18 พ.ค. 2564 Show
© 2022 Mercular.com All Rights Reserved. การจัดส่ง Apple เว้นระยะห่างนานถึง 31 เดือน นับจากวันเปิดตัว AirPods รุ่นที่ 2 จนถึงวันเปิดตัว AirPods รุ่นใหม่ล่าสุด แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าสมการรอคอย เพราะ AirPods รุ่นที่ 3 ได้รับการออกแบบใหม่หมด และยังมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่ไม่พบในรุ่นก่อน ไม่ว่าจะเป็นระบบเสียงตามตำแหน่ง (Spatial Audio), Adaptive EQ แบบปรับได้เองด้วยการใช้ระบบเสียงที่ประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ และยังให้อายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น นอกเหนือจากนี้ ยังมีอะไรที่น่าสนใจอีกบ้าง? ทีมงาน @Flashfly พร้อมรีวิวให้ชมแล้ว
แกะกล่อง AirPods 3AirPods รุ่นใหม่ล่าสุด ถูกเก็บไว้ในกล่องสีขาวที่เรียบง่าย มีการพิมพ์รูปภาพหูฟังทั้ง 2 ข้าง ไว้บนหน้ากล่อง ข้างกล่องระบุชื่อผลิตภัณฑ์ AirPods และ MagSafe Charging Case หลังกล่องมีรูปภาพเคสชาร์จของ AirPods รุ่นที่ 3 ที่เปิดฝาไว้เล็กน้อย เผยให้เห็นตัวหูฟังที่อยู่ภายใน และจะพบว่าที่ขอบกล่องมีการซีลด้วยแถบกระดาษกาว แทนการห่อหุ้มกล่องด้วยแผ่นพลาสติก ซึ่งเป็นวิธึการซีลกล่องรูปแบบใหม่ของ Apple ที่เริ่มนำมาใช้กับผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ ตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา เมื่อลอกแถบกระดาษกาวข้างใต้ออกทั้ง 2 แถบ ก็สามารถยกฝากล่องขึ้นมาอย่างง่ายดาย โดยจะพบกับซองเก็บคู่มือและเอกสารต่างๆ จากนั้นจะพบกับเคสชาร์จ MagSafe วางอยู่บนชั้นวาง ซึ่งข้างใต้เป็นที่เก็บสายชาร์จ Lightning to USB-C สำหรับเคสชาร์จ MagSafe ยังถูกพันด้วยแผ่นพลาสติก และแน่นอนว่าตัวหูฟัง AirPods ทั้ง 2 ข้าง ถูกเก็บอยู่ข้างในเรียบร้อยแล้ว ดีไซน์ใหม่ให้ดูโปรAirPods รุ่นที่ 3 ได้รับการออกแบบใหม่หมด แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้าอย่างชัดเจน แต่มีส่วนคล้ายกับ AirPods Pro และยังสามารถป้องกันเหงื่อและน้ำที่ระดับ IPX4 ได้ทั้งตัวเคสและหูฟัง เหมาะสำหรับการสวมใส่ในระหว่างออกกำลังกาย และป้องกันละอองน้ำได้อย่างดี เคสชาร์จของ AirPods รุ่นใหม่เป็นเคสชาร์จ MagSafe แบบเดียวกับที่ Apple อัพเกรดให้กับ AirPods Pro โดยรองรับอุปกรณ์ชาร์จแบบแม่เหล็กหรือ MagSafe รวมถึงอุปกรณ์ชาร์จไร้สายที่ได้รับการมาตรฐาน Qi เพิ่มความสะดวกสบายในการชาร์จได้มากขึ้น สำหรับผู้ใช้งานที่ไม่มีอุปกรณ์ชาร์จ MagSafe หรืออุปกรณ์ชาร์จไร้สาย ภายในกล่องก็แถมสายชาร์จ Lightning to USB-C มาให้ สามารถเสียบสายเข้ากับพอร์ต Lightning ใต้เคสชาร์จ ส่วน USB-C Power Adapter ต้องหยิบยืมมาจากอุปกรณ์อื่น ด้านหน้าเคสมีไฟ LED สำหรับบอกสถานะแบตตอรี่และการเชื่อมต่อ ทำให้ภาพรวมมีความใกล้เคียงกับเคสชาร์จของ AirPods Pro เป็นอย่างมาก แต่เคสชาร์จของ AirPods รุ่นที่ 3 มีสัดส่วนที่แคบและสูงกว่า อีกทั้งยังมีน้ำหนักเบากว่าเล็กน้อย มาดูที่ตัวหูฟังกันบ้าง AirPods รุ่นที่ 3 มีดีไซน์แตกต่างจาก AirPods Pro มากกว่าที่คิดไว้ ถึงแม้ภาพรวมจะดูคล้ายกัน แต่หูฟังของ AirPods รุ่นที่ 3 ไม่มีจุกหูฟัง และมีสัดส่วนที่แคบและบางกว่า ขณะที่น้ำหนักก็เบากว่า จึงมั่นใจได้ว่าการสวมใส่เป้นเวลานานจะให้ประสบการณ์ที่ดีกว่าอย่างแน่นอน หูฟัง AirPods รุ่นที่ 3 แต่ละข้างมีรูปทรงโค้งมน และออกแบบมาให้ทำมุมได้พอดีกับหู โดยมีน้ำหนักเบาเพียง 4.28 กรัม (AirPods Pro มีน้ำหนัก 5.4 กรัม) ซึ่งไม่เพียงแต่ให้ความสบายเมื่อสวมใส่ แต่ยังมีส่วนช่วยให้เสียงที่ขับออกมาส่งตรงเข้าสู่หูของผู้ใช้งานได้ดีขึ้น อีกทั้งยังมีก้านที่สั้นกว่ารุ่นก่อน พร้อมเซ็นเซอร์แรงกดแบบเดียวกับ AirPods Pro ช่วยให้ควบคุมได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ Apple ยังชูนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ AirPods รุ่นที่ 3 ใช้แม่เหล็กจากโลหะหายากที่ผ่านการรีไซเคิล 100 % ใช้ดีบุกรีไซเคิล 100% ในการบัดกรีแผงวงจรหลักในเคสชาร์จ และบานพับใช้อะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% และวัสดุทั้งหมดของ AirPods ยังปราศจากสารที่อาจเป็นอันตราย ไม่ว่าจะเป็นสารปรอทและเบริลเลียม บีบเบาๆเพื่อควบคุมการใช้งานAirPods รุ่นที่ 3 มีเซ็นเซอร์แรงกด (Force Sensor) แบบเดียวกับ AirPods Pro และไม่พบในรุ่นก่อน ช่วยให้ AirPods รุ่นใหม่สนับสนุนการควบคุมด้วยการบีบที่ก้าน เพื่อควบคุมการใช้งานตามคำสั่งต่อไปนี้
นอกจากการบีบ ยังสามารถควบคุม AirPods รุ่นที่ 3 แบบแฮนด์ฟรี เพียงพูดว่า “หวัดดี Siri” แล้วขอให้ทำสิ่งที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นขอให้เล่นเพลง โทรออกหาบุคคลที่ต้องการ หรือเรียกใช้แอปพลิเคชั่นต่างๆ ระบบเสียงสุดล้ำAirPods เป็นหูฟังไร้สายที่วางใจได้ในเรื่องคุณภาพเสียง และในรุ่นใหม่ล่าสุดก็ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อน โดยมาพร้อมไดรเวอร์ High-excursion แบบเฉพาะของ Apple และ ตัวขยายสัญญาณช่วงไดนามิกสูงแบบเฉพาะ แบบเดียวกับที่พบใน AirPods Pro เมื่อทำงานร่วมกันจะช่วยให้เสียงเบสที่ทรงพลัง และให้เสียงสูงที่ชัดเจน AirPods รุ่นที่ 3 ยังมี EQ แบบปรับได้เอง (Adaptive EQ) รวมถึงระบบเสียงตามตำแหน่ง (Spatial Audio) พร้อมการติดตามศีรษะแบบไดนามิก ซึ่งเป็นจุดเด่นของ AirPods Pro และ AirPods Max Adaptive EQ ขับเคลื่อนด้วยระบบเสียงที่ประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ สามารถปรับเสียงให้เข้ากับหูของผู้สวมใส่แบบเรียลไทม์ เพื่อให้รายละเอียดเสียงอย่างสมบูรณ์แบบ และใช้ไมโครโฟนที่หันเข้าด้านในคอยตรวจจับเสียงที่ผู้สวมใส่ได้ยิน จากนั้น Adaptive EQ จะปรับแต่งเสียงต่ำและกลางให้อัตโนมัติ เพื่อชดเชยรายละเอียดที่อาจหายไปจากระดับความกระชับที่ต่างกัน ระบบเสียงตามตำแหน่ง Spatial Audio ช่วยสร้างประสบการณ์การฟังแบบ 3D เหมือนในโรงภาพยนตร์ ทำให้ผู้สวมใส่ได้ยินเสียงเหมือนดังมาจากรอบตัว และยังมาพร้อมระบบเสียง Dolby Atmos ให้เสียงที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น เมื่อฟังเพลงจาก Apple Music รวมถึงชมภาพยนตร์และรายการทีวี Spatial Audio ยังมาพร้อมการติดตามศีรษะแบบไดนามิก ให้เสียงดังมาจากทิศทางต่างๆ เหมือนมีเสียงล้อมรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นการฟังเพลง ดูวิดีโอ หรือสนทนาแบบกลุ่มผ่าน FaceTime (เสียงจะดังมาจากทิศทางหรือตำแหน่งที่ผู้พูดอยู่บนหน้าจอ) โดยอาศัยอัลกอริทึมระบบเสียงตามตำแหน่งขั้นสูง และการใส่ฟิลเตอร์กำหนดทิศทางเสียง เพื่อปรับความถี่ที่หูแต่ละข้างอย่างแนบเนียน สนทนาแบบแฮนด์ฟรีได้อย่างชัดเจนนอกเหนือจากการฟัง การสนทนาแบบแฮนด์ฟรีด้วย AirPods รุ่นที่ 3 ก็ให้คุณภาพเสียงที่น่าประทับใจเช่นกัน เนื่องจากติดตั้งไมโครโฟนมาให้ 3 ตัว ประกอบด้วย ไมโครโฟนคู่แบบบีมฟอร์มมิ่ง และไมโครโฟนที่หันเข้าด้านใน อีกทั้งยังหุ้มไมโครโฟนด้วยผ้าตาข่ายอะคูสติกเพื่อช่วยลดเสียงรบกวนจากลม ทำให้เสียงของผู้ใช้งานถูกถ่ายทอดไปยังปลายสายได้อย่างคมชัด ดังชัดเจน อีกทั้งยังมาพร้อม AAC-ELD เป็นตัวแปลงสัญญาณเสียงพูดที่เหนือชั้น ให้คุณภาพเสียงระดับเอชดี สำหรับการโทรแบบ FaceTime เชื่อมต่อง่ายฉลาดมากขึ้นการเชื่อมต่อ AirPods กับอุปกรณ์ของ Apple ยังคงทำได้อย่างสะดวกและง่ายดายเหมือนเคย เพียงนำหูฟังมาอยู่ใกล้กับอุปกรณ์ของ Apple ที่ต้องการเชื่อมต่อ อย่างเช่น iPhone หรือ iPad แล้วเปิดฝาเคสชาร์จ หน้าจอของอุปกรณ์ก็จะแสดงหน้าต่างรูปภาพ AirPods ขึ้นมา สามารถแตะปุ่ม Connect เพื่อจับคู่ได้ทันที โดยการจับคู่ครั้งแรกจะมีหน้าจอสอนการควบคุมมีเดีย และหน้าจอแนะนำการใช้งานฟีเจอร์ Announce Calls & Notifications สำหรับให้ Siri ช่วยอ่านชื่อของบุคคลที่โทรเข้า รวมถึงแจ้งเตือนจากแอปต่างๆ เช่นแอปข้อความ เตือนความจำ ปฏิทิน เมื่อมีการเชื่อมต่อกับ iPhone AirPods รุ่นที่ 3 รองรับฟีเจอร์ Audio Sharing หรือ “การแชร์เสียง” ช่วยให้ผู้สวมใส่สามารถแชร์สตรีมเสียงระหว่าง AirPods, AirPods Pro หรือ AirPods Max สองคู่ได้ง่ายๆ บน iPhone, iPad, iPod touch หรือ Apple TV เหมาะสำหรับการฟังร่วมกับอีกคนในแบบส่วนตัว AirPods รุ่นที่ 3 ยังใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับผิวหนังแบบใหม่ มาใช้ตรวจจับการส่วมใส่ โดยเซ็นเซอร์ดังกล่าวสามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างหูของมนุษย์กับพื้นผิวอื่นๆ ได้อย่างแม่นยำ ช่วยให้ AirPods หยุดเล่นชั่วคราวทันทีเมื่อหูฟังถูกถอดออกจากหู และจะกลับมาเล่นอีกครั้งเมื่อสวมหูฟังกลับเข้าไป นอกจากนี้ AirPods รุ่นที่ 3 ยังเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่าย Find My ทำให้เจ้าของหูฟังได้รับการแจ้งเตือนหาก AirPods อยู่นอกระยะหรือทำให้ AirPods ส่งเสียงได้ด้วย และสามารถดูมุมมองที่บอกระยะความใกล้ในแอป Find My และ Lost Mode ช่วยตามหาหูฟังที่เผลอทำหล่นหายให้เจอได้ง่ายขึ้น แบตเตอรี่ใช้งานยาวนานขึ้นแบตเตอรี่ในหูฟัง AirPods รุ่นใหม่ทั้ง 2 ข้าง ให้อายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น 1 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า สามารถให้อายุการใช้งานสำหรับการฟังนานสูงสุด 6 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (หรือสูงสุด 5 ชั่วโมง เมื่อเปิดระบบเสียง Spatial Audio) และใช้สนทนาได้นานสูงสุด 4 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ขณะที่แบตเตอรี่ของเคสชาร์จ สามารถเติมพลังงานให้กับหูฟัง AirPods ได้อีก 4 รอบ หมายความว่า เมื่อเคสชาร์จและหูฟังมีแบตเตอรี่เต็ม 100% จะสามารถใช้ฟังได้ยาวนานถึง นานสูงสุด 30 ชั่วโมง ซึ่งนานกว่า 6 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับ AirPods Pro และ AirPods รุ่นที่ 2 และยังช่วยให้อายุการใช้งานสำหรับสนทนายาวนานสูงสุด 20 ชั่วโมง เคสชาร์จของ AirPods รุ่นที่ 3 ยังเป็นเคสชาร์จ MagSafe สามารถชาร์จแบตเตอรี่แบบแม่เหล็กกับอุปกรณ์ชาร์จ MagSafe ได้ รวมถึงชาร์จไร้สายกับอุปกรณ์ชาร์จไร้สายที่ได้รับมาตรฐาน Qi หรือถ้าไม่มีอุปกรณ์ชาร์จไร้สาย ก็สามารถชาร์จผ่านช่องต่อ Lightning ได้ตามปกติ AirPods รุ่นที่ 3 ยังสนับสนุนเทคโนโลยีชาร์จเร็ว เพียงใส่หูฟังไว้ในเคสเพียง 5 นาที ก็สามารถนำไปฟังหรือสนทนาได้นานประมาณ 1 ชั่วโมง สรุปราคาและการวางจำหน่ายAirPods รุ่นที่ 3 ได้รับการปรับปรุงใหม่ ทั้งดีไซน์ที่เป็นมิตรมากขึ้น โดยมีส่วนก้านที่สั้นลง สามารถควบคุมได้ดียิ่งขึ้น ได้รับมาตรฐานป้องกันน้ำและเหงื่อในระดับ IPX4 คุณภาพเสียงก็ดีขึ้นอย่างชัดเจน อีกทั้งยังรองรับระบบเสียง Spatial Audio และ Adaptive EQ แบบเดียวกับหูฟังราคาแพงของ Apple อายุการใช้งานแบตเตอรี่ก็ยาวนานยิ่งขึ้น รวมถึงเคสชาร์จแบบใหม่ที่มาพร้อม MagSafe ช่วยให้การชาร์จทำได้หลากหลายและสบายมากกว่ารุ่นก่อน สรุปแล้ว AirPods รุ่นที่ 3 มีอะไรหลายอย่างที่พบใน AirPods Pro แถมยังมีขนาดและน้ำหนักที่พกพาหรือสวมใส่ได้สบายกว่า แบตเตอรี่ให้อายุการใช้งานยาวนานกว่า เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการ AirPods Pro แต่เน้นใช้งานภายในอาคาร ไม่ต้องการฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวน แต่ต้องการหูฟังไร้สายคุณภาพสูงไว้ฟังเพลงเมื่อถึงเวลาผ่อนคลาย และใช้สนทนาได้อย่างชัดเจน ลดเสียงลมปะทะได้อย่างมีประสิทธิภาพ AirPods รุ่นที่ 3 จะวางจำหน่ายในราคา 6,790 บาท ขณะที่ AirPods รุ่นที่ 2 ถูกปรับราคาลงมาเหลือ 4,990 บาท (มาพร้อมเคสชาร์จมาตรฐานไม่รองรับการชาร์จไร้สาย)ขณะที่ AirPods Pro ได้รับคสชาร์จใหม่แบบ MagSafe โดยยังคงจำหน่ายในราคาเดิมที่ 8,992 บาท AirPods 3 ใช้สายชาร์จแบบไหนหากต้องการชาร์จเคสโดยใช้สาย ให้เสียบสาย Lightning ที่มาพร้อมกับ AirPods เข้ากับขั้วต่อ Lightning บนเคสชาร์จของคุณ คุณสามารถใช้สาย USB-C เป็น Lightning หรือสาย USB เป็น Lightning ได้ จากนั้นเสียบปลายสายอีกด้านหนึ่งเข้ากับที่ชาร์จหรือพอร์ต USB คุณสามารถชาร์จกล่องชาร์จโดยที่มีหรือไม่มี AirPods อยู่ข้างในก็ได้ คุณสามารถ ...
AirPods 3 มีอะไรในกล่องบ้างภายในกล่อง
AirPods. เคสชาร์จ Lightning หรือเคสชาร์จ MagSafe. สาย Lightning เป็น USB‑C. เอกสารคู่มือ
AirPods 3 มีสายชาร์จไหมภายในกล่องจะประกอบไปด้วย
ตัวเครื่อง AirPods 3. สายชาร์จ USB-C to Lightning Port. คู่มือ
ไมค์ airpod 3 อยู่ตรงไหนตั้งค่าไมโครโฟนให้อยู่ข้างซ้าย ข้างขวา หรืออัตโนมัติ
AirPods แต่ละข้างจะมีไมโครโฟนอยู่ คุณจึงสามารถโทรออกและใช้ Siri ได้ ตามค่าเริ่มต้นแล้ว ไมโครโฟนจะถูกตั้งค่าเป็นอัตโนมัติ เพื่อให้ AirPods ทั้งสองข้างสามารถใช้เป็นไมโครโฟนได้ หากคุณใช้ AirPods เพียงข้างเดียว AirPods ข้างนั้นจะเป็นไมโครโฟน
|