บทวิเคราะห์ วิจารณ์ Show คุณค่าด้านเนื้อหา ๑. คำนมัสการพระคุณ มีเนื้อหาสำคัญคือ การสรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้า ๒. คำนมัสการพระธรรมคุณ พระธรรมคือ คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ๓. คำนมัสการพระสังฆคุณ ถ้าพรพุทธองค์ไม่ได้ทรงสถาปนาคณะสงฆ์ขึ้นหลักธรรมที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบย่อมสูญสิ้นไปพร้อมกับเสด็จดับขันธ์ป อ่านเพิ่มเติม เขียนโดย Unknown ที่09:26:00 ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปที่ Twitterแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest บทกวีนี้ กล่าวนอบน้อมพระคุณของบิดามารดา ผู้ได้เกื้อกูลมาตั้งแต่เล็กจนเติบโต คอยเฝ้าระวังรักษาประคับ ประคองดูแลอยู่ไม่ยอมห่าง แม้จะ ลำบากเท่าไรก็อดทนได้ เลี้ยงลูกอย่างทะนุถนอม ปกป้องอันตราย จนรอดพ้นอันตราย เติบใหญ่ เป็นตัวเป็นตน เปรียบประคุณของบิดามารดายิ่งกว่าภูเขา หรือแผ่นดิน สุดที่จะทดแทนพระคุณ มากล้นนี้ได้ด้วยการบูชาอันวิเศษสมบูรณ์เลิศล้ำ นมัสการอาจริยคุณผู้แต่ง พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) จุดประสงค์ เพื่อนมัสการและสรรเสริญพระคุณของครู อาจารย์ที่ได้อบรมสั่งสอนและให้ความรู้แก่ ศิษย์ทั้งหลาย นมัสการอาจริยคุณ อนึ่งข้าคำนับน้อมต่อพระครูผู้การุญโอบเอื้อและเจือจุนอนุสาสน์ทุกสิ่งสรรพ์ยัง บ ทราบก็ได้ทราบทั้งบุญบาปทุกสิ่งอันชี้แจงและแบ่งปันขยายอัตถ์ให้ชัดเจนจิตมากด้วยเมตตาและกรุณา บ เอียงเอนเหมือนท่านมาแกล้งเกณฑ์ให้ฉลาดและแหลมคมขจัดเขลาบรรเทาโม-หะจิตมืดที่งุนงมกังขา ณ อารมณ์ก็สว่างกระจ่างใจคุณส่วนนี้ควรนับถือว่าเลิศ ณ แดนไตรควรนึกและตรึกในจิตน้อมนิยมชมถอดความ กล่าวแสดงขอความเคารพนอบน้อมต่อครู ผู้มีความกรุณา เผื่อแผ่อบรมสั่งสอนศิษย์ทุกสิ่ง ให้มีความรู้ ทั้งความดี ความชั่ว ชั่วขยายความให้เข้าใจแจ่มแจ้ง มีเมตตากรุณา กรุณาเที่ยงตรง เคี่ยวเข็ญให้ฉลาดหลักแหลม ช่วยกำจัดความโง่เขลา ให้มีความเข้าใจแจ่มชัด พระคุณดังกล่าวนี้ ถือว่าเป็นเลิศในสามโลกนี้ ควรระลึกและน้อมใจชื่นชมยกย่อง ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง ครูเป็นผู้ชี้แจง อบรมสั่งสอนทั้งวิชาความรู้และความดีทางจริยธรรมพระคุณของครูนับว่า สูงสุดจะป็นรองก็เพียงแต่บิดามารดาเท่านั้น พระยาศรีสุนทรโวหาร ( น้อย อาจารยางกูร )พระยาศรีสุนทรโวหาร ( น้อย อาจารยางกูร ) ( ๕ กรกฎาคม พ.ศ.๒๓๖๕ – ๑๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๓๔ ) เป็นชาวฉะเชิงเทรา ท่านได้รับสมญาว่าเป็นศาลฎีกาภาษาไทย เป็นผู้แต่งตำราเรียนชุดแรกของไทย เรียกว่า “ แบบเรียนหลวง ” ใช้สอนในโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ และหนังสือกวีนิพนธ์ที่มีคุณค่าอีกหลายเรื่อง งานชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่ง คือท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็น แม่กองตรวจโคลงบรรยายประกอบรูปภาพเรื่อง “ รามเกียรติ์ ” รอบระเบียงพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อครั้งกรุงรัตนโกสินทร์ครบรอบ ๑๐๐ ปี และตัวท่านเองก็ได้รับหน้าที่เป็นผู้แต่งด้วยท่านหนึ่ง ตัวอย่างผลงาน มูลบทบรรพกิจ สังโยคภิธานแปล วาหนิติ์นิกร วิธีสอนหนังสือไทย อักษรประโยค มหาสุปัสสีชาดก สังโยคภิธาน วรรณพฤติคำฉันท์ ไวพจน์พิจารณ์ ฉันท์กล่อมช้าง พิศาลการันต์ ฉันทวิภาค อนันตวิภาค ร่ายนำโคลงภาพพระราชพงศาวดาร เขมรากษรมาลา ( เป็นแบบหนังสือขอม ) โคลงภาพพระราชพงศาวดาร รูป ๖๕ และ ๘๕ นิติสารสาธก คำนมัสการคุณานุคุณ ปกีรณำพจนาตถ์ ( คำกลอน ) สยามสาธก วรรณสาทิศ ไวพจน์ประพันธ์ พรรณพฤกษา อุไภยพจน์ สัตวาภิธาน ลักษณะคำประพันธ์ประเภทอินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ฉันท์ เป็นลักษณ์หนึ่งของร้อยกรองในภาษาไทย โดยแต่งกันเป็นคณะ มี ครุ และ ลหุ และสัมผัส กำหนดเอาไว้ด้วย ฉันท์ในภาษาไทยได้ถ่ายแบบมาจากประเทศอินเดีย ตามตำราที่เขียนถึงวิธีแต่งฉันท์ไว้ เรียกว่า “ คัมภีร์วุตโตทัย ” ซึ่งแต่เดิมฉันท์จะแต่งเป็นภาษาบาลีและสันสกฤต ต่อมา เมื่อเผยแพร่ในประเทศไทย จึงเปลี่ยนแบบมาแต่งในภาษาไทย โดยเพิ่มเติมสัมผัสต่าง ๆ ขึ้นมา แต่ยังคงคณะ ( จำนวนคำ ) และเปลี่ยนลักษณะครุ – ลหุแตกต่างไปเล็กน้อย นอกจากนี้ยังเพิ่มความไพเราะของภาษาไทยลงไปอีกด้วย “ อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ ” มีความหมายว่า “ ฉันท์ที่มีลีลาดุจสายฟ้าของพระอินทร์ ”เป็นฉันท์ที่นิยมแต่งกันมากที่สุด มีลักษณะและจำนวนคำคล้ายกับกาพย์ยานี ๑๑ แต่แตกต่างกันที่ว่าอินทรวิเชียรฉันท์มีข้อบังคับ ครุ และ ลหุ ตัวอย่างคำประพันธ์ “ บงเนื้อก็เนื้อเต้น พิศเส้นสรีร์รัว ทั่วร่างและทั้งตัว ก็ระริกระริวไหว แลหลังละลามโล- หิตโอ้เลอะหลั่งไป เพ่งผาดอนาถใจ ระกะร่อยเพราะรอยหวาย จาก สามัคคีเภทคำฉันท์ – ชิต บุรทัต การพูดแนะนำตนเองการพูดแนะนำตนเป็นการพูดที่แทรกอยู่กับการพูดลักษณะต่าง ๆ เป็นพื้นฐานเบื้องต้นที่จะทำให้ผู้ฟังมีความรู้เกี่ยวกับผู้พูด การแนะนำตนจะให้รายละเอียดแตกต่างกันไปตามลักษณะการพูดแต่ละประเภทซึ่งสามารถสรุป ได้ดังนี้ ๑. การพูดแนะนำตนในกลุ่มของนักเรียน เป็นการพูดที่มีจุดประสงค์เพื่อทำความรู้จักกันในหมู่เพื่อน หรือแนะนำตัวในขณะทำกิจกรรม ควรระบุรายละเอียดสำคัญ คือ ๑ ) ชื่อและนามสกุล ๒ ) รายละเอียดเกี่ยวกับการศึกษา ๓ ) ที่อยู่ปัจจุบัน และภูมิลำเนาเดิม ๔ ) ความสามารถพิเศษ ๕ ) กิจกรรมที่สนใจ และต้องการมีส่วนร่วมปฏิบัติกิจกรรม ๒. การพูดแนะนำตนเพื่อเข้าปฏิบัติงาน หรือรายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชา ควรระบุถึงประเด็นสำคัญ คือ ๑ ) ชื่อและนามสกุล ๒ ) รายละเอียดเกี่ยวกับการศึกษา ๓ ) ตำแหน่งหน้าที่ที่จะเข้ามาปฏิบัติ ๔ ) ระยะทางที่จะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ ๓. การแนะนำบุคคลอื่นในงานสังคมหรือในที่ประชุม โดยให้รายละเอียด ดังนี้ ๑ ) ชื่อและนามสกุลของผู้ที่เราแนะนำ ๒ ) ความสามารถของผู้ที่เราแนะนำ ๓ ) ไม่ควรแนะนำอย่างยืดยาว และไม่นำเรื่องส่วนตัวที่จะทำให้ผู้อื่นอับอาย หรือตะขิดตะขวงใจมาพูด ๔ ) การแนะนำบุคคลให้ผู้อื่นรู้จักต้องใช้คำพูดเพื่อสร้างไมตรีที่ดีระหว่างบุคคลทั้งสองฝ่าย ตัวอย่างการแนะนำตนเองในที่ชุมนุมชน ท่านประธาน และสมาชิกชมรมพัฒนาชีวิตทุกท่าน ดิฉันขอขอบคุณพิธีกรมากค่ะ ที่ให้โอกาสดิฉันได้แนะนำตัวเอง ดิฉันนางสาวสมศรีรัตนสุนทร เกิดไกลหน่อยคืออำเภอปัว จังหวัดน่านค่ะ มาอยู่กรุงเทพฯ นี่ ๔ ปีแล้ว โดยดิฉัน ทำงานเป็นพนักงานขาย ที่ร้านใบแก้ว ดิฉันเรียนจบชั้นมัธยมปีที่สามที่โรงเรียนใกล้บ้าน นั่นเองค่ะ ความที่เป็นคนช่างพูด หลังจากจบแล้วเพื่อนชวนมาทำงานที่ถูกกับนิสัยก็เลยมา และเนื่องจากดิฉันไม่มีโอกาสได้เรียนต่อ จึงเห็นว่าการศึกษาทางไกลนี้จะช่วยให้ดิฉันพัฒนาชีวิตได้ดียิ่งขึ้นแทนการศึกษาในโรงเรียน จึงสมัครเป็นสมาชิก และต่อไปจะตั้งใจเรียน และร่วมทำกิจกรรมต่าง ๆ ทุกกิจกรรมค่ะ ปัจจุบันดิฉันพักอยู่ที่ร้านที่ดิฉันทำงานนั่นแหละค่ะถ้ามีเรื่องใดจะให้ทำติดต่อได้ที่ร้านนั่นเลยสำหรับที่อยู่ของร้าน มีอยู่ในทะเบียนบัญชีรายชื่อ นักศึกษาแล้วค่ะ สวัสดีค่ะหลักการพินิจวรรณคดีและวรรณกรรมความหมาย การพินิจ คือ การพิจารณาตรวจตรา พร้อมทั้งวิเคราะห์แยกแยะและประเมินค่าได้ทั้งนี้นอกจากจะได้ประโยชน์ต่อตนเองแล้ว ยังมีจุดประสงค์เพื่อนำไปแสดงความคิดเห็นและข้อเท็จจริงให้ผู้อื่นได้ทราบด้วย เช่น การพินิจวรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อแนะนำให้บุคคลทั่วไปที่เป็นผู้อ่านได้รู้จักและได้ทราบรายละเอียดที่เป็นประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น ใครเป็นผู้แต่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร มีประโยชน์ต่อใครบ้าง ทางด้านใด ผู้พินิจมีความเห็นว่าอย่างไร คุณค่าในแต่ละด้านสามารถนำไปประยุกต์ให้เกิดประโยชน์อย่างไรในชีวิตประจำวัน แนวทางในการพินิจวรรณคดีและวรรณกรรม การพินิจวรรณคดีและวรรณกรรมมีแนวให้ปฏิบัติอย่างกว้าง ๆ เพื่อให้ครอบคลุมงานเขียนทุกชนิด ซึ่งผู้พินิจจะต้องดูว่าจะพินิจหนังสือชนิดใด มีลักษณะเฉพาะอย่างไร ซึ่งจะมีแนวในการพินิจที่จะต้องประยุกต์หรือปรับใช้ให้เหมาะสมกับงานเขียนนั้น ๆ หลักเกณฑ์กว้าง ๆ ในการพินิจวรรณคดีและวรรณกรรม มีดังนี้ ๑. ความเป็นมา หรือ ประวัติของหนังสือและผู้แต่ง เพื่อช่วยให้วิเคราะห์ในส่วนอื่น ๆ ได้ดีขึ้น ๒. ลักษณะคำประพันธ์ ๓. เรื่องย่อ ๔. เนื้อเรื่อง ให้วิเคราะห์เรื่องตามหัวข้อต่อไปนี้ตามลำดับ โดยบางหัวข้ออาจจะมี หรือไม่มีก็ได้ตามความจำเป็น เช่น โครงเรื่อง ตัวละคร ฉาก วิธีการแต่ง ลักษณะการดำเนินเรื่อง การใช้ถ้อยคำสำนวนในเรื่อง ท่วงทำนองการแต่ง วิธีคิดที่สร้างสรรค์ ทัศนะหรือมุมมองของผู้เขียน เป็นต้น ๕. แนวคิด จุดมุ่งหมาย เจตนาของผู้เขียนที่ฝากไว้ในเรื่อง หรือบางทีก็แฝงเอาไว้ในเรื่อง ซึ่งจะต้องวิเคราะห์ออกมา ๖. คุณค่าของวรรณคดีและวรรณกรรม ซึ่งโดยปกติแล้วจะแบ่งออกเป็น ๔ ด้านใหญ่ ๆ และกว้าง ๆ เพื่อความครอบคลุมในทุกประเด็น ซึ่งผู้พินิจจะต้องไปแยกแยะหัวข้อย่อยให้สอดคล้องกับลักษณะหนังสือที่จะพินิจนั้น ๆ ตามความเหมาะสมต่อไป การพินิจคุณค่าของวรรณคดีและวรรณกรรม มี ๔ ประเด็นดังนี้ ๑. คุณค่าด้านวรรณศิลป์ คือ ความไพเราะของบทประพันธ์ ซึ่งอาจจะเกิดจากรสของคำที่ผู้แต่งเลือกใช้และรสความที่ให้ความหมายกระทบใจผู้อ่าน ๒. คุณค่าด้านเนื้อหา คือ การให้ความรู้ด้านต่าง ๆ ให้คุณค่าทางปัญญาและความคิดแก่ผู้อ่าน ๓. คุณค่าด้านสังคม วรรณคดีและวรรณกรรมสะท้อนให้เห็นภาพของสังคมในอดีตและวรรณกรรมที่ดีสามารถจรรโลงสังคมได้อีกด้วย ๔. การนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อให้ผู้อ่านได้ประจักษ์ในคุณค่าของชีวิต ได้ความคิดและประสบการณ์จากเรื่องที่อ่าน และนำไปใช้ในการดำเนินชีวิต นำไปเป็นแนวปฏิบัติหรือแก้ปัญหา |