การจ ดการธ รก จระหว างประเทศ ม.บ รพา หล กส ตร

3. ทฤษฎีใหม่ข้ันต้นตำมหลกั เศรษฐกิจพอเพียง ให้แบ่งพน้ื ที่ออกเป็น 4 สว่ น ตำมอัตรำสว่ น 30 : 30 : 30 : 10 ร้อยละ

10 หมำยถงึ ตำมข้อใด

ก. ขดุ สระเก็บกักน้ำเพื่อใช้เกบ็ กกั น้ำฝนในฤดฝู น

ข. ให้ปลูกข้ำวในฤดูฝนเพ่ือใช้เปน็ อำหำรประจำวันสำหรับครอบครัวให้เพียงพอ

ค. ให้ปลูกไมผ้ ล ไมย้ นื ต้น พืชผัก พชื ไร่ พืชสมนุ ไพร ฯลฯ เพ่อื ใชเ้ ปน็ อำหำร

ง. เปน็ ที่อยอู่ ำศัย เลย้ี งสตั ว์ ถนนหนทำง และโรงเรอื นอื่นๆ

4. เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญำที่พระบำทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหำภมู พิ ลอดลุ ยเดชมีพระรำชดำรสั แกช่ ำวไทย

นบั ตั้งแตป่ พี .ศ.ใด

ก. 2504 ข. 2512

ค. 2517 ง. 2528

5. ปรชั ญำเศรษฐกิจพอเพยี ง ตรงกบั ภำษำอังกฤษในขอ้ ใด

ก. Sufficiency Economy ข. Economy Sufficiency

ค. New Theory Agriculture ง. Theory New Agriculture

6. เมอื่ เกษตรกรเขำ้ ใจในหลักกำรและได้ปฏิบตั ใิ นท่ีดินของตนจนได้ผลแล้ว กต็ ้องเร่ิมข้นั ตอ่ ไป คอื ใหเ้ กษตรกรรวม

พลังกันในรปู กลุ่ม หรือ สหกรณ์ รว่ มแรงรว่ มใจกนั เปน็ ทฤษฎขี ั้นใด

ก. ขั้นที่ 1 ข. ข้ันท่ี 2

ค. ข้นั ที่ 3 ง. ขัน้ ที่ 4

7. กำรตัดสนิ ใจเก่ียวกบั ระดบั ควำมพอเพยี งนั้น จะตอ้ งเป็นไปอยำ่ งมีเหตุผล โดยพจิ ำรณำจำกเหตุปัจจยั ทเ่ี กี่ยวขอ้ ง

ตลอดจนคำนงึ ถึงผลท่คี ำดว่ำจะเกดิ ขึน้ จำกกำรกระทำนนั้ ๆ อยำ่ งรอบคอบ หมำยถึงคุณสมบัตใิ ด ตำมปรชั ญำ

เศรษฐกจิ พอเพยี ง

ก. ควำมพอประมำณ ข. ควำมมีเหตุผล

ค. ภมู คิ มุ้ กัน ง. คณุ ธรรม

36

8. กำรเตรียมตัวใหพ้ ร้อมรบั ผลกระทบและกำรเปล่ียนแปลงดำ้ นต่ำงๆ ทีจ่ ะเกิดขนึ้ โดยคำนึงถึงควำมเปน็ ไปได้ของ

สถำนกำรณต์ ่ำงๆ ทค่ี ำดว่ำจะเกิดขน้ึ ในอนำคต

ก. ควำมพอประมำณ ข. ควำมมีเหตผุ ล

ค. ภมู คิ มุ้ กนั ง. คณุ ธรรม

9. ขอ้ ใดถอื ว่ำเปน็ กำรดำเนนิ ชีวิตแนวพระรำชดำรใิ นกำรดำเนนิ ชวี ติ แบบพอเพยี ง

ก. ยึดควำมประหยัด ตดั ทอนค่ำใช้จำ่ ยในทกุ ดำ้ น ลดละควำมฟ่มุ เฟือยในกำรใช้ชวี ิต

ข. ยึดถอื กำรประกอบอำชพี ด้วยควำมถกู ต้อง ซื่อสตั ยส์ ุจริต

ค. ไม่หยุดนงิ่ ท่จี ะหำทำงให้ชวี ติ หลุดพน้ จำกควำมทุกข์ยำก ด้วยกำรขวนขวำยใฝ่หำควำมรู้ใหม้ รี ำยไดเ้ พิ่มพูน

ขึ้น จนถงึ ข้นั พอเพียงเป็นเป้ำหมำยสำคัญ

ง. ถูกทุกขอ้

10. คณะกรรมกำรจัดทำยุทธศำสตร์ชำตไิ ด้ดำเนินกำรยกร่ำงกรอบยุทธศำสตร์แห่งชำติ ระยะ 20 ปี เริ่มจำกปีใดและ

สนิ้ ใดในปีใด

ก. 2559 – 2578 ข. 2560 – 2579

ค. 2561 – 2580 ง. 2562 – 2581

11. ข้อใดคือวิสัยทัศน์ของยุทธศำสตรช์ ำติ 20 ปี

ก. "ประเทศไทยมีควำมมัน่ คง มงั่ ค่ัง ยั่งยืน เปน็ ประเทศที่พัฒนำแล้ว ด้วยกำรพฒั นำตำมหลักปรชั ญำของ

เศรษฐกิจพอเพยี ง"

ข. "ประเทศไทยเป็นประเทศท่พี ฒั นำแลว้ มีควำมม่ันคง มัง่ ค่ัง ย่ังยนื ด้วยกำรพัฒนำตำมหลักปรัชญำของ

เศรษฐกิจพอเพียง"

ค. มั่นคง มงั่ คง่ั ยั่งยนื

ง. กำรพฒั นำตำมหลกั ปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพียงตำมยุทศำสตร์ 6 ด้ำน

12. คติพจน์ ตำมกรอบยุทธศำสตร์แหง่ ชำติ ระยะ 20 ปี คือข้อใด

ก. "ประเทศไทยมีควำมม่ันคง มง่ั ค่งั ยง่ั ยืน เปน็ ประเทศทีพ่ ฒั นำแล้ว ด้วยกำรพฒั นำตำมหลักปรัชญำของ

เศรษฐกิจพอเพียง"

ข. "ประเทศไทยเปน็ ประเทศท่ีพัฒนำแล้ว มีควำมม่ันคง มง่ั คงั่ ย่งั ยนื ด้วยกำรพฒั นำตำมหลักปรัชญำของ

เศรษฐกิจพอเพยี ง"

ค. มน่ั คง ม่ังคั่ง ยงั่ ยืน

ง. กำรพฒั นำตำมหลักปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพยี งตำมยุทศำสตร์ 6 ด้ำน

13. ข้อใดไม่ใช่ยทุ ธศำสตร์ชำติ 20 ปี

ก. ยุทธศำสตร์กำรพฒั นำและเสรมิ สร้ำงศกั ยภำพคน

ข. ยุทธศำสตรด์ ้ำนกำรสร้ำงโอกำสควำมเสมอภำคและเท่ำเทียมกนั ทำงสงั คม

ค. ยุทธศำสตร์ด้ำนกำรสร้ำงกำรเติบโตบนคุณภำพชีวิตท่ีเปน็ มิตรกับสิ่งแวดล้อม

ง. ยุทธศำสตร์ด้ำนกำรอนรุ ักษท์ รัพยำกรธรรมชำติ

37

14. วันชำตไิ ทย ตรงกับวันท่ีเท่ำใดของทุกปี

ก. 5 พฤษภำคม ข. 9 มิถุนำยน

ค. 24 มถิ นุ ำยน ง. 5 ธันวำคม

15. ตำมร่ำงยทุ ธศำสตร์ชำติ 20 ปี ฉบับสรุปย่อ ท่เี ผยแพร่ต่อประชำชน มีกำรแบง่ ยุทธศำสตร์ออกเป็นกด่ี ำ้ น

ก. 4 ดำ้ น ข. 5 ด้ำน

ค. 6 ด้ำน ง. 7 ด้ำน

16. บุคคลใดเปน็ ประธำนคณะกรรมกำรยุทธศำสตร์ชำติ

ก. นำยกรัฐมนตรี ข. รองนำยกรัฐมนตรีท่ีได้รบั มอบหมำย

ค. รัฐมนตรที ่ไี ดร้ ับมอบหมำย ง. ผู้ทรงคุณวฒุ ทิ ่ไี ดร้ ับกำรคัดเลือก

17. แผนพฒั นำเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชำติ ฉบับท่ี 12 เริ่มจำกปใี ดและสนิ้ สุดปใี ด

ก. 2559 – 2563 ข. 2560 – 2564

ค. 2561 – 2565 ง. 2562 – 2566

18. แผนพฒั นำเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชำติ ฉบับที่ 12 เป็นแผนระยะกปี่ ี

ก. 4 ปี ข. 5 ปี

ค. 6 ปี ง. ไมม่ ขี ้อใดถูก

19. ข้อใดไม่ใชห่ ลกั กำรสำคญั ของแผนพัฒนำเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชำติ ฉบับที่ 12

ก. ยดึ หลกั ปรัชญำเศรษฐกิจพอเพยี ง ข. ยดึ หลกั ธรรมในกำรบริหำรงำน

ค. ยึดคนเป็นศูนยก์ ลำง ง. ยึด “วิสยั ทศั นภ์ ำยใตย้ ทุ ธศำสตรช์ ำติ 20 ปี”

20. ไทยแลนด์ 4.0 เป็นวสิ ัยทัศนเ์ ชิงนโยบำยในกำรพัฒนำด้ำนใดเปน็ หลัก

ก. ควำมมนั่ คงของประเทศ ข. ด้ำนสังคม

ค. กำรเมือง ง. เศรษฐกจิ

38

2.วิชาความรพู้ นื้ ฐานในการปฏบิ ัติราชการ (30 คะแนน) 2.1 รัฐธรรมนูญแหง่ รำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช 2560 (ออก 3 ขอ้ ) 2.2 พระรำชบัญญตั ิระเบียบบริหำรรำชกำรแผ่นดนิ พ.ศ. 2534 และทแี่ กไ้ ขเพมิ่ เติม (ออก 3 ขอ้ ) 2.3 พระรำชบัญญัตอิ งคก์ ำรบริหำรสว่ นจังหวดั พ.ศ. 2540 และที่แก้ไขเพมิ่ เตมิ (ออก 3 ขอ้ ) 2.4 พระรำชบญั ญตั เิ ทศบำล พ.ศ. 2496 และท่ีแก้ไขเพ่มิ เตมิ (ออก 3 ขอ้ ) 2.5 พระรำชบัญญตั สิ ภำตำบลและองคก์ ำรบริหำรส่วนตำบล พ.ศ. 2537 และที่แกไ้ ขเพ่ิมเติม (ออก 3 ขอ้ ) 2.6 พระรำชบัญญตั ริ ะเบยี บบริหำรรำชกำรเมืองพทั ยำ พ.ศ. 2542 (ออก 3 ข้อ) 2.7 พระรำชบัญญัติกำหนดแผนและขนั้ ตอนกำรกระจำยอำนำจใหแ้ กอ่ งค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ พ.ศ. 2542 (ออก 3 ข้อ) 2.8 พระรำชบญั ญตั ริ ะเบียบบริหำรงำนบคุ คลส่วนทอ้ งถ่ิน พ.ศ. 2542 (ออก 3 ขอ้ ) 2.9 พระรำชกฤษฎกี ำว่ำดว้ ยหลกั เกณฑแ์ ละวิธกี ำรกำรบรหิ ำรกจิ กำรบำ้ นเมอื งทดี่ พี .ศ. 2546 (ออก 2 ขอ้ ) 2.10 พระรำชบัญญัตกิ ำรอำนวยควำมสะดวกในกำรพิจำรณำอนุญำตของทำงรำชกำร พ.ศ. 2558 (ออก 2 ข้อ) 2.11 ระเบียบสำนักนำยกรฐั มนตรีว่ำดว้ ยงำนสำรบรรณ พ.ศ. 2526 และท่ีแกไ้ ขเพิ่มเติม (ออก 2 ข้อ) ******หมำยเหตุ ส่วนน้ีตอ้ งทาใหไ้ ด้เตมิ หรอื ไม่ต่ากวา่ 25 ข้อข้ึนไป******* (ขอให้ทาเปน็ วิชาแรก)

รฐั ธรรมนญู ปี 60 (ออก 3 ขอ้ )

โครงสร้ำงรัฐธรรมนญู เปน็ ฉบับท่ี 20 ประกำศใช้เม่ือวันท่ี 6 เมษำยน 2560

มี 16 หมวด 279 มำตรำ

หมวด ประเดน็ สาคญั เน้ือสาระสาคญั

หมวดที 1 ทั่วไป ควำมเป็นรฐั เดียว -ตอ้ งปฏิบัติหน้ำท่ีเปน็ ไปตำมหลักนติ ิ ธรรม

-รัฐสภำ คณะรฐั มนตรี ศำล องค์กร อิสระ และหน่วยงำนของรฐั ตอ้ งปฏิบตั ิ

หนำ้ ท่ใี ห้เปน็ ไปตำมรัฐธรรมนูญ กฎหมำย และหลกั นิติธรรม เพอ่ื ประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชำติ และ

ควำมผำสกุ ของประชำชนโดยรวม -เมื่อไมม่ ีบทบัญญตั ิแห่งรัฐธรรมนูญน้ี

บงั คับแกก่ รณีใด ให้กระทำกำรนัน้ หรอื วนิ ิจฉยั กรณนี ั้นไปตำมประเพณกี ำร ปกครองประเทศไทยในระบอบ

ประชำธิปไตยอันมพี ระมหำกษตั รยิ ท์ รง เปน็ ประมขุ

39

หมวดท่ี 2 แตง่ ต้งั ประธำนองคมนตรี และองคมนตรี 1. ประธำนรัฐสภำ แตง่ ตงั้ ประธำน พระมหำกษตั รยิ ์ ประธำนองคมนตรี และให้พ้นจำก

ตำแหนง่ 2. ประธำนองคมนตรี แต่งตง้ั องคมนตรี อื่น และให้พน้ จำกตำแหนง่

จำนวนคณะองคมนตรี ประธำน + องคมนตรี อื่นไม่เกนิ 18 คน

หมวดท่ี 3 สทิ ธแิ ละ สิทธิเสรภี ำพส่วนบุคคล ในกรณีทร่ี ำชบัลลังก์หำกว่ำงลงและเป็น เสรภี ำพของปวงชน (ให้คำนึงถงึ สิทธิเสรีภำพของบคุ คลเป็น กรณที ่ีพระมหำกษตั ริยม์ ไิ ด้ทรงแตง่ ต้ัง ชำวไทย หลัก กำรจัดกำจดั สิทธแิ ละเสรภี ำพเปน็ พระรัชทำยำทไว้ ให้คณะองคมนตรี เสนอพระนำมผู้สบื รำชสนั ตติวงศ์ ต่อ ขอ้ ยกเว้น) คณะรฐั มนตรี เพอ่ื เสนอต่อรฐั สภำพ เพื่อให้รฐั สภำใหค้ วำมเหน็ ชอบ ในกำรนี้ จะเสนอพระนำมพระรำชธิดำก็ได้

-บุคคลยอ่ มเสมอกันในหลักกฎหมำย มี สิทธิและเสรภี ำพและได้รบั ควำม คุ้มครองตำมกฎหมำยเท่ำเทยี มกนั

-บุคคลยอ่ มมสี ิทธแิ ละเสรภี ำพในชีวติ และร่ำงกำย กำรจับและกำรคมุ ขงั บุคคล จะกระทำมไิ ด้ เว้นแต่มคี ำสัง่ หรอื หมำย ของศำลหรอื มเี หตอุ ย่ำงอืน่ ตำมท่ี กฎหมำยบัญญัติ -บคุ คลไมต่ ้องรับโทษอำญำ เวน้ แต่ได้ กระทำกำรอันกฎหมำยทใี่ ช้อยู่เวลำ ท่ี

กระทำนน้ั บญั ญตั ิเปน็ ควำมผิดและ กำหนดโทษไว้ และโทษท่ีจะลงแก่ บุคคลนัน้ จะหนกั ว่ำโทษท่ีบญั ญัติไวใ้ น กฎหมำยท่ใี ช้อยู่ในเวลำที่กระทำ ควำมผิดมไิ ด้

-กำรควบคุมหรือคมุ ขัง ผ้ตู ้องหำหรือ จำเลยให้กระทำได้เพียงเทำ่ ที่จำเป็น เพ่ือปอ้ งกันมใิ หม้ ีกำรหลบหนี -ในคดีอำญำ จะบังคบั ใหบ้ ุคคลให้เปน็ กำรเปน็ ปฏิปกั ษต์ ่อตนเองมิได้ -กำรเกณฑ์แรงงำนจะกระทำมไิ ด้ -บุคคลยอ่ มมีเสรีภำพในเคหสถำน กำร เขำ้ ไปในเคหสถำนโดยปรำศจำกควำม

40

ยินยอมของผคู้ รอบครอง หรอื กำรคน้ เคหสถำนหรือท่รี โหฐำนจะกระทำมไิ ด้ -บคุ คลยอ่ มมเี สรีภำพในกำรแสดงควำม คดิ เหน็ กำรพูด กำรเขียน กำรพมิ พ์ กำร โฆษณำ กำรสอื่ สำร กำรจำกัดเสรีภำพ ดังกลำ่ วจะกระทำมไิ ด้ เวน้ แต่โดยอำศยั อำนำจตำมบทบัญญตั แิ หง่ กฎหมำยท่ี ตรำข้ึน เฉพำะเพื่อรกั ษำควำมมน่ั คงของ รฐั เพื่อคุ้มครองสทิ ธหิ รือเสรภี ำพของ บคุ คลอ่นื เพ่ือรักษำควำมสงบเรียบรอ้ ย หรอื ศีลธรรมอันดีของประชำชน หรอื เพือ่ ปอ้ งกนั สุขภำพของประชำชน -กำรเวนคนื อสังหำรมิ ทรัพยจ์ ะกระทำ มไิ ด้ เวน้ แตโ่ ดยอำศยั อำนำจตำม บทบัญญตั ิแห่งกฎหมำย ทต่ี รำข้ึนเพื่อ กำรอันเปน็ สำธำรณูปโภค กำรปอ้ งกนั ประเทศ หรอื กำรได้มำซง่ึ ทรัพยำกรธรรมชำติ หรอื เพื่อประโยชน์ สำธำรณะอย่ำงอน่ื และตอ้ งชดใชค้ ่ำ ทดแทนท่ีเปน็ ธรรม -กำรถอนสญั ชำติของบุคคลซ่งึ มสี ญั ชำติ ไทยโดยกำรเกิด จะกระทำมไิ ด้ -บุคคลย่อมมีเสรภี ำพในกำรประกอบ อำชีพ เว้นแตเ่ พอื่ รกั ษำควำมมนั่ คงหรอื เศรษฐกิจของประเทศ กำรแขง่ ขนั อย่ำง เปน็ ธรรม กำรป้องกนั หรือขจดั กำรกีด กัน หรอื กำรผูกขำด กำรคุ้มครอง ผบู้ รโิ ภค กำรจัดระเบียบกำรประกอบ อำชพี เพยี งเท่ำท่ีจำเป็น หรือเพ่ือ ประโยชนส์ ำธำรณะอย่ำงอน่ื -บุคคลและชุมชนยอ่ มมสี ทิ ธิ (1) ไดร้ บั ทรำบและเข้ำถงึ ข้อมูลหรอื ข่ำวสำรสำธำรณะในครอบครองของ หนว่ ยงำนของรฐั ตำมทก่ี ฎหมำยบญั ญัติ (2) เสนอเรอื่ งรำวรอ้ งทกุ ขต์ อ่ หน่วยงำน ของรฐั และได้รบั แจง้ ผลกำรพจิ ำรณำ โดยรวดเรว็ (3) ฟอ้ งหน่วยงำนของรัฐใหร้ ับผิด เน่ืองจำกกำรกระทำ หรือกำรละเวน้ กำร

หมวดที่ 4 หน้ำทข่ี อง 41 ปวงชนชำวไทย (มหี นำ้ ที่ 10 ข้อ) กระทำของขำ้ รำชกำร พนกั งำน หรอื ลูกจ้ำงของหน่วยงำนของรัฐ หมวดท่ี 5 หนำ้ ท่ขี อง -บคุ คลยอ่ มมเี สรีภำพในกำรชมุ ชนโดย รฐั สงบและปรำศจำกอำวุธ -พิทกั ษร์ ักษำไว้ ซงึ่ ชำติ ศำสนำ พระมหำกษัตริย์ และกำรปกครองระบบ ประชำธิปไตยอันมพี ระมหำกษตั ริยท์ รง เป็นประมขุ -ปอ้ งกนั ประเทศ พทิ กั ษร์ ักษำเกียรตภิ ูมิ ผลประโยชน์ของชำติ และสำธำรณ สมบตั ิของแผน่ ดนิ รวมทง้ั ให้ควำม ร่วมมือในป้องกนั และบรรเทำสำธำรณ ภยั -ปฏบิ ตั ิตำมกฎหมำยอยำ่ งเครง่ ครัด -เข้ำรับกำรศกึ ษำอบรมในกำรศึกษำภำค บังคับ -รบั รำชกำรทหำรตำมท่กี ฎหมำยบัญญตั ิ -ไปใช้สิทธเิ ลอื กตง้ั หรือลงประชำมติ อยำ่ งอสิ ระโดยคำนงึ ถึงประโยชนส์ ่วน รว่ มของประเทศเป็นสำคัญ -เคำรพและไมล่ ะเมิดสิทธิและเสรีภำพ ของบคุ คลอื่น และไมก่ ระทำกำรใดท่ี อำจก่อให้เกดิ ควำมแตกแยกหรือเกลียด ชังในสงั คม -ร่วมมอื และสนับสนุนกำรอนรุ ักษแ์ ละ ค้มุ ครองสงิ่ แวดลอ้ ม ทรัพยำกรธรรมชำติ ควำมหลำยหลำย ทำงชวี ภำพ รวมท้ังมรดกทำงวฒั นธรรม -เสยี ภำษอี ำกรตำมทก่ี ฎหมำยบัญญัติ -ไม่รว่ มมอื หรอื สนับสนนุ กำรทจุ ริตและ ประพฤติมิชอบทุกรูปแบบ -รัฐตอ้ งดำเนินกำรให้เดก็ ทุกคนได้รับ กำรศึกษำเป็นเวลำ 12 ปี ต้ังแตก่ อ่ นวัย เรียนจนจบกำรศกึ ษำภำคบังคับอยำ่ งมี คณุ ภำพโดยไม่เก็บค่ำใชจ้ ่ำย -รัฐต้องจดั หรอื ดำเนนิ กำรใหม้ ี สำธำรณูปโภคขั้นพ้ืนฐำนทจี่ ำเป็นตอ่ กำรดำรงชีวิตของประชำชนอย่ำงท่ัวถงึ ตำมหลกั กำรพฒั นำอย่ำงยง่ั ยนื

42

หมวดท่ี 6 กำรกำหนดนโยบำยในกำรบรหิ ำรรำชกำร -โครงสร้ำงหรือโครงขำ่ ยพื้นฐำนของ แนวนโยบำยแห่งรัฐ แผ่นดิน กจิ กำรสำธำรณปู โภคข้นั พ้นื ฐำนทจี่ ำเปน็

ตอ่ กำรดำรงชีวิตของประชำชนหรอื เพื่อ ควำมม่นั คงของรฐั รัฐจะกระทำด้วย

ประกำรใดให้ตกเปน็ กรรมสทิ ธ์ขิ อง เอกชนหรอื ทำให้รฐั เปน็ เจำ้ ของนอ้ ยกวำ่ ร้อยละ 51 มไิ ด้

-รฐั ตอ้ งเปิดเผยข้อมูลหรือข่ำวสำร สำธำรณะในครอบครองของหนว่ ยงำน

ของรัฐ ทม่ี ใิ ช่ข้อมูลเกี่ยวกับควำมมนั่ คง ของรฐั หรอื ควำมลบั ของทำงรำชกำร ตำมท่ีกฎหมำยบญั ญัติ และต้องจดั ให้

ประชำชนเขำ้ ถึงขอ้ มูลหรอื ขำ่ วสำร ดงั กลำ่ วได้โดยสะดวก -รัฐตอ้ งรักษำวนิ ัยกำรเงินกำรคลังอยำ่ ง เคร่งครัด เพ่ือให้ฐำนะทำงกำรเงินกำร คลงั ของรัฐ มเี สถียรภำพและม่งั คงอยำ่ ง

ยั่งยืนตำมกฎหมำยวำ่ ด้วยวนิ ยั กำรเงิน กำรคลังของรัฐ และจัดระบบภำษใี ห้

เกิดควำมเปน็ ธรรมแก่สังคม กฎหมำยวำ่ ดว้ ยวินัยกำรเงินกำรคลงั ของ รัฐอย่ำงนอ้ ยตอ้ งมีบทบญั ญตั ิเก่ียวกบั

กรอบกำรดำเนนิ กำรทำงกำรคลงั และ งบประมำณของรัฐ กำรกำหนดวินยั

ทำงกำรคลังดำ้ นรำยไดแ้ ละรำยจ่ำยทัง้ เงนิ งบประมำณและเงนิ นอกงบประมำณ กำรบริหำรทรพั ยส์ ินของรฐั และเงินคง

คลงั และกำรบริหำรหนสี้ ำธำรณะ -รฐั พงึ จัดระบบกำรบริหำรงำนใน

กระบวนกำรยุตธิ รรมทุกด้ำนให้มี ประสิทธิภำพเปน็ ธรรม และไมเ่ ลือก ปฏิบตั ิ

มี 14 ประกำร

(1) รัฐพงึ จัดใหม้ ียุทธศำสตรช์ ำติ เป็นเป้ำหมำยกำรพฒั นำประเทศอย่ำง

ยง่ั ยนื ตำมหลักธรรมำภิบำล เพอ่ื ใชเ้ ป็น กรอบในกำรจัดทำแผนตำ่ ง ๆ ให้ สอดคลอ้ งและบรู ณำกำรกันเพอื่ ให้เกดิ

43

เป็นพลังผลกั ดนั รว่ มกนั ไปส่เู ปำ้ หมำย ดงั กล่ำว

(2) รฐั พึงสง่ เสริมสัมพันธไมตรีกบั นำนำประเทศโดยถือหลกั ควำมเสมอ ภำคในกำรปฏบิ ัติตอ่ กัน

(3) รฐั พึงอุปถมั ภแ์ ละคุ้มครอง พระพทุ ธศำสนำและศำสนำอ่นื

(4) รัฐพงึ จัดระบบกำรบรหิ ำรงำน ในกระบวยกำรยุตธิ รรมทุกดำ้ นให้มี ประสทิ ธภิ ำพเป็นธรรม

(5) รฐั พึงจัดให้มแี ละสง่ เสริมกำร วิจัยและพฒั นำวิทยำศำสตร์

(6) รัฐพงึ สง่ เสรมิ และใหค้ วำม คุม้ ครองชำวไทยกลุม่ ชำติพนั ธ์ตุ ่ำง ๆ

(7) รฐั พงึ เสรมิ ควำมเข้มแขง็ ของ ครอบครัวอันเปน็ องค์ประกอบพื้นฐำน

(8) รัฐพงึ ดำเนนิ กำรเก่ียวกบั ที่ดนิ ทรัพยำกรน้ำ และพลังงำน

(9) รัฐพงึ จดั ใหม้ ีมำตรกำรหรอื กลไกท่ชี ่วยเหลอื ให้เกษตรประกอบ เกษตรกรรมไดอ้ ย่ำงมีประสทิ ธิภำพ

(10) รฐั พงึ สง่ เสรมิ ใหป้ ระชำชนมี ควำมสำมำรถในกำรทำงำนอย่ำง เหมำะสมกบั ศกั ยภำพและวยั และให้มี งำนทำ

(11) รัฐพงึ จดั ระบบเศรษฐกิจให้ ประชำชนมโี อกำสไดร้ บั ประโยชน์จำก ควำมเจริญเตบิ โตทำงเศรษฐกิจไปพรอ้ ม กันอย่ำงทวั่ ถึง

(12) รฐั พึงพฒั นำระบบกำรบริหำร รำชกำรแผ่นดินทัง้ รำชกำรส่วนกลำง ส่วนภมู ภิ ำค ส่วนท้องถิ่น และงำนของ รัฐอย่ำงอื่น ใหเ้ ป็นไปตำมหลักกำร บรหิ ำรกจิ กำรบ้ำนเมอื งทีด่ ี รฐั พงึ ดำเนินกำรให้มกี ฎหมำยเก่ียวกบั กำรบรหิ ำรงำนบุคคลของหนว่ ยงำนของ รัฐ ให้เป็นไปตำมระบบคุณธรรม

(13) รฐั พงึ จัดให้มกี ฎหมำยเพยี ง

44

เทำ่ ท่ีจำเป็น และยกเลิกหรือปรบั ปรุง กฎหมำยทีห่ มดควำมจำเปน็ หรอื ไมส่ อด

คลอ่ งกับสภำพกำรณ์ (14) รฐั พงึ ส่งเสริมให้ประชำชนและ

ชมุ ชนมีควำมรูค้ วำมเข้ำใจที่ถูกต้อง เก่ียวกับกำรปกครองระบบ ประชำธิปไตย

หมวดท่ี 7 รัฐสภำ องคป์ ระกอบของรฐั สภำ ประกอบด้วย สภำผู้แทนรำษฎร และ ประธำนรัฐสภำ และ รองประธำนรฐั สภำ วฒุ สิ ภำ (700 คน) กำรสนิ้ สดุ -ประธำนสภำผู้แทนรำษฎร เป็น จำนวนของสมำชิกสภำผแู้ ทนรำษฎร ประธำนรัฐสภำ -ประธำนวุฒิสภำ เปน็ รองประธำน กำรประกำศผลกำรเลอื กตง้ั รฐั สภำ

กำรเสนอช่อื ผู้ที่ไดร้ บั กำรแต่งตัง้ เป็น สมำชิกสภำผแู้ ทนรำษฎร หรอื สมำชกิ นำยกรัฐมนตรี วุฒสิ ภำจำนวน ไมน่ อ้ ยกวำ่ 1 ใน 10 ผู้มสี ทิ ธเิ ลอื กตัง้ ของจำนวน สมำชิกท่มี อี ยเู่ ขำ้ ชื่อถอด ถอน

ทง้ั หมด 500 คน -สมำชกิ ซ่ึงมำจำกกำรเลือกตงั้ แบบแบ่ง เขตเลอื กตั้ง จำนวน 350 คน -สมำชิกซงึ่ มำจำกบัญชีรำยช่ือของพรรค กำรเมอื ง จำนวน 150 คน

เม่ือมีกำรเลือกต้งั แลว้ มีเหตอุ ันควรเช่ือ วำ่ ผลกำรเลือกตง้ั เป็นไปด้วยสจุ รติ และ เทยี่ งธรรมและมีจำนวนไมน่ อ้ ยกวำ่ ร้อย ละ 95 ของเขตเลือกต้ังท้งั หมด ซึ่ง กกต. ได้ประกำศผลกำรเลอื กตง้ั ใหแ้ ลว้ เสร็จ โดยเรว็ แต่ตอ้ งไม่ช้ำกว่ำ 60 วัน นบั แต่ วันเลอื กตัง้

ใหพ้ รรคกำรเมอื ง เสนอชอ่ื ตอ่ สภำ ผ้แู ทนรำษฎร เพ่อื พิจำรณำให้ควำม เห็นชอบแต่งต้ังเป็น นำยกรฐั มนตรี ไม่ เกิน 3 รำยช่ือ

-มสี ัญชำตไิ ทย ถ้ำแปลงสัญชำติ ต้อง ได้มำแล้วไมน่ ้อยกวำ่ 5 ปี -มอี ำยไุ ม่ต่ำกวำ่ 18 ปีในวันเลอื กต้ัง

45 -มชี ่อื อยูใ่ นทะเบียนบ้ำน เปน็ เวลำไม่ นอ้ ยกวำ่ 90วนั นบั ถงึ วนั เลอื กต้ัง -บุคคลผู้มีคณุ สมบตั ิ สมัครเป็น สมำชิกสภำผแู้ ทนรำษฎร -มีสัญชำตไิ ทยโดยกำรเกดิ -มอี ำยุไมต่ ำ่ กวำ่ 25 ปีนับถึงวันเลอื กต้ัง กำรเลือกตั้งใหม่ อำยุของสภำผแู้ ทนรำษฎร -เปน็ สมำชกิ พรรคกำรเมืองใดพรรค 1. กำรเลือกตงั้ ท่วั ไป กำรเมอื งหน่งึ เปน็ เวลำตดิ ต่อกนั ไมน่ อ้ ย กว่ำ 90 วนั นบั ถงึ วนั เลือกต้งั 2. กำรยุบสภำผแู้ ทนรำษฎร -สมคั รแบบเขตเลอื กตงั้ -มชี ือ่ อย่ใู นทะเบียนบ้ำนในจังหวัด เป็น สมำชกิ วฒุ สิ ภำ จำนวนทงั้ หมด 200 คน เวลำติดตอ่ กันไม่นอ้ ยกวำ่ 5 ปนี ับถึงวัน -คุณสมบตั ิของสมำชกิ วุฒิสภำ สมัครรบั เลือกตัง้ -เปน็ บคุ คลซง่ึ เกิดในจังหวดั ทีร่ ับสมัคร เลือกตั้ง –เคยศึกษำในสถำนศึกษำทีต่ ั้งอยูใ่ น จงั หวดั เปน็ เวลำตดิ ตอ่ กันไม่น้อยกวำ่ 5 ปกี ำรศึกษำ -เคยรบั รำชกำรหรือปฏิบัตหิ นำ้ ท่ใี น หนว่ ยงำนของรฐั หรือเคยมีชอื่ อยใู่ น ทะเบยี นบำ้ นเปน็ เวลำติดตอ่ ไม่น้อยกวำ่ 5 ปี มกี ำหนดครำวละ 4 ปนี ับแตว่ ันเลือกตง้ั ต้องตรำเปน็ พระรำชกฤษฎีกำ ภำยใน 45 วนั นับแต่วันท่ีสภำ ผ้แู ทนรำษฎรสิ้นอำยุ ให้กระทำโดยพระรำชกฤษฎีกำ ภำยใน 5 นบั แต่วันท่พี ระรำชกฤษฎกี ำมี ผลบังคับใช้ ให้ กกต.ประกำศกำหนดวนั เลือกต้งั ทว่ั ไป ต้องไมน่ อ้ ยกวำ่ 45 วันแต่ ไมเ่ กนิ 60 วนั นับแตว่ ันทพี่ ระรำช กฤษฎีกำมีผลบังคบั ใช้ มำจำกกำรเลือกกันเอง -มีสญั ชำติไทยโดยกำรเกดิ -มีอำยไุ มต่ ่ำกว่ำ 40 ปีในวนั สมคั รรับ เลอื ก -มีควำมรู้ ควำมเชย่ี วชำญ และ ประสบกำรณ์ หรอื ทำงำนในด้ำนที่สมคั ร ไมน่ ้อยกวำ่ 10 ปี

46

-อำยขุ องวฒุ ิสภำ มกี ำหนดครำวละ 5 ปนี บั แตว่ นั ประกำศ ผลกำรเลือก กำรเลือกสมำชิกวุฒิสภำ ใหต้ รำเป็นพระรำชกฤษฎีกำ กำรประชมุ รัฐสภำ ครั้งแรกและสมยั -ภำยใน 15 วนั นบั แตว่ ันประกำศผลกำร ประชุม เลือกตัง้ สมำชิกสภำผู้แทนรำษฎรอนั เปน็ กำรเลือกตัง้ ท่ัวไป ให้มีกำรเรียกประชุม กำรเรยี ก ขยำย และปดิ ประชมุ รัฐสภำเพื่อให้สมำชิกไดม้ ำประชมุ เปน็ กำรเสนอร่ำงพระรำชบญั ญตั ิ ครงั้ แรก -ใน 1 ปใี ห้มสี มยั ประชุมสำมญั ของ รฐั สภำ 2 สมัย สมยั หนง่ึ ใหม้ ี กำหนดเวลำ 120 วนั นับแต่ พระมหำกษัตริย์จะโปรดเกลำ้ โปรด กระหม่อมใหข้ ยำยเวลำออกไปกไ็ ด้ ให้กระทำโดยพระรำชกฤษฎกี ำ -ร่ำงพระรำชบัญญตั ใิ หเ้ สนอต่อสภำ ผ้แู ทนรำษฎรกอ่ น และจะเสนอไดก้ แ็ ต่ โดย -คณะรฐั มนตรี -สมำชิกสภำผูแ้ ทนรำษฎรจำนวนไมน่ อ้ ย กวำ่ 20 คน –ผู้มีสทิ ธเิ ลอื กตงั้ จำนวนไมน่ อ้ ยกวำ่ 10,000 คนเข้ำชื่อเสนอกฎหมำย -สมำชกิ สภำผูแ้ ทนรำษฎรหรอื สมำชิก วฒุ ิสภำมีสิทธิตง้ั กระทู้ถำมรัฐมนตรี ในเรอ่ื งใดเก่ยี วกบั งำนในหนำ้ ที่โดยจะ ถำมเป็นหนงั สือหรือดว้ ยวำจำก็ได้ ตำม ข้อบงั คบั กำรประชมุ แห่งสภำน้ัน ๆ ซึ่ง อย่ำงนอ้ ยตอ้ งกำหนดใหม้ กี ำรตัง้ กระทู้ ถำมดว้ ยวำจำโดยไมต่ อ้ งแจง้ ล่วงหน้ำไว้ ด้วย -สมำชกิ สภำผู้แทนรำษฎรจำนวนไมน่ ้อย กวำ่ 1 ใน 5 ของจำนวนสมำชกิ ทง้ั หมด เท่ำทม่ี ีอยู่ของสภำผแู้ ทนรำษฎร มสี ิทธิ เข้ำชือ่ เสนอญัตติขอเปิดอภิปรำยท่ัวไป เพือ่ ลงมตไิ ม่ไว้วำงใจรฐั มนตรี เป็นรำยบุคคลหรือท้ังคณะ

47

-สมำชกิ สภำผู้แทนรำษฎรจำนวนไม่นอ้ ย กวำ่ 1 ใน 10 ของจำนวนสมำชิก ทง้ั หมดเทำ่ ท่ีมีอย่ขู องสภำผแู้ ทนรำษฎร จะเขำ้ ชอื่ กันเพ่ือเสนอญัตตขิ อเปิด อภิปรำยทัว่ ไปเพื่อซักถำมขอ้ เท็จจรงิ หรือเสนอแนะปัญหำตอ่ คณะรฐั มนตรี โดยไมม่ ีกำรลงมตกิ ไ็ ด้ -สมำชิกวุฒสิ ภำจำนวนไมน่ ้อยกวำ่ 1 ใน 3 ของจำนวนสมำชิกทัง้ หมดเทำ่ ท่ี มอี ยู่ของวุฒิสภำ มีสทิ ธิเข้ำช่ือขอเปิด อภิปรำยท่ัวไปในวุฒิสภำเพอื่ ให้ คณะรัฐมนตรแี ถลงข้อเทจ็ จรงิ หรอื ชแี้ จง ปญั หำสำคัญเกี่ยวกับกำรบรหิ ำรรำชกำร แผ่นดินโดยไมม่ ีกำรลงมติ -ใหม้ พี ระรำชบญั ญัติประกอบรฐั ธรรม (10 พรบ.) ดังน้ี 1.พรบ.ประกอบรฐั ธรรมนญู วำ่ ดว้ ย กำร เลือกตงั้ สมำชกิ สภำผู้แทนรำษฎร 2.พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญวำ่ ดว้ ย กำร ได้มำซึง่ สมำชกิ วฒุ สิ ภำ 3.พรบ. ประกอบรัฐธรรมนญู ว่ำดว้ ย คณะกรรมกำรกำรเลอื กตั้ง 4.พรบ. ประกอบรฐั ธรรมนญู วำ่ ด้วย พรรคกำรเมือง 5.พรบ.ประกอบรฐั ธรรมนญู ว่ำด้วย ผูต้ รวจกำรแผน่ ดิน 6.กำรป้องกันและปรำบปรำมกำรทุจรติ 7.กำรตรวจเงินแผน่ ดนิ 8.วธิ พี จิ ำรณำของศำลรัฐธรรมนญู 9.วิธีพิจำรณำคดอี ำญำของผู้ดำรง ตำแหน่งทำงกำรเมอื ง 10.คณะกรรมกำรสทิ ธิมนุษยชนแหง่ ชำติ รำ่ ง พรบ.ประกอบฯ จะเสนอไดก้ แ็ ตโ่ ดย 1.คณะรัฐมนตรี โดยข้อเสนอแนะของ ศำลฎกี ำ ศำลรฐั ธรรมนญู หรอื องคก์ ร อิสระท่ีเก่ยี วข้อง 2.สมำชกิ สภำผแู้ ทนรำษฎรจำนวนไม่ นอ้ ยกว่ำ 1 ใน 10 ของจำนวนสมำชิก ท้งั หมด

48

-กำรเสนอร่ำงต่อรัฐสภำ ใหพ้ จิ ำรณำ รว่ มกนั ภำยใน 180 วัน ภำยใน 15 วนั ให้รัฐสภำส่งร่ำงท่ี เห็นชอบไปยังศำลฎกี ำ ศำลรัฐธรรมนูญ หรอื องค์กรอสิ ระทเ่ี กี่ยวขอ้ ง เพอื่ ให้ ควำมเหน็ หำกไมท่ ักท้วง ภำยใน 15 วัน ให้รัฐสภำดำเนินกำรต่อไป

หมวดที่ 8 ประกอบดว้ ย นำยกรัฐมนตรี และ คณะรัฐมนตรี รฐั มนตรีอื่นอกี ไมเ่ กนิ 35 คน

กำรแต่งตั้งนำยกรฐั มนตรี ใหป้ ระธำนสภำผู้แทนรำษฎรเปน็ ผู้ลง วำระกำรดำรงตำแหน่ง นำยกรัฐมนตรี นำม รับสนองพระบรมรำชโองกำร กำรแถลงนโยบำย แตง่ ต้ัง คุณสมบตั ิรฐั มนตรี จะดำรงตำแหนง่ รวมกันแลว้ เกิน 8 ปี มิได้ พระรำชกำหนดเกีย่ วกบั ประโยชน์ของ ก่อนเข้ำรบั หนำ้ ท่จี ะตอ้ งแถลงนโยบำย ประเทศ ภำยใน 15 ต่อ รฐั สภำ -มีสญั ชำติไทยโดยกำรเกดิ –มีอำยุไม่ตำ่ กวำ่ 35 ปี -สำเร็จ กำรศึกษำไม่ต่ำกวำ่ ปรญิ ญำตรีหรือ เทยี บเทำ่ -มคี วำมซอื่ สตั ย์สจุ ริตเป็นที่ประจักษ์ - ไมม่ ีพฤติกรรมอนั เปน็ กำรฝ่ำฝนื หรอื ไม่ ปฏิบตั ิตำมมำตรฐำนทำงจริยธรรมอยำ่ ง ร้ำยแรง

ในกรณีท่มี คี วำมจำเป็นต้องมีกฎหมำย เกี่ยวดว้ ยภำษอี ำกรหรือเงินตรำ ซึง่ จะตอ้ งไดร้ บั กำรพิจำรณำโดยดว่ น และลับเพื่อรกั ษำประโยชนข์ องแผน่ ดิน พระมหำกษัตริยจ์ ะทรง ตรำพระรำชกำหนดใหใ้ ช้บงั คบั ดงั เชน่ พระรำชบญั ญัตกิ ไ็ ด้ -พระมหำกษัตริย์ทรงไวซ้ ่งึ พระรำช อำนำจในกำรตรำพระรำชกฤษฎีกำโดย ไมข่ ัดต่อกฎหมำย

49

หมวดที่ 9 กำรขัดกัน สมำชิกสภำผ้แู ทนรำษฎรและสมำชกิ - พระมหำกษตั ริยท์ รงไว้ซง่ึ พระรำช แหง่ ผลประโยชน์ วฒุ สิ ภำ อำนำจในกำรประกำศใช้และเลกิ ใชก้ ฎ อัยกำรศึกในกรณีทมี่ ีควำมจำเปน็ ตอ้ ง หมวดที่ 10 ศำล ศำลยุติธรรม มีทง้ั หมด 3 ชัน้ คอื ศำล ประกำศใชก้ ฎอยั กำรศึกเฉพำะแห่งเปน็ ช้ันต้น ศำลอุทธรณ์ และศำลฎีกำ กำรรบี ดว่ น เจำ้ หนำ้ ท่ีฝ่ำยทหำรย่อม กระทำไดต้ ำมกฎหมำยวำ่ ด้วยกฎอัยกำร ศึก - พระมหำกษตั ริยท์ รงไวซ้ งึ่ พระรำช อำนำจในกำรประกำศสงครำมเมอ่ื ได้รับ ควำมเหน็ ชอบของรัฐสภำ มตใิ ห้ควำมเห็นชอบของรัฐสภำตอ้ งมี คะแนนเสียงไม่น้อยกวำ่ สองในสำมของ จำนวนสมำชิกทั้งหมดเท่ำท่มี ีอยู่ของทัง้ สองสภำ

-ไม่ดำรงตำแหน่งหนำ้ ทใ่ี นหน่วยงำน รำชกำร รฐั วิสำหกจิ หรอื ผู้บริหำร ทอ้ งถิ่น -ไม่รบั หรอื แทรกแซงหรือกำ้ วก่ำยกำร เข้ำรบั สัมปทำนจำกรฐั -ไมก่ ระทำกำรใด ๆ อันเป็นกำร แทรกแซงกำรใช้สิทธิหรือเสรีภำพ หนงั สือส่อื มวลชน

-ศำลยุตธิ รรมมีอำนำจพจิ ำรณำพพิ ำกษำ คดีท้งั ปวง เวน้ แต่คดีที่รฐั ธรรมนูญหรอื

กฎหมำยบญั ญตั ิใหอ้ ยู่ในอำนำจของศำล อื่น

ศำลปกครอง มี 2 ชน้ั คอื ศำลปกครอง -ศำลปกครองมอี ำนำจพิจำรณำพพิ ำกษำ ชนั้ ตน้ และ ศำลปกครองสงู สุด คดปี กครองอนั เนื่องมำจำกกำรใช้อำนำจ

ทำงปกครองตำมกฎหมำยหรอื เนอื่ งมำจำกกำรดำเนินกิจกำรทำง ปกครอง

-ศำลทหำรมีอำนำจพิจำรณำพพิ ำกษำ คดีอำญำท่ีผูก้ ระทำควำมผิดเปน็ บุคคล

ซึง่ อย่ใู นอำนำจศำลทหำรและคดีอนื่

-ศำลรัฐธรรมนญู ประกอบด้วยตลุ ำกำร ศำลรฐั ธรรมนญู จำนวน 9 คนซึ่ง พระมหำกษตั รยิ ์

50

หมวดท่ี 11 ศำล ทรงแตง่ ตงั้ จำกบคุ คล ดังตอ่ ไปน้ี รฐั ธรรมนญู (๑) ผู้พิพำกษำในศำลฎกี ำซ่ึงดำรง

ตำแหน่งไม่ตำ่ กว่ำผพู้ ิพำกษำหวั หนำ้ คณะในศำลฎกี ำมำแล้ว

ไม่นอ้ ยกวำ่ 3 ปี ซงึ่ ไดร้ ับคัดเลือกโดยที่ ประชุมใหญ่ศำลฎีกำ จำนวน 3 คน (๒) ตลุ ำกำรในศำลปกครองสูงสดุ ซ่ึง

ดำรงตำแหนง่ ไม่ต่ำกวำ่ ตลุ ำกำรศำล ปกครองสูงสุดมำแล้ว

ไมน่ อ้ ยกว่ำ 5 ปี ซง่ึ ได้รับคัดเลอื กโดยที่ ประชมุ ใหญต่ ลุ ำกำรในศำลปกครอง สงู สุด จำนวน 2 คน

(๓) ผ้ทู รงคุณวุฒสิ ำขำนติ ิศำสตร์ซึ่งไดร้ บั กำรสรรหำจำกผู้ดำรงตำแหน่งหรอื เคย

ดำรงตำแหน่ง ศำสตรำจำรย์ของมหำวทิ ยำลัยใน ประเทศไทยมำแลว้ เปน็ เวลำไมน่ อ้ ยกวำ่

5 ปี และยังมีผลงำนทำงวชิ ำกำร เปน็ ที่ประจักษ์ จำนวน 1 คน

(๔) ผู้ทรงคุณวุฒิสำขำรัฐศำสตรห์ รอื รฐั ประศำสนศำสตรซ์ ึง่ ได้รับกำรสรรหำจำก ผดู้ ำรงตำแหนง่ หรือเคยดำรงตำแหนง่

ศำสตรำจำรย์ของมหำวิทยำลัยใน ประเทศไทยมำแล้วเปน็ เวลำไม่นอ้ ยกวำ่

5 ปแี ละยงั มผี ลงำนทำงวชิ ำกำรเป็นที่ ประจกั ษ์ จำนวน 1 คน (๕) ผทู้ รงคุณวฒุ ซิ ึง่ ไดร้ บั กำรสรรหำจำก

ผูร้ บั หรือเคยรบั รำชกำรในตำแหนง่ ไมต่ ำ่ กว่ำอธิบดหี รอื หวั หน้ำสว่ นรำชกำรท่ี

เทยี บเทำ่ หรอื ตำแหนง่ ไมต่ ่ำกว่ำรอง อยั กำรสงู สุดมำแลว้ ไม่น้อยกว่ำ 5 ปี จำนวน 2 คน

ตลุ ำกำรศำลรัฐธรรมนูญต้องมคี ุณสมบตั ิ -มสี ัญชำติไทยโดยกำรเกิด

-มอี ำยไุ มต่ ่ำกว่ำ 45 ปี แต่ไม่ถึง 68 ปี ในวนั ที่ไดร้ บั กำรคัดเลือกหรือวนั สมัคร เขำ้ รับกำรสรรหำ

-ตลุ ำกำรศำลรัฐธรรมนญู มวี ำระกำร ดำรงตำแหนง่ เจด็ ปีนับแต่วนั ท่ี

51 พระมหำกษตั รยิ ท์ รงแต่งตง้ั และให้ดำรง ตำแหนง่ ได้เพยี งวำระเดยี ว หมวดท่ี 12 องค์กร คุณสมบัตขิ องกรรมกำรองคก์ รอิสระ อิสระตำมรัฐธรรมนญู องคก์ รอสิ ระเป็นองค์กรทีจ่ ดั ต้ังข้ึนใหม้ ี ควำมอิสระในกำรปฏิบัติหนำ้ ที่ ให้ ผตู้ รวจกำรแผ่นดนิ เป็นไปตำมรฐั ธรรมนญู และกฎหมำย คณะกรรมกำรกำรเลอื กต้ัง กำรปฏิบตั ิหน้ำท่ีและกำรใช้อำนำจของ คณะกรรมกำรตรวจเงนิ แผ่นดนิ องค์กรอสิ ระตอ้ งเป็นไปโดยสจุ ริต เท่ียง ธรรม กล้ำหำญ และปรำศจำกอคตทิ ัง้ ปวงในกำรใชด้ ลุ พินจิ

นอกจำกคุณสมบัตแิ ละลักษณะ ต้องหำ้ มตำมทีบ่ ญั ญัติไว้เปน็ กำรเฉพำะ ในส่วนที่วำ่ ดว้ ยองค์กรอิสระแตล่ ะ องค์กรแล้ว

ผ้ดู ำรงตำแหน่งในองค์กรอสิ ระตอ้ งมี คุณสมบัติและไมม่ ีลกั ษณะ ต้องห้ำมท่ัวไปดงั ต่อไปน้ีดว้ ย

(๑) มีอำยุไม่ต่ำกว่ำ 45 ปี แตไ่ ม่เกิน 70 ปี

-ผู้ตรวจกำรแผน่ ดนิ มีจำนวน 3 คนซ่ึง พระมหำกษตั รยิ ท์ รงแตง่ ต้งั ตำม คำแนะนำของวฒุ สิ ภำ จำกผ้ซู ่งึ ได้รบั กำร สรรหำโดยคณะกรรมกำรสรรหำ - ผู้ตรวจกำรแผน่ ดินมีวำระกำรดำรง ตำแหนง่ 7 ปีนับแตว่ ันท่ี พระมหำกษัตรยิ ์ทรงแตง่ ต้ัง และให้ดำรง ตำแหนง่ ไดเ้ พยี งวำระเดียว

-คณะกรรมกำรกำรเลอื กตง้ั ประกอบด้วยกรรมกำรจำนวน 7 คน ซึง่ พระมหำกษัตริย์ -กรรมกำรกำรเลอื กต้งั มีวำระกำรดำรง ตำแหนง่ 7 ปนี บั แตว่ ันที่ พระมหำกษัตริย์ ทรงแตง่ ตั้ง และให้ ดำรงตำแหน่งไดเ้ พยี งวำระเดียว

- คณะกรรมกำรตรวจเงินแผ่นดิน ประกอบด้วยกรรมกำรจำนวน 7 คน -กรรมกำรตรวจเงนิ แผ่นดนิ มวี ำระกำร ดำรงตำแหน่ง 7 ปนี บั แตว่ นั ที่

52

พระมหำกษัตรยิ ์ทรงแต่งตั้ง และให้ดำรง

ตำแหนง่ ได้เพียงวำระเดยี ว

คณะกรรมกำรสทิ ธมิ นุษยชนแหง่ ชำติ - คณะกรรมกำรสิทธมิ นษุ ยชนแหง่ ชำติ

ประกอบด้วยกรรมกำรจำนวน 7 คน

ซึง่ พระมหำกษตั รยิ ์ทรงแต่งตั้งตำม

คำแนะนำของวฒุ สิ ภำจำกผู้ซงึ่ ได้รับกำร

สรรหำ

-กรรมกำรสทิ ธิมนุษยชนแห่งชำติมีวำระ

กำรดำรงตำแหนง่ 7 ปีนับแต่วนั ท่ี

พระมหำกษตั รยิ ์ทรงแตง่ ตั้ง และใหด้ ำรง

ตำแหนง่ ไดเ้ พยี งวำระเดยี ว

คณะกรรมกำรปอ้ งกนั และปรำบปรำมกำร -คณะกรรมกำรป้องกนั และปรำบปรำม

ทุจรติ แห่งชำติ กำรทจุ ริตแหง่ ชำตปิ ระกอบด้วย

กรรมกำรจำนวน 9 คน ซ่ึง

พระมหำกษตั ริย์ทรงแตง่ ต้งั ตำม

คำแนะนำของวุฒสิ ภำจำกผ้ซู ่ึงได้รบั กำร

สรรหำ

- กรรมกำรป้องกนั และปรำบปรำมกำร

ทจุ รติ แหง่ ชำตมิ วี ำระกำรดำรงตำแหน่ง

7 ปีนบั แตว่ ันทพ่ี ระมหำกษตั ริย์ทรง

แต่งตง้ั และใหด้ ำรงตำแหน่งไดเ้ พียง

วำระเดยี ว

หมวดที่ 13 องค์กร พนกั งำนอยั กำร มอี สิ ระและในกำร อัยกำร พจิ ำรณำส่ังคดี และกำรปฏบิ ัตหิ น้ำที่ให้ หมวดท่ี 14 กำร ปกครองสว่ นท้องถิน่ เป็นไปโดยรวดเร็ว เท่ยี งธรรม และปรำศ

อคตทิ ั้งปวง และไม่ใหถ้ อื ว่ำเปน็ คำสั่ง

ทำงปกครอง

ต้องเป็นไปตำมเจตนำรมณข์ องประชำชน ม. 249 ให้มกี ำรจัดกำรปกครองสว่ น

ในทอ้ งถนิ่ ทอ้ งถ่นิ ตำมหลกั แหง่ กำรปกครองตนเอง

ตำมเจตนำรมณ์ของประชำชนในทอ้ งถน่ิ

กำรจัดตงั้ องค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถิ่นใน

รูปแบบใดใหค้ ำนึงถึงเจตนำรมณ์ของ

ประชำชนในท้องถิ่น และควำมสำมำรถ

ในกำรปกครองตนเองในด้ำนรำ้ ยได้

จำนวนและควำมหนำแนน่ ของประชำกร

และพืน้ ท่ตี ้องรับผิดชอบ ประกอบกัน

ม.250 องค์กรปกครองส่วนทอ้ งถนิ่ มี

หนำ้ ทแี่ ละอำนำจดูแลและจัดทำบรกิ ำร

53

สำธำรณะ และกิจกรรมสำธำรณะเพ่ือ ประโยชน์ของประชำชนในทอ้ งถ่นิ ตำม หลักกำรพัฒนำอยำ่ งยง่ั ยืน รวมทงั้ สง่ เสรมิ และสนบั สนุนกำรจัดกำรศกึ ษำ ใหแ้ กป่ ระชำชนในท้องถน่ิ กำรจัดทำบรกิ ำรสำธำรณะ และกจิ กรรม สำธำรณะใดที่สมควรให้เปน็ หน้ำที่และ อำนำจโดยเฉพำะขององค์กรปกครอง ส่วนทอ้ งถน่ิ แต่ละรปู แบบ ในกำรจดั ทำบริกำรสำธำรณะหรือ กิจกรรมสำธำรณะใดที่เป็นหนำ้ ที่และ อำนำจขององค์กรปกครองส่วนทอ้ งถิ่น ถ้ำกำรร่วมดำเนินกบั เอกชนหรอื หนว่ ยงำนของรัฐหรือกำรมอบหมำยให้ เอกชนหรือหน่วยงำนของรัฐดำเนนิ กำร จะเปน็ ประโยชน์แก่ประชำชนในท้องถน่ิ มำกกวำ่ กำรที่องค์กรปกครองส่วน ทอ้ งถ่นิ จะดำเนนิ กำรเอง องค์กร ปกครองส่วนท้องถน่ิ จะร่วม หรอื มอบให้ เอกชนหรอื หน่วยงำนของรฐั ดำเนินกำร นัน้ ก็ได้ -กำรบริหำรรำชกำรสว่ นทอ้ งถิน่ ต้องให้ องค์กรปกครองส่วนมี อิสระในกำร บริหำร กำรจดั ทำบรกิ ำรสำธำรณะ กำรส่งเสริมและสนบั สนนุ กำรจดั กำรศกึ ษำ กำรเงินและกำรคลงั และ กำรกำกบั ดูแลองคก์ รปกครองสว่ น ทอ้ งถน่ิ ซึ่งตอ้ งทำเพียงเท่ำท่จี ำเปน็ เพอ่ื กำรคุ้มครองประโยชน์ของประชำชนใน ทอ้ งถิน่ หรอื ประโยชนข์ องประเทศเป็น ส่วนรวม กำรป้องกันกำรทุจรติ และกำร ใชจ้ ่ำยเงนิ อย่ำงมีประสิทธภิ ำพ ม.251 กำรบริหำรงำนบุคคลขององค์กร ปกครองสว่ นทอ้ งถ่นิ ให้เป็นไปตำมท่ี กฎหมำยบญั ญตั ิ ต้องใช้ระบบคุณธรรม และต้องคำนงึ ถงึ ควำมเหมำะสมและ ควำมจำเป็นของแต่ละท้องถิ่น และ องค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถ่นิ แตล่ ะ รูปแบบ กำรจัดให้มีมำตรฐำนที่

54

สอดคล้องกันเพ่อื ใหส้ ำมำรถพัฒนำ รว่ มกนั ได้ หรอื กำรสับเปลย่ี นบคุ ลำกร

ระหว่ำงองคก์ รปกครองสว่ นท้องถิ่น ดว้ ยกันได้

ม.252 สมำชิกสภำท้องถิ่นต้องมำจำก กำรเลอื กตงั้ ผู้บริหำรท้องถิ่นใหม้ ำจำก กำรเลือกตั้งหรือมำจำกควำมเห็นชอบ

ของสภำทอ้ งถ่นิ หรอื ในกรณอี งคก์ ร ปกครองส่วนทอ้ งถนิ่ รูปแบบพเิ ศษ

ม.253 ในกำรดำเนนิ งำน ให้องคก์ ร ปกครองส่วนท้องถ่นิ สภำท้องถน่ิ และ ผ้บู รหิ ำรทอ้ งถนิ่ เปิดเผยขอ้ มูลและ

รำยงำนผลกำรดำเนินงำนใหป้ ระชำชน ทรำบ รวมตลอดท้ังมีกลไกให้ประชำชน

ในทอ้ งถิ่นมสี ่วนร่วมดว้ ย ม.254 ประชำชนผู้มสี ิทธิเลอื กตง้ั ใน องคก์ รปกครองส่วนท้องถิ่นมีสทิ ธิเขำ้ ชื่อ

กัน เพือ่ เสนอขอ้ บญั ญัติ เพื่อถอดสมำชกิ สภำทอ้ งถนิ่ หรือผบู้ รหิ ำรท้องถ่นิ ได้

ตำมหลักเกณฑว์ ธิ ีกำรท่ีกฎหมำยบัญญัติ

หมวดที่ 15 กำรแก้ไข กล่มุ ผู้มสี ิทธิในกำรเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ -คณะรัฐมนตรี เพ่ิมเตมิ รัฐธรรมนูญ -ส.ส. จำนวนไมน่ อ้ ยกว่ำ 1 ใน 5

-ส.ส. และ สว. จำนวนไม่น้อยกวำ่ 1 ใน 5

-ประชำชนผมู้ ีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่ำ 50,000 คนเขำ้ ช่อื เสนอ

หมวดที่ 16 กำรปฏริ ปู ตอ้ งปฏิรูปในทกุ ๆดำ้ น ภำยในระยะเวลำ

ประเทศ 5 ปี

บทเฉพำะกำล ใหด้ ำเนินกำรเลอื กตัง้ สมำชกิ สภำผแู้ ทนรำษฎรตำมรัฐธรรมนญู นใี้ ห้แลว้ เสรจ็

ภำยใน 150 วันนบั แต่วันที่พระรำชบัญญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู มีผลใชบ้ งั คับแลว้

ในวำระเร่มิ แรก ให้วุฒสิ ภำประกอบดว้ ยสมำชกิ จำนวน 250 คน

ซง่ึ พระมหำกษตั ริย์ทรงแตง่ ตัง้ ตำมท่ีคณะรกั ษำควำมสงบแห่งชำติถวำยคำแนะนำ

ให้มีคณะกรรมกำรสรรหำสมำชิกวุฒิสภำคณะหนงึ่ ซ่งึ คณะรกั ษำควำมสงบแหง่ ชำติ

แตง่ ตัง้ จำกผทู้ รงคุณวฒุ ซิ ่ึงมคี วำมรแู้ ละประสบกำรณใ์ นดำ้ นต่ำง ๆ และมีควำมเป็น

กลำงทำงกำรเมือง จำนวนไม่นอ้ ยกว่ำ 9 คนแตไ่ ม่เกนิ 12 คน มหี น้ำทด่ี ำเนินกำรสรร

หำบคุ คลซง่ึ สมควรเปน็ สมำชิกวฒุ สิ ภำ

55

-อำยขุ องวุฒสิ ภำข้ำงต้น มกี ำหนด 5 ปนี บั แตว่ นั ท่มี พี ระบรมรำชโองกำรแตง่ ต้งั สมำชกิ ภำพของสมำชิกวุฒสิ ภำเรม่ิ ตั้งแต่วนั ท่มี ีพระบรมรำชโองกำรแต่งตั้ง

ตวั อย่างข้อสอบรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560

1. รัฐธรรมนญู แห่งรำชอำณำจกั รไทย พทุ ธศักรำช 2560 เปน็ ฉบบั ที่เท่ำใด

ก. ฉบับท่ี 18 ข. ฉบับที่ 19

ค. ฉบับท่ี 20 ง. ฉบับที่ 21

2. รฐั ธรรมนูญแหง่ รำชอำณำจกั รไทย พทุ ธศักรำช 2560 ใหไ้ ว้ ณ วนั ทีต่ ำมขอ้ ใด

ก. 5 มกรำคม 2560 ข. 28 มนี ำคม 2560

ค. 6 เมษำยน 2560 ง. 22 พฤษภำคม 2560

3. ใครเปน็ ผูล้ งนำมรับสนองพระบรมรำชโองกำรแตง่ ตั้งประธำนองคมนตรี

ก. ประธำนสภำผแู้ ทนรำษฎร ข. ประธำนวุฒสิ ภำ

ค. ประธำนรัฐสภำ ง. ประธำนสภำนิตบิ ัญญตั ิแห่งชำติ

4. ในเม่ือพระมหำกษตั รยิ ์จะไมป่ ระทับอยใู่ นรำชอำณำจักร หรอื จะทรงบริหำรพระรำชภำระไม่ไดด้ ว้ ยเหตุใดก็ตำม

จะทรงแต่งต้ังบุคคลคนหน่ึงหรือหลำยคนเปน็ คณะขึน้ ใหเ้ ปน็ ผู้สำเร็จรำชกำรแทนพระองค์หรือไมก่ ไ็ ด้และในกรณที ี่

ทรงแต่งตง้ั ผูส้ ำเรจ็ รำชกำรแทนพระองคใ์ ห้บุคคลใดเป็นผูล้ งนำมรบั สนองพระบรมรำชโองกำร

ก. ประธำนสภำผแู้ ทนรำษฎร ข. ประธำนวฒุ ิสภำ

ค. ประธำนรฐั สภำ ง. ประธำนสภำนติ บิ ญั ญัติแห่งชำติ

5. ข้อใดเป็นสทิ ธิและเสรีภำพของปวงชนชำวไทยตำมกฎหมำยรฐั ธรรมนูญ

ก. บุคคลยอ่ มเสมอกันในกฎหมำย มสี ิทธิและเสรีภำพและได้รับควำมคุ้มครองตำมกฎหมำยเท่ำเทยี มกัน

ข. บุคคลย่อมมีสิทธแิ ละเสรภี ำพในชวี ิตและรำ่ งกำย

ค. บุคคลยอ่ มมเี สรภี ำพบริบรู ณ์ในกำรถอื ศำสนำและย่อมมีเสรภี ำพในกำรปฏิบัติ

หรือประกอบพิธีกรรมตำมหลกั ศำสนำของตน

ง. ถกู ทกุ ขอ้

6. ข้อใดกลำ่ วไมถ่ ูกต้องเกยี่ วกบั หนำ้ ทีป่ วงชนชำวไทย

ก. บคุ คลมีหนำ้ ท่ีป้องกนั ประเทศ พิทกั ษ์รกั ษำเกียรติภมู ิ ผลประโยชนข์ องชำติ และสำธำรณสมบตั ิของ

แผน่ ดนิ รวมทงั้ ให้ควำมร่วมมอื ในกำรป้องกนั และบรรเทำสำธำรณภัย

ข. บุคคลมีหนำ้ ท่เี ข้ำรับกำรศึกษำอบรมในกำรศึกษำข้ันพน้ื ฐำน

ค. บุคคลมีหน้ำทีไ่ ปใช้สิทธิเลือกต้งั หรือลงประชำมตอิ ย่ำงอิสระโดยคำนงึ ถงึ ประโยชนส์ ว่ นรวมของประเทศ

เป็นสำคญั

ง. บคุ คลมีหน้ำท่รี ว่ มมือและสนับสนุนกำรอนุรักษ์และคุ้มครองส่ิงแวดลอ้ ม ทรพั ยำกรธรรมชำติ ควำม

หลำกหลำยทำงชวี ภำพ รวมทั้งมรดกทำงวฒั นธรรม

56

7. ข้อใดกลำ่ วไม่ถกู ตอ้ ง

ก. รฐั สภำประกอบดว้ ยสภำผู้แทนรำษฎรและวุฒสิ ภำ

ข. รัฐสภำจะประชุมรว่ มกนั หรือแยกกนั ยอ่ มเปน็ ไปตำมบทบญั ญตั แิ ห่งรฐั ธรรมนญู

ค. บุคคลจะเปน็ สมำชิกสภำผู้แทนรำษฎรและสมำชกิ วุฒิสภำในขณะเดียวกนั มไิ ด้

ง. ประธำนสภำผู้แทนรำษฎรเป็นประธำนรัฐสภำ ประธำนวุฒสิ ภำเปน็ ผู้ช่วยประธำนสภำ

8. ข้อใดกลำ่ วไมถ่ ูกต้อง

ก. สภำผแู้ ทนรำษฎรประกอบดว้ ยสมำชิกจำนวนหำ้ รอ้ ยคน

ข. สมำชกิ ซง่ึ มำจำกกำรเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกต้ังจำนวนสำมรอ้ ยหำ้ สิบคน

ค. สมำชิกซึง่ มำจำกบญั ชรี ำยชือ่ ของพรรคกำรเมอื งจำนวนหนง่ึ สบิ ห้ำสบิ คน

ง. ในกรณีทตี่ ำแหน่งสมำชิกสภำผู้แทนรำษฎรวำ่ งลงไม่ว่ำด้วยเหตุใด และยงั ไม่มีกำรเลอื กต้งั หรือประกำศชื่อ

สมำชกิ สภำผู้แทนรำษฎรขึ้นแทนตำแหนง่ ท่วี ่ำงให้สภำผู้แทนรำษฎรประกอบดว้ ยสมำชกิ สภำผแู้ ทนรำษฎรเท่ำท่ีมีอยู่

9. ขอ้ ใดคอื คุณสมบัตขิ องผูม้ สี ิทธเิ ลือกตัง้ สมำชกิ สภำผู้แทนรำษฎร

ก. มีอำยไุ ม่ต่ำกว่ำสบิ แปดปีในวันเลอื กตง้ั

ข. มีอำยุ 18 ปบี รบิ รู ณ์ในวันเลอื กตั้ง

ค. อำยไุ ม่ต่ำกวำ่ สิบแปดปบี รบิ รู ณ์ในวนั ท่ี 1 มกรำคมของปีท่ีมีกำรเลอื กตง้ั

ง. มอี ำยุไม่ต่ำกว่ำ 18 ปบี รบิ รู ณ์

10. รฐั ต้องดำเนนิ กำรให้เด็กทุกคนได้รับกำรศกึ ษำเปน็ เวลำกี่ปี ตงั้ แต่ก่อนวัยเรยี นจนจบกำรศึกษำภำคบงั คับอย่ำงมี

คุณภำพโดยไม่เกบ็ คำ่ ใช้จำ่ ย

ก. 9 ปี ข. 10 ปี

ค. 12 ปี ง. 15 ปี

11. บุคคลตำมขอ้ ใดสำมำรถมีสิทธิสมัครเปน็ สมำชกิ สภำผูแ้ ทนรำษฎรได้

ก. สมใจเป็นสมำชิกพรรคกำรเมืองใดพรรคกำรเมืองหน่ึงเดยี วเป็นเวลำตดิ ตอ่ กัน 30 วนั นับถงึ วันเลือกตงั้

ข. ดวงนภำเปน็ บคุ คลซ่ึงเกดิ ในจงั หวัดทส่ี มคั รรบั เลือกต้งั

ค. รจุ ยำเคยรับรำชกำรในจังหวดั ทีล่ งสมคั รเปน็ เวลำติดตอ่ กันไม่นอ้ ยกวำ่ 5 ปี

ง. ถกู ทง้ั ข และ ค

12. เมื่ออำยุของสภำผู้แทนรำษฎรสิ้นสุดลง พระมหำกษัตริย์จะทรงตรำพระรำชกฤษฎีกำให้มีกำรเลือกตั้ง

สมำชิกสภำผ้แู ทนรำษฎรใหมเ่ ปน็ กำรเลือกตง้ั ทวั่ ไปภำยในกวี่ นั นบั แตว่ ันท่สี ภำผแู้ ทนรำษฎรสิ้นอำยุ

ก. 30 วนั ข. 45 วนั

ค. 60 วนั ง. 90 วนั

13. สมำชิกวฒุ สิ ภำตอ้ งมีอำยตุ ำมข้อใดก่ีปี

ก. ไมต่ ่ำกว่ำ 35 ปใี นวันสมัครรับเลือก ข. ไมต่ ำ่ กว่ำ 35 ปีบรบิ รู ณ์ในวนั สมัครรับเลือก

ค. ไมต่ ำ่ กว่ำ 40 ปีในวนั สมัครรับเลือก ง. ไม่ตำ่ กวำ่ 40 ปีบริบูรณใ์ นวันสมัครรบั เลอื ก

57

14. ในปหี น่ึงใหม้ ีสมัยประชมุ สำมัญของรฐั สภำ 2 สมัยๆ หนึ่งให้มกี ำหนดเวลำก่ีวนั

ก. 90 วัน ข. 120 วัน

ค. 180 วนั ง. ตำมท่รี ัฐสภำกำหนด

15. ตำมกฎหมำยรัฐธรรมนญู กำหนดให้มีพระรำชบัญญัตปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญ จำนวนทง้ั สิน้ กีฉ่ บบั

ก. 8 ฉบับ ข. 10 ฉบับ

ค. 12 ฉบบั ง. 15 ฉบบั

16. ใครสำมำรถเสนอรำ่ งพระรำชบญั ญัตติ อ่ สภำผู้แทนรำษฎรได้

ก. คณะรัฐมนตรี

ข. สมำชิกสภำผแู้ ทนรำษฎรจำนวนไม่น้อยกวำ่ ยสี่ ิบคน

ค. ผ้มู สี ิทธเิ ลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกวำ่ หนงึ่ หมืน่ คนเขำ้ ชอื่ เสนอกฎหมำย

ง. ถูกทุกขอ้

17. ใครเป็นผลู้ งนำมรบั สนองพระบรมรำชโองกำรแตง่ ตงั้ นำยกรฐั มนตรี

ก. ประธำนสภำผแู้ ทนรำษฎร ข. ประธำนวุฒสิ ภำ

ค. ประธำนรัฐสภำ ง. ประธำนสภำนิตบิ ญั ญตั แิ หง่ ชำติ

18. “มอี ำนำจพิจำรณำพิพำกษำคดที ัง้ ปวง เว้นแตค่ ดีทรี่ ัฐธรรมนญู หรอื กฎหมำยบัญญัติให้อยู่ในอำนำจของศำลอ่ืน”

หมำยถงึ ศำลตำมข้อใด

ก. ศำลยุตธิ รรม ข. ศำลปกครอง

ค. ศำลทหำร ง. ศำลรัฐธรรมนูญ

19. วำระกำรดำรงตำแหนง่ ขององคก์ รอสิ ระตำมรัฐธรรมนญู มวี ำระกำรดำรงตำแหน่งกปี่ ี

ก. 5 ปี ข. 7 ปี

ค. 9 ปี ง. 10 ปี

20. ตำมกฎหมำยรัฐธรรมนูญใหม้ ีกำรปฏริ ปู ประเทศประกอบดว้ ยด้ำนใด

ก. ดำ้ นกำรเมอื ง ดำ้ นกำรบรหิ ำรรำชกำรแผ่นดิน

ข. ดำ้ นกฎหมำย ด้ำนกระบวนกำรยุติธรรม

ค. ด้ำนกำรศึกษำ ดำ้ นเศรษฐกิจ ด้ำนอื่นๆ

ง. ทกุ ขอ้ รวมกนั

58

พระรำชบัญญัติบรหิ ำรรำชกำรแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และแก้ไขเพ่มิ เติม ฉบับที่ 8 พ.ศ. 2553 (ออก 3 ข้อ) บังคับใช้เม่อื วันที่ 5 กันยำยน 2534 และฉบับท่ี 8 เม่ือ 8 กันยำยน 2553 -หลักทัว่ ไป คือ กำรรวมอำนำจ กำรแบง่ อำนำจ และกำรกระจำยอำนำจ -ให้จดั ระเบยี บบรหิ ำรรำชกำรแผ่นดนิ ดังน้ี -ระเบียบบรหิ ำรรำชกำรส่วนกลำง -ระเบยี บบรหิ ำรรำชกำรส่วนภมู ิภำค –ระเบียบบรหิ ำรรำชกำรส่วนทอ้ งถนิ่ -ให้นำยกรัฐมนตรี รกั ษำตำม พรบ. น้ี กำรจัดระเบียบบรหิ ำรรำชกำรสว่ นกลำง 1.สำนักนำยกรฐั มนตรี 2.กระทรวง หรือทบวงซง่ึ มีฐำนะเทียบเท่ำกระทรวง 3.ทบวง ซึง่ สังกดั สำนกั นำยกรัฐมนตรี 4.กรม หรือส่วนรำชกำรอ่ืนและมีฐำนะเปน็ กรม สำนักนำยกรฐั มนตรีมฐี ำนะเป็น กระทรวง และ 1-4 มฐี ำนะเป็นนิติบุคคล กำรจดั ต้งั กำรรวม หรอื โอน ให้ตรำเปน็ พระรำชบญั ญัติ กำรจัดต้งั ทบวงโดยให้สังกดั สำนักนำยกรฐั มนตรี หรอื กระทรวง ใหร้ ะบุกำรสงั คมไวใ้ นพระรำชบญั ญตั ิ กำรจัดตัง้ กรม หรือสว่ นรำชกำร ท่ีเรยี กชอ่ื อย่ำงอนื่ และมฐี ำนะเปน็ กรม ซง่ึ ไม่สงั กดั สำนกั นำยกรฐั มนตรี กระทรวง หรือทบวง ให้ระบกุ ำรไมส่ ังกัดไวใ้ นพระรำชบัญญัติด้วย กำรรวม หรือ โอนส่วนรำชกำร ถ้ำไมม่ กี ำรกำหนดตำแหน่งหรืออตั รำของข้ำรำชกำรหรอื ลูกจ้ำงเพ่มิ ให้ตรำเป็นพระรำชกฤษฎกี ำ ใหส้ ำนกั งำนงำนคณะกรรมกำรข้ำรำชกำรพลเรือนและสำนักงบประมำณ มหี น้ำท่ตี รวจสอบดแู ลมิให้กำรกำหนด ตำแหนง่ หรืออัตรำของข้ำรำชกำรหรอื ลกู จ้ำงของสว่ นรำชกำรที่จดั ต้งั ข้ึนใหม่ หรือท่ีถูกรวมหรือโอน เพมิ่ ข้นึ จนกวำ่ จะ ครบกำหนด 3 ปีนับแตว่ ันทพี่ ระรำชกฤษฎกี ำมผี ลใช้บังคบั กำรเปลยี่ นชอ่ื กำรยบุ ให้ตรำเปน็ พระรำชกฤษฎีกำ กำรแบ่งส่วนรำชกำรภำยในสำนักงำนรฐั มนตรี กรม หรอื สว่ นรำชกำรทีเ่ รียกชอ่ื อยำ่ งอ่ืน และมฐี ำนะเปน็ กรม ใหอ้ อกเปน็ กฎกระทรวง และให้ระบอุ ำนำจหน้ำท่ขี องแต่ละสว่ นรำชกำรไวใ้ นกฎกระทรวงดว้ ย นำยกรัฐมนตรใี นฐำนะหัวหน้ำรัฐบำล มอี ำนำจหน้ำท่ี ดงั น้ี 1.กำกับโดยทั่วไป ซงึ่ กำรบรหิ ำรรำชกำรแผน่ ดิน เพ่อื กำรนจ้ี ะสั่งใหร้ ำชกำรส่วนกลำง รำชกำรสว่ นภูมิภำค และสว่ น รำชกำร ซ่งึ มีหน้ำทค่ี วบคุมรำชกำรสว่ นท้องถ่นิ ช้ีแจง แสดงควำมคิดเห็น ทำรำยกำรเกี่ยวกบั กำรปฏบิ ัตริ ำชกำร ใน กรณีจำเป็นจะยบั ย้ังกำรปฏบิ ตั ิรำชกำรใด ๆ ท่ีขัดตอ่ นโยบำยหรือมตขิ องคณะรฐั มนตรีกไ็ ด้ และมีอำนำจส่ังสอบสวน ข้อเทจ็ จรงิ เกย่ี วกับกำรปฏบิ ัตริ ำชกำรของรำชกำรสว่ นกลำง รำชกำรสว่ นภมู ภิ ำค และรำชกำรส่วนท้องถ่นิ 2.มอบหมำยให้รองนำยกรฐั มนตรี กำกบั กำรบริหำรรำชกำรของกระทรวง หรอื ทบวงหนง่ึ หรือกระทรวงหรอื ทบวง 3.บงั คบั บญั ชำขำ้ รำชกำรฝำ่ ยบริหำรทุกตำแหนง่ ซึ่งสังกดั กระทรวง ทบวง กรม และสว่ นรำชกำรที่เรยี กชอ่ื อย่ำงอน่ื ท่ี มฐี ำนะเป็นกรม 4.ส่ังใหข้ ้ำรำชกำรซ่งึ สงั กัดกระทรวง ทบวง กรมหนง่ึ มำปฏิบตั ริ ำชกำรสำนกั นำยกรัฐมนตรี โดยจะให้ขำดจำกอัตรำ เงินเดือนทำงสังกดั เดิม หรือไมก่ ไ็ ด้ ในกรณที ่ีใหข้ ำดจำกอัตรำเงนิ เดือนทำงสังกดั เดิม ใหไ้ ดร้ บั เงนิ เดือนในสำนัก นำยกรฐั มนตรีในระดบั และขั้นทีไ่ มส่ ูงกว่ำเดมิ

59

5.แตง่ ตงั้ ข้ำรำชกำรซึ่งสงั กดั กระทรวง ทบวง กรมหนึง่ ไปดำรงตำแหน่งของอกี กระทรวง ทบวง กรมหนึง่ โดยให้ไดร้ ับ เงินเดือนจำกกระทรวง ทบวง กรมเดมิ ในกรณีเช่นวำ่ นใี้ หข้ ้ำรำชกำร ซึ่งได้รบั แตง่ ตั้งมฐี ำนะเสมือนเปน็ ขำ้ รำชกำร สังกัดกระทรวง ทบวง กรม ซ่ึงตนมำดำรงตำแหน่งนนั้ ทกุ ประกำร แตถ่ ำ้ เป็นกำรแตง่ ต้งั ขำ้ รำชกำรตงั้ แต่ตำแหน่ง อธิบดีหรอื เทยี บเทำ่ ข้นึ ไป ต้องไดร้ บั อนมุ ตั จิ ำกคณะรฐั มนตรี 6.แต่งตง้ั ผู้ทรงคณุ วุฒิเป็นประธำนทปี่ รกึ ษำ ท่ปี รึกษำ หรือคณะทปี่ รกึ ษำของนำยกรัฐมนตรี หรอื เปน็ คณะกรรมกำร เพอ่ื ปฏบิ ัตริ ำชกำรใด ๆ และกำหนดอัตรำเบย้ี ประชุมหรอื ค่ำตอบแทนให้แก่ผ้ซู ง่ึ ได้รบั แต่งต้งั 7.แต่งตง้ั ขำ้ รำชกำรกำรเมอื ง ให้ปฏิบัตริ ำชกำรในสำนกั นำยกรัฐมนตรี 8.วำงระเบียบปฏบิ ตั ิรำชกำร เพ่ือให้กำรบรหิ ำรรำชกำรแผน่ ดนิ เปน็ ไปโดยรวดเร็ว และมปี ระสิทธิภำพเท่ำท่ีไม่ขัดหรือ แย้งกับพระรำชบญั ญัตนิ ี้ หรือกฎหมำยอื่น 9.ดำเนินกำรอ่นื ๆ ให้กำรปฏิบตั ติ ำมนโยบำย ในกรณที ่ีนำยกรัฐมนตรีเป็นผู้บงั คบั บัญชำกำรสว่ นรำชกำร ที่เรียกชอ่ื อย่ำงอื่น และมีฐำนะเป็นกรม แตม่ ไิ ด้สงั กัดสำนัก นำยกรัฐมนตรี หรอื ทบวง นำยกรัฐมนตรีจะมอบหมำยใหร้ องนำยกรัฐมนตรี หรอื รัฐมนตรีประจำสำนกั นำยกรฐั มนตรี ปฏิบตั ิรำชกำรแทนก็ได้

สำนกั เลขำธิกำรนำยกรัฐมนตรี มีอำนำจหน้ำทเ่ี กี่ยวกบั รำชกำรทำงเมอื ง มเี ลขำธิกำรนำยกรัฐมนตรี และรองเลขำธกิ ำรนำยกรัฐมนตรีฝำ่ ยกำรเมือง เป็นขำ้ รำชกำรฝ่ำยกำรเมือง รองเลขำธิกำรนำยกรฐั มนตรฝี ำ่ ยบริหำร และผูช้ ว่ ยเลขำธิกำรนำยกรฐั มนตรี เป็นข้ำรำชกำรพลเรอื นสำมญั สำนักเลขำธิกำรคณะรัฐมนตรี มีอำนำจหน้ำท่เี กี่ยวกับรำชกำรของคณะรัฐมนตรี รฐั สภำ และรำชกำรในพระองค์ มเี ลขำธกิ ำรคณะรฐั มนตรี รองเลขำธกิ ำรคณะรฐั มนตรี และผชู้ ว่ ยเลขำธกิ ำรคณะรฐั มนตรี เป็นขำ้ รำชกำรพลเรือน สำมญั หมำยเหตุ จำขอ้ มลู เฉพำะขำ้ รำชกำรกำรเมือง เพรำะมี 2 คน ส่วนรำชกำรทีอ่ ยู่ในบงั คบั บัญชำขน้ึ ตรงตอ่ นำยกรฐั มนตรี

-สำนักงำนเลขำธิกำรนำยกรัฐมนตรี -สำนักเลขำธกิ ำรคณะรฐั มนตรี

-สำนกั ขำ่ วกรองแห่งชำติ -สำนกั งบประมำณ

-สำนกั งำนสภำควำมมนั่ คงแหง่ ชำติ -สำนกั งำนคณะกรรมกำรกฤษฎกี ำ

-สำนกั งำนคณะกรรมกำรขำ้ รำชกำรพลเรอื น -สำนกั งำนคณะกรรมกำรพฒั นำกำรเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชำติ

-สำนักงำนคณะกรรมกำรพัฒนำระบบรำชำกำร -สำนักงำนคณะกรรมกำรส่งเสรมิ กำรลงทุน

-สำนักงำนทรพั ยำกรน้ำแหง่ ชำติ

หนว่ ยงำนในกำกบั ของสำนักนำยกรัฐมนตรี

-กองอำนวยกำรรกั ษำควำมมน่ั คงภำยในรำชอำณำจกั ร

-รำชวทิ ยำลัยจฬุ ำภรณ์

รัฐวสิ ำหกจิ - บริษทั อสมท จำกดั (มหำชน)

60

องคก์ ำรมหำชน

-สำนกั งำนส่งเสรมิ วิสำหกิจขนำดกลำงและขนำดยอ่ ม -สำนกั งำนคณะกรรมกำรสขุ ภำพแหง่ ชำติ -สำนักงำนกองทุนสนับสนุนกำรวจิ ยั แหง่ ชำติ -สำนกั งำนส่งเสริมเศรษฐกิจสร้ำงสรรค์

สว่ นรำชกำร หรือ หนว่ ยงำนในบงั คบั บญั ชำของนำยกรัฐมนตรี

-สำนักงำนพระพุทธศำสนำแห่งชำติ -สำนักงำนรำชบณั ทิตยสภำ

-สำนกั งำนตำรวจแห่งชำติ -สำนกั งำน ปปง.

-สสส. - ศอบต. -ปปท. -กทบ. -สภำที่ปรกึ ษำเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชำติ -กสทช.

กำรจัดระเบียบรำชกำรในกระทรวงหรอื ทบวง 1.สำนกั งำนรฐั มนตรี 2.สำนกั งำนปลดั กระทรวง 3.กรม (สำนกั งำนปลัดกระทรวงมฐี ำนะเป็นกรม) กำรแต่งต้งั อธบิ ดี หรอื ผูด้ ำรงตำแหนง่ ที่เรียกชื่ออย่ำงอ่ืนของส่วนรำชกำร ให้รัฐมนตรเี จ้ำสงั กัดเปน็ ผนู้ ำเสนอ คณะรัฐมนตรเี พื่อพจิ ำรณำอนุมัติ และใหผ้ ู้ดำรงตำแหนง่ ดังกลำ่ วเป็นผู้ดำรงตำแหน่งระดับสงู ตำมกฎหมำยประกอบ รัฐธรรมนูญว่ำดว้ ยกำรปอ้ งกนั และปรำบปรำมกำรทจุ รติ สำนกั งำนรฐั มนตรมี ี เลขำนุกำรรัฐมนตรี และผู้ชว่ ยเลขำนกุ ำรรัฐมนตรี เปน็ ขำ้ รำชกำรเมอื ง กำรปฏิบตั ริ ำชกำรแทน อำนำจในกำรสง่ั กำรอนุญำต กำรอนุมตั ิ กำรปฏิบตั ิรำชกำร หรอื กำรดำเนินกำรอ่ืนทีผ่ ูด้ ำรงตำแหน่งใดจะพึงปฏิบัติ หรอื ดำเนินกำรตำมกฎหมำย กฎ ระเบยี บ ประกำศ หรือคำส่ังใด หรอื มติของคณะรัฐมนตรใี นเรื่องใด ถ้ำกฎหมำย กฎ ระเบยี บ ประกำศ หรอื คำสั่งน้ัน หรอื มติของคณะรฐั มนตรใี นเรอื่ งน้นั มิได้ กำหนดเรื่องกำรมอบ อำนำจไวเ้ ปน็ อย่ำงอ่นื หรือมไิ ดห้ ้ำมเร่ืองกำรมอบอำนำจไว้ ผูด้ ำรงตำแหนง่ นัน้ อำจมอบอำนำจใหผ้ ดู้ ำรงตำแหน่ง อื่นในสว่ นรำชกำรเดยี วกัน หรอื ส่วนรำชกำรอ่ืน หรือผวู้ ำ่ รำชกำรจังหวดั เป็นผู้ปฏิบตั ริ ำชกำรแทนได้ ทง้ั น้ี ตำม หลกั เกณฑ์ท่กี ำหนดในพระรำชกฤษฎีกำ พระรำชกฤษฎกี ำ ตำมวรรคหนง่ึ อำจกำหนดให้มีกำรมอบอำนำจในเร่ืองใดเร่ืองหนึง่ ตลอดจนกำรมอบอำนำจให้ทำ นติ กิ รรมสญั ญำ ฟ้องคดแี ละดำเนนิ คดี หรือกำหนดหลักเกณฑ์ วิธกี ำร หรอื เงื่อนไขในกำรมอบอำนำจ หรอื ทผ่ี ู้รับ มอบอำนำจต้องปฏิบัติกไ็ ด้ ควำมในวรรคหนึ่งมใิ หใ้ ช้บังคับกบั อำนำจในกำรอนุญำตตำมกฎหมำยท่ีบัญญัติ ให้ต้องออกใบอนญุ ำตหรือท่ีบัญญัติผมู้ ี อำนำจอนญุ ำตไว้เปน็ กำรเฉพำะ ในกรณีเช่นน้ันใหผ้ ู้ดำรงตำแหน่ง ซ่ึงมีอำนำจตำมกฎหมำย ดงั กล่ำวมอี ำนำจมอบ อำนำจใหข้ ้ำรำชกำร ซึ่งเปน็ ผ้ใู ตบ้ ังคับบญั ชำ และผวู้ ำ่ รำชกำรจังหวดั ไดต้ ำมทีเ่ ห็นสมควร หรือ ตำมที่คณะรัฐมนตรี กำหนด ในกรณมี อบอำนำจใหผ้ วู้ ำ่ รำชกำรจงั หวัด ให้ผวู้ ่ำรำชกำรจังหวดั มอี ำนำจ มอบอำนำจได้ กำรมอบอำนำจให้ทำเปน็ หนังสอื กำรรักษำรำชกำรแทน ในกรณที ่นี ำยกรัฐมนตรีไมอ่ ำจปฏบิ ัติรำชกำรก็ได้ ให้รองนำยกรัฐมนตรเี ป็นผูร้ กั ษำรำชกำรแทน ถ้ำมีรอง นำยกรัฐมนตรีหลำยคน ใหค้ ณะรัฐมนตรีมอบหมำยใหร้ องนำยกรัฐมนตรีคนใดคนหน่งึ เป็นผูร้ ักษำรำชกำรแทน ถ้ำไม่

61

มผี ูด้ ำรงตำแหน่งรองนำยกรฐั มนตรี หรอื มแี ตไ่ ม่อำจปฏิบตั ริ ำชกำรได้ ให้คณะรฐั มนตรีมอบหมำยให้รัฐมนตรคี นใด คนหน่งึ เป็นผ้รู กั ษำรำชกำรแทน ในกรณีที่ไม่มีผดู้ ำรงตำแหนง่ รัฐมนตรวี ำ่ กำรกระทรวงหรือมแี ต่ไมอ่ ำจปฏิบตั ริ ำชกำรได้ ให้รฐั มนตรีช่วยวำ่ กำร กระทรวงเปน็ ผรู้ กั ษำรำชกำรแทน ถ้ำมีรฐั มนตรีช่วยวำ่ กำรกระทรวงหลำยคน ให้คณะรฐั มนตรีมอบหมำยใหร้ ัฐมนตรี ช่วยวำ่ กำรกระทรวงคนใดคนหนึง่ เป็นผ้รู ักษำรำชกำรแทน ถ้ำไมม่ ีผูด้ ำรงตำแหนง่ รัฐมนตรชี ่วยวำ่ กำรกระทรวงหรือมี แต่ไมอ่ ำจปฏบิ ตั ริ ำชกำรได้ ให้คณะรฐั มนตรมี อบหมำยใหร้ ฐั มนตรคี นใดคนหนง่ึ เปน็ ผรู้ ักษำรำชกำรแทน กำรบริหำรรำชกำรในต่ำงประเทศ คณะผแู้ ทน หมำยควำมวำ่ บรรดำข้ำรำชกำรฝำ่ ยพลเรือน หรอื ขำ้ รำชกำรฝำ่ ยทหำรประจำกำรในตำ่ งประเทศ ซง่ึ ได้รบั แต่งตง้ั ให้ดำรงตำแหนง่ ในสถำนเอกอคั รรำชทตู สถำนกงสลุ ใหญ่ สถำนกงสลุ สถำนรองกงสลุ หัวหนำ้ คณะผแู้ ทน หมำยควำมว่ำ ข้ำรำชกำรสงั กดั กระทรวงกำรตำ่ งประเทศ ซึง่ ได้รบั แต่งต้ังให้ดำรงตำแหน่ง หวั หน้ำคณะผแู้ ทนตำมระเบียบพธิ ีกำรทูต หรือระเบียบพิธีกำรกงสลุ ในกรณขี องคณะผู้แทนถำวรไทยประจำ องคก์ ำรระหว่ำงประเทศ กำรจดั ระเบยี บบริหำรรำชสว่ นภมู ภิ ำค 1.จังหวดั 2.อำเภอ จงั หวัดมีฐำนะเป็นนติ บิ คุ คล กำรต้งั ยบุ และเปลย่ี นแปลงเขตจงั หวดั ใหต้ รำเปน็ พระรำชบญั ญัติ

ใหม้ ีคณะกรรมกำรจังหวัด ประกอบดว้ ย ผูว้ ่ำรำชกำรจงั หวดั เป็นประธำน หัวหนำ้ สำนกั งำนจงั หวดั เป็น กรรมกำรและเลขำนุกำร ในจังหวัดหนึ่งนอกจำกกรงุ เทพมหำนคร ให้มีคณะกรรมกำรธรรมำภบิ ำลจังหวดั คณะหนง่ึ เรียกโดยย่อวำ่ “ก.ธ.จ.” ทำหน้ำทีส่ อดส่องและเสนอแนะกำรปฏบิ ตั ิภำรกิจขอหนว่ ยงำนของรฐั ในจงั หวดั ให้ใชว้ ธิ ีกำรบรหิ ำรกจิ กำร บำ้ นเมืองที่ดี ก.ธ.จ. ประกอบดว้ ย ผู้ตรวจรำชกำรสำนกั นำยกรัฐมนตรี ซึง่ มเี ขตอำนำจในจังหวัดเป็นประธำน ผูแ้ ทนภำคประชำ สังคม ผู้แทนสมำชิกสภำทอ้ งถ่นิ ทีไ่ มไ่ ดด้ ำรงตำแหนง่ ผูบ้ รหิ ำรและผแู้ ทนภำคธุรกจิ เอกชน กำรยกเวน้ จำกดั หรือตดั ทอน อำนำจหน้ำท่ีของผ้วู ำ่ รำชกำรจังหวดั ในกำรบริหำรรำชกำรในจงั หวดั หรือให้ ข้ำรำชกำรของส่วนรำชกำรใดมีอำนำจหน้ำที่ในกำรบริหำรรำชกำรสว่ นภูมภิ ำคเช่นเดียวกับผูว้ ำ่ รำชกำรจงั หวัดจะ กระทำได้โดยตรำเปน็ พระรำชบญั ญตั ิ อำเภอ ไม่มฐี ำนะเปน็ นิติบุคคล กำรตง้ั ยุบ และเปลย่ี นแปลงเขตอำเภอ ให้ตรำเปน็ พระรำชกฤษฎกี ำ นำยอำเภอสังกดั กระทรวงมหำดไทย ในอำเภอหนงึ่ ใหม้ คี ณะบคุ คลผู้ทำหน้ำที่ไกลเ่ กล่ียและประนอมข้อพพิ ำทของประชำชนท่คี ูก่ รณฝี ำ่ ยใดฝ่ำยหน่งึ มี ภมู ิลำเนำอยใู่ นเขตอำเภอ ในเรอื่ งทพ่ี พิ ำททำงแพง่ เกย่ี วกบั ทดี่ นิ มรดก และข้อพพิ ำททำงแพง่ อน่ื ที่มีทนุ ทรพั ย์ไมเ่ กนิ 200,000 บำท หรือมำกว่ำนั้น ตำมที่กำหนดในพระรำชกฤษฎีกำ เมื่อมีข้อพิพำทเกิดข้ึน และคู่พิพำทตกลงยินยอมให้ใช้วธิ กี ำรไกลเ่ กล่ยี ข้อพพิ ำท ให้คพู่ พิ ำทแต่ละฝ่ำยเลือกบคุ คลจำก บญั ชรี ำยช่อื ฝ่ำยละหนง่ึ คน และให้นำยอำเภอ พนักงำนอยั กำรประจำจงั หวดั หรอื ปลัดอำเภอ ท่ีไดร้ บั มอบหมำย เป็นประธำน เพอ่ื ทำหนำ้ ท่เี ปน็ คณะบคุ คลผู้ทำหน้ำท่ีไกล่เกลีย่ และประนอมขอ้ พพิ ำท

62

กำรจัดระเบยี บบรหิ ำรรำชกำรส่วนท้องถน่ิ

(๑) องคก์ ำรบรหิ ำรส่วนจังหวดั (๒) เทศบำล (๓) สุขำภิบำล (๔) รำชกำรส่วนท้องถ่ินอ่ืนตำมท่มี กี ฎหมำยกำหนด

หมำยเหตุ ขอ้ สอบมักจะออกว่ำข้อใดไมใ่ ช่รำชกำรสว่ นท้องถ่นิ ตัวหลอกคือ องคก์ ำรบรหิ ำรสว่ นตำบล

หำกถำมวำ่ ในปจั จุบันรำชกำรส่วนทอ้ งถิน่ ใด ไม่มีแลว้ ให้ ตอบ สขุ ำภิบำล

คณะกรรมกำรพัฒนำระบบรำชกำรคณะหนึ่ง เรยี กโดยย่อวำ่ “ก.พ.ร.”

ประกอบด้วย นำยกรัฐมนตรหี รือรองนำยกรฐั มนตรที น่ี ำยกรฐั มนตรีมอบหมำยเป็นประธำน

รฐั มนตรีหน่งึ คนทีน่ ำยกรฐั มนตรีกำหนดเปน็ รองประธำน

ผู้ซึ่งคณะกรรมกำรกำรกระจำยอำนำจให้แกอ่ งค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถิน่ มอบหมำยหน่งึ คน

และกรรมกำรผทู้ รงคณุ วฒุ ไิ ม่เกนิ 10 คน ซึ่งคณะรฐั มนตรีแต่งตั้งจำกผมู้ ีควำมรคู้ วำมเช่ยี วชำญในทำงด้ำนนติ ิศำสตร์

เศรษฐศำสตรร์ ฐั ศำสตร์ กำรบริหำรรฐั กจิ กำรบริหำรธรุ กจิ กำรเงินกำรคลัง จิตวทิ ยำองคก์ ำร และสังคมวิทยำอยำ่ ง

น้อยดำ้ นละ 1 คน

กรรมกำรผู้ทรงคณุ วฒุ มิ วี ำระกำรดำรงตำแหนง่ ครำวละ 4 ปี ผู้ซ่งึ พ้นจำกตำแหน่งแลว้ อำจได้รับแตง่ ต้ังอกี ได้แตไ่ ม่

เกินสองวำระตดิ ตอ่ กัน

มี เลขำธิกำร ก.พ.ร. เปน็ กรรมกำรและเลขำนกุ ำร โดยตำแหนง่

ก.พ.ร. มีอำนำจหนำ้ ที่ ดงั ต่อไปน้ี (๑) เสนอแนะและใหค้ ำปรกึ ษำแกค่ ณะรัฐมนตรีเก่ียวกบั กำรพฒั นำระบบรำชกำรและงำนของรฐั อยำ่ งอน่ื ซึง่ รวมถึง โครงสร้ำงระบบรำชกำร ระบบงบประมำณ ระบบบคุ ลำกร มำตรฐำนทำงคณุ ธรรมและจริยธรรม ค่ำตอบแทน และวธิ ี ปฏบิ ัตริ ำชกำรอ่ืน ให้เปน็ ไปตำมมำตรำ ๓/๑ โดยจะเสนอแนะให้มกี ำรกำหนดเป้ำหมำย ยทุ ธศำสตร์ และมำตรกำรก็ ได้ (๒) เสนอแนะและใหค้ ำปรกึ ษำแก่หนว่ ยงำนอ่ืนของรฐั ทมี่ ิได้อยใู่ นกำกบั ของรำชกำรฝำ่ ยบรหิ ำรตำมทีห่ นว่ ยงำน ดังกลำ่ วรอ้ งขอ (๓) รำยงำนต่อคณะรัฐมนตรีในกรณที ่ีมกี ำรดำเนนิ กำรขดั หรือไมส่ อดคลอ้ งกับหลักเกณฑท์ ีก่ ำหนดในมำตรำ ๓/๑ (๔) เสนอตอ่ คณะรัฐมนตรีเพ่ือกำหนดหลักเกณฑ์และมำตรฐำนในกำรจดั ต้งั กำรรวม กำรโอน กำรยบุ เลกิ กำรกำหนด ชือ่ กำรเปล่ยี นช่ือ กำรกำหนดอำนำจหน้ำที่ และกำรแบ่งส่วนรำชกำรภำยในของส่วนรำชกำรที่เป็นกระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนรำชกำรอื่น (๕) เสนอควำมเห็นต่อคณะรัฐมนตรีในกำรตรำพระรำชกฤษฎกี ำ และกฎทีอ่ อกตำมพระรำชบัญญัติน้ี (๖) ดำเนินกำรให้มกี ำรชี้แจงทำควำมเขำ้ ใจแก่ส่วนรำชกำรและเจ้ำหนำ้ ที่ทีเ่ กีย่ วขอ้ งและประชำชนทั่วไป รวมตลอดท้งั

กำรฝกึ อบรม

(๗) ติดตำม ประเมินผล และแนะนำเพอ่ื ใหม้ ีกำรปฏิบัตติ ำมพระรำชบญั ญตั นิ ้ี และรำยงำนต่อคณะรัฐมนตรีพรอ้ มทัง้ ขอ้ เสนอแนะ (๘) ตีควำมและวนิ จิ ฉัยปัญหำทีเ่ กิดขึ้นจำกกำรใช้บังคับพระรำชบญั ญตั นิ ้ี หรอื กฎหมำยว่ำดว้ ยกำรปรบั ปรุงกระทรวง ทบวง กรม รวมตลอดท้ังกำหนดแนวทำงปฏบิ ตั ิ ในกรณที เี่ ป็นปัญหำ มตขิ องคณะกรรมกำรตำมขอ้ น้ี เมื่อไดร้ ับควำม เห็นชอบจำกคณะรัฐมนตรีแล้ว ให้ใช้บงั คับไดต้ ำมกฎหมำย (๙) เรยี กใหเ้ จำ้ หนำ้ ทีห่ รอื บุคคลอ่ืนใดมำชีแ้ จงหรือแสดงควำมเหน็ ประกอบกำรพิจำรณำ

63

(๑๐) จัดทำรำยงำนประจำปเี กย่ี วกบั กำรพัฒนำและจัดระบบรำชกำรและงำนของรัฐอยำ่ งอ่นื เสนอตอ่ คณะรัฐมนตรี เพื่อเสนอต่อสภำผู้แทนรำษฎรและวฒุ สิ ภำ (๑๑) แตง่ ตงั้ คณะกรรมกำร คณะอนุกรรมกำร หรือคณะทำงำน เพอื่ ปฏบิ ัติหน้ำทต่ี ่ำง ๆ ตำมทมี่ อบหมำย และจะ กำหนดอตั รำเบ้ยี ประชมุ หรอื ค่ำตอบแทนอื่นดว้ ยกไ็ ด้ (๑๒) ปฏบิ ัตหิ น้ำท่ีอ่นื ตำมทก่ี ำหนดในพระรำชบัญญตั ิน้ีหรอื ตำมท่ีคณะรฐั มนตรีมอบหมำย ใหม้ ี สำนักงำนคณะกรรมกำรพัฒนำระบบรำชกำร เป็นส่วนรำชกำรใน สำนกั นำยกรฐั มนตรี

แนวขอ้ สอบพระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บบริหารงานราชการแผน่ ดนิ พ.ศ. 2534 แกไ้ ขเพิม่ เติมถึงปัจจุบัน

1.ตำมพระรำชบัญญตั ิระเบียบบรหิ ำรงำนรำชกำรแผ่นดนิ พ.ศ. 2534 แก้ไขเพ่ิมเติมถึงปัจจบุ ัน (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2553

ข้อใดเป็นกำรบรหิ ำรรำชกำรแผน่ ดนิ แบบแบง่ อำนำจ

ก. กระทรวง ข. กรม

ค. จังหวัด ง. เทศบำล

2. กำรจดั ต้งั กำรรวม หรอื กำรโอนสว่ นรำชกำรตำมให้ตรำเปน็ กฎหมำยใด

ก. พระรำชบัญญตั ิ ข. พระรำชกฤษฎกี ำ

ค. ประกำศกระทรวง ง. กฎกระทรวง

3. กำรแบ่งสว่ นรำชกำรภำยในสำนักงำนรฐั มนตรี กรม หรอื ส่วนรำชกำรทเ่ี รยี กชอ่ื อยำ่ งอน่ื

และมฐี ำนะเป็นกรม ใหต้ รำเปน็ กฎหมำยใด

ก. พระรำชบญั ญัติ ข. พระรำชกฤษฎกี ำ

ค. ประกำศกระทรวง ง. กฎกระทรวง

4. กำรรวมหรือกำรโอนส่วนรำชกำรไม่วำ่ จะมีผลเปน็ กำรจดั ต้ังสว่ นรำชกำรขึ้นใหม่หรอื ไม่ ถ้ำไม่มกี ำรกำหนด

ตำแหน่งหรอื อัตรำของข้ำรำชกำรหรือลกู จ้ำงเพิ่มขน้ึ ให้ตรำเปน็ กฎหมำยใด

ก. พระรำชบญั ญัติ ข. พระรำชกฤษฎกี ำ

ค. ประกำศกระทรวง ง. กฎกระทรวง

5. ขอ้ ใดเปน็ ขำ้ รำชกำรกำรเมือง

ก. เลขำธกิ ำรนำยกรัฐมนตรี ข. รองเลขำธิกำรนำยกรัฐมนตรฝี ำ่ ยบริหำร

ค. ผู้ชว่ ยเลขำธกิ ำรนำยกรฐั มนตรี ง. เลขำธิกำรคณะรัฐมนตรี

6. กำรยกเวน้ จำกัด หรือตัดทอน อำนำจหนำ้ ท่ีของผ้วู ่ำรำชกำรจังหวดั ในกำรบริหำรรำชกำรในจังหวดั หรอื ให้

ข้ำรำชกำรของสว่ นรำชกำรใดมีอำนำจหน้ำท่ี ในกำรบริหำรรำชกำรสว่ นภมู ิภำคเชน่ เดยี วกับผวู้ ่ำรำชกำรจงั หวัดจะ

กระทำไดโ้ ดยตรำเป็น

ก. พระรำชบัญญตั ิ ข. พระรำชกฤษฎีกำ

ค. ประกำศกระทรวง ง. กฎกระทรวง

7. กำรตั้ง ยุบ และเปลย่ี นแปลงเขตจงั หวัด ใหต้ รำเป็นกฎหมำยใด

ก. พระรำชบญั ญัติ ข. พระรำชกฤษฎีกำ

ค. ประกำศกระทรวง ง. กฎกระทรวง

64

8. กำรตั้ง ยุบ และเปลยี่ นเขตอำเภอ ให้ตรำเป็นกฎหมำยใด

ก. พระรำชบญั ญัติ ข. พระรำชกฤษฎีกำ

ค. ประกำศกระทรวง ง. กฎกระทรวง

9. ก.พ.ร. คอื คณะกรรมกำรตำมขอ้ ใด

ก. คณะกรรมกำรพัฒนำระบบรำชกำร ข. คณะกรรมกำรพฒั นำระเบียบขำ้ รำชกำร

ค. คณะกรรมกำรกำรพฒั นำระบบรำชกำร ง. คณะกรรมกำรกำรพฒั นำระเบียบข้ำรำชกำร

10. ขอ้ ใดไมเ่ ปน็ นติ ิบคุ คล ข. กรม ก. กระทรวง ง. องคก์ ำรบรหิ ำรสว่ นตำบล ค. อำเภอ

พระรำชบญั ญตั อิ งคก์ ำรบริหำรสว่ นจงั หวัด พ.ศ. 2540 และแก้ไขเพิ่มเตมิ ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2552 (ออก 3 ข้อ) -จงั หวัดหน่งึ ใหม้ อี งค์กำรบรหิ ำรส่วนจงั หวดั ประกอบด้วย สภำองค์กำรบรหิ ำรส่วนจังวดั และนำยกองคก์ ำรบรหิ ำร สว่ นจังหวดั -ให้องคก์ ำรบรหิ ำรส่วนจังหวดั เปน็ นติ ิบคุ คลและเปน็ รำชสว่ นทอ้ งถิ่น -เขตขององค์กำรบริหำรส่วนจงั หวัด ได้แก่ เขตจังหวัด สภำองคก์ ำรบริหำรส่วนจังหวัด กำรเลือกต้งั สมำชกิ สภำองคก์ ำรบรหิ ำรส่วนจงั หวัด ให้ถอื เกณฑ์จำนวนรำษฎรแตล่ ะจงั หวัดตำมหลักฐำนกำรทะเบียน รำษฎรท่ปี ระกำศในปีสุดทำ้ ยก่อนปที ม่ี ีกำรเลือกต้ัง จงั หวัดใดมีรำษฎรไมเ่ กนิ 500,000 คน ใหม้ ีสมำชิกสภำองคก์ ำรบรหิ ำรสว่ นจงั หวดั ได้ 24 คน จังหวดั ใดมีรำษฎรเกิน 500,000 คนแตไ่ มเ่ กิน 1,000,000 คน ใหม้ สี มำชกิ สภำองคก์ ำรบริหำรสว่ นจังหวดั ได้ 30 คน จงั หวดั ใดมีรำษฎรเกิน 1,000,000 คนแตไ่ ม่เกนิ 1,500,000 คน ให้มสี มำชิกสภำองค์กำรบรหิ ำรส่วนจังหวดั ได้ 36 คน จงั หวดั ใดมีรำษฎรเกนิ 1,500,000 คนแตไ่ ม่เกิน 2,000,000 คน ใหม้ ีสมำชิกสภำองค์กำรบริหำรสว่ นจังหวัดได้ 42 คน จังหวัดใดมีรำษฎรเกิน 2,000,000 คน ให้มีสมำชิกสภำองคก์ ำรบริหำรสว่ นจงั หวัดได้ 48 คน -ในอำเภอหนงึ่ ให้มมี กี ำรเลือกตั้งสมำชกิ สภำฯ ได้ 1 คน ถำ้ ไม่ครบมีเพิ่มได้อกี 1 คน -อำยุของสภำฯ มกี ำหนดครำวละ 4 ปีนบั แต่วนั เลือกต้ัง -สมำชกิ ภำพสิ้นสดุ ลง 1.ขำดประชมุ สภำ ติดต่อเกนิ 3 ครงั้ 2.สภำฯ ไม่นอ้ ยกว่ำ 1 ใน 3 เขำ้ เสนอชอื่ และมมี ตไิ มน่ ้อยกวำ่ 3 ใน 4 ใหพ้ ้น 3.รำษฎรผู้มสี ทิ ธเิ ลอื กตง้ั ไมน่ อ้ ยกว่ำ 3 ใน 4 ลงชื่อถอดถอน -ให้สภำองคก์ ำรบริหำรส่วนจงั หวัด เลอื กสมำชิกสภำฯ เปน็ ประธำนสภำ 1 คน และ รองประธำน 2 คน หำกตำแหนง่ ว่ำงลง ใหเ้ ลอื กแทนตำแหนง่ ว่ำงภำยใน 15 วันนับแต่วนั ทต่ี ำแหน่งว่ำงลง -ใน 1 ปี ใหม้ สี มัยประชุมสำมัญ 2 สมัย ผวู้ ำ่ ฯ ต้องกำหนดให้สมำชิกสภำฯ ไดม้ ำประชุมสภำฯ คร้ังแรกภำยใน 15 วันแตว่ นั ประกำศผลกำรเลือกตง้ั สมยั ประชุมสำมัญให้มีกำหนด 45 วนั แต่ถ้ำมีกรณีจำเป็น ให้ประธำนสภำส่ังขยำยออกไปอกี ครง้ั ละไม่เกนิ 15 วนั

65

กำรปิดสมัยประชมุ สำมญั ก่อนครบกำหนดเวลำ 45 วันจะกระทำมิได้

-เมือมกี ำรจำเปน็ เพือ่ ประโยชน์แห่งองค์กำรบรหิ ำรส่วนจงั หวัด ประธำนฯ อำจเรยี กประชุมสมยั วสิ ำมัญกไ็ ด้ หรือนำยกองคก์ ำรบรหิ ำรส่วนจงั หวัด หรอื สมำชิกสภำองคก์ ำรบริหำรสว่ นจังหวัดจำนวนไมน่ อ้ ยกวำ่ 1 ใน 3 ของ สมำชกิ สภำองคก์ ำรบริหำรสว่ นจังหวดั ทมี่ อี ยู่ อำจทำคำรอ้ งยืน่ ต่อประธำนสภำฯ ใหเ้ ปดิ ประชมุ สมยั วิสำมญั ได้ -กำรประชมุ สภำฯ สมัยวิสำมญั ใหม้ กี ำหนด 7 วนั แตถ่ ้ำจะขยำยเวลำออกไปอกี ตอ้ งได้รบั ควำมเห็นชอบจำกสภำฯ ด้วยคะแนนเสยี งไม่นอ้ ยกวำ่ 1 ใน 3 ของจำนวนสมำชิกสภำ และให้ขยำยไปได้อกี ไม่เกิน 7 วนั -กำรปรึกษำหรอื ในสภำฯ ต้องเป็นกจิ กำรเกย่ี วกบั อำนำจหนำ้ ทีข่ ององค์กำรบริหำรส่วนจังหวัดโดยเฉพำะ หำ้ มปรึกษำหำรือในเรอ่ื งนอกเหนอื อำนำจหน้ำท่ี -กำรประชุมสภำองค์กำรบริหำรสว่ นจังหวดั ยอ่ มเปน็ กำรเปดิ เผย แต่กำรประชมุ ลับยอ่ มมีได้เมื่อนำยกฯ รอ้ งขอ หรอื สมำชิกสภำฯ ไมน่ อ้ ยกวำ่ 1 ใน 3 ของจำนวนสมำชิกสภำ รอ้ งขอ -ในทปี่ ระชุม สมำชกิ สภำฯ มสี ิทธิตง้ั กระทถู้ ำมนำยกฯ หรือรองนำยกฯ ในเรอื่ งใดอันเก่ยี วกับงำนในหนำ้ ที่ได้ แต่ นำยก หรือรอง มสี ิทธทิ ่ีจะไมต่ อบ เมอื่ เหน็ ว่ำเรอื่ งน้ันยงั ไม่ควรเปดิ เผย เพรำะเก่ียวกบั ควำมปลอดภยั หรอื ประโยชน์ สำคัญขององค์กำรบรหิ ำรส่วนจังหวัด

นำยกองค์กำรบรหิ ำรส่วนจังหวดั -บุคคลผู้มีสิทธิสมัครรบั เลอื กตัง้ เปน็ นำยกองค์กำรบรหิ ำรสว่ นจังหวดั

-มอี ำยไุ ม่ต่ำกว่ำ 30 ปีบรบิ ูรณ์ในวนั เลือกตง้ั -สำเรจ็ กำรศึกษำไมต่ ่ำกวำ่ ปริญญำตรีหรอื เทียบเท่ำ หรือเคยเปน็ สมำชกิ สภำจังหวดั สมำชกิ สภำองค์กำร บรหิ ำรส่วนจงั หวดั ผู้บรหิ ำรทอ้ งถ่นิ หรอื สมำชกิ รัฐสภำ -ไม่เป็นผทู้ ี่พน้ จำกตำแหนง่ สมำชกิ สภำทอ้ งถิน่ คณะผู้บริหำรทอ้ งถิ่นหรอื ผู้บริหำรทอ้ งถิน่ รองผู้บริหำร ทอ้ งถิน่ เลขำนุกำร เพรำะมีเหตมุ ีสว่ นได้เสีย ยงั ไม่ถึง 5 ปนี บั แตว่ นั สมัครรับเลอื กตง้ั -ให้นำยกองค์กำรบรหิ ำรส่วนจังหวดั ดำรงตำแหน่งนบั ตงั้ แต่วันเลอื กต้ัง และมีระยะเวลำกำรดำรงตำแหนง่ ครำวละ 4 ปีนับแต่วันเลือกต้งั -นำยกฯ อำจแต่งตงั้ รองนำยกฯ ซึง่ มิใช่สมำชิกสภำฯ เปน็ ผู้ช่วยเหลอื ไดด้ งั น้ี -ในกรณสี ภำองค์กำรบริหำรสว่ นมสี มำชิกสภำฯ 48 คน ให้แตง่ ต้งั รองำยกฯ ได้ไมเ่ กนิ 4 คน -ในกรณสี ภำองคก์ ำรบริหำรสว่ นมสี มำชิกสภำฯ 36หรอื 42 คน ใหแ้ ตง่ ต้งั รองำยกฯ ได้ไมเ่ กิน 3 คน -ในกรณีสภำองค์กำรบริหำรส่วนมีสมำชิกสภำฯ 24หรอื 30 คน ใหแ้ ตง่ ตง้ั รองำยกฯ ไดไ้ มเ่ กิน 2 คน -นำยกองคก์ ำรบริหำรส่วนจังหวัด อำจแต่งต้ัง เลขำนุกำรนำยก และทีป่ รึกษำนำยก ได้รวมกนั ไม่เกนิ 5 คน -กอ่ นนำยก เข้ำรบั หนำ้ ท่ี ตอ้ งแถลงนโยบำยต่อสภำ ภำยใน 30 นบั แตว่ นั ประกำศผลกำรเลอื กตั้ง -หำกนำยกฯ ไมส่ ำมำรถแถลงนโยบำยตอ่ สภำ ได้ ให้ผูว้ ำ่ ฯ แจ้งใหน้ ำยกฯ จัดทำนโยบำยแจง้ เปน็ หนังสอื ส่งใหส้ มำชิก สภำทกุ คน ภำยใน 7 วัน ในกรณีเช่นนี้ ใหถ้ ือว่ำ นำยกฯ ไดแ้ ถลงนโยบำยแลว้

66

อำนำจหน้ำที่ขององค์กำรบริหำรส่วนจงั หวัด -ตรำขอ้ บญั ญัติโดยไมข่ ดั ตอ่ กฎหมำย -จดั ทำแผนพฒั นำองค์กำรบรหิ ำรสว่ นจงั หวดั และประสำนกำรจัดทำแผนพัฒนำจงั หวัด -สนับสนุนและรำชกำรสว่ นทอ้ งถ่นิ ในกำรพฒั นำทอ้ งถ่นิ -ประสำนและให้ควำมรว่ มมือในกำรปฏบิ ัติหน้ำท่ีของสภำตำบลและรำชกำรสว่ นท้องถ่นิ อืน่ -อำนำจหนำ้ ที่ของจังหวดั ตำมพระรำชบัญญัตริ ะเบยี บบริหำรรำชกำรสว่ นจงั หวดั พ.ศ. 2598 เฉพำะภำยในรูปเขต สภำตำบล -คุ้มครอง ดูแล และบำรุงรักษำทรัพยำกรธรรมชำติและสงิ่ แวดลอ้ ม -บำรงุ รกั ษำศลิ ปะ จำรตี ประเพณี ภมู ิปัญญำท้องถ่ิน และวฒั นธรรมอนั ดีของทอ้ งถิ่น -จัดทำกิจกำรใด ๆ อนั เป็นอำนำจหนำ้ ท่ีของรำชกำรส่วนท้องถ่นิ อ่ืนท่ีอยู่ในเขตองค์กำรบรหิ ำรส่วนจังหวดั และกจิ กำร นนั้ เป็นกำรสมควรใหร้ ำชกำรส่วนทอ้ งถน่ิ อนื่ รว่ มกนั ดำเนินกำรหรือใหอ้ งคก์ ำรบรหิ ำรสว่ นจังหวัดจัดทำ ท้งั นี้ ตำมที่ กำหนดในกฎกระทรวง -จัดทำกจิ กรรมอื่นใดตำมทก่ี ำหนดไว้ในพระรำชบญั ญตั นิ ้ี หรอื กฎหมำยอนื่ กำหนดให้เปน็ อำนำจหนำ้ ที่ขององค์กำร บริหำรส่วนจังหวดั อบจ. อำจให้บรกิ ำรแก่เอกชน หน่วยรฐั อนื่ โดยเรียกคำ่ บริกำรได้ โดยตรำเป็นข้อบญั ญตั ิ อบต. อำจมอบให้เอกชนกระทำกิจกำร ซงึ่ ในอำนำจหน้ำที่ ได้ แต่ตอ้ งไดร้ บั ควำมเห็นชอบจำกสภำองค์กำรบรหิ ำร ส่วนจงั หวดั และผู้ว่ำรำชกำรจงั หวัด กำรเสนอเทศบัญญตั ิ จะเสนอโดย นำยก /สมำชิกสภำ / รำษฎรผ้มู ีสทิ ธิเลอื กต้งั -ในขอ้ บญั ญัติจะกำหนดโทษผ้ลู ะเมิดข้อบญั ญัติไวด้ ว้ ยก็ได้ แต่หำ้ มมใิ ห้กำหนดโทษจำคุกเกิน 6 เดอื น และหรอื ปรับ เกนิ 10,000 บำท เว้นแตจ่ ะมีกฎหมำยบัญญัตไิ ว้เป็นอย่ำงอน่ื - งบประมำณรำยจ่ำยขององคก์ ำรบรหิ ำรสว่ นจังหวดั ใหท้ ำเปน็ ขอ้ บัญญัติ ถำ้ ขอ้ บญั ญัติงบประมำณรำยจ่ำยประจำปี งบประมำณออกไมท่ ันปงี บประมำณใหม่ ให้ใช้ขอ้ บญั ญตั งิ บประมำณรำยจำ่ ยในปงี บประมำณท่ีแลว้ นัน้ ไปพลำงก่อน กำรพจิ ำรณำรำ่ งเทศบัญญตั ิ เหตกุ ารณป์ กติ -ภำยใน 7 วันนบั แตว่ ันทสี่ ภำ มมี ติเหน็ ชอบ ใหป้ ระธำนสภำสง่ รำ่ งให้ ผวู้ ำ่ พจิ ำรณำ ผู้ว่ำพิจำรณำภำยใน 15 วนั ถำ้ ผ้วู ำ่ ไมพ่ ิจำรณำ ให้ถอื วำ่ เห็นชอบ ผวู้ ่ำ เหน็ ชอบให้ นำยกลงนำมประกำศใชต้ ่อไป เหตุการณ์ไม่ปกติ ถำ้ ผู้วำ่ ฯ ไม่เห็นชอบให้ส่งรำ่ งไปใหมพ่ ร้อมเหตุผล และถ้ำสภำ มมี ตยิ นื ยันไม่นอ้ ยกวำ่ 2 ใน 3 ให้ ประธำนสง่ รำ่ งให้ นำยก อบจ. ลงนำมบงั คบั ใช้ และแจ้งให้ผูว้ ่ำฯ ทรำบ แตถ่ ้ำสภำไมย่ ืนยัน ภำยใน 30 วัน และยนั ยนื รำ่ งเดมิ ให้ร่ำงนัน้ ตกไป -ภำษีมลู ค่ำเพม่ิ ท่ีจดั เกบ็ ตำมประมวลรษั ฎำกร จัดเก็บได้ในจังหวัดใดให้ส่งมอบให้องคก์ ำรบริหำรสว่ นจังหวดั ร้อยละ 5 ของภำษที ี่จดั เก็บได้ -องคก์ ำรบรหิ ำรสว่ นจังหวดั มีอำนำจออกข้อบัญญัตเิ พือ่ เก็บภำษีอำกรและค่ำธรรมเนยี มเพิม่ ข้ึนไม่เกนิ รอ้ ยละ 10 ของภำษีอำกรและคำ่ ธรรมเนียมประเภทใดประเภทหนึง่ หรอื ทุกประเภทสำหรับในพื้นทีเ่ ขตจงั หวัดท่ีอยูน่ อกเขต รำชกำรสว่ นทอ้ งถน่ิ อน่ื

67

ออกขอ้ บัญญตั ิเกบ็ ภำษอี ำกรและค่ำธรรมเนยี ม -ภำษีธรุ กจิ เฉพำะ -ค่ำธรรมเนียมใบอนุญำตขำยสรุ ำ -คำ่ ธรรมเนยี มใบอนุญำตเล่นกำรพนัน ไม่เกินร้อยละ 20 -ผ้วู ำ่ รำชกำรจังหวัด มีอำนำจกำกับดูแลกำรปฏิบัติรำชกำรขององคก์ ำรบริหำรสว่ นจงั หวดั

แนวข้อสอบพระราชบญั ญัติองค์การบรหิ ารสว่ นจงั หวัด พ.ศ. 2540 และแกไ้ ขเพ่ิมเตมิ

1. ใครเปน็ ผรู้ กั ษำกำรตำมพระรำชบัญญตั ิ องค์กำรบริหำรสว่ นจังหวดั พ.ศ. 2540

ก. รัฐมนตรวี ่ำกำรกระทรวงมหำดไทย ข. นำยกรฐั มนตรี

ค. รัฐมนตรีประจำสำนักนำยกรัฐมนตรี ง. ปลดั กระทรวงมหำดไทย

2. องคก์ ำรบริหำรสว่ นจังหวัด ประกอบดว้ ย ก. สภำองคก์ ำรบรหิ ำรส่วนจงั หวัดและ.นำยกองค์กำรบรหิ ำรสว่ นจงั หวัด

ข. สภำองค์กำรบริหำรส่วนจังหวัด และปลัดองค์กำรบริหำรส่วนจังหวัด

ค. สภำองคก์ ำรบรหิ ำรส่วนจังหวัด และหัวหนำ้ สว่ นรำชกำร

ง. สภำองค์กำรบรหิ ำรสว่ นจงั หวัด และเทศบำลในจงั หวัดน้นั

3. กำรเลือกต้ัง สมำชกิ สภำองค์กำรบริหำรสว่ นจงั หวัดใหถ้ ือเกณฑจ์ ำนวนรำษฎร แตล่ ะจงั หวดั ตำมหลักฐำนกำร ทะเบยี นรำษฎร์ทปี่ ระกำศในปีสุดทำ้ ยกอ่ นปที มี่ ีกำรเลือกตง้ั และจงั หวัดใดมรี ำษฎรเกนิ 500,000 คนแตไ่ ม่เกนิ

1,000,000 คน มีสมำชิกได้กี่คน

ก. 24 คน ข. 30 คน

ค. 36 คน ง. 42 คน

4. กำรเลือกตงั้ สมำชิกสภำองค์กำรบริหำรส่วนจังหวดั ใหถ้ อื เกณฑ์จำนวนรำษฎร แตล่ ะจงั หวดั ตำมหลักฐำนกำร ทะเบียนรำษฎร์ท่ีประกำศในปีสุดท้ำยกอ่ นปีท่มี กี ำรเลอื กต้ังและจังหวัดใดมรี ำษฎรเกิน 2 ล้ำนคนมสี มำชกิ สภำ

องค์กำรบรหิ ำรส่วนจังหวัดไดก้ ีค่ น

ก. 24 คน ข. 30 คน

ค. 36 คน ง. 48 คน

5. เมือ่ สมำชิกสภำองค์กำรบรหิ ำรส่วนจงั หวัดว่ำงลงถึงครำวออกตำมอำยสุ ภำหรอื มกี ำรยบุ สภำใหม้ ีเลือกตงั้ ภำยในก่ี

วัน

ก. 30 วนั ข. 45 วัน

ค. 60 วัน ง. 120 วัน

5. เมื่อสมำชิกสภำองคก์ ำรบริหำรส่วนจงั หวัดว่ำงลงเพรำะเหตุอ่ืน หรือมีกำรยุบสภำใหม้ ีเลือกตั้งแทนตำแหนง่ ทวี่ ำ่ ง ภำยในก่ีวนั

ก. 30 วนั ข. 45 วัน ค. 60 วนั ง. 120 วนั

6. ใน 1 ปีให้มกี ำรประชมุ สภำ องค์กำรบริหำรสว่ นจังหวัดจำนวนก่สี มยั

ก. 2 สมยั ข. 3 สมยั

ค. 4 สมัย ง. ตำมท่ีสภำองค์กำรบรหิ ำรจงั หวดั กำหนด

68

7. สมยั ประชมุ สภำองคก์ ำรบริหำรส่วนจังหวดั สำมญั ใหม้ กี ำหนดกี่วนั แตถ่ ้ำกรณจี ำเปน็ ใหใ้ ครสัง่ ขยำยสมยั ประชมุ ออกไปได้ ก. 30 วัน และผวู้ ำ่ รำชกำรจังหวัดส่ังขยำย

ข. 45 วนั และผู้วำ่ รำชกำรจังหวัดสั่งขยำย

ค. 30 วนั และประธำนสภำองค์กำรบริหำรสว่ นจงั หวัดสง่ั ขยำย

ง. 45 วนั และประธำนสภำองค์กำรบริหำรสว่ นจังหวัดสั่งขยำย

8. กำรประชมุ สภำ องค์กำรบรหิ ำรสว่ นจังหวัดสมยั วิสำมญั มกี ำหนดกีว่ นั หำกขยำยตอ้ งได้รับควำมเหน็ ชอบองคก์ ำร

บริหำรส่วนจงั หวัดจำกใคร ก. 7 วัน และสภำองค์กำรบรหิ ำรส่วนจงั หวดั

ข. 15 วัน และผ้วู ่ำรำชกำรจงั หวัด

ค. 30 วนั และสภำองคก์ ำรบรหิ ำรสว่ นจงั หวดั

ง. 45 วัน และสภำองคก์ ำรบรหิ ำรสว่ นจังหวัด

9. นำยกองคก์ ำรบริหำรสว่ นจังหวัด อำจแต่งตง้ั รองนำยกองคก์ ำรบริหำรส่วนจังหวดั กรณจี งั หวดั ท่ีมี สมำชกิ สภำ

องค์กำรบริหำรสว่ นจงั หวัด 48 คน แต่งต้ังรองไดไ้ มเ่ กนิ กคี่ น

ก. 2 คน ข. 3 คน

ค. 4 คน ง. 5 คน

10. นำยกองค์กำรบรหิ ำรสว่ นจังหวดั อำจอำจขอยมื ตัวรำชกำร พนกั งำนหรอื ลกู จำ้ งของสว่ นรำชกำร หน่วยงำน