ทำไมน้ำมะเขือเทศดอยคำถึงเค็ม

เฮ่นโล่ๆๆๆ ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกของ "เอะอะรีวิว" น๊ะจ๊ะทุกคน วันนี้ตามหัวข้อเลย เราจะมารีวิวน้ำมะเขือเทศทั้งสองยี่ห้อแบบง่าย นั่นคือยี่ห้อ ดอยคำ และ คาโกเมะ

ทำไมถึงรีวิวแค่2ยี่ห้อนี้ยี่ห้ออื่นๆหละ? = ก็เซเว่นบ้านดิฉันมีแค่สองยี่ห้อนี้เมี๊ยะ และอีกอย่าง น้ำมะเขือเทศใช้เงินซื้อน๊ะเครอะ ไม่ใช่เดินเข้าไปหยิบแล้วเดินออกมาฟรีเอาหละเข้าสู่การรีวิวกันเลย

ก่อนอื่นต้องขอบอกวัตถุประสงค์ของดิฉันก่อน คือดิฉันเป็นคนที่ดูแลเรื่องผิวพรรณมาก เพราะมีปัญหาค่อนข้างเยอะ ตั้งแต่เด็กก็เป็นโรคน้ำเหลืองไม่ดี จะเป็นแผลๆเต็มขาเต็มแขนเลย พอโตขึ้นมาก็เป็นสิวง่าย จนมีช่วงนึงเผล๋อไปใช้ครีมสเตียรอยด์ ยิ่งหนักเข้าไปอีก (ตรงนี้เราจะไม่พูดถึงระกันไปตามอ่านบทความเก่าๆได้ในเพจนะ) คือสิวเราก็ขึ้นๆลงๆอยู่เป็นระยะๆ จนพักหลังๆมาเป็นสิวที่คาง และได้ลองสรุปสาเหตุที่คิดว่าน่าจะเป็นไปได้คร่าวๆมาให้ดูกันดังนี้

1.พักผ่อนไม่เพียงพอ นอนดึก มัวแต่คุยกะผู้ชาย

= แก้โดยนอนเร็วขึ้น หรือไม่ก็ทานสมุนไพรที่ทำให้หลับลึกหลับสบายและหลับเร็ว

2.ความเครียดสะสม (เห็นอย่างงี้ฉันก็มีเรื่องเครียดนะเหว๋ย)

=แก้โดยหยุดเครียด แหมๆทำง่ายเนอะ ฉันก็อาศัยคุยกับเพื่อนๆในเฟสไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้กำจัดความเครียดออกไปได้แต่อย่างใด

3.เจอฝุ่นในขณะเดินตามท้องถนน = อันนี้เราใช้วิธีกางร่มเอา แล้วเอาร่มบังที่หน้าเวลาลมพัดมาโดนตัว คีบับปกป้องสุดฤทธิ์ ฮ่าๆ

4.ไรฝุ่นหรือสิ่งสกปรกบนชุดเครื่องนอน = ก็พยายามซักบ่อยๆงะคะคุณเท่าที่มีเวลา

5.ไม่ขับถ่ายในบางวัน ซึ่งจุดนี้แหละ ที่เป็นจุดที่ทำให้เราเริ่มหาอะไรที่สามารถทำให้ขับถ่ายได้ดี เพราะเราเชื่อว่า ถ้าเราขับถ่ายได้ดี ร่างกายก็จะเกิดความสมดุลเพราะว่าได้กำจัดของเสียออกสู่ร่างกาย จะได้ไม่หมักหม๋มและผลิตออกมาเป็นสิวนั่นเอง ซึ่ง น้ำมะเขือเทศคือคำตอบของเราสำหรับโจทย์ข้อนี้ แต่….. ยี่ห้อไหนดี?

เอาจริงๆก็ทานมาหมดทุกยี่ห้อแล้วแหละ ก็ทานได้หมดงะ คือต้องขอบอกก่อนว่าเราเป็นคนไม่ทานมะเขือเทศเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่พอคิดว่ากินแล้วจะต้องสวย ก็ต้องกินเมี๊ยะ แรกๆยอมรับค่ะว่าแบบว่าไม่ค่อยชอบเลย แต่ด้วยเพราะความอยากทานจะนำไปแช่ตู้เย็นจนเย็นจัดแล้วเอามาทานครั้งเดียวให้หมดเลย ซึ่งมันได้ผลคะ รีบทานรีบหมด หลังจากนั้นก็สามารถทานได้อย่างเป็นปรกติเสมอมา ฮ่าๆ

แล้วสรุปยี่ห้อไหนดีค่ะนี่อ่านมานานแล้วไม่เห็นบอกซักที ?

ใจเย็นๆซิค่ะคุณมรึง ดิฉันเรียนมาเค้าบอกว่าควรจะมีคำนำ เนื้อหา สรุป ผู้อ่านจะได้เข้าใจถึงสาเหตุและวิธีการจัดการ เนี๊ยะๆกำลังจะเข้าเนื้อหาแล้ว เอาหละดิฉันทุ่มทุนสร้างมากคะ ได้แยกสี เลข ไว้หมดแล้วเพื่อความเข้าใจง่าย ตามไปดูกันเลย

ถ้าจำไม่ผิด

คาโกเมะฝั่งซ้าย 18 บาท และ ดอยคำฝั่งขวา 16บาท

ทั้งคู่ 200 มล. เท่ากัน

เอาหละเรามาวิเคราะห์กันทีละส่วนเลยเริ่มจากรอบแรกสีเหลือง เบอร์ 1

คาโกเมะ

น้ำมะเขือเทศจากน้ำมะเขือเทศเข้มข้น 99.925 % + เกลือบริโภคเสริมไอโอดีน 0.75%และ ให้ไลโคปีน 25 มก. ต่อ 1 กล่อง 200 มล.

-ไม่เจือสังเคราะห์ไม่ใช้วัตถุกันเสีย-

ดอยคำ

น้ำมะเขือเทศ 100% + เพิ่มคอลลาเจน 375 มก. 0.05% + เพิ่มไลโคปีน 60 มก.

อันดับแรกเลยที่เราสงสัยคือ

1. คาโกเมะทำไมถึงใช้คำว่า น้ำมะเขือเทศจากน้ำมะเขือเทศเข้มข้น 99.925 % เท่าที่เราไปถามพี่ๆที่เรียนวิทย์มา การใช้คำแบบนี้น่าจะมาจากการใช้หัวเชื้อของน้ำมะเขือเทศ ลองคิดภาพตาม เหมือนหัวเชื้อของน้ำหอม ก็จะได้กลิ่นที่แรงมาก และแพง ซึ่งเมื่อน้ำมาผสมและแบ่งขายก็จะลดต้นทุนแต่ยังหอมอยู่ แม้อาจไม่เท่าตัวหัวเชื้อ พอเข้าใจใช่มะ คือ แน่นอนหละ จุดนี้เราขอหักคะแนนคาโกเมะนะ เพราะว่ายังไงก็ได้ประโยชน์ไม่เท่าในน้ำมะเขือเทศ 100% อยู่ดี ซึ่งถามว่าเราจะเอาประโยชน์ไปทำไมหละ มันก็ทานได้เหมือนกัน คือขอพูดตรงนี้เลยว่า ดิฉันต้องการไลโคปีนคะ และนี้ก็น่าจะเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมคาโกเมถึงให้ไลโคปีนแค่ 25 มก. ต่อ 1 กล่อง ในขณะที่ดอยคำเลือกที่จะเติมไลโคปีนลงไปจึงสามารถเคลมได้ว่ามีไลโคปีนอยู่ 60 มก.

แล้วไลโคปีนคือ?

ขอแบบสั้นๆเลยนะ ไลโคปีนเป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยพบมากในผักและผลไม้ที่มีสีแดงโดยเฉพาะในมะเขือเทศจะมีไลโคปีนมากกว่าผักและผลไม้ในกลุ่มเดียวกันถึงสองเท่า แต่ถ้าเรานำมะเขือเทศมาปรุงให้สุกแล้วร่างกายจะดูดสารไลโคปีนไปใช้ได้ง่ายกว่ามะเขือเทศสดๆ สารไลโคปีนช่วยให้เซลล์ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดคอเลสเตอรอล ป้องกันการผิดปรกติของเซลล์ผิวหนัง ยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระและลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งรังไข่ได้อีกด้วย

อ้าวๆแล้วเราควรทานไลโคปีนพวกนี้เท่าไหร่ถึงจะเพียงพอต่อวันและเห็นผล?

คำถามนี้ฉันเองก็สงสัยเหมือนกันหลังจากที่พยายามหาข้อมูลได้พบว่า

-คนทั่วไปควรได้รับไลโคปีน 6.5 มก.ต่อวันเป็นอย่างน้อย

-สำหรับผู้ที่ต้องการหวังผลของการชะลอความเสื่อมของเซลล์ (anti-aging) ประมาณ 10 มก./วัน

-ส่วนผู้ชายที่กังวลเรื่องความเสี่ยงรวมไปถึงผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ควรรับไลโคปีน ประมาณ 15-30 มก./วัน

-ผู้ที่เป็นกังวลกับหัวใจอันเนื่องจากมีไขมัน LDL ในเลือดสูงเกิน ให้รับไลโคปีนประมาณ 25 มก./วัน

-ส่วนท่านที่ออกรอบเล่นกลอฟเป็นประจำ หรือทำงานออกกลางแจ้งบ่อยๆ ควรรับไลโคปีน ประมาณ 15 มก./วัน เพื่อลดความเสี่ยงจากผลกระทบอันตรายจากรังสียูวี

***สรุปแล้ว ปริมาณไลโคปีนที่ควรจะได้รับขั้นต่ำแบบเห็นผลก็อยู่ที่ประมาณ 15-30 มก.ของไลโคปีนต่อวันจะ

ทีนี้คงหายสงสัยกับสารไลโคปีนแล้วเรามาต่อกันเลยดีกว่ากับส่วนสีเขียว เบอร์ 2

คุณค่าทางโภชนาการต่อหนึ่งหน่วยบริโภค

-คาโกเมะให้พลังงาน 50 กิโลแคลอรี ในขณะที่ ดอยคำให้ 40 กิโลแคลอรี

จุดนี้ต่างกันแค่ 10 กิโลแคลลอรี ซึ่งดิฉันได้เล็งเห็นว่า พลังงานที่ได้ประมาณนี้ เทียบเท่ากับการออกกำลังกายประมาณ 30-45 นาที ถ้าคุณเป็นคนออกกำลังกายอยู่แล้ว จุดต่างแค่นี้ถือว่าไม่เป็นปัญหาคะ

-จุดที่น่าสนใจต่อมาคือปริมาณน้ำตาลที่เราได้รับ ของคาโกเมะ ได้ 6 ก. ส่วน ดอยคำให้ 7 ก. ซึ่งก็ไม่ต่างกันอีกแล้ว ไหนๆก็ไหนๆระ ขอแทรกนี่หน่อย

(ขอโทษที่มันเบี้ยวๆนะ คือพิมพ์ใส่เวิดมาเเล้วก๊อปลงมาในจีบันไม่ได้ฮ่าๆ)

**ซึ่งเราอยู่ในช่วงที่สอง คือไม่ควรทานน้ำตาลเกิน 5 ช้อนชาต่อวัน แต่ด้วยปริมาณน้ำตาลเพียงเล็กน้อยจากน้ำมะเขือเทศจึงทำให้เราแทบไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำตาลตรงจุดนี้เลย เพราะเราควรไปมองน้ำตาลจากอาหารในแต่ละมื้อที่ทานในแต่ละวันเสียมากกว่า

ต่อมาจุดที่ละสายตาไม่ได้เลย หลายคนต้องสงสัยว่า แล้วโซเดียมหละ? คาโกเมะให้ 90 มก. ส่วนดอยคำให้ 210 มก. งี้คาโกเมะก็ชนะหนะซิ ณ จุดนี้ ซึ่งคนในวัยผู้ใหญ่ควรได้รับโซเดียมประมาณวันละ๒๓๐ มิลลิกรัมหรือประมาณ ๑ ใน ๑๐ ของ ๑ ช้อนชาเท่านั้น แต่ (ปริมาณสูงสุดที่องค์การอนามัยโลก กำหนดไว้คือ วันละ๖ กรัมซึ่งมีโซเดียม อยู่ ๒,๔๐๐ มิลลิกรัม) จุดนี้ก็แล้วแต่พวกเธอจะเลือกทานเอาละกัน

แล้วโซเดียมคืออะไรคะ ? โซเดียมคือเกลือแร่(สารอาหาร) ชนิดหนึ่งที่มีความจำเป็นต่อร่างกายโดยโซเดียมจะทำหน้าที่ควบคุม ความสมดุลของของเหลวในร่างกาย รักษาความดันโลหิต ให้อยู่ในระดับปกติ ช่วยในการทำงาน ของประสาทและกล้ามเนื้อ (รวมถึงกล้ามเนื้อหัวใจด้วย) ตลอดจนการดูดซึมสารอาหาร บางอย่าง ในไตและลำไส้

งี้ก็ไม่ควรทานดอยคำซิค่ะ โซเดียมเยอะมาก !!

= ตอบน่ะค่ะ อย่างที่ได้บอกไป คนเราก็ควรบริโภคโซเดียมให้เพียงพอต่อวันจะได้ไม่เป็นโรคโซเดียมต่ำ ซึ่งจะมีอาการ

1.คลื่นไส้อาเจียน

2.สับสน

3.เพลียไม่มีแรง

4.กระสับกระส่าย

5.กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือเป็นตะคริว

6.ชักหมดสติ

7.โคม่า

ซึ่งถ้าวันไหนพวกเธอทานอาหารที่ไม่มีเกลือเลย หรือไม่มีโซเดียมนั่นแหละ การทานดอยคำ ก็สามารถช่วยเสริมทำให้พวกเธอได้รับโซเดียมที่เพียงพอต่อวันน๊ะจ๊ะ แต่ถ้าวันไหนทานเค็มเยอะๆแล้ว มาทานอันนี้อีก เราก็ว่ามันก็ไม่ควรน๊ะ เพราะโซเดียมทำให้ตัวบวมได้ แต่พวกโซเดียมนี้ก็สามารถขจัดออกได้โดยการออกกำลังกายให้เหงื่อออก หรือ ทางปัสวะก็เช่นกัน

ต่อมาเป็นกรอบสีขาว เบอร์ 4 คือร้อยละของปริมาณที่แนะนำต่อวัน

ร้อยละของปริมาณที่แนะนำต่อวันหมายถึงอะไรเหย๋อ? สารอาหารที่ได้รับจากการบริโภคแต่ละครั้งนั้นคิดเป็นสัดส่วนเท่าใดของปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน (Thai RDI) เช่น การบริโภคหนึ่งครั้งได้รับคาร์โบไฮเดรต 8 กรัม ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 3 ของปริมาณที่แนะนำโดย Thai RDI ดังนั้นควรบริโภคคาร์โบไฮเดรตจากอาหารอื่นๆ อีกประมาณ 97% ในน้ำมะเขือเทศก็เช่นกัน มาดูกันทีละตัวเลย

วิตามินเอ = คาโกเมะบอกว่า 6% ซึ่งหมายความว่า ต้องหาทานเพิ่มอีก 94%

ดอยคำบอกว่า 100% ซึ่งหมายความว่า เพียงพอต่อความต้องการแล้วใน1วัน

เหล็ก = คาโกเมะบอกว่า 4% ซึ่งหมายความว่า ต้องหาเพิ่มอีก 96%

ดอยคำบอกว่า 8% ซึ่งหมายความว่า ต้องหาเพิ่มอีก 92%

แคลเซียม = คาโกเมะบอกว่า 0 % ซึ่งหมายความว่า ต้องหาเพิ่มอีก 100%

ดอยคำบอกว่า 2 % ซึ่งหมายความว่า ต้องหาเพิ่มอีก 98%

วิตามินซี = คาโกเมะไม่ได้กล่าวไว้ ส่วน ดอยคำบอกว่า 20% ซึ่งต้องหาเพิ่มอีก 80%

สรุปในหัวข้อน้ำมะเขือเทศ "ดอยคำ VS คาโกเมะ" นั้นเราได้เห็นทั้งข้อดีและข้อเสียของทั้งสองยี่ห้อนี้และได้ข้อสรุปคร่าวๆดังนี้

เอาหละและนี่ก็เป็นการรีวิวคร่าวๆของเราเอง ในแบบฉบับของเรา ซึ่งการค้นหาข้อมูลที่ได้สืบค้นจากทางอินเตอร์เนต และการอีเมล์ไปถามผู้ผลิต ดังนั้นมีส่วนข้อมูลที่เป็นความจริงอยู่พอสมควร แต่ถ้าท่านใดที่มีความรู้เยอะกว่า(ซึ่งมีอยู่แล้ว) สามารถติชมได้เลยครับเพื่อที่คนที่เข้ามาอ่านจะได้รู้ถึงข้อมูลในส่วนที่ถูกต้องและคลาดเคลื่อนครับ เเละการรีวิวครั้งนี้เป็นการรีวิวจากสิ่งของที่ซื้อทานเองไม่ได้รับเงินจากฝ่ายไหนใดๆทั้งสิ้นนะครับ ขอขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านมาจนจบครับ ขอบคุณมากๆเลยครับ