สมรรถภาพทางกายด้านความอดทนมีอะไรบ้าง

สมรรถภาพทางกาย
           เมื่อพิจารณาถึงสมรรถภาพทางกายภาพตลอดชั่วชีวิตของคนเราพบว่าคนเรานั้นจะมีสมรรถภาพทางกายดีขึ้นจากวัยเด็ก เรื่อย มาจนถึงจุดสูง สุดในช่วงอายุ 30 ปี ต่อจากนั้นสมรรถภาพทางกายและวุฒิภาวะจะเริ่มลดลงตามลำดับ

           การมีสุขภาพดีเป็นรากฐานของการมีสมรรถภาพทางกายที่ดี ดังนั้น สมรรถภาพจึงเป็นตัวบ่งชี้ถึงความสามารถของ ร่างกาย ในการ ที่จะประ กอบ กิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด

โดยทั่วไปสมรรถภาพทางกายแบ่งออกเป็น 2 อย่าง คือ
           1. สมรรถภาพทางกายทั่วไป (General Physical fitness)
           2. สมรรถภาพทางกายพิเศษ (Special Physical fitness)

1. สมรรถภาพทางกายทั่วไป (General Physical fitness)
           คณะกรรมการนานาชาติ เพื่อจัดมาตรฐานการทดสอบความสมบูรณ์ทางด้านร่างกาย (International for the Standardization of Physical fitness Test) ได้จำแนกความสมบูรณ์ทางกายออกเป็น 7 ประเภท คือ
           1. ความเร็ว (Speed)  คือ ความสามารถของร่างกายในการเคลื่อนที่จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง โดยใช้ระยะเวลาสั้นที่สุด
           2. พลังกล้ามเนื้อ (Muscle Power) คือ  ความสามารถของกล้ามเนื้อในการทำงานอย่างรวดเร็ว  และแรงในจังหวะของ กล้ามเนื้อหด ตัวหนึ่งครั้ง เช่น ยืนกระโดดไกล
           3.   ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ  (Muscle Strength) คือ  ความสามารถของกล้ามเนื้อที่หดตัวเพียงครั้งเดียวโดยไม่จำกัด เวลา  เช่น การยก น้ำหนัก  เป็นต้น
           4. ความอดทนของกล้ามเนื้อ (Muscle  endurance , Anaerobic  Capacity) คือ  ความสามารถของกล้ามเนื้อที่ได้ประกอบ กิจกรรมซ้ำซากได้เป็นระยะเวลานานอย่างมีประสิทธิภาพ
           5. ความคล่องตัว (Agility)  คือ ความสามารถของร่างกายที่จะบังคับควบคุมในการเปลี่ยนทิศทางของการเคลื่อนที่ได้ด้วย ความรวด เร็วและแน่นอน
           6. ความอ่อนตัว (Flexibility)  คือ  ความสามารถของข้อต่อต่าง ๆ ในการที่จะเคลื่อนไหวได้อย่างกว้างขวาง
           7. ความอดทนทั่วไป  (General endurance)  คือ ความสามารถในการทำงานของระบบต่างๆ  ในร่างกายที่ทำงานได้นาน และมี ประสิทธิภาพ

การเสริมสร้างสมรรถภาพทางกายทั่วไป (General Physical fitness)
           1). การเสริมสร้างความเร็ว ( Speed )
ความเร็วของการเคลื่อนไหว ขึ้นอยู่กับการทำงานของระบบประสาท และระบบกล้ามเนื้อและการเปลี่ยนแปลงความเร็ว ซึ่งเกิด จากระบบ ประสาทเป็นส่วนใหญ่
           เมื่อกล่าวถึงความเร็วในการออกกำลังกายแล้ว จะต้องแยกการเคลื่อนไหวออกเป็น 2 อย่าง คือ การเคลื่อนไหวที่ต้องอาศัย ความ ชำนาญเป็นพิเศษ กับการเคลื่อนไหวแบบธรรมดาง่ายๆ ดังนั้น การฝึกการเคลื่อนไหวที่ต้องอาศัยความชำนาญพิเศษ เพื่อ เพิ่มความเร็ว จึงเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายกว่า เช่น ฝึกว่ายน้ำ ตีเทนนิส หรือพิมพ์ดีด เป็นต้น ซึ่งในช่วงแรกของการฝึกจะกระทำได้ช้า แต่ต่อมา จะสามารถ เพิ่มความเร็วขึ้นได้เรื่อยๆ และในการเริ่มต้นของการฝึกถ้ากระทำให้ถูกวิธี จะเป็นส่วนผลักดันให้มีการ พัฒนาไปได้ไกล และมีประ สิทธิภาพอีกด้วย สำหรับความเร็วที่ใช้ในการเคลื่อนไหวแบบธรรมดานั้น ได้แก่ การแข่งขันวิ่งเร็ว ถ้า ต้องการจะวิ่งให้เร็วขึ้นจะต้อง ลดระยะเวลาของการหดตัวและการคลายตัวของกล้ามเนื้อ นั่นคือ ความยาวของก้าวและความถี่ ของก้าวจะต้องเพิ่มขึ้น ความยาวของการ ก้าวเท้าขึ้นอยู่กับความยาวของเขา และความถี่ของการก้าวเท้าขึ้นอยู่กับความเร็วใน การหดตัวของกล้ามเนื้อ และการร่วมมือกัน ทำงานระหว่างระบบประสาทกับระบบกล้ามเนื้อ
           2). การเสริมสร้างพลังกล้ามเนื้อ (Muscle Power)
           พลังของกล้ามเนื้อเกิดจากการรวมของปัจจัยต่อไปนี้
           1. แรงที่เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อหลาย ๆ มัด ที่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวในกลุ่มเดียวกัน
           2. ความสามารถของกล้ามเนื้อในกลุ่มเดียวกันที่ทำงานประสานกับกล้ามเนื้อของกลุ่มตรงข้าม
           3. ความสามารถทางกลไกในการทำงานของระบบคนระหว่างกระดูกกับกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้อง
           3). การเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Muscle Strength)
           จากหลักการที่ว่า วิธีที่จะทำให้เกิดความแข็งแรงได้นั้น จะต้องฝึกให้กล้ามเนื้อทำงานต่อสู้กับแรงต้านทานหรือน้ำหนักที่ สูงขึ้น โดยวิธีเพิ่มแรงต้านทานทีละน้อยเป็นระยะเวลานาน
           วิธีการฝึกเพื่อพัฒนาความแข็งแรงนั้นมีหลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบต่างก็ยึดเอาแรงต้านทาน เป็นสำคัญสำหรับพัฒนาความ แข็ง แรงของกล้ามเนื้อ หรือยึดหลัก "Overload Principle" โดยให้ร่างกายฝึกเลยขีดความสามารถปกติ (Normal Capacity) สักเล็ก น้อยซึ่งการออกกำลังกายที่เกินขีดความสามารถนี้จะทำให้ร่างกายเกิดการสับสน ในระยะ 2 – 3 วันแรก หลังจากนั้น ร่างกายจะมี การปรับ ตัวให้เข้ากับสถานการณ์ โดยปกติหากเราให้เวลาแก่ร่างกาย เพื่อการปรับตัวประมาณ 1 เดือน จะทำให้ร่างกายทำงาน ในขีดความ สามารถธรรมดาใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือ ร่างกายมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น ขีดความ สามารถก็สูงขึ้นด้วย ใน ปัจจุบัน วิธีการฝึกเพื่อพัฒนาความแข็งแรง จะใช้การฝึกแบบ Isometric Exercise
           4). การเสริมสร้างความอดทนของกล้ามเนื้อ (Muscle Endurance)
           ในการเสริมสร้างความอดทนหรือทนทานของกล้ามเนื้อ เท่ากับเป็นการเสริมสร้างการทำงานของระบบไหลเวียนเลือด ระบบหาย ใจ และระบบกล้ามเนื้อ ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การฝึกเพื่อเสริมสร้างคุณสมบัติดังกล่าว ก็คล้ายกับการฝึก เพื่อเสริมสร้าง ความ แข็งแรง เพราะต่างก็ยึดหลัก Overload Principle พร้อมทั้งมีความเข้มข้น ระยะเวลา และความบ่อยอย่าง เพียงพอ และเหมาะสม สำหรับแต่ละคน
           5). การเสริมสร้างความคล่องตัว (Agility)
           ความคล่องตัวมีผลต่อประสิทธิภาพของการปฏิบัติกิจกรรมทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมที่ต้องอาศัยการเปลี่ยน ทิศทางหรือ เปลี่ยนตำแหน่งของร่างกาย ที่ต้องการความรวดเร็ว และถูกต้อง เช่น การออกวิ่งได้เร็ว หยุดได้เร็ว และเปลี่ยน ทิศทางการเคลื่อน ที่ได้รวดเร็ว ฉะนั้น ความคล่องตัวจึงเป็นพื้นฐานของสมรรถ ภาพทางกาย และเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเล่น กีฬาหลายอย่าง เช่น บาสเกต บอล แบดมินตัน ยิมนาสติก ฟุตบอล วอลเลย์บอล เป็นต้น
           6). การเสริมสร้างความอ่อนตัว (Flexibility)
           ความอ่อนตัว หมายถึง พิกัดการเคลื่อนไหวของข้อต่อ (The Range of Motion at a Joint) ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 อย่าง คือ
1. Static Flexibility หมายถึง พิกัดการเคลื่อนไหวขณะที่ข้อต่อเคลื่อนไหวช้ามาก ๆ
2. Dynamic Flexibility หมายถึง พิกัดการเคลื่อนไหวขณะที่ข้อต่อเคลื่อนไหวเร็ว ๆ ซึ่งมักจะมากกว่าแบบแรกเล็กน้อย
           ความสามารถของข้อต่อต่าง ๆ ในการเคลื่อนไหวได้อย่างกว้างขวาง ก็คือ ความสามารถในการอ่อนตัว และการ เคลื่อนไหวใด ๆ ถ้าไม่ได้ทำบ่อย ๆ หรือไม่ค่อยได้มีโอกาสใช้ข้อต่อบริเวณนั้นๆ จะมีผลทำให้กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อที่อยู่บริเวณ นั้นเสียความ สามารถ ในการยืดตัว จึงทำให้การอ่อนตัวไม่ดีไปด้วย และทำให้มีไขมันสะสมอยู่ในร่างกายเพิ่มขึ้น เท่ากับเป็นการ ลดความสามารถ ของการ อ่อนตัวลงไปด้วย
           7). การเสริมสร้างความอดทนทั่วไป (General Endurance)
           ความอดทนหรือความทนทาน หมายถึง ความสามารถของร่างกาย ที่ทนต่อการทำงานที่มีความเข้มข้นของงาน ระดับ ปานกลาง ได้เป็นระยะเวลานาน ความอดทนแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
1. ความอดทนของระบบไหลเวียนและระบบหายใจ (Circulorespiratory Endurance)
2. ความอดทนของกล้ามเนื้อแต่ละแห่งของร่างกาย (Local Muscle Endurance)

ที่มา : https://sites.google.com/site/wichasukhsuksa/home/bth-thi-4-smrrthphaph-thang-rangkay