Show ความรุนแรงจากการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัสทำให้จำนวนเจ้าหน้าที่สาธารณสุขแนวหน้าที่เสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น การขาดแคลนกำลังคนในภาคสุขภาพในประเทศกำลังพัฒนายังถูกซ้ำเติมด้วยการย้ายถิ่นของบุคลาการทางแพทย์เพื่อไปทำงานในต่างประเทศจำนวนมาก สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ในแอฟริกา ละตินอเมริกา และเอเชีย ทำให้หลายประเทศเข้าสู่ภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพ ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกระบุว่าความรุนแรงของการระบาดใหญ่ในครั้งนี้ได้คร่าชีวิตบุคลากรทางการแพทย์ไปแล้วอย่างน้อย 115,000 ราย เฉพาะภายในเดือนพฤษภาคม 2021 ที่ผ่านมา การเสียชีวิตและการย้ายถิ่นฐานของบุคลากรทางการแพทย์ แม้เพียงหนึ่งคนสำหรับในประเทศที่มีระบบสุขภาพมีความเปราะบางมากอยู่แล้ว เช่น ประเทศกำลังพัฒนา หรือประเทศพัฒนาน้อยที่สุด ย่อมก่อให้เกิดช่องว่างทางความรู้ที่สามารถช่วยรักษาชีวิตคนไว้ได้ โดยปัจจัยที่ทำให้กำลังคนภาคสุขภาพไหลออกจากภูมิลำเนาไปทำงานในประเทศที่ร่ำรวย คือ เพื่อแสวงหาสภาพแวดล้อมในการทำงานและค่าตอบแทนที่ดีกว่า ในประเทศพัฒนาแล้ว สัดส่วนของแพทย์และพยาบาลที่ได้รับการฝึกอบรมจากต่างประเทศ หรือเกิดที่ต่างประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ตามข้อมูลสรุปจากองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เผยแพร่ในเดือนพฤษภาคม พบว่า แพทย์เกือบ 25% และพยาบาล 16% ในกลุ่มประเทศสมาชิกมีภูมิลำเนาจากประเทศอื่น และรายงานยังพบความพยายามของประเทศร่ำรวยในการดึงดูดกำลังคนจากประเทศกำลังพัฒนาเพื่อรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศตนมากขึ้น ข้อมูลของ OECD แสดงให้เห็นว่า จำนวนพยาบาลที่ทำงานในประเทศชั้นนำมาจากฟิลิปปินส์มากที่สุด ในขณะที่แพทย์และพยาบาลจากอินเดียมีการย้ายถิ่นไปยังประเทศร่ำรวยมากเป็นอันดับสอง และด้วยอัตราการย้ายถิ่นของแพทย์และพยาบาลจากประเทศในแอฟริกาและละตินอเมริกาบางประเทศสูงถึง 50% อาจหมายความว่าแพทย์ที่เกิดในประเทศเหล่านี้กำลังทำงานในประเทศกลุ่ม OECD มากกว่าในประเทศภูมิลำเนา ในระบบสุขภาพที่เปราะบาง การสูญเสียองค์ความรู้เมื่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในชุมชนหรือผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่ได้รับการฝึกอบรมมาอย่างดีเสียชีวิตอาจส่งผลกระทบในระยะยาว และการวิจัยชี้ให้เห็นว่าการย้ายถิ่นของแพทย์สร้างต้นทุนให้ประเทศรายได้ปานกลางและรายได้น้อยมากถึง 16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี และทำให้ตัวเลขการเสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้น ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพทั่วโลกจึงเร่งหาทางเพื่อปกป้องการสูญเสียบุคลากรทางการแพทย์ไปกับการระบาดใหญ่ และสร้างแรงจูงใจให้เจ้าหน้าที่เหล่านี้ไม่ย้ายไปทำงานประเทศอื่น โดยเฉพาะผู้หญิง ที่เป็นกำลังสำคัญในภาคบริการด้านสุขภาพและการดูแลทั่วโลก Women in Global Health เครือข่ายระหว่างประเทศที่สนับสนุนความเท่าเทียมได้ร่วมกันเปิดตัวสิ่งที่เรียกว่า “สัญญาทางสังคมฉบับใหม่สำหรับบุคลากรหญิงในภาคสุขภาพและการดูแล” หรือ ‘Gender Equal Health and Care Workforce Initiative’ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง WHO Women in Global Health และรัฐบาลฝรั่งเศส โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างนโยบายในการปกป้องกำลังคนด้านสาธารณสุข ทางกลุ่มได้เรียกร้องให้มีการตั้งคำถามถึงสภาพแวดล้อมการทำงานและความเท่าเทียมกันระหว่างบุคลากรด้านสุขภาพหญิงชายในที่ทำงาน การได้รับค่าจ้างที่เหมาะสม การเลือกปฏิบัติและการใช้ความรุนแรง การล่วงละเมิดทางเพศ รวมถึงการให้คุณค่าและการตอบแทนบุคลากรหญิงในภาคสุขภาพและการดูแลอย่างเป็นรูปธรรม การย้ายถิ่นฐานของกำลังคนด้านการแพทย์ เกี่ยวข้องกับ SDGs ใน - #SDG3 การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ใน ส่งเสริมเพิ่มการใช้งบประมาณด้านสุขภาพ การสรรหา การพัฒนา การฝึกฝน การรักษา ‘กำลังคน’ ในประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศพัฒนาน้อยที่สุดและรัฐกำลังพัฒนาที่เป็นเกาะขนาดเล็ก (3.c) - #SDG5 ความเท่าเทียมทางเพศ ใน ยุติการเลือกปฏิบัติทุกรูปแบบที่มีต่อผู้หญิงและเด็กหญิง (5.1) - #SDG8 งานที่ดีและการเติบโตทางเศรษฐกิจ ใน การบรรลุการจ้างงานเต็มที่และมีผลิตภาพ และการมีงานที่เหมาะสมและมีผลตอบแทนที่ยุติธรรมสำหรับทุกคน (8.5) ปกป้องสิทธิแรงงานและส่งเสริมสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัยและมั่นคงสำหรับผู้ทำงานทุกกลุ่ม (8.8) ที่มา : Migration and Covid deaths depriving poorest nations of health workers (The Guardian) Last Updated on กรกฎาคม 21, 2021 จำนวนครั้งที่เข้าชม: 325 แนะแนวเรื่องจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สมัยการโยกย้ายถิ่นฐานในยุโรป หรือ สมัยการรุกรานของบาร์บาเรียน (อังกฤษ: Migration Period หรือ Barbarian Invasions, เยอรมัน: Völkerwanderung) เป็นสมัยของการอพยพของมนุษย์ (human migration) ที่เกิดขึ้นประมาณระหว่างปี ค.ศ. 300 ถึงปี ค.ศ. 700 ในทวีปยุโรป,[2] ที่เป็นช่วงที่คาบระหว่างยุคโบราณตอนปลายไปจนถึงยุคกลางตอนต้น การโยกย้ายครั้งนี้มีสาเหตุมาจากทั้งการเปลี่ยนแปลงทางสถานะภาพของจักรวรรดิโรมันและที่เรียกว่า “พรมแดนบาร์บาเรียน” ชนกลุ่มที่อพยพโยกย้ายในยุคนี้ก็ได้แก่ชนกอธ, แวนดัล, บัลการ์, อาลัน, ซูบิ, ฟรีเซียน และ แฟรงค์ และชนเจอร์มานิค และ ชนสลาฟบางกลุ่ม การโยกย้ายถิ่นฐานของผู้คน--แม้ว่าจะมิได้เป็นส่วนหนึ่งของ “สมัยการโยกย้ายถิ่นฐาน” โดยตรง--ก็ยังคงดำเนินต่อไปจนหลังจาก ค.ศ. 1000 โดยการรุกรานไวกิง, แมกยาร์, ชนเตอร์คิค และการรุกรานของมองโกลในยุโรปซึ่งมีผลกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงต่อทางตะวันออกของยุโรป ช่วงแรก: การโยกย้ายถิ่นฐานช่วงแรกระหว่าง ค.ศ. 300 ถึง ค.ศ. 500[แก้]สมัยนี้ได้รับการบันทึกเป็นบางส่วนโดยนักประวัติศาสตร์กรีกและโรมัน และยากต่อการยืนยันจากหลักฐานทางโบราณคดี แต่ระบุว่าชนเจอร์มานิคเป็นผู้นำของบริเวณต่างๆ เกือบทั้งหมดที่ขณะนั้นอยู่ภายใต้การครอบครองของจักรวรรดิโรมันตะวันตก [3] วิซิกอธเข้ารุกแรนดินแดนโรมันหลังจากการปะทะกับฮั่นในปี ค.ศ. 376 แต่สถานภาพของชนอิสระของวิซิกอธอาจจะไม่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป ในปีต่อมาองค์รักษ์ของฟริติเกิร์นผู้นำของวิซิกอธก็ถูกสังหารระหว่างที่พบปะกับ ลูพิซินัสนายทหารโรมันที่มาร์เชียโนโพลิส[4] วิซิกอธจึงลุกขึ้นแข็งข้อ และในที่สุดก็เข้ารุกรานอิตาลีและตีกรุงโรมแตกในปี ค.ศ. 410 ก่อนที่จะเข้าไปตั้งถิ่นฐานในคาบสมุทรไอบีเรียและก่อตั้งอาณาจักรของตนเองที่รุ่งเรืองอยู่ได้ราว 200 ปี หลังจากนั้นการตั้งถิ่นฐานในดินแดนที่เป็นของโรมันก็ตามมาด้วยออสโตรกอธที่นำโดยพระเจ้าธีโอดอริคมหาราชผู้ทรงเข้ามาตั้งถิ่นฐานในอิตาลีด้วยพระองค์เอง ในบริเวณกอลชนแฟรงค์ผู้ซึ่งผู้นำเป็นพันธมิตรของโรมันอย่างเหนียวแน่นมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 3 ก็เริ่มเข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนโรมันอย่างสงบในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 และโดยทั่วไปก็เป็นที่ยอมรับว่าเป็นประมุขของชาวโรมัน-กอล จักรวรรดิแฟรงค์ผู้ต่อต้านการรุกรานจากชนอลามานนิ, เบอร์กันดี และวิซิกอธเป็นส่วนสำคัญที่กลายมาเป็นฝรั่งเศสและเยอรมนีต่อมา การตั้งถิ่นฐานของแองโกล-แซ็กซอนในบริเตนเริ่มขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 หลังจากอิทธิพลของโรมันบริเตนสิ้นสุดลง[5] ช่วงที่สอง: การโยกย้ายถิ่นฐานช่วงที่สองระหว่าง ค.ศ. 500 ถึง ค.ศ. 700[แก้]ช่วงนี้เป็นช่วงของการเข้ามตั้งถิ่นฐานของชนสลาฟกลุ่มต่างๆ ในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออกโดยเฉพาะในบริเวณเจอร์มาเนีย ชนบัลการ์ที่อาจจะมีรากฐานมาจากกลุ่มชนเตอร์กิคที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 2 พิชิตดินแดนทางตะวันตกของบอลข่านของจักรวรรดิไบแซนไทน์ในคริสต์ศตวรรษที่ 7 ส่วนชนลอมบาร์ดที่มาจากชนเจอร์มานิคก็เข้ามาตั้งถิ่นฐานทางตอนเหนือของคาบสมุทรอิตาลีในบริเวณที่ปัจจุบันคือลอมบาร์ดี ในช่วงแรกของสงครามไบแซนไทน์-อาหรับ กองทัพรอชิดีนพยายามเข้ามารุกรานยุโรปตะวันออกเฉียงใต้โดยทางเอเชียไมเนอร์ระหว่างครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 7 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 8 แต่ก็ไม่สำเร็จและในที่สุดก็พ่ายแพ้ในการล้อมกรุงคอนสแตนติโนเปิลต่อกองทัพของพันธมิตรของจักรวรรดิไบแซนไทน์และบัลการ์ระหว่างปี ค.ศ. 717-ปี ค.ศ. 718 ระหว่างสงครามคาซาร์–อาหรับ คาซาร์หยุดยั้งการขยายดินแดนของมุสลิมเข้ามาในยุโรปตะวันออกโดยทางคอเคซัส ในขณะเดียวกันมัวร์ (ผสมระหว่างอาหรับและเบอร์เบอร์) ก็เข้ามารุกรานยุโรปทางยิบรอลตาร์โดยอุมัยยะห์ และยึดดินแดนจากราชอาณาจักรวิซิกอธในคาบสมุทรไอบีเรียในปี ค.ศ. 711 ก่อนที่จะมาถูกหยุดยั้งโดยชนแฟรงค์ในยุทธการตูร์ในปี ค.ศ. 732 ยุทธการครั้งนี้เป็นการสร้างพรมแดนถาวรระหว่างอาณาจักรในกลุ่มคริสตจักรและอาณาจักรในดินแดนมุสลิมในช่วงหนึ่งพันปีต่อมา ในช่วงสองสามร้อยปีต่อมามุสลิมก็พิชิตดินแดนทางตอนใต้ของอิตาลีได้เป็นบางส่วนแต่ก็มิได้รวมตัวเข้ากับดินแดนในคาบสมุทรไอบีเรีย อ้างอิง[แก้]
ดูเพิ่ม[แก้]
|