โรคมือ เท้า ปาก คืออะไร? โรคมือ เท้า ปาก (Hand Foot and Mouth Disease) เป็นโรคที่พบบ่อยในเด็กเล็กโดยเฉพาะช่วงหน้าฝน เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่มเอนเทอโร Enterovirus 71 (EV71) Coxasackie Virus ส่งผลให้มีอาการเป็นไข้ เป็นแผลในปาก มีตุ่มน้ำใสตามฝ่ามือ ฝ่าเท้า และลำตัว ถือได้ว่าเป็นโรคที่สร้างความกังวลใจให้กับคุณพ่อคุณแม่อยู่ไม่น้อย โรคมือ เท้า ปาก สามารถพบในผู้ใหญ่ได้เช่นกัน แต่จะพบได้น้อยกว่า และอาการมักจะไม่รุนแรงเท่าในเด็กเล็ก สังเกตอาการโรค มือ เท้า ปาก เด็กๆ ที่เป็นโรคมือเท้าปาก จะมีอาการ… • มีไข้ อ่อนเพลีย • มีแผลในปาก • ผื่นเป็นจุดแดงขึ้นที่มือ เท้า (อาจมีผื่นตามลำตัว แขนและขาร่วมด้วย) เมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายจะใช้ระยะเวลาฟักตัวประมาณ 3-7 วัน ผู้ป่วยจึงจะแสดงอาการโดยมีอาการเริ่มต้น คือ เด็กจะเริ่มมีไข้สูง 38-39 องศาเซลเซียสเป็นอาการนำก่อน จากนั้นจึงมีอาการอื่น ๆ ตามมาภายใน 1-2 วัน ได้แก่ เจ็บคอ ไม่อยากอาหาร อ่อนเพลีย และจะเริ่มมีตุ่ม ผื่น หรือแผลอักเสบมีหนองที่ผิวหนัง บริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า และบริเวณปากทั้งภายนอกและภายใน โรคมือ เท้า ปาก กี่วันหาย? โรคมือ เท้า ปาก สามารถหายได้เองภายใน 7-10 วัน แต่มีโอกาสเสี่ยงเกิดโรครุนแรงได้ เช่น ก้านสมองอักเสบ หัวใจอักเสบ หรือถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะการติดเชื้อเอนเทอโรไวรัสสายพันธุ์ 71 (EV71) ทำให้มีอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตอาการที่อาจเป็นภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ มีไข้สูง ซึม อ่อนแรง มือสั่น เดินเซ อาเจียนมาก หายใจหอบ กล้ามเนื้อกระตุก และชัก หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบพาพบแพทย์โดยด่วน!!! (อาการแทรกซ้อนจะไม่สัมพันธ์กับจำนวนแผลในปากหรือตุ่มที่พบตามฝ่ามือหรือฝ่าเท้า) โรคมือ เท้า ปาก ติดต่อไหม? ติดต่อได้อย่างไร? โรคมือ เท้า ปาก สามารถติดต่อผ่านการสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่งของผู้ป่วย และจากการสัมผัสทางอ้อมผ่านของเล่น มือผู้เลี้ยงดู น้ำ และอาหารที่มีการปนเปื้อนเชื้อโรค โดยส่วนใหญ่มักพบการแพร่ระบาดในโรงเรียนอนุบาล และสถานรับเลี้ยงเด็ก โรคมือ เท้า ปาก สามารถเป็นซ้ำได้อีก ถ้าได้รับเชื้อไวรัสคนละสายพันธุ์กับที่เคยเกิด เนื่องจากภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นของผู้ป่วยที่หายจากการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์หนึ่งๆ อาจไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อจากไวรัสสายพันธุ์อื่น ๆ ได้ แม้จะจัดอยู่ในกลุ่มย่อยของไวรัสเอนเทอโรเช่นเดียวกันก็ตาม มีวิธีการรักษา และป้องกันอย่างไร? โดยทั่วไปแล้ว อาการโรค มือ เท้า ปาก จะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ โดยแพทย์จะดูแลรักษาตามอาการ เช่น การให้รับประทานยาแก้ไข้ ในรายที่เพลียมากแพทย์อาจให้นอนรักษาตัวในโรงพยาบาลและให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด ร่วมกับให้ยาลดไข้แก้ปวด ยารักษาแผลในปาก และให้ยาปฏิชีวนะในกรณีที่จำเป็น ร่วมกับการเฝ้าระวังสังเกตอาการของภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง อย่างที่ทราบกันว่าโรคมือ เท้า ปาก ติดต่อได้ผ่านการรับเชื้อไวรัสจากทางเดินอาหาร น้ำมูก น้ำลาย และจากการหายใจเอาเชื้อที่แพร่จากผู้ป่วยเข้าไป คุณพ่อคุณแม่ควรดูแลสุขอนามัยให้กับเด็กๆ
เสริมเกราะป้องกันด้วยวัคซีน โรคมือ เท้า ปาก ระบาด! ป้องกันได้ ด้วยวัคซีนป้องกัน โรคมือเท้าปาก (EV71) โดยแนะนำให้รับวัคซีนในเด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือนถึง 5 ปี ฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน และป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ที่เป็นอันตรายถึงชีวิต โดยฉีดเข้ากล้ามเนื้อจำนวน 2 เข็ม เว้นระยะห่างจากเข็มแรก 1 เดือน วัคซีนป้องกัน “โรคมือเท้าปาก” รุนแรง จากไวรัส EV71 (EntroVac)
*อาการไม่พึงประสงค์ที่อาจพบได้หลังรับวัคซีน: ปวด บวม แดง คัน บริเวณที่ฉีด, ไข้, คลื่นไส้ อาเจียน, ถ่ายเหลว, ปวดศีรษะ) **สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือน – 5 ปี 11 เดือน 29 วัน ***วัคซีนนี้ไม่สามารถใช้เพื่อป้องกันโรคมือ เท้า ปาก ที่มีสาเหตุจากเชื้อเอนเทอโรไวรัสชนิดอื่น (รวมถึง Coxasackie Virus A16 และอื่นๆ) แพทย์หญิงเรณุกา จรัสพงศ์พิสุทธิ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้ออ้างอิงข้อมูลจาก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย , กระทรวงสาธารณสุข, แพทย์หญิงวรฉัตร เรสลี – อายุรแพทย์เฉพาะทางโรคติดเชื้อ , แพทย์หญิงเรณุกา จรัสพงศ์พิสุทธิ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ, PIDST Gazette (2022) เป็นโรคติดเชื้อจากแบคทีเรีย โดยปกติจะติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อซิฟิลิสหากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิดปัญหารุนแรงตามมาภายหลังได้ การดำเนินโรคในขั้นต้นโดยทั่วไปจะเริ่มจากบาดแผล ซึ่งมักพบบริเวณอวัยวะเพศ ปาก หรือทวารหนัก ลักษณะของแผลจะเป็นแผลที่ไม่รู้สึกเจ็บ (Painless sore) หรือเรียกว่าแผลริมแข็ง (Chancre) การแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่นสามารถเกิดได้ผ่านทางการสัมผัสบาดแผลนี้กับผิวหนังหรือเยื่อบุต่างๆ โรคซิฟิลิสอาจเป็นปัญหาที่ตรวจพบได้ยาก เนื่องจากการดำเนินโรคหลังจากได้รับเชื้อแล้ว เชื้อแบคทีเรียสามารถหลบซ่อนตัวอยู่เงียบๆ ภายในร่างกายเราได้เป็นเวลาหลายปีก่อนที่จะมีอาการแสดงขึ้นมาในภายหลัง ซึ่งระยะนี้เรียกว่าระยะแฝง (Latent phase) หากเราสามารถตรวจพบการติดเชื้อนี้ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ จะสามารถรักษาให้หายขาดได้ และหลังจากรักษาจนหายขาดแล้ว เราจะไม่เป็นโรคซิฟิลิส เว้นแต่ว่าจะได้รับเชื้อจากผู้ติดเชื้อรายอื่น สาเหตุของโรคซิฟิลิส ซิฟิลิสเกิดจากแบคทีเรียที่มีชื่อว่า ทรีโพนีมา แพลลิดัม (Treponema pallidum) ซึ่งสามารถเข้าสู่ร่างกายของเราได้ผ่านทางรอยขีดข่วนหรือบาดแผลเล็กๆ บนผิวหนังและเยื่อบุต่างๆ การแพร่กระจายของเชื้อชนิดนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในระยะแรก ซึ่งเป็นระยะที่มีแผลริมแข็ง (Chancre) หรือในระยะที่สอง ซึ่งจะมีอาการแสดงคือมีผื่นขึ้น หรือแม้แต่ในช่วงแรกๆ ของระยะแฝง (Early latent phase) ซึ่งไม่มีอาการแสดงใดๆ เลยก็ตาม หลายคนมีความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับการติดต่อของเชื้อซิฟิลิส ในความเป็นจริงเชื้อชนิดนี้จะไม่ติดต่อผ่านทางการใส่เสื้อผ้าร่วมกัน ใช้ห้องน้ำร่วมกัน รับประทานอาหารจากภาชนะเดียวกัน หรือแม้แต่จากลูกบิดประตู สระว่ายน้ำ อ่างอาบน้ำ หรือการใช้อุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ นอกจากนี้ มีการติดเชื้อบางกรณีที่พบได้ไม่บ่อยนัก สามารถเกิดได้จากการสัมผัสโดยตรงกับบริเวณที่มีการติดเชื้ออยู่ขณะนั้น เช่น ผ่านทางการจูบ เป็นต้น โรคติดเชื้อซิฟิลิสโดยกำเนิด (Congenital Syphilis) ซิฟิลิสสามารถติดต่อผ่านทางแม่สู่ลูกระหว่างการตั้งครรภ์ หรือระหว่างการคลอดได้ การติดเชื้อกรณีนี้จะเรียกว่าโรคติดเชื้อซิฟิลิสโดยกำเนิด (Congenital syphilis) ซึ่งนับเป็นการติดเชื้อที่รุนแรง และมีผลร้ายแรงอาจถึงแก่ชีวิตได้ การติดเชื้อซิฟิลิสโดยกำเนิดนี้สามารถทำให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด ทารกเสียชีวิตในครรภ์ หรือเกิดการเสียชีวิตในทารกแรกเกิดได้ นอกจากนี้การติดเชื้อซิฟิลิสโดยกำเนิดยังสามารถส่งผลให้มีอาการหูหนวก ตาบอด มีความผิดปกติทางโครงสร้างต่างๆ รวมถึงความผิดปกติทางระบบประสาทในเด็กได้ ซึ่งหากเราสามารถตรวจพบและรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ โดยการให้ยาปฏิชีวนะเพนิซิลลิน (Penicillin) จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการต่างๆ เหล่านี้ได้ อาการของโรคซิฟิลิส (Syphilis) และการวินิจฉัยโรคซิฟิลิส การติดเชื้อซิฟิลิสจะมีการดำเนินของโรคเป็นระยะๆ แต่ละระยะจะมีอาการต่างกันไป ซิฟิลิสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งจะประกอบไปด้วยระยะที่หนึ่ง (Primary stage) ระยะที่สอง (Secondary stage) ระยะแฝง (Latent stage) และระยะที่สาม (Tertiary stage) อย่างไรก็ตามโรคซิฟิลิสไม่ได้จำเป็นต้องมีลำดับการดำเนินโรคตามที่กล่าวเสมอไป อาจมีการสลับ หรือมีระยะทับซ้อนกันได้ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อซิฟิลิสบางคนอาจได้รับเชื้อไปเป็นระยะเวลานานหลายปีโดยไม่ได้รู้ตัวเลยก็เป็นได้ โรคซิฟิลิสระยะที่หนึ่ง (Primary Syphilis) โรคซิฟิลิสมักจะแสดงอาการเริ่มต้นจากการมีแผลเล็กๆ ที่เรียกว่าแผลริมแข็ง (Chancre) โดยแผลริมแข็งจะเกิดขึ้นหลังจากเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกายประมาณ 3 สัปดาห์ สำหรับผู้ชายแผลริมแข็งมักจะเกิดในบริเวณปลาย หรือลำอวัยวะเพศ ในผู้ป่วยบางรายอาจไม่ทันสังเกต หรือไม่รู้ตัวว่ามีแผลเกิดขึ้น เนื่องจากแผลนี้จะไม่มีอาการปวด และแผลอาจซ่อนอยู่ภายในช่องคลอด หรือทวารหนัก จึงเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยบางรายไม่รู้ว่าตนเองติดเชื้อซิฟิลิสได้ แผลริมแข็งนี้โดยส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเพียงตำแหน่งเดียว แต่ก็มีบางส่วนที่มีแผลหลายตำแหน่ง โดยแผลริมแข็งจะสามารถหายเองได้ภายในระยะเวลาไม่กี่สัปดาห์ แม้ไม่ได้ทำการรักษาใดๆ ก็ตาม โรคซิฟิลิสระยะที่สอง (Secondary Syphilis) หลังจากที่แผลริมแข็งหายไปไม่นาน ผู้ป่วยซิฟิลิสอาจมีผื่นขึ้นได้ ผื่นนี้มักจะขึ้นบริเวณลำตัว แต่ก็สามารถกระจายไปทั่วร่างกาย รวมถึงมีผื่นขึ้นที่ฝ่ามือและฝ่าเท้าได้เช่นเดียวกัน หรือบางครั้งอาจมีแผลนูนบริเวณอวัยวะเพศร่วมด้วย โดยปกติผื่นจากซิฟิลิสจะไม่มีอาการคัน แต่อาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วยดังต่อไปนี้
อาการต่างๆ เหล่านี้สามารถหายไปเองได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ แต่ก็สามารถกลับมาเป็นใหม่ได้เช่นเดียวกัน โรคซิฟิลิสระยะแฝง (Latent Stage) หากไม่ได้รักษา ซิฟิลิสระยะที่สอง (Secondary stage) สามารถดำเนินต่อไปเป็นระยะแฝง (Latent stage) ได้ ในระยะแฝงผู้ป่วยจะไม่มีอาการแสดงใดๆ ที่บ่งบอกถึงการติดเชื้อซิฟิลิสเลย โดยระยะแฝงนี้อาจกินระยะเวลาได้นานเป็นปี โรคซิฟิลิสระยะสาม (Tertiary stage) ซิฟิลิสระยะแฝง (Latent stage) อาจมีการดำเนินโรคต่อเนื่องไปสู่ระยะสาม (Tertiary stage) โดยมีอัตราส่วนผู้ติดเชื้อประมาณ 15-30% จากผู้ติดเชื้อที่ไม่ได้ทำการรักษาทั้งหมดจะพัฒนามาสู่ระยะนี้ อาการของซิฟิลิสระยะที่สาม การติดเชื้ออาจทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อสมอง ระบบประสาท ตา หัวใจ เส้นเลือด ตับ หรือกระดูกและข้อต่อ ซึ่งอาการต่างๆ เหล่านี้ จะเกิดขึ้นหลายปีหลังจากติดเชื้อแต่ไม่ได้รักษา โรคซิฟิลิสโดยกำเนิด (Congenital Syphilis) และลักษณะจมูกแบบซิฟิลิส (Syphilis Nose) สตรีมีครรภ์สามารถแพร่เชื้อซิฟิลิสจากตนเองไปสู่ทารกในครรภ์ได้ ทั้งผ่านทางรกและติดเชื้อระหว่างการคลอด โดยส่วนใหญ่ทารกที่ติดเชื้อจะไม่มีอาการที่สังเกตเห็นได้ชัดเจน บางส่วนอาจมีผื่นขึ้นที่บริเวณฝ่ามือหรือฝ่าเท้าได้ ในเวลาต่อมาทารกที่ติดเชื้อซิฟิลิสอาจเกิดปัญหาเกี่ยวกับการได้ยินผิดปกติ มีโครงสร้างฟันผิดปกติ หรือมีรูปร่างจมูกผิดปกติ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัวเรียกว่า จมูกแบบซิฟิลิส (Syphilis nose) หรือจมูกอานม้า (Saddle nose) ซึ่งส่วนของดั้งจมูกจะแฟบบุ๋มลงไป การตรวจและวินิจฉัยโรคซิฟิลิส แพทย์จะตรวจเพื่อยืนยันการติดเชื้อ โดยใช้วิธีเจาะเลือดหาแอนติบอดี (Antibody) ที่ร่างกายสร้างขึ้นมา โดยแอนติบอดีต่อเชื้อซิฟิลิสนี้จะคงอยู่ในร่างกายเราได้เป็นเวลานานหลายปี ทำให้การตรวจด้วยวิธีนี้สามารถบ่งบอกการติดเชื้อในอดีตได้ ในซิฟิลิสระยะต้นและระยะที่สอง แพทย์อาจเก็บตัวอย่างเซลล์ (Cell) จากบริเวณบาดแผลหรือบริเวณผื่นเพื่อตรวจหาเชื้อแบคทีเรีย หากแพทย์สงสัยว่าคุณอาจมีการติดเชื้อเป็นโรคซิฟิลิสระยะที่สาม และมีอาการแทรกซ้อนทางระบบประสาทเกิดขึ้น อาจมีความจำเป็นที่จะต้องเจาะน้ำไขสันหลัง (Lumbar puncture) เพื่อนำน้ำไขสันหลัง (Cerebrospinal fluid) ไปตรวจหาความผิดปกติต่อไป ผลกระทบที่เกิดจากซิฟิลิส หากไม่ได้รับการรักษา ซิฟิลิสสามารถส่งผลต่อหัวใจและสมอง และอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ จากรายงานการศึกษาพบว่าการติดเชื้อซิฟิลิสมีความเกี่ยวข้องกับโรคเส้นเลือดแดงโป่งพอง (Arterial aneurysm) การอักเสบของเส้นเลือดแดงใหญ่เอออร์ต้า (Inflammation of aorta) ซึ่งเป็นเส้นเลือดแดงหลักของร่างกาย และยังมีผลทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อลิ้นหัวใจได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ ซิฟิลิสยังเกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางระบบประสาท และระบบไหลเวียนโลหิตอีกหลายประการ ได้แก่
การติดเชื้อซิฟิลิส ยังมีผลเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) อีกด้วย จากรายงานการศึกษาระบุว่า ผู้ใหญ่ที่ได้รับเชื้อซิฟิลิสทางการมีเพศสัมพันธ์ มีโอกาสที่จะติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ได้มากถึง 2-5 เท่าของคนทั่วไป โดยส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากการที่บาดแผลริมแข็งในโรคซิฟิลิสมีเลือดออก และทำให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสเอชไอวีได้ ในผู้หญิงซิฟิลิสเป็นปัญหาสำคัญในช่วงที่ตั้งครรภ์ตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า อาจทำให้เกิดการติดเชื้อซิฟิลิสโดยกำเนิด และมีผลทำให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด ทารกเสียชีวิตในครรภ์ และการเสียชีวิตของทารกได้ในช่วงไม่กี่วันหลังคลอด และท้ายที่สุดผู้ป่วยที่ติดเชื้อซิฟิลิสอาจเกิดตุ่มหรือก้อนเนื้อขนาดใหญ่ที่เรียกว่า กัมม่า (Gummas) ซึ่งกัมม่าสามารถเกิดได้ทั้งบริเวณผิวหนัง กระดูก หรืออวัยวะภายในก็ได้ โดยจะเกิดในระยะหลังของการติดเชื้อ (Late stage of infection) การรักษาโรคซิฟิลิส หากพบอาการป่วยของโรคนี้ ควรได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะสามารถรักษาให้หายขาดได้โดยไม่มีผลแทรกซ้อนในระยะยาว ข้อแนะนำ วิธีรักษาสำหรับโรคซิฟิลิส คือ การใช้ยาเพนิซิลลิน (Penicillin) ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะชนิดหนึ่ง ในช่วงการรักษาแพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยงดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะจบการรักษา และผลตรวจเลือดของผู้ป่วยก็ต้องได้รับการยืนยันว่าหายขาดแน่นอนแล้ว นอกจากนี้ คู่นอนควรเข้ามารับการตรวจและรักษาอย่างครบถ้วน ผู้ป่วยควรรับการตรวจหาเชื้อเอชไอวี (HIV) เนื่องจากการป่วยเป็นโรคซิฟิลิสนั้นจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีที่สูงขึ้นกว่าเดิมด้วย โรคซิฟิลิสสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่? โรคซิฟิลิสสามารถรักษาให้หายขาดได้ ถ้าได้รับการตรวจและรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่เนิ่นๆ หากพบว่าการติดเชื้อของผู้ป่วยอยู่ในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี จะสามารถหยุดการลุกลามของโรคได้ด้วยการฉีดยาเพนิซิลลินเพียง 1 เข็ม แต่ถ้าผู้ป่วยมีการติดเชื้อเป็นระยะเวลามากกว่า 1 ปี อาจต้องรับการยาฉีดชนิดนี้มากขึ้นอีก เมื่อพบว่าผู้ป่วยแพ้ยาเพนิซิลลินแพทย์ก็จะเสนอการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะชนิดอื่นๆ แต่กระนั้นยาเพนิซิลลินเป็นยาปฏิชีวนะเพียงชนิดเดียวที่มีข้อมูลในการป้องกันการติดเชื้อซิฟิลิสแต่กำเนิด ปฏิกิริยาจาริช-เฮิร์กไซเมอร์ (Jarisch-Herxheimer Reaction) ผู้ป่วยอาจพบเจออาการที่เรียกว่า ปฏิกิริยาจาริช-เฮิร์กไซเมอร์ ในวันแรกของการรักษาโรคซิฟิลิส อาการที่เป็นผลจากปฏิกิริยาดังกล่าว มีดังนี้
ซึ่งอาการเหล่านี้มักหายไปเองภายใน 1-2 วันหลังแสดงอาการ ควรไปตรวจซิฟิลิสหรือไม่? การเข้ารับการตรวจถือเป็นวิธีเดียวที่จะทราบได้อย่างชัดเจนว่าคุณเป็นซิฟิลิสหรือไม่ คุณควรได้รับการตรวจ หากคุณหรือคู่ของคุณแสดงอาการของโรคซิฟิลิส หรือถ้าคุณมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน คุณไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าไม่มีซิฟิลิสเพียงเพราะคุณรู้สึกแข็งแรงดีเท่านั้น เช่นเดียวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ วิธีเดียวที่จะรู้แน่ชัด คือ การเข้ารับการตรวจ หากคุณสังเกตเห็นอาการเจ็บบริเวณอวัยวะเพศ หรือพบว่ามีอาการอื่นๆ ของซิฟิลิส คุณควรเข้ารับการตรวจโดยแพทย์ การเข้ารับการตรวจนั้นถือเป็นความคิดที่ดี หากคุณเคยมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน หรือถ้ามีคนที่คุณเคยมีเพศสัมพันธ์ด้วยนั้นเป็นโรคซิฟิลิส (แม้ว่าคุณจะไม่สังเกตเห็นอาการใดๆ ก็ตาม) โดยทั่วไปคนที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ควรได้รับการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ประมาณปีละครั้ง คุณสามารถสอบถามแพทย์ได้ว่าคุณควรจะต้องตรวจหาเชื้อซิฟิลิสหรือไม่ สิ่งที่ดีที่สุดภายหลังการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ก็คือ เมื่อผ่านการตรวจไปแล้วและไม่พบเชื้อใดๆ คุณก็จะสบายใจ ไม่ต้องวิตกกังวลว่าจะเป็นโรคต่างๆ หรือไม่ และยิ่งถ้าตรวจแล้วพบว่าคุณมีเชื้อซิฟิลิสอยู่จริงๆ คุณยิ่งควรทราบผลนั้นทันที เพื่อที่จะได้รับยาและกำจัดเชื้อออกจากร่างกายให้เร็วที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการตรวจซิฟิลิส คุณสามารถเข้าตรวจเชื้อซิฟิลิสได้แม้ว่าคุณจะมีแผลหรืออาการอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือไม่มีอาการใดๆ เลยก็ตาม โดยปกติพยาบาลหรือแพทย์จะเก็บตัวอย่างเลือดเพื่อนำไปทดสอบหาเชื้อซิฟิลิส หากคุณมีแผลบริเวณอื่นๆ ที่เปิดอยู่แล้ว พวกเขาอาจเก็บตัวอย่างของเหลวจากแผลนั้นด้วยก้านสำลีและนำไปทดสอบ การเข้าตรวจโรคอาจจะดูน่ากลัวและน่าอาย แต่ขอบอกว่าคุณควรจะทำใจให้สบาย การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ถือเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ และเป็นหนึ่งในวิธีดูแลสุขภาพของคุณ นอกจากนี้หากพบเชื้ออยู่จริง ข่าวดีก็คือโรคซิฟิลิสสามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ ดังนั้นหากคุณรู้ผลเร็ว คุณก็ยิ่งจะกำจัดมันได้ง่ายขึ้นและไวขึ้นด้วย การป้องกันการติดเชื้อซิฟิลิส แม้ว่าการรักษาโรคซิฟิลิสจะสามารถป้องกันการเกิดผลกระทบที่ตามมาภายหลังได้ แต่อาการหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้วนั้น ไม่สามารถย้อนกลับได้ ดังนั้นแพทย์จึงแนะนำให้ป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อตั้งแต่แรก โดยมีวิธีต่างๆ ดังนี้
|