แบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียนสถาบันการเงิน คำชี้แจง ให้นักเรียนเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว 1.ข้อใดกล่าวถึงความหมายของสถาบันการเงินได้ สมบูรณ์ที่สุด *
ธนาคารและสถาบันที่มีหน้าที่รับฝากเงิน หรือระดมเงินออม สถาบันที่ทำหน้าที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการเงินทุกประเภท สถาบันที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการดำเนินธุรกรรมทางการเงิน เป็นผู้รับฝากเงิน หรือระดมเงินออมและการให้สินเชื่อ ธนาคารซึ่งทำหน้าที่รับฝากเงินและให้กู้ยืมเงิน 2.สถาบันการเงินทั่วไป ได้แก่ข้อใด * ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ธนาคารพาณิชย์ บริษัทหลักทรัพย์ 3.ธนาคารแห่งแรกของประเทศไทย คือธนาคารอะไร * 4.ข้อความเกี่ยวกับลักษณะสำคัญของสถาบันการเงิน ข้อใดถูกต้องชัดเจนมากที่สุด * ทำธุรกิจเกี่ยวกับการเงินที่มีผลประโยชน์ เป็นตัวกลางของผู้รับฝากเงิน รับความเสี่ยงแทนผู้ออมและผู้กู้ยืมเงิน 5.ข้อความเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของธนาคารพาณิชย์ ข้อใดถูกต้อง * การให้สินเชื่อแก่ธุรกิจที่เน้นการเก็งกำไร ระดมเงินฝากและให้สินเชื่อในระบบเศรษฐกิจมากกว่าสถาบันอื่น สนับสนุนนักธุรกิจที่นำเข้าส่งออกสินค้า ส่งเสริมการออมทรัพย์ของประชาชนผู้มีรายได้น้อย 6.ธนาคารใดที่บริการสินเชื่อแก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยให้มีที่อยู่อาศัย * 7.ธนาคารใดไม่ได้รับฝากเงินจากประชาชน * ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย 8.สถาบันการเงินใดที่ทำหน้าที่ระดมเงินฝากจากประชาชนในรูปของการขายกรมธรรม์ให้แก่ผู้ซื้อกรมธรรม์ * บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม 9.สถาบันการเงินใดที่มีวัตถุประสงค์ที่จะช่วยสร้าง หลักประกันและความมั่นคงในการดำเนินชีวิต ให้แก่ลูกจ้างที่จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุน * 10.ธนาคารกลาง หมายถึง ธนาคารใด * ห้ามส่งรหัสผ่านใน Google ฟอร์ม สาระสำคัญ สถาบันการเงินให้บริการทีสำคัญ คือ แหล่งกู้ยืมเงิน เป็นประโยชน์ต่อการลงทุน และให้ดอกเบี้ยเป็นรายได้จากการออม ผลการเรียนรู้ มีความรู้ความเข้าใจความหมายบทบาทหน้าที่ความสำคัญและประเภทของสถาบันการเงิน พฤติกรรมชี้วัด 1. บอกความหมายบทบาทและความสำคัญของสถาบันการเงินได้ 2. บอกประเภทของสถาบันการเงินได้ 1. ความหมาย สถาบันการเงิน หมายถึง สถาบันที่ทำหน้าที่ระดมเงินออม ให้กู้ยืมแก่ผู้ที่ต้องการเงินไปเพื่อการบริโภคหรือเพื่อการลงทุนดำเนินธุรกิจ โดยจ่ายดอกเบี้ยให้แก่ผู้ออม และคิดดอกเบี้ยจากผู้กู้ยืม กิจกรรมเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อคนเราประกอบอาชีพมีรายได้เกิดขึ้น เขาย่อมมีอิสระที่จะนำรายได้นั้นไปใช้จ่ายเพื่อการบริโภคก็ได้ หรือจะเก็บออมไว้ในสถาบันการเงินต่างๆ เพื่อให้ได้รับดอกเบี้ยงอกเงยก็ได้ และทางด้านการเงินของประเทศปกติก็จะมีอยู่ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มหนึ่งมีรายได้แล้วต้องการจะเก็บออมไว้ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งต้องการเงินทุนไปประกอบธุรกิจของตน สถาบันการเงินจะเข้ามาเป็นตัวกลางให้บริการทางการเงินแก่คนทั้ง 2 กลุ่มนี้ สถาบันการเงินจะระดมเงินออกจากประชาชนในรูปแบบต่างๆ กัน แล้วให้ผู้ที่ต้องการกู้ยืมไปลงทุนในกิจการของตน แผนผังวงจรแสดงความสัมพัธ์ระหว่างผู้มีเงินออม ผู้ต้องการกู้ และสถาบันการเงิน 3. ประเภทของสถาบันการเงินï สถาบันการเงินที่ประกอบกิจการธนาคาร 1. ธนาคารแห่งประเทศไทย (Bank of Thailand) ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นธนาคารกลาง (central bank) ของประเทศ เริ่มจากการจัดตั้ง สำนักงานธนาคารชาติไทย ขึ้นก่อนเมื่อ พ.ศ. 2483 ทำหน้าที่ประกอบธุรกิจของธนาคารเฉพาะแต่บางประเภทเท่านั้น ยังมิได้มีฐานะเป็นธนาคารกลางโดยสมบูรณ์ ต่อมาจึงจัดตั้ง ธนาคารแห่งประเทศไทย ขึ้นตามพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2485 ให้เป็นธนาคารกลางของประเทศ เปิดดำเนินการเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2485 มีหน้าที่และความรับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดระบบการเงินและรักษาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ บทบาทและหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทยมีดังนี้ 1. เป็นผู้ออกธนบัตร เพื่อควบคุมปริมาณธนบัตรที่ใช้หมุนเวียนให้พอดีกับความต้องการของภาคธุรกิจและประชาชนทั่วไป โดยมีกฎหมายควบคุมการออกธนบัตรและจัดการเกี่ยวกับธนบัตร เพื่อความมีเสถียรภาพของเงินตราของประเทศ 2. เป็นนายธนาคารของธนาคารพาณิชย์ ในฐานะนายธนาคารของธนาคารพานิชย์ ธนาคารกลางจำทำหน้าที่ดังนี้คือ 1. รับฝากเงินจากธนาคารพานิชย์ ตามปกติธนาคารพาณิชย์จะต้องฝากเงินสดสำรอง ตามที่กำหนดไว้กับธนาคารกลาง และใช้เป็นเงินสดสำรองสำหรับชำระหนี้ หรือ โอนเงินระหว่างธนาคารพานิชย์ด้วยกัน 2. รับหักบัญชีระหว่างธนาคาร โดยที่ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งฝากเงินไว้ที่ธนาคารกลาง เมื่อมีหนี้สินระหว่างธนาคารพาณิชย์ด้วยกัน3. เป็นผู้ให้กู้ยืมแหล่งสุดท้าย ธนาคารกลางเป็นแหล่งสุดท้ายที่ธนาคารพาณิชย์จะกู้ยืมได้โดยมีหลักทรัพย์รัฐบาลค้ำประกัน 3. เป็นนายธนาคารและตัวแทนทางการเงินของรัฐบาล ธนาคารกลางจะทำหน้าที่ทางการเงินให้แก่รัฐบาลดังนี้ คือ 1. ถือบัญชีเงินฝาก ธนาคารกลางจะรักษาบัญชีเงินฝากของหน่วยราชการรัฐวิสาหกิจ และองค์กรอื่นๆ ของรัฐบาล และทำหน้าที่เป็นผู้จ่ายเงิน ตามเช็คที่หน่วยราชการต่างๆ และรัฐวิสาหกิจสั่งจ่าย 2. ให้รัฐบาลและรัฐวิสาหกิจกู้ยืม รัฐบาลและรัฐวิสาหกิจอาจกู้ยืมเงินจากธนาคารกลาง โดยการขายตั๋วเงินคลังหรือพันธบัตร 3. เป็นตัวแทนทางการเงินของรัฐบาล ธนาคารกลางจะเป็นตัวแทนจัดการทางการเงินของรัฐบาลทั้งในประเทศ และนอกประเทศ เช่น ติดต่อหาแหล่งเงินกู่ให้รัฐบาล 4. ดำเนินนโยบายการเงิน ธนาคารกลางมีบทบาทสำคัญในการควบคุมปริมาณเงินของประเทศให้มีปริมาณที่เหมาะสม ใช้มาตรการต่างๆ ในการดำเนินนโยบายแก้ไขเงินเฟ้อให้มีปริมาณเงินในระดับที่เหมาะสม 2. ธนาคารพาณิชย์ (commercla bank) ธนาคารพาณิชย์นับเป็นสถาบันการเงินภาคเอกชนที่มีความสำคัญที่สุดในประเทศไทย เพราะมีปริมาณเงินฝากและจำนวนเงินให้กู้สูงสุดเมื่อเทียบกับสถาบันการเงินอื่นๆ ตามพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์เป็นบริษัทมหาชนจำกัด โดยยอมให้ไม่ต้องใช้คำว่า “บริษัท” นำหน้า แต่ให้มีคำว่า “จำกัด” ไว้ท้ายชื่อเท่านั้น เช่น ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เป็นต้น ธนาคารพาณิชย์ให้บริการด้านการเงินในด้านต่างๆ ดังนี้ 1. การรับฝากเงิน กล่าวโดยทั่วไปเราอาจแบ่งการรับฝากเงินของธนาคารพาณิชย์ เป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ดังนี้ 1. เงินฝากกระแสรายวัน (current account หรือ checking account) หรือ เงินฝากเผื่อเรียก (demand deposit) เงินฝากประเภทนี้ธนาคารต้องจ่ายคืนเมื่อผู้ฝากทวงถาม การฝากแบบนี้ผู้ฝากจะต้องนำเงินจำนวนหนึ่งมาฝากกับธนาคาร และทางธนาคารจะมอบสมุดเช็คให้ผู้ฝากเพื่อลงนามในเช็คสั่งจ่ายเงินได้ตามวงเงินที่ฝากไว้ นักธุรกิจส่วนใหญ่นิยมฝากกระแสรายวัน เพราะสะดวกในการสั่งจ่ายเงินในการประกอบธุรกิจโดยไม่ต้องเสียเวลานับเงิน และไม่จำเป็นต้องพกพาเงินจำนวนมากติดตัวไป ส่วนธนาคารก็สามารถนำเงินที่ลูกค้าฝากไว้นั้นไปให้กู้ยืมต่อไปได้ ตามปกติการฝากเงินกระแสรายวันในประเทศไทยผู้ฝากจะไม่ได้รับดอกเบี้ย2. เงินฝากออมทรัพย์ (savings deposit) คือ เงินฝากที่ผู้ฝากจะเบิกถอนเมื่อใดก็ได้ โดยนำเอกสารคู่ฝากไปเบิกที่ธนาคาร หรือถอนจากเครื่องเอทีเอ็ม 3. เงินฝากประจำ (time deposit) เป็นเงินประเภทกำหนดระยะเวลาในการเบิก-ถอน และจำถอนคืนได้ต่อเมื่อครบกำหนดหรือต้องแจ้งให้ธนาคารทราบล่วงหน้าก่อน โดยทั่วไปการฝากเงินประเภทนี้ ผู้ฝากจะได้รับดอกเบี้ยในอัตราสูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์ 4. เงินฝากอื่นๆ เช่น สินมัธยัสถ์ เงินฝากเพือเคหะสงเคราะห์ เงินฝากเพื่อการศึกษา เงินฝาก ดังกล่าวนี้เป็นการฝากสะสมในจำนวนคงที่ตามระยะที่กำหนด และจะระบุวัตถุประสงค์ไว้ เช่น เพื่อการศึกษา เพื่อที่อยู่อาศัย เป็นต้น 2. การให้กูยืม นับเป็นหน้าที่และบทบาทสำคัญทางด้านการเงินของประเทศ การให้กู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ อาจแบ่งได้เป็น 3 ลักษณะ คือ1. การให้กู้ยืมโดยตรง (Ioan) คือ การกู้ยืมที่มีกำหนดเวลาในการชำระหนี้แน่นอน โดยจะผ่อนชำระเป็นงวดๆ หรือใช้คืนครั้งเดียวหมดก็แล้วแต่จะตกลงกัน ผู้กู้ต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราที่ไม่สูงเกินกว่าอัตราที่ธนาคารกลางกำหนดไว้ 2. การให้เบิกเงินเกินบัญชี หรือ โอ.ดี (overdraft : O.D.) คือ การให้กู้ยืมโดยธนาคารยอมให้ลูกค้าที่เปิดบัญชีกระแสรายวันสามารถเขียนเช็คเบิกเงินสดได้เกินกว่าจำนวนที่มีอยู่ในบัญชีได้ จะเบิกเกินบัญชีได้มากน้อยแค่ไหนแล้วแต่ผู้กู้กับธนาคารจะตกลงกัน การคิดดอกเบี้ยคิดเฉพาะส่วนที่เบิกเกินยอดเงินในบัญชี 3. การซื้อลดตั๋วเงิน (discounting blll) คือ การที่ธนาคารรับซื้อตั๋วแลกเงิน หรือตั๋วสัญญาใช้เงินที่ยังไม่ถึงกำหนดเวลาชำระเงินจากลูกค้าที่นำมาขายลดให้ ผลประโยชน์ที่ธนาคารได้รับก็คือ ได้หักส่วนลดจากลูกค้าตามอัตราซื้อลดที่ธนาคารกลางกำหนด ส่วนลูกค้าแม้จะได้รับเงินน้อยกว่าที่ระบุไว้ในตั๋วเงิน แต่ก็จะได้ประโยชน์ตรงที่ได้รับเงินสดไปใช้ทันที ไม่ต้องรอให้ตั๋วเงินถึงกำหนดเวลาชำระเงิน 3. การโอนเงิน มีอยู่ 2 ลักษณะ คือ การโอนเงินภายในท้องถิ่นเดียวกัน และการโอนเงินจากท้องถิ่นหนึ่งมายังอีกท้องถิ่นหนึ่ง หรือการโอนเงินจากประเทศหนึ่งมายังอีกประเทศหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการโอนไปเพื่อตัวเราเองหรือโอนไปให้บุคคลอื่นก็ตาม ธนาคารสามารถให้บริการได้เป็น 2 รูปแบบด้วยกัน คือ การโอนเงินแบบธรรมดา เป็นการโอนผ่านด้วยเช็คหรือดราฟต์ธนาคาร และ การโอนเงินแบบเร็วทันใจ เป็นการโอนเงินโดยทางโทรเลข เทเล็กซ์ (telex) โทรศัพท์ทางไกล และการโอนโดยผ่านศูนย์คอมพิวเตอร์แบบออนไลน์ (on-line) 4. การเรียกเก็บเงิน หน้าที่ของธนาคารพาณิชย์เกี่ยวกับการเรียกเก็บเงินนั้น เป็นหน้าที่เกี่ยวเนื่องกับการโอนเงิน กล่าวคือธนาคารจะเรียกเก็บเงินตามเช็ค ตั๋วเงิน หรือดราฟต์ ที่ครบกำหนด ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าเพื่อที่ลูกค้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปเก็บเงินด้วยตนเอง ทั้งนี้เพราะธนาคารส่วนมากมีตัวแทนหรือสาขาอยู่ในจังหวัดต่างๆ รวมทั้งในต่างประเทศด้วย ทำให้สามารถเรียกเก็บเงินได้โดยสะดวก รวดเร็ว และประหยัด 5. การให้เช่าตู้นิรภัย ตามปกติธนาคารมักจะมีห้องมั่นคงไว้ เพื่อเก็บรักษาของมีค่าของธนาคาร และเพื่อให้ลูกค้าเช่าสำหรับเก็บของมีค่าหรือของสำคัญๆ โดยลูกค้าสามารถทำสัญญาเช่าตู้นิรภัยเพื่อเก็บทรัพย์สินอันมีค่า เช่น เครื่องเพชร ทองรูปพรรณ โฉนด สัญญาต่าง6. การซื้อขายเงินตราต่างประเทศ หมายถึง การทีธนาคารทำหน้าที่ซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ กล่าวคือ เมื่อประชาชต้องการเงินตราต่างประเทศก็สามารถซื้อได้ จากธนาคารพาณิชย์ตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ และถ้าผู้ใดต้องการขายเงินตราต่างประเทศที่ตนมีในครอบครอง ก็สามารถนำไปขายให้แก่ธนาคารพาณิชย์ได้เช่นกัน 7. การออกเลตเตอร์ออฟเครดิต (letter of credit : L/C ) เลตเตอร์ออฟเครดิต คือ ตราสารที่ธนาคารซึ่งผู้สั่งสินค้าเป็นลูกค้า ออกให้แก่ผู้ขายสินค้า โดยสั่งให้ธนาคารที่ติดต่อประจำ จ่ายเงินแก่ผู้ขายสินค้าตามจำนวนที่ระบุ และสัญญาว่าจะชำระเงินคืนแก่ ธนาคารที่จ่ายเงินไป การออกแลตเตอร์ออฟเคดิตช่วยอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าธนาคารที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจการค้า ทั้งการค้าภายในและการค้าต่างประเทศ 8. การประกอบกิจการวิเทศธนกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศให้ธนาคารพาณิชย์ทำกิจการวิเทศธนกิจ (BIBF) ได้เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2535 การดำเนินกิจการวิเทศธนกิจ ตามกฎระเบียบที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดแบ่งเป็น 2 ลักษณะใหญ่ๆ คือ 1. การระดมเงินทุนจากต่างประเทศไปสู่ประเทศอื่นๆ (out-out financing) 2. การระดมเงินทุนจากต่างประเทศเข้ามาใช้ภายในประเทศ (out-in financing) 9. การบริการอื่นๆ นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ธนาคารพาณิชย์ยังให้บริการอื่นๆ แก่ลูกค้าอีก เช่น บริการบัตรเครดิต บริการหนังสือค้ำประกัน บริการให้คำปรึกษาด้านธุรกิจและการลงทุน บริการรับชำระค่าสาธารณูปโภค เป็นต้น ï สถาบันการเงินเพื่อวัตถุประสงค์โดยเฉพาะ สถาบันการเงินเพื่อวัตถุประสงค์โดยเฉพาะ ได้แก่ สถาบันการเงินที่จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินธุรกิจเฉพาะสาขาของเศรษฐกิจที่ระบุไว้ในกฎหมายควบคุมการดำเนินงานของสถาบันการเงินนั้นๆ ซึ่งมีดังต่อไปนี้ 1. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส) เป็นธนาคารของรัฐบาล จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. 2509 มีวัตถุประสงค์ที่จะให้ความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อส่งเสริมอาชีพหรือการดำเนินงานของเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร และสหกรณ์การเกษตร โดยให้กู้ยืมเงินระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาว ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร มีสาขาอยู่ทุกภาคของประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่เกษตรกรที่ต้องการกู้ยืมเงินไปดำเนินธุรกิจต่างๆ และมีเกษตรกรสาขาต่างๆ ที่ธนาคารรับขึ้นทะเบียนเป็นลูกค้าทั่วราชาอาณาจักร ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์ของเกษตรกร มิใช่เพื่อหวังผลกำไรดังเช่นธนาคารพาณิชย์ทั่วไป การให้บริการสินเชื่อของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตตร มีดังนี้ 1. การให้เงินกู้แก่เกษตรกรรายบุคคล เป็นการให้บริการสินเชื่อโดยตรงแก่เกษตรกรที่ต้องการเงินสำหรบลงทุนทางการเกษตร ทั้งในรูปเงินกู้เพื่อการเกษตร การรอขายผลิตผล และอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร 2. การให้เงินกู้แก่สถาบันเกษตรกร ให้ความช่วยเหลือแก่สหกรณ์การเกษตรและกลุ่มเกษตรกร โดยให้เงินกู้สำหรับการดำเนินงานทุกด้านของสหกรณ์การเกษตรและกลุ่มเกษตรกร เงินกู้มี 4 ประเภท คือ (1) เงินกู้เพื่อใช้เป็นทุนให้กู้แก่สมาชิก เป็นเงินกู้ที่สหกรณ์การเกษตรหรือกลุ่มเกษตรกรกู้เพื่อให้สมาชิกกู้ต่อสำหรับนำไปลงทุนในการเกษตรของสมาชิกแต่ละคน โดยสหกรณ์การเกษตรหรือกลุ่มเกษตรกรจะเป็นผู้ดำเนินงานสินเชื่อต่อสมาชิกเอง (2) เงินกู้เพื่อการขายผลิตผลการเกษตร หลังจากสมาชิกนำเงินกู้ไปลงทุนในการผลิตทางการเกษตรแล้ว เมื่อมีผลผลิตเกิดขึ้นสหกรณ์การเกษตรหรือกลุ่มเกสรกรจะเป็นผู้รับซื้อผลิตผลจากสมาชิกโดยตรงเพื่อตัดพ่อค้าคนกลาง โดยใช้เงินกู้ประเภทนี้จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรมาเป็นทุนหมุนเวียน (3) เงินกู้เพื่อจัดหาวัสดุอุปกรณ์การเกษตร สหกรณ์การเกษตรหรือกลุ่มเกษตรกรใช้เงินกู้ประเภทนี้เป็นทุนในการจัดหาวัสดุการเกษตร เช่น ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง อาหารสัตว์ เครื่องมือการเกษตร เป็นต้น เพื่อจำหน่ายให้แก่สมาชิกและเกษตรกร (4) เงินกู้ระยะยาวเพื่อการเกษตร สำหรับการดำเนินิการในโครงการพัฒนาการเกษตร ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาล หรือกิจการสาธารณูปโภคเพื่อเกษตรกรใช้ประโยชน์ร่วมกัน รวมทั้งการลงทุนในสินทรัพย์ประจำอื่นๆ ของสหกรณ์การเกษตรหรือกลุ่มเกษตรกร (5) รับฝากเงินประเภทกระแสรายวัน เป็นการรับฝากที่จะต้องจ่ายคืนทันทีเมื่อทวงถาม เงินฝากประเภทนี้ใช้เบิกจ่ายโดยใช้เช็ค ส่วนอัตราดอกเบี้ยต่ำมาก หรือไม่มีดอกเบี้ย 2. ธนาคารอาคารสงเคราะหื (ธอส.) เป็นธนาคารของรัฐบาล จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติธนาคารอาคารสงเคราะห์ พ.ศ. 2496 เพื่อดำเนินการส่งเสริมให้ประชาชนมีอาคารและที่ดินเป็นที่อยู่อาศัย ธนาคารอาคารสงเคราะห์ประกอบธุรกิจดังนี้ 1. ให้กู้ยืมเงินเพื่อประโยชน์ดังต่อไปนี้(1) ซื้อที่ดินหรืออาคารเป็นของตนเอง (2) สร้าง ขยาย หรือซ่อมแซมอาคารของตนเอง (3) ใช้ไถ่ถอนจำนองอันผูกพันที่ดินหรืออาคารของตนเอง (4) ใช่ไถ่ถอนซึ่งการขายฝากที่ดินหรืออาคารของตนเอง (5) ใช้ในการลงทุนจัดกิจการเคหะ 2. รับจำนำหรือจำนองทรัพย์สินเพื่อเป็นประกันเงินกู้ยืม 3. รับฝากเงินที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามหรือเมื่อสิ้นระยะเวลาที่กำหนดไว้ 4. กิจการอันพึงเป็นงานของธนาคารตามข้อกำหนดและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง 3. ธนาคารออมสิน (The Government Savings Bank) เป็นธนาคารที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติธนาคารออมสิน พ.ศ. 2489 เพื่อระดมเงินออมจากประชาชนแล้วนำมาให้รัฐบาลกู้ยืมโดยการซื้อพันธบัตร ตั๋วสัญญาใช้เงิน และตั๋วเงินคลังของรัฐบาล กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ การใช้เงินฝากของธนาคารออมสินส่วนหนึ่งเป็นการลงทุนในหลักทรัพย์รัฐบาล และต่อมาเมื่อรัฐบาลมีตัวเงินสดเกิดดุล จึงไม่ได้กู้ยืมจากธนาคารออมสิน ดังนั้นธนาคารออมสินจึงเริ่มให้เอกชนกู้ยืมมากขึ้น ธนาคารมีสาขากระจายออกไปทั่วประเทศ หน้าที่หลักของธนาคารออมสิน มีดังนี้ 1. บริการเงินฝาก ธนาคารออมสินเปิดบริการรับฝากเงินประเภทต่างๆ เช่น เงินฝากกระแสรายวัน เงินฝากเผื่อเรียก (ออมทรัพย์) เงินฝากประจำ สลากออมสิน เงินฝากประเภทสงเคราะห์ทวีคูณ เงินฝากประเภทเคหะสงเคราะห์ เป็นต้น 2. การลงทุนเพื่อหาผลประโยชน์ ธนาคารออมสินระดมเงินออมจากประชาชนมาลงทุนในทางก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติโดยส่วนรวม เช่น ซื้อตั๋วเงินคลังและพันธบัตรรัฐบาลเพื่อให้นำไปใช้พัฒนาประเทศให้ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจและเอกชนกู้ยืม เป็นต้น 3. ส่งเสริมการออมทรัพย์ ธนาคารออมสินมีนโยบายส่งเสริมการออม และอำนวจความสะดวกให้แก่ประชาชนและเยาวชนที่ต้องการเก็บออม โดยจะออกไปบริการรับฝากเงินนอกสถานที่ ตามที่หน่วยราชการบริษัทห้างร้านโรงงาน ฯลฯ แจ้งความความประสงค์ขอใช้บริการ และไปรับฝากเงินตามโรงเรียนต่างๆ เพื่อปลูกฝังนิสัยให้เยาวชนรู้จักประหยัดและเก็บออมทรัพย์ 4. การรับฝากเงินประเภทการแสรายวัน เป็นการรับฝากที่ต้องจ่ายคืนทันทีเมื่อทวงถาม เงินฝากประเภทนี้ธนาคารจะจ่ายอัตราดอกเบี้ยต่ำมาก หรือไม่มีดอกเบี้ย และใช้เช็คในการเบิกจ่ายเงิน 5. อื่นๆ ธนาคารออมสินจำหน่ายตราสารประเภทพันธบัตรออมสิน และประเภทสลากออมสินพิเศษนอกจากนี้ยังดำเนินธุรกิจด้านการประกันชีวิต 3 ประเภท คือ ประเภทสงเคราะห์ชีวิตและครอบครัวประเภทสงเคราะห์ชีวิตและครอบครัวแบบเพิ่มพูนทรัพย์ และประเภทสงเคราะห์ชีวิตและการศึกษา ï สถาบันการเงินที่ไม่ประกอบกิจการธนาคาร 1. บริษัทเงินทุน (finance company) บริษัทเงินทุนเป็นสถาบันการเงินที่ทำหน้าที่ระดมเงินออมจากประชาชนทั่วไป โดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินจำหน่ายแก่ประชาชนคล้ายกับการรับฝากเงินของธนาคารพาณิชย์ แต่อาจให้ดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าธนาคารพาณิชย์ทั่วไป แล้วนำไปให้กู้ยืมและลงทุนในหลักทรัพย์ บริษัทเงินทุนประกอบกิจการเงินทุนได้ 5 ประเภท คือ กิจการเงินทุนเพื่อการพาณิชย์ กิจการเงินทุนเพื่อการพัฒนา กิจการเงินทุนเพื่อการจำหน่ายและการบริโภค กิจการเงินทุนเพื่อการเคหะ และกิจการเงินทุนอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง 2. กองทุนรวม (mutual fund) กองทุนรวม จัดตั้งขึ้นเพื่อรวบรวมเงินจากผู้มีเงินออมด้วยวิธีการจำหน่าย หน่วยลงทุน ให้แก่ผู้สนใจแล้วบริษัทจัดการกองทุนรวมจะรวบรวมเงินไปลงทุนซื้อหลักทรัพย์ เช่น พันธบัตร หุ้นสามัญ หุ้นกู้ ตั๋วสัญญาใช้เงิน เป็นต้น เมื่อการลงทุนของกองทุนรวมได้ผลดีมีรายได้ก็จะนำมาแบ่งปันให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในรูปของเงินปันผล และถ้าขายหน่วยลงทุนออกไปในขณะที่มีราคาสูงขึ้น ผู้ลงทุนก็จะได้กำไรจากการขายหน่วยลงทุนนั้น กองทุนรวมมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ 1. กองทุนรวมปิด กองทุนรวมปิดจะไม่รับซื้อคืนหน่วยลงทุนจนกว่าจะสิ้นสุดอายุโครงการ แต่อาจจะปันผลให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเมื่อดำเนินการมีผลกำไร และผู้ถือหน่วยลงทุนอาจขายโอนให้ผู้อื่นได้ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ 2. กองทุนรวมเปิด กองทุนรวมเปิดจะรับซื้อหน่วยลงทุนคืนตลอดเวลา ผู้ลงทุนสามารถขายคืนหน่วยลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนในรูปของกำไรส่วนทุนได้ทุกเมื่อ แต่จะไม่ได้รับเงินปันผลระหว่างอายุของโครงการ 3. สหกรณ์การเกษตร สหกรณ์การเกษตร เป็นนิติบุคคลจดทะเบียนตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2511 มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาทุนให้สมาชิกกู้ยืมส่งเสริมการออมของสมาชิกช่วยเหลือสมาชิกด้านการจัดหาวัสดุอุปกรณ์การเกษตร และด้านการจำหน่ายผลิตผลของสมาชิก รวมทั้งส่งเสริมและเผยแพร่วิชาการเกษตรสมัยใหม่แก่สมาชิกธุรกิจของสหกรณ์การเกษตร แบ่งเป็น 6 ด้าน คือ 1. ธุรกิจการธนกิจ จัดหาทุนจากทุนเรือนหุ้นของสหกรณ์ เงินฝากของสมาชิก เงินกู้ยืมจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตให้กู้ยืมแก่สมาชิกในแบบกู้ระยะสั้นระยะปานกลาง รับฝากเงินจากสมาชิกทั้งฝากประเภทออมทรัพย์ และฝากประจำ 2. ธุรกิจการซื้อ จัดซื้อวัสดุการเกษตร เครื่องอุปโภคบริโภค เครื่องใช้ในครัวเรือน เครื่องมือเครื่องจักรกล มาจำหน่ายแก่สมาชิกในราคายุติธรรม 3. ธุรกิจการขยาย จัดหาเงินทุนมาใช้รวบรวมผลิตผลจากสมาชิก แล้วนำไปจำหน่าย 4. ธุรกิจการแปรรูป จัดแปรรูปผลิตผล เพื่อประโยชน์ในการเก็บรักษา การเพิ่มราคา และเพื่อความสะดวกในการจัดจำหน่าย 5. ธุรกิจการบริการและบำรุงที่ดิน จัดหาแหล่งน้ำเพื่อการผลิต จัดทำระบบส่งน้ำและระบายน้ำใช้เครื่องจักรกลขนาดใหญ่และปรับที่เพื่อการอนุรักษ์และปรับปรุงดิน 6. ธุรกิจการส่งเสริมการเกษตร ให้คำแนะนำหรือบริการทางวิชาการ เพื่อเพิ่มปริมาณและปรับปรุงคุณภาพผลิตผล นับเป็นหน้าที่หลักการสหกรณ์การเกษตร 4. สหกรณ์ออมทรัพย์ สหกรณ์ออมทรัพย์ เป็นสถาบันการเงินที่จดทะเบียนกับทางการโดยทำหน้าที่รับฝากเงินจากสมาชิก และให้สมาชิกกู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ย แล้วนำกำไรที่ได้รั้บจากการดำเนินงานมาแบ่งปันให้สมาชิกตามมูลค่าหุ้นที่หุ้นที่ถือและตามมูลค่าดอกเบี้ยเงินกู้ เงินทุนของสหกรณ์ออมทรัพย์ได้จากเงินค่าหุ้นของสมาชิก เงินฝากจากสมาชิก และเงินกู้จากสถาบันการเงินอื่นๆ แล้วนำเงินทุน ให้สมาชิกกู้ยืมเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ กัน เช่น เพื่อเหตุฉุกเฉิน เพื่อการอุปโภคบริโภค สหกรณ์ทีมีเงินทุนมากก็อาจให้สมาชิกกู้ยืมระยะยาวเพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยด้วย นอกจากนี้ยังมีเครดิตยูเนียน (credit union) ซึ่งเป็นสหกรณ์ออมทรัพย์จัดตั้งขึ้นในหมู่ผู้มีรายได้ไม่แน่นอน ประกอบอาชีพต่างกัน แต่อยู่ในท้องที่เดียวกัน มีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมการออมระหว่างสมาชิก เครดิตยูเนียนจะให้สมาชิกกุ้ยืมเงินจำนวนไม่มากนักในระยะสั้นๆ ปัจจุบันเครดิตยูเนียนหลายแห่งได้จดทะเบียนเป็นสหกรณ์ออมทรัพย์กับทางการ5. บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ (credit foncier company) เป็นสถาบันการเงินดำเนินกิจการระดมทุนด้วย การออกตั๋วสัญญาใช้เงินเสนอขายต่อประชาชนทั่วไป เพื่อนำมาให้ประชาชนกู้ไปซื้อที่ดินและสร้างที่อยู่อาศัย ทำหน้าที่ดังต่อไปนี้ 1. ให้กู้โดยมีบ้านและที่ดินค้ำประกัน 2. ซื้อบ้านและที่ดินโดยให้สิทธิผู้ที่ขายที่จะไถ่ถอนคืนได้ 3. ขายบ้านและที่ดินโดยวิธีการให้เช่าซื้อ 6. โรงรับจำนำ โรงรับจำนำ เป็นสถาบันการเงินขนาดเล็กที่พบเห็นได้ทั่วไปตามแหล่งชุมชน ทำหน้าที่ให้กู้ยืมแก่ประชาชนทั่วไป โดยการรับจำนำสิ่งของและเครื่องใช้ต่างๆ ทั้งของใหม่และของที่ใช้แล้ว โรงรับจำนำมีอยู่ 3 ประเภท ตามลักษณะของผู้ดำเนินงาน คือ 1. โรงรับจำนำที่ดำเนินการโดยเอกชน 2. โรงรับจำนำที่ดำเนินการโดยกรมประชาสงเคราะห์ เรียกว่า สถานธนานุเคราะห์3. โรงรับจำนำที่ดำเนินการโดยเทศบาลหรือกรุงเทพมหานคร (กทม) เรียกว่า สถานธนานุบาล โรงรับจำนำของเอกชนใช้เงินทุนของผู้เป็นเจ้าของหรือหุ้นส่วนและเงินจากการกู้ยืมมาใช้ดำเนินการรับจำนำ สถานธนานุเคราะห์ได้เงินทุนจากงบประมาณซึ่งรัฐบาลจัดสรรให้ รวมทั้งเงินกำไรสะสมและเงินกู้จากธนาคารออมสิน ส่วนสถานธนานุบาลได้เงินอุดหนุนจากเทศบาลและเงินกู้จากกองทุนส่งเสริมกิจการเทศบาล โรงรับจำนำทั้ง 3 ประเภท เป็นสถานบันการเงินที่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยนิยมกู้ไปเพื่อการบริโภคและเพื่อเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับการค้าเล็กๆ น้อยๆ 7. บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศ จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2502 เพื่อจัดหาทุนให้กู้ระยะปานกลางและระยะยาวแก่กิจการอุตสาหกรรมต่างๆ บรรษัทดำเนินงานในลักษณะของกิจการภาคเอกชนโดยนักบริหารอาชีพ แต่มีเป้าหมายเน้นที่การพัฒนาอุตสาหกรรม มิได้คำนึงถึงผลกำไรสูงสุดอย่างธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุนทั่วไปโครงสร้างผู้ถ์อหุ้นของบรรษัทประกอบด้วยผู้ถือหุ้น 6 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กลุ่มบริษัทเอกชน กลุ่มบ ษัทเงินทุน กลุ่มบุคคลธรรมดา และกลุ่มบริษัทประกันภัย การดำเนินงานของบรรษัท บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สนับสนุนผู้ประกอบอุตสาหกรรมที่เป็นนิติบุคคล โดยให้บริการและสนับสนุนในเรื่องต่อไปนี้ 1. ให้กู้เงินในระยะปานกลางและระยะยาว โดยคิดดอกเบี้ยแตกต่างกันไปตามประเภทสินเชื่อที่ให้แก่อุตสาหกรรมต่างๆ2. เข้าร่วมทุนในกิจการอุตสาหกรรมที่พิจารณาเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อการพฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ 3. ให้บริการจัดหาเงินและร่วมทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ แก่กิจการอุตสาหกรรมที่ต้องการเงินมากกว่าที่ทางบรรษัทจะสามารถให้ความช่วยเหลือได้โดยลำพัง 4. ให้บริการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ชนิดต่างๆ ของกิจการอุตสาหกรรมและสถาบันการเงินต่างๆ เช่น หุ้นสามั้ญ หุ้นบุริมสิทธิ หุ้นกู้ที่มีหรือไม่มีธนาคารค้ำประกัน 5. จัดตั้งบริษัทในเครือขึ้นเพื่อให้บริการแก่กิจการอุตสาหกรรม เช่น ให้บริการด้านช่วยจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์ให้ผู้ประกอบการเช่นระยะยาว จัดบริการก่อสร้างโรงงานสำเร็จรูปให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเช่นหรือเช่าซื้อ โรงงานเหล่านี้จะมีสาธารณูโภคพร้อม เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา โทรศัพท์ อันเป็นประโยชน์สำหรับผู้ประกอบกิจการอุตสาหกรรมในเขตนั้น 8. บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อม (บอย.) บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อม (บอย.) จัดตั้งขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินแก่กิจการอุตสาหกรรมขนาดย่อม ได้แก่ ผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าเพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจที่มีสินทรัพย์ถาวรสุทธิไม่เกิน 50 ล้านบาท ในอุตสาหกรรม 4 ประเภท คือ อุตสาหกรรมการผลิต อุตสาหกรรมหัตถกรรม อุตสาหกรรมในครัวเรือน และอุตสหกรรมบริการ เดิมจัดตั้งเป็น สำนักงานเงินกู้เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมขนาดย่อม แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น สำนักงานธนกิจอุตสาหกรรมขนาดย่อม และปัจจุบันเป็นบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อม มีหน้าที่ดังนี้ 9. บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม บรรษัทประกันสินเชื่ออุสาหกรรมขนาดย่อม เป็นสถาบันการเงินที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม พ.ศ. 2534 มีฐานะเป็นนิติบุคคล อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของกระทรวงการคลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมขนาดย่อมที่มีโครงการลงทุนที่ดี แต่มีหลักทรัพค้ำประกันไม่เพียงพอ ให้ได้รับสินเชื่อจากสถาบันการเงิน (ผู้ให้กู้) เพิ่มมากขึ้น โดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมจะให้การค้ำประกันสินเชื่อในส่วนที่ขาดหลักประกันผ่านสถาบันการเงิน นอกจากนั้งสามารถดำเนินธุรกิจอื่นนอกเหนือจากการค้ำประกันสินเชื่อได้อีด้วย เช่น การประกันการซื้อขายทรัพย์สินจากการลงทุน เป็นต้นคำศัพท์ทึ่ควรรู้ 1. ตั๋วเงิน (bill) ในทางการเงิน หมายถึง หนังสือตราสารทางการเงินซึ่งตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์ได้กำหนดชนิดของตั๋วเงินไว้เป็น 3 ประเภท คือ 1. เช็ค (check หรือ cheque) คือ ตั๋วเงินที่บุคคลหนึ่งสั่ให้ธนาคารจ่ายเงินให้แก่อีกบุคคลหนึ่ง หรือจ่ายให้แก่ตนเอง โดยกำหนดจำนวนเงินและเวลาไว้แน่นอน 2. ตั๋วแลกเงิน (bill of exchange) หรือ ดราฟต์ (draft) คือ ตั๋วเงินที่บุคคลที่ 1 สั่งให้บุคคลที่ 2 จ่ายเงินให้แก่บุคคลที่ 3 โดยมีวันครบกำหนดใช้เงินและจำนวนที่แน่นอน 3. ตั๋วสัญญาใช้เงิน (promissory note) คือ ตั๋วเงินที่บุคคลหนึ่งสัญญาว่าจะใช้เงินแก่อีกบุคคลหนึ่ง ณ วันที่ครบกำหนด โดยระบุจำนวนเงินที่แน่นอน ตั๋วสัญญาใช้เงินอาจระบุดอกเบี้ยหรือไม่ก็ได้2. ตั๋วเงินคลัง (treasury bill) เป็นตราสารกู้เงินระยะสั้นของรัฐบาล ซึ่งออกโดยกระทรวงการคลัง จำหน่ายแก่สถาบันการเงินและประชาชน เมื่อครบกำหนดรัฐบาลจะใช้เงินคืนพร้อมดอกเบี้ย 3. หุ้นสามัญ (common share) ได้แก่หุ้นของบริษัทที่นำออกขายแก่ประชาชน ได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล 4. หุ้นบุริมสิทธิ (preferred share) ได้แก่ หุ้นที่ผู้ถือมีสิทธิพิเศษตามที่ระบุไว้ในข้อบังคับ หรือเงือนไขการออกหุ้น เช่น สิทธิได้รับเงินปันผลก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ มีสิทธิได้รับการชำระคืนเงินทุนก่อนผู้ถือหุ้นสามัญเมื่อบริษัทเลิกกิจการ เป็นต้น เพื่อแลกกับสิทธิพิเศษดังกล่าว ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิมักยอมรับเงินปันผลในอัตราต่ำ และไม่ใช้สิทธิลงคะแนนเสียงในทีป่ระชุมผู้ถือหุ้น 5. หุ้นกู้ (debenture) เป็นตราสารกู้ยืมระยะยาว โดยบริษัทผู้ออกหุ้นกู้มีภาระจะต้องชำระดอกบี้ยให้แก่ผู้ถือหุ้นตลอดอายุของหุ้นกู้ตามอัตราที่กำหนด และชำระเงินต้นคืนเมือครบกำหนดอายุการไถ่ถอนof deposit หรือ NCD) เป็นตราสารการเงินระยะสั้นชนิดหนึ่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำหนดหลักเกณฑ์ให้ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินสามารถออกบัตรเงินฝากเพื่อระดมเงินออมได้ บัตรเงินฝากจะต้องระบุชื่ดผู้ถือบัตร อายุบัตรมีตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 3 ปี และกำหนดวงเงินขั้นต่ำว่าที่ 500,000 บาท บัตรเงินฝากนี้สามารถเปลี่ยนมือได้ แต่สถาบันการเงินผู้ออกบัตรเงินฝากไม่สามารถซื้อบัตรเงินฝากคืนก่อนกำหนดได้ 6. ใบสำคัญแสดงสิทธิการจองหุ้นสามัญระยะยาว (warrant) เป็นตราสารที่ออกพร้อมตราสารอื่น โดยเฉพาะหุ้นทุนหรือหลักทรัพย์ที่เกี่ยวโยงกับหุ้นทุน โดยผู้ถือตราสารมีสิทธิซื้หุ้นทุนในราคา ระยะเวลาและเงื่อนไขที่กำหนด 7. บัตรเงินฝาก (negotiable certificate of deposit หรือ NCD) เป็นตราสารการเงินระยะ สั้นชนิดหนึ่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำหนดหลักเกณฑ์ให้ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินสามารถออกบัตรเงินฝากเพื่อระดมเงินออมได้ บัตรเงินฝากจะต้องระบุชื่ดผู้ถือบัตร อายุบัตรมีตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 3 ปี และกำหนดวงเงินขั้นต่ำว่าที่ 500,000 บาท บัตรเงินฝากนี้สามารถเปลี่ยนมือได้ แต่สถาบันการเงินผู้ออกบัตรเงินฝากไม่สามารถซื้อบัตรเงินฝากคืนก่อนกำหนดได้8. พันธบัตรรัฐบาล (government bond) เป็นหลักทรัพย์ที่รัฐบาลเป็นผู้นำออกมากู้เงินจากประชาชน และสถาบันการเงิน ถือเป็นหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อย 9. หน่วยลงทุน (unit trusts) เป็นตราสารหรือหลักฐานแสดงสิทธิในทรัพย์สินของโครงการจัดการลงทุน หน่วยลงทุนเป็นส่วนของทรัพย์สินของโครงการกองทุนรวมแต่ละโครงการที่แบ่งออกเป็นหน่วยๆ มีมูลค่าหน่วยละเท่าๆ กัน โดยทั่วไปแล้วจะมีมูลค่าหน่ายละ 10 บาท ทางกองทุนรวมจะนำหน่วยลงทุนอกจำหน่ายแก่ประชาชนเพื่อระดมเงินออกมาดำเนินงานตามโครงการกองทุนรวม 10. หลักทรัพย์ (securities) ได้แก่ หลักทรัพย์ที่เป็นหุ้น สิทธิเรียกร้องทางแพ่ง ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ที่คิดเป็นเงินได้ ส่วนหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ หมายถึง ตั๋วเงินคลัง พันธบัตร ตั๋วเงิน หุ้น หุ้นกู้ หน่วยลงทุนหรือตราสารแสดงสิทธิในทรัพย์สินของกองทุนรวม ใบสำคัญแสดงสิทธิจะซื้อหุ้นกู้ ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหน่วยลงทุน หรือตราสารอื่นใดที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) กำหนด 11. ตลาดหลักทรัพย์ (stock exchange หรือ secutities exchange) คือ ศูนย์กลางที่นายหน้าผู้ค้าหลักทรัพย์ซึ่งเป็นสมาชิกของตลาดมาชุมนุมซื้อขายหลักทรัพย์โดยวิธีการประมูลราคา การซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดจะต้องปฏิบัติตามกฏเกณฑ์และระเบียบแบบแผนของตลาดหลักทรัพย์อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้เพื่อให้การซื้อขายหลักทรัพย์เป็นไปด้วยความยุติธรรม ซื่อตรง เป็นระเบียบ คล่องตัว ซึ่งเป็นรากานสำคัญของการซื้อขายหลักทรัพย์ ด้วยเหตุนี้ตลาดหลักทรัพย์จึงเป็นเครื่องมือส่งเสริมการลงทุนในหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นผลดีต่อธุรกิจที่ต้องการเงินลงทุนก่อตั้งหรือขยายกิจการ และ เป็นผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศด้วยประเทศไทยมี ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. (The Stock Exchange of Thailand : SET) ตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517 ทำหน้าที่ที่สำคัญ คือ 1. ส่งเสริมการออมทรัพย์และการระดมเงินทุนในประเทศ 2. สนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของในกิจการธุรกิจและอุตสาหกรรมในประเทศ 3. ให้การซื้อขายหลักทรัพย์มีสภาพคล่องตัว ในราคาที่สมเหตุสมผล และเป็นไปอย่ามีระเบียบ 4. ให้ความคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น 12. บัตรเอทีเอ็ม เป็นบัตรพลาสติกที่บรรจุข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ไว้สำหรับใช้ในการถอนเงินสดผ่านเครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติ หรือเครื่องเอทีเอ็มของธนาคารพราณิชย์ ซึ่งติดตั้งไว้ตามสถานที่ต่างๆ โดยธนาคารจะออกบัตรเอทีเอ็มให้ลูกค้าผู้เปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคาร ผู้ถือบัตรเอทีเอ็มสามารถถอนเงินสดจากบัญชีเงินฝากของตนผ่านเครื่องเอทีเอ็มในแต่ละวันได้ภายในวงเงินจำนวนหนึ่ง และสามารถใช้บริการอื่นๆ เช่น สอบถามยอดเงินในบัญชี 13. บัตรเครดิต (credit card) เป็นบัตรที่ใช้ซื้อสินค้าและบริการ บางที่เรียกว่า บัตรสินเชื่อ ผู้ออกบัตรเครดิตอาจเป็นธนาคารหรือบริษัทจำกัดก็ได้ ผู้ถือบัตรเครดิตสามารถซื้อสินค้าหรือใช้บริการจากบริษัทห้างร้าน ที่อยู่ในข้อตกลงได้โดยไม่ต้องใช้เงินสด เพียงแต่แสดงบัตร และลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐานเท่านั้น 14. กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF.) ตั้งขึ้นตามมติการประชุมที่เมืองเบรตตันวูดส์ (Bretton Woods) มลรัฐนิวแฮมป์เชียร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อ พ.ศ. 2487 มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ คือ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางการเงินระหว่างประเทศ และส่งเสริมให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศมีเสถียรภาพ |