Enfa สรุปให้ Show
เลือกอ่านตามหัวข้อ • ท้องไตรมาส 3
คืออะไร การตั้งครรภ์จะแบ่งออกเป็น 3 ไตรมาส ในแต่ละไตรมาส ทั้งแม่และทารกในครรภ์ก็จะมีพัฒนาการใหม่ ๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ วันนี้ Enfa เดินทางมาถึงไตรมาสที่ 3 ซึ่งเป็นไตรมาสสุดท้ายก่อนที่เจ้าตัวเล็กจะลืมตาออกมาดูโลกกว้าง มาดูกันว่าในไตรมาส 3 นี้ ร่างกายของคุณแม่จะเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง พัฒนาการของทารกในครรภ์เป็นอย่างไร และคุณแม่มีอะไรต้องระวังเป็นพิเศษหรือเปล่า ท้องไตรมาส 3 คืออะไรการตั้งครรภ์ปกติจะกินเวลายาวนานถึง 40 สัปดาห์ หรือ 9 เดือน โดยใน 9 เดือนนี้ก็จะแบ่งออกเป็น 3 ไตรมาส การท้องไตรมาส 3 คือการตั้งครรภ์ในช่วงอายุครรภ์ระหว่าง 27-40 สัปดาห์ หรืออยู่ในช่วงเดือนที่ 7-9 ของการตั้งครรภ์ ไตรมาส 3 คือไตรมาสสุดท้ายของกระบวนการตั้งครรภ์ และจะมีการคลอดเกิดขึ้น เมื่อการคลอดจบลง ก็จะถือว่าสิ้นสุดการตั้งครรภ์อย่างสมบูรณ์ อาการคนท้องไตรมาส 3คนท้องไตรมาส 3 ยังคงพบกับอาการคนท้องอีกมากมายหลาย ทั้งยังพบกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่มากขึ้นด้วย เรียกได้ว่าแม้จะเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของการตั้งครรภ์ แต่อาการคนท้องก็ยังประเดประดังเกิดขึ้นอยู่เหมือนเดิม การเปลี่ยนแปลงของร่างกายของคุณแม่ช่วงตั้งครรภ์ไตรมาส 3 มีดังนี้
พัฒนาการทารกในครรภ์ไตรมาส 3ทารกในครรภ์ไตรมาส 3 ได้พัฒนาระบบและอวัยวะต่าง ๆ มาจนสิ้นสุดกระบวนการ และพร้อมที่จะเริ่มต้นทำงานต่อเนื่องทันทีหลังจากคลอด โดยในช่วงไตรมาส 3 นี้ ทารกจะมีพัฒนาการมากมาย ไม่ว่าจะเป็น
คุณแม่จะช่วยเสริมพัฒนาการลูกน้อยในช่วงไตรมาสสุดท้ายได้อย่างไรในช่วงไตรมาส 3 คุณแม่ยังจำเป็นที่จะต้องคงไว้ซึ่งไลฟ์สไตล์ที่ดีต่อสุขภาพเช่นเดิมค่ะ เพื่อให้ร่างกายของคุณแม่และทารกในครรภ์ยังคงแข็งแรง โดยคุณแม่สามารถดูแลตัวเองและทารกในครรภ์ได้ง่าย ๆ ดังนี้
อาหารคนท้องไตรมาส 3อาหารบํารุงครรภ์ไตรมาส 3 ยังจำเป็นจะต้องใส่ใจกับสารอาหารสำคัญอยู่เช่นเดิมค่ะ เพราะถ้าหากขาดไปอาจมีผลต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์ได้ โดยกลุ่มสาอาหารสำคัญสำหรับแม่ตั้งครรภ์ ได้แก่ 1. อาหารที่มี DHA สูงดีเอชเอ (Docosahexaenoic Acid) คือ กรดไขมันโอเมก้า 3 ชนิดหนึ่ง ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาทางสมอง ดวงตา และระบบประสาท นอกจากนี้ยังอาจช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์บางอย่าง เช่น การคลอดก่อนกำหนด หรือโรคซึมเศร้าหลังคลอดได้อีกด้วย อาหารที่มีดีเอชเอสูง เช่น ปลาทะเล อโวคาโด ไข่แดง เป็นต้น คุณแม่ควรกินอย่างน้อยสัปดาห์ละสองครั้ง หรือดื่มนมสูตรเสริมดีเอชเอก็ดีเช่นกันค่ะ 2. อาหารที่มีโปรตีนสูงโปรตีน เป็นสารอาหารสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆ ของทารกในครรภ์ อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างน้ำนมให้กับคุณแม่ ตัวอย่างอาหารที่มีโปรตีนสูง เหมาะสำหรับคนท้อง เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ หรือถั่วต่าง ๆ ประมาณ 75 – 110 กรัมต่อวัน ทั้งนี้ยังขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวของคุณแม่ และไตรมาสของการตั้งครรภ์ โดยคำนวณง่าย ๆ คือในหนึ่งมื้ออาหาร ควรมีโปรตีนประมาณ 30 - 40% ของอาหารที่กินนั่นเอง 3. อาหารที่มีธาตุเหล็กสูงอาหารที่มีธาตุเหล็ก ถือเป็น อาหารคนท้องที่สำคัญอีกหนึ่งชนิด เพราะสามารถช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งถือเป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ ของการคลอดทารกที่มีน้ำหนักแรกเกิดน้อยกว่าเกณฑ์ปกติ ดังนั้น คุณแม่ควรได้รับธาตุเหล็กไม่ต่ำกว่า 27 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งสามารถหาได้จากการกินอาหารประเภท เนื้อแดง ไข่แดง ตับ งา และผักสีเขียวเข้ม เป็นต้น 4. อาหารที่มีโฟเลตสูงกรดโฟลิก หรือโฟเลต ก็เป็นอีกหนึ่งสารอาหารที่คุณแม่ตั้งครรภ์ไม่ควรมองข้าม เพราะมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาของระบบประสาทและสมอง หากคุณแม่ได้รับโฟเลตไม่เพียงพอ ก็อาจส่งผลให้ลูกน้อยเกิดปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาทได้ ดังนั้น คุณแม่ตั้งครรภ์จึงควรได้รับโฟเลตอย่างน้อย 600-800 มิลลิกรัมต่อวัน จากการกินอาหารประเภท ตับ ไข่ ผักใบเขียว และถั่วต่าง ๆ เป็นต้น 5. อาหารที่มีแคลเซียมสูงอย่างที่รู้กันว่า แคลเซียมนั้นมีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง โดยเฉพาะในช่วงเวลาการเจริญเติบโตของลูกน้อย ยิ่งทำให้คุณแม่ต้องบำรุงร่างกายเพิ่มเติมพร้อมเสริมแคลเซียมให้เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวัน โดยปกติ ผู้หญิงตั้งครรภ์มักจะต้องการแคลเซียมประมาณ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งหาได้จากการกินอาหารจำพวกนม หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม เช่น ชีส เนย หรือโยเกิร์ต เป็นต้น 6. อาหารที่มีไอโอดีนสูงหากคุณแม่ตั้งครรภ์ได้รับไอโอดีนไม่เพียงพอ อาจทำให้ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในร่างกายผิดปกติ และนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ เช่น โรคไทรอยด์ระหว่างตั้งครรภ์ได้ ดังนั้นคุณแม่ตั้งครรภ์จึงควรควรได้รับไอโอดีนจำนวน 250 ไมโครกรัมต่อวัน ไอโอดีนอยู่ในจำพวกอาหารทะเลทุกชนิด ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม กระเทียม หรืองา 7. อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตการกินคาร์โบไฮเดรตในปริมาณที่เหมาะสม อาจช่วยลดอาการแพ้ท้องได้ เนื่องจากเป็นสารอาหารที่ย่อยง่าย และให้พลังงานสูง ช่วยลดอาการคลื่นไส้ อย่างไรก็ตาม คนท้องไม่ควรกินคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป เพราะอาจทำให้เสี่ยงเป็นโรคอ้วนระหว่างตั้งครรภ์ได้ 8. อาหารที่มีโคลีนอย่างเพียงพอโคลีน พบมากในอาหารจำพวกไข่ เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน แซลมอน ไก่ บร็อคโคลี่ กะหล่ำดอก เป็นต้น จัดว่าเป็นอีกหนึ่งสารอาหารสำคัญที่คุณแม่ควรได้รับจากการกินอาหารในแต่ละวัน เพราะโคลีนมีส่วนสำคัญในการบำรุงระบบประสาทและสมอง ช่วยพัฒนาสมองของทารกในครรภ์ การกินอาหารที่ให้สารโคลีนอย่างเพียงพอ หรือประมาณ 450 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับแม่ตั้งครรภ์ จะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะความบกพร่องที่ระบบท่อประสาทของทารกในครรภ์ได้ 9. อาหารที่มีไฟเบอร์สูงไฟเบอร์ เป็นหนึ่งในสารอาหารสำคัญที่ไม่ว่าจะเป็นแม่ก่อนคลอด แม่อุ้มท้อง แม่หลังคลอด หรือแม่ให้นมลูกก็ควรได้รับอย่างเพียงพอและสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างตั้งครรภ์ ควรกินอาหารที่มีไฟเบอร์สูงเป็นประจำ เพราะไฟเบอร์จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและป้องกันโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ นอกจากนี้ ไฟเบอร์ยังช่วยลดความเสี่ยงของความดันโลหิตสูงและอาจช่วยป้องกันภาวะครรภ์เป็นพิษได้อีกด้วย ซึ่งแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับไฟเบอร์ประมาณ 25-35 กรัมในแต่ละวัน โดยสามารถได้ไฟเบอร์จากอาหารจำพวกผักและผลไม้ต่าง ๆ 10. อาหารที่มีโอเมก้า 3โอเมก้า 3 เป็นสารอาหารสำคัญที่ควรได้รับอย่างเพียงพอ อย่างน้อย 200-300 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับแม่ตั้งครรภ์ เพราะโอเมก้า 3 มีส่วนช่วยเสริมสร้างและดูแลสุขภาพหัวใจ ระบบภูมิคุ้มกัน สมอง และดวงตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไตรมาสที่ 3 ซึ่งเป็นช่วงที่สมองของทารกมีการพัฒนาและเจริญเติบโตสูงสุด มากไปกว่านั้น การได้รับโอเมก้า 3 อย่างเพียงพอขณะตั้งครรภ์ ยังอาจช่วยต่อสู้กับภาวะซึมเศร้าหลังคลอด ควบคุมอารมณ์แปรปรวนที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ และลดความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนดและน้ำหนักแรกเกิดต่ำอีกด้วย อย่างไรก็ตาม บางครั้งคุณแม่อาจมีอาการแพ้อาหารบางอย่าง ซึ่งอาจส่งผลให้คุณแม่ไม่สามารถรับสารอาหารที่สำคัญต่อการตั้งครรภ์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณแม่ที่มีอาการแพ้นมวัว แพ้นมถั่วเหลือง หรือแพ้ทั้งนมวัวและนมถั่วเหลือง การเลือกดื่มนมที่เหมาะสำหรับแม่ตั้งครรภ์ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ง่าย และช่วยให้คุณแม่ได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างเพียงพอ ที่สำคัญคือ ควรเลือกนมที่ให้สารอาหารสำคัญอย่าง DHA, โฟเลต, แคลเซียม, โคลีน, ไอโอดีน, ธาตุเหล็ก ในปริมาณที่เพียงต่อต่อความร่างกายของแม่ตั้งครรภ์ ไขข้อข้องใจเรื่องการตั้งครรภ์ไตรมาส 3 กับ Enfa Smart Clubอารมณ์คนท้องไตรมาส 3 แปรปรวน หงุดหงิด ปกติไหม?โดยมากแล้วแม่ท้องไตรมาส 3 มักจะมีอาการวิตกกังวลหรือซึมเศร้าสูง อย่างไรก็ตาม แม่แต่ละคนไม่เหมือนกัน คุณแม่บางคนอาจมีอาการหงุดหงิด และอารมณ์แปรปรวนได้ ซึ่งก็เป็นผลพวงมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายขณะตั้งครรภ์นั่นเอง ท้องไตรมาสสุดท้าย เบื่ออาหาร ควรทำยังไง?แม้จะเบื่ออาหาร แต่ก็ควรพยายามกินอาหารให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ หรืออาจจะแบ่งอาหารออกเป็นหลาย ๆ มื้อแทนที่จะพยายามกินให้เยอะและกินให้หมดในมื้อเดียว ท้องไตรมาส 3 ควรกินอะไร?คนท้องไตรมาส 3 ควรกินอาหารที่หลากหลาย และเน้นเฉพาะอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพื่อเสริมให้สุขภาพของคุณแม่และทารกในครรภ์แข็งแรง ดังนี้
ท้องไตรมาส 3 นอนไม่หลับ ปกติไหม?เป็นเรื่องปกติค่ะที่คุณแม่ในไตรมาส 3 มักจะนอนไม่หลับ สาเหตุหลัก ๆ ก็มาจากขนาดครรภ์ใหญ่ขึ้น ทำให้นอนไม่สบายตัว พลิกตัวลำบาก กว่าจะหลับแต่ละครั้งก็ต้องใช้เวลานานขึ้น อย่างไรก็ตาม หากคุณแม่นอนไม่หลับหลายวันติดกัน แม้ว่าจะพยายามข่มตานอนให้หลับแล้วแต่ก็ยังไม่ได้ผล ควรหาเวลาไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุดนะคะ เพราะว่าการพักผ่อนที่เพียงพอ ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการตั้งครรภ์ค่ะ ท้องไตรมาส 3 เวียนหัว ปกติไหม?โดยปกติแล้วอาการวิงเวียนศีรษะมักจะพบได้บ่อยในไตรมาสแรก หรือไตรมาสสอง แต่ก็เป็นไปได้ว่าคุณแม่ไตรมาสสุดท้าย ก็ยังสามารถพบกับอาการวิงเวียนศีรษะได้เหมือนกันค่ะ คุณแม่หลาย ๆ คนก็พบว่ามีอาการแพ้ท้องยาวยันไตรมาส 3 ซึ่งก็ไม่ถือว่าเป็นอาการผิดปกติแต่อย่างใดค่ะ ท้องไตรมาส 3 หายใจไม่สะดวก ควรทำยังไง? หากคุณแม่หายใจไม่สะดวก ให้พยายามเปลี่ยนท่านั่ง เพื่อให้สามารถหายใจได้สะดวกขึ้น หรือหาหมอนมาหนุนที่หลังและไหล่ เพื่อช่วยให้หายใจสะดวกขึ้นในเวลานอน ท้องไตรมาส 3 นอนท่าไหน?ท่านอนที่เหมาะสมกับคนท้องไตรมาส 3 คือท่านอนตะแคงข้าง เพราะช่วยลดการกดทับหลอดเลือด และลดแรงกดต่อหลัง ช่วยให้คุณแม่ไม่ปวดหลัง และลดความเสี่ยงของการกดทับหลอดเลือดจนทำให้เลือดไปเลี้ยงร่างกายและทารกในครรภ์ได้ไม่เต็มที่ มากไปกว่านั้น ท่านอนตะแคงยังช่วยให้ทารกสามารถเคลื่อนไหวตัวได้อย่างสะดวกด้วย บทความแนะนำสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
|