแบบจริงใจและแบบไม่จริงใจ พนักงานขายที่ฉลาดบางครั้งเมื่อเผชิญกับข้อโต้แย้งแบบไม่จริงใจนี้ อาจจะต้องทำเป็นไม่สนใจและยังคงดำเนินการขายต่อไป และถ้าลูกค้ายังคงกล่าวอ้างข้อโต้แย้งเหล่านี้อีก พนักงานขายอาจจะใช้ข้อเสนอพิเศษหรือตั้งคำถามเพื่อให้การเสนอขายดำเนินต่อไป

6. การปิดการขาย

การปิดการขาย คือ การสรุปผลการเสนอขาย เป็นเทคนิคขั้นสุดท้ายที่เร้าความสนใจของลูกค้าให้ตัดสินใจซื้อผลตภัณฑ์ด้วยความพึงพอใจ การปิดกการขายจะกระทำภายหลังจากการที่พนักงาานขายสามารถขจัดข้อโต้แย้งของลูกค้าที่เกิดขึ้นได้แล้ว เป็นเทคนิคของการขายที่เรียกร้องให้ลูกค้ามีการกระทำเกิดขึ้น การปิดการขายทุกครั้งไม่ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป พนักงานขายจำนวนมากที่ประสบความล้มเหลวในการขาย เนื่องจากการขาดหลักการที่ดีในการปิดการขาย ดังนั้นการปิดการขายจะเป็นเครื่องชี้ให้เห็นถึงความสำเร็จในการเสนอขายแต่ละครั้ง

เวลาที่ควรปิดการขาย ส่วนใหญ่มีความเชื่อว่าเวลาที่ดีที่สุดของการปิดการขายคือ ช่วงสุดท้ายของการเสนอขาย แต่มีนักวิชาการบางท่านกล่าวว่า การปิดการขายนั้นสามารถทำได้ทุกขณะของการเสนอขาย อย่างไรก็ตาม เวลาที่เหมาะสมที่สุกที่จะทำการปิดการขาย คือ
1.เมื่อพนักงานขายได้ทำการสาธิตต่างๆ และชี้แจงรายละเอียดของสนค้ามาเป็นเวลานานพอควร
2.เมื่อพนักงานขายได้ตอบข้อโต้แย้งต่างๆ ของลูกค้าจนเป็นที่พอใจ
3.เมื่อลูกค้าแสดงออกถึงความต้องการซื้อในผลิตภัณฑ์ หรือเมื่อมีสัญญาณซื้อจากลูกค้าเกิดขึ้นบ้างแล้ว

การทดลองปิดการขาย ในบางกรณีลูกค้าไม่แสดงออกถึงการตัดสินใจซื้อ พนักงานขายก็อาจใช้คำถามเพื่อทดสอบการตัดสินใจของลูกค้า หรือพนักงานขายบางคนมีความรู้สึกว่าถ้าการปิดการขายเร็วเกินไปก็อาจจะพลาดโอกาสในการขายได้ หรือในกรณีที่พนักงานขายไม่สามารถที่จะตัดสินใจได้ว่าเมื่อไหร่จึงควรจะปิดการขาย พนักงานขายก็จะทำการทดลองปิดการขายก่อน ซึ่งการทดลองปิดการขายสามารถทำได้หลลายครั้ง และการทดลองปิดการขายที่แนบเนียนนั้น โอกาสที่จะพลาดก็น้อยลง

เทคนิคการปิดการขาย ในการปิดการขายจะมีเทคนิคที่ใช้อยู่หลายวิธี ซึ่งพักงานขายแต่ละคนไม่จำเป็นต้องใช้เทคนิคในการปิดการขายที่เหมือนกันทุกครั้ง โดยทั่วไปเทคนิคการปิดการขายที่นิยมใช้กันคือ

  1. สันนิษฐานเพื่อปิดการขาย
    เป็นการสันนิษฐานว่าลูกค้าผู้คาดหวังจะซื้อผลิตภัณฑ์ จะกระทำเมื่อภายหลังการนำเสนอเสร็จสิ้นไปแล้ว
  2. สรุปประโยชน์ที่จะได้รับจากผลิตภัณฑ์
    เป็นการกล่าวเน้นถึงประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับจากการซื้อผลิตภัณฑ์ก่อนทำการปิดการขาย
  3. ถามถึงคำสั่งซื้อ
    เป็นการปิดการขายโดยการถามลูกค้าตรงๆ ถึงคำสั่งซื้อวิธีนี้จะได้ผลต่อเมื่อพนักงานขายแน่ใจว่าคำตอบที่ได้รับจากลูกค้าคือ การตอบรับ
  4. ปิดการขายโดยเสนอทางเลือก
    เช่น ท่านจะรับสีแดงหรือสีขาวครับ
  5. การให้ข้อเสนอพิเศษ
    เช่น การให้ส่วนลดพิเศษ การให้ของแถมเป็นต้น
  6. โอกาสสุดท้าย
    เป็นการบอกลูกค้าว่าเป็นโอกาสสุดท้ายที่พวกเขาจะซื้อผลิตภัณฑ์ได้ หรือเป็นโอกาสสุดท้ายที่พวกเขาจะได้ข้อเสนอพิเศษ
  7. อื่นๆ
    เช่น ใช้การชักจูงแนะนำ การให้ลูกค้ามีความรู้สึกว่าเป็นเจ้าของแล้ว หรือใช้พลังเสริมจากบุคคลที่สาม เป็นต้น

7. การติดตามผลและการให้บริการ

นักการขายสมัยใหม่ถือว่าหัวใจของการทำงานคือ การติดตามผลและการให้บริการ ซึ่งเป็นประการสำคัญในการสสร้างฐานหรือเครือข่ายของลูกค้า และเพิ่มยอดจำหน่ายให้แก่กิจการ หลังจากพนักงานขายได้ปดการขายแล้ว กระบวนการขายยังไม่สิ้นสุด พนักงานขายจะต้องมีการติดตามผล การติดตามที่ดีย่อมเป็นการสร้างการขายต่อไป เนื่องจากการติดตามผลเป็นวิธีการสร้างความเชื่อมั่นและความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า เทคนิคของการติดตามผลการขาย ได้แก่ การส่งมอบผลิตภัณฑ์ การตดต่อทางโทรศัพท์ การติดต่อทางไปรษณีย์ การแวะเยี่ยมเยียน การอวยพรในเทศกาลพิเศษ การร่วมงานสำคัญๆของลูกค้า และการสร้างข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติม

การบริการหลังการขาย คือการติดตามเอาใจใส่ลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์ไปแล้ว โดยให้ความช่วยเหลืออย่างจริงใจและเต็มใจ เช่น การส่งมอบผลติภัณฑ์ การบริการตดตั้ง การบริการตรวจเช็คและแก้ไขข้อบกพร่องของผลิตภัณฑ์ การบริการซ่อมแซม เป็นต้น ดังนั้น พนักงานขายที่ดีต้องมีจิตสำนึกของการเป็นผู้ให้ คอยเป็นผู้ประสานงาน รวมทั้งแจ้งข่าวสารต่างๆ หรือรายละเอียดอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ลูกค้า ซึ่งจะนำไปสู่ความพอใจและการซื้อซ้ำของลูกค้า