ศิลาจารึก หลักที่ 1 ถือเป็นหนึ่งในวรรณคดีสำคัญในสมัยสุโขทัย สันนิษฐานว่าพ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงพระราชนิพนธ์เอง โดยเฉพาะตอนต้นที่เป็นการเล่าพระราชประวัติของพระองค์เอง Show
ผู้แต่งศิลาจารึกหลักที่ 1 นี้สันนิษฐานว่าพ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงพระราชนิพนธ์เอง โดยเฉพาะตอนต้นที่เป็นการเล่าพระราชประวัติของพระองค์เอง มีผู้ศึกษาเกี่ยวกับศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงหลายท่าน และผู้ที่มีบทบาท สำคัญก็คือ ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส ซึ่งเชี่ยวชาญทางด้าน ภาษาตะวันออก ได้ศึกษาศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง และได้จัดทำคำอ่านไว้อย่างละเอียด ในปี พ.ศ. 2515 ศาสตราจารย์ฉ่ำ ทองคำวรรณ และผู้เชี่ยวชาญ ทางภาษาโบราณ อีกหลายคน ได้ศึกษาการอ่านคำจารึก และการตีความถ้อยคำในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง ปี พ.ศ. 2521 ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร และศาสตราจารย์หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ได้ศึกษาคำอ่านทำให้ได้รับความรู้เพิ่มเติมขึ้นจากการสันนิษฐาน ผู้แต่งอาจมีมากกว่า 1 คน เพราะเนื้อเรื่อง ในหลักศิลาจารึกแบ่งได้เป็น 3 ตอนด้วยกัน รายละเอียดของศิลาจารึก หลักที่ 1วัตถุจารึก: หินทรายแป้งเนื้อละเอียด ประวัติสันนิษฐานว่าศิลาจารึก หลักที่ 1 จารึกขึ้นประมาณ พ.ศ. 1835 เป็นปีที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงสั่งให้สร้างพระแท่นมนังศิลาบาตรและจารึกหลักอื่น ๆ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าฟ้ามงกุฎฯ และผนวชอยู่วัดราชาธิวาสในรัชกาลที่ 3 ทรงนำศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช จากพระราชวังเก่ากรุงสุโขทัยมากรุงเทพฯ พร้อมกับพระแท่นมนังศิลาบาตร เมื่อ พ.ศ. 2376 ต่อมาได้มีการทำคำอ่านและแปลเป็นภาษาไทยครั้งแรก ตามคำอ่านของศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ และใน พ.ศ. 2521 คณะกรรมการพิจารณาและจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ได้ตั้งอนุกรรมการขึ้นมาคณะหนึ่ง เพื่ออ่านและตรวจสอบจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และได้จัดพิมพ์ขึ้นเป็นฉบับภาษาไทยที่สมบูรณ์ ศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช มีความสูง 1 เมตร 11 เซนติเมตร ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ทำนองแต่งแต่งเป็นความเรียงร้อยแก้วแต่บางตอนมีสัมผัส ความมุ่งหมายเพื่อบันทึกเหตุการณ์สำคัญของกรุงสุโขทัย สภาพบ้านเมืองในขณะนั้น และสดุดีพระเกียรติของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เรื่องย่อศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช มีจารึกไว้ทั้ง 4 ด้าน กล่าวคือ ด้านที่ 1 ทรงเล่าพระราชประวัติของพระองค์ตั้งแต่ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๑ – ๑๘ เป็นพระราชประวัติพ่อขุนรามคำแหง ตั้งแต่ประสูติ จนถึงเสด็จขึ้ครองราชย์ เนื้อเรื่องกล่าวถึงพระจริยวัตรที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อพระราชบิดา พระราชมารดา และพระเชษฐา
ด้านที่ 2 ความต่อจากด้านที่ 1ตั้งแต่ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๑๘ จนถึงด้านที่ ๔ บรรทัดที่ ๑๑ กล่าวถึงสภาพบ้านเมือง เหตุการณ์ ขนบธรรมเนียมประเพณี ความเป็นอยู่ พระศาสนา การปกครอง ศิลปะและวัฒนธรรม รวมทั้งการประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นใน พ.ศ. ๑๘๒๖
ด้านที่ 3 กล่าวถึงการสร้างพระแท่นมนังศิลาบาตรในดงตาลสำหรับพระสงฆ์แสดงธรรมตั้งแต่ด้านที่ ๔ บรรทัดที่ ๑๒ จนถึงบรรทัดที่ ๒๗ (บรรทัดสุดท้าย) เป็นการยอพระเกียรติพ่อขุนรามคำแหง และกล่าวถึงอาณาเขตของกรุงสุโขทัย
ด้านที่ 4 กล่าวถึงการก่อตั้งพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ การประดิษฐ์อักษรไทย และอาณาเขตอาณาจักรสุโขทัยตั้งแต่ด้านที่ ๔ บรรทัดที่ ๑๒ จนถึงบรรทัดที่ ๒๗ (บรรทัดสุดท้าย) เป็นการยอพระเกียรติพ่อขุนรามคำแหง และกล่าวถึงอาณาเขตของกรุงสุโขทัย คุณค่าของวรรณคดีศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชมีคุณค่าทางวรรณกรรมมาก โดยเฉพาะด้านภาษาศาสตร์ เพราะเป็นต้นกำเนิดของภาษาไทยในปัจจุบัน ทั้งในแง่ของตัวอักษร วิธีการเขียน การใช้คำ และหลักภาษา นอกจากนี้ยังมีคุณค่าด้านประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียมประเพณี ศาสนา ความเชื่อ กฎหมาย การปกครอง ตลอดจนสภาพการณ์บ้านเมืองในอดีต และที่สำคัญ ศิลาจารึก หลักที่ 1 ยังมีอิทธิพลต่อการแต่งวรรณคดีสมัยต่อ ๆ มาหลายเรื่อง เช่น ลิลิตตำนานพระแท่นมนังศิลาบาตร ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ๑. ด้านภาษาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงเป็นหลักฐานที่สำคัญที่สุด ที่แสดงให้เห็นถึงกำเนิดของวรรณคดีและอักษรไทย เช่น กล่าวถึงหลักฐานการประดิษฐ์อักษรไทย ด้านสำนวนการใช้ถ้อยคำในการเรียบเรียงจะเห็นว่า – ถ้อยคำส่วนมากเป้นคำพยางค์เดียวและเป็นคำไทยแท้ เช่น อ้าง โสง นาง เป็นต้น – มีคำที่มาจากภาษาบาลีสันสกฤตปนอยู่บ้าง เช่น ศรีอินทราทิตย์ ตรีบูร อรัญญิก ศรัทธา พรรษา เป็นต้น – ใช้ประโยคสั้น ๆ ให้ความหมายกระชับ เช่น แม่กูชื่อนางเสือง พี่กูชื่อบานเมือง – ข้อความบางตอนใช้คำซ้ำ เช่น “ป่าพร้าวก็หลายในเมืองนี้ ป่าลางก็หลายในเมืองนี้ – นิยมคำคล้องจองในภาษาพูด ทำให้เกิดความไพเราะ เช่น “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว เจ้าเมืองบเอาจกอบในไพร่ลู่ทาง เพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย” – ใช้ภาษาที่เป็นถ้อยคำพื้น ๆ เป็นภาษาพูดมากกว่าภาษาเขียน ๒. ด้านประวัติศาสตร์ให้ความรู้เกี่ยวกับพระราชประวัติพ่อขุนรามคำแหง จารึกไว้ทำนองเฉลิมพระเกียรติ ตลอดจนความรู้ด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดี และสภาพสังคมของกรุงสุโขทัย ทำให้ผู้อ่านรู้ถึงความเจริญรุ่งเรืองของกรุงสุโขทัย พระปรีชาสามารถของพ่อขุนรามคำแหง และสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชาวสุโขทัย ๓. ด้านสังคมให้ความรู้ด้านกฎหมายและการปกครองสมัยกรุงสุโขทัย ว่ามีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก พระมหากษัตริย์ดูแลทุกข์สุขของราษฎรอย่างใกล้ชิด ๔. ด้านวัฒนธรรม ประเพณีให้ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม ประเพณีอันดีงามของชาวสุโขทัยที่ปฏิสืบมาจนถึงปัจจุบัน เช่น การเคารพบูชาและเลี้ยงดูบิดามารดา นอกจากนั้นยังได้กล่าวถึงประเพณีทางศาสนา เช่น การทอดกฐินเมื่อออกพรรษา ประเพณีการเล่นรื่นเริงมีการจุดเทียนเล่นไฟ พ่อขุนรามคำแหงโปรดให้ราษฎรทำบุญและฟังเทศน์ในวันพระ เช่น “คนเมืองสุโขทัยนี้มักทาน มักทรงศีล มักอวยทาน…….ฝูงท่วยมีศรัทธา ในพระพุทธศาสนา ทรงศีล เมื่อพรรษาทุกคน” |