Home > โรคระบบทางเดินหายใจในเด็ก – Pediatric Respiratory Disease ปัญหาและโรคระบบการหายใจที่พบบ่อยในเด็ก ●
โรคหวัด “การติดเชื้อนิวโมคอคคัสอาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาอย่างท่วงทัน โดยจากสถิติพบว่า เชื้อนิวโมคอคคัส
เป็นเชื้อแบคทีเรียที่สามารถตรวจพบได้สามอันดับแรกของการติดเชื้อแบบรุนแรง โดยเฉพาะในเด็กที่อายุน้อยกว่า 5 ปี” กุมารแพทย์โรคระบบการหายใจ นอกจากการดูแลที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการติดเชื้อแล้ว คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความสำคัญต่อสุขอนามัย และการจัดสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว เพื่อช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อ นอกจากนี้ในปัจจุบัน มีวัคซีนที่สามารถช่วยป้องกันโรคติดเชื้อทางระบบหายใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยป้องกันการเจ็บป่วยและให้เด็กๆ มีสุขภาพแข็งแรง
และลดภาวะแทรกซ้อนได้มาก Package แพ็กเกจวัคซีนไอพีดี
(IPD) แชร์บทความ 5 กลุ่มโรค ที่มากับหน้าฝน กลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ 1.โรคไข้หวัดธรรมดา (Common Cold) เป็นโรคที่พบบ่อยมาก ทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก โดยเฉพาะเด็กเล็ก ซึ่งมักพบเป็นหวัดได้บ่อยถึงปีละ 6 – 8 ครั้ง เพราะเด็กมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำกว่าผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเด็กอนุบาล จึงมีโอกาสเป็นหวัดได้บ่อยกว่าผู้ใหญ่มาก ยิ่งเด็กที่เป็นโรคภูมิแพ้ก็จะยิ่งมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้มากขึ้น และอาจเจ็บป่วยจนถึงขั้นเป็นหวัดเรื้อรังหรือเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น หลอดลมปอด ไซนัสและหูชั้นกลางอักเสบตามมาได้ โรคหวัดจะพบได้บ่อยในช่วง 2 – 3 ปีแรกที่เข้าโรงเรียนใหม่ๆ ส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยอนุบาล เมื่ออายุเกิน 6 ปี ก็จะเป็นหวัดน้อยลงเหลือเพียงปีละ 2 -3 ครั้ง เชื้อที่เป็นสาเหตุของหวัดส่วนใหญ่เป็นไวรัส อาการที่สำคัญคือ มีน้ำมูกใสๆไหล จาม คัดจมูก บางคนครั่นเนื้อครั่นตัว อาจมีอาการไอตามมาทีหลังได้ อาการไข้มักจะไม่สูงมากและเป็นอยู่ไม่เกิน 3 วัน อาการหวัดมักจะหายไปเองใน 3 – 4 วัน หรือไม่เกิน 7 วัน อาการ
การติดต่อ
แหล่งที่มา : ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย 2.ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) ลักษณะโรค เป็นการติดเชื้อไวรัสที่ระบบทางเดินหายใจแบบเฉียบพลัน โดยมีลักษณะทางคลินิกที่สำคัญคือ มีไข้สูงแบบทันทีทันใด ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่สำคัญที่สุดโรคหนึ่ง ในกลุ่มโรคติดเชื้ออุบัติใหม่และโรคติดเชื้ออุบัติซ้ำ เนื่องจากเกิดการระบาดใหญ่ทั่วโลก (pandemic) มาแล้วหลายครั้ง แต่ละครั้งเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางเกือบทุกทวีป ทำให้มีผู้ป่วยและเสียชีวิตนับล้านคน สาเหตุ
การติดต่อ
ระยะฟักตัว ประมาณ 1-3 วัน ระยะติดต่อ
อาการ
แหล่งที่มา : กรมควบคุมโรค
คออักเสบ/ทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน (Acute Pharyngitis/ Tonsillitis/ Pharyngotonsillitis) หมายถึง การติดเชื้อของบริเวณคอหอย ทั้งบริเวณที่เป็น Nasopharynx และ Oropharynx และ/หรือต่อมทอนซิล โรคทอนซิลอักเสบพบบ่อยที่สุดในช่วงอายุ 3-14 ปี พบน้อยในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 1 ปี สาเหตุและระบาดวิทยา สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส ที่พบบ่อย ได้แก่ Adenovirus, Influenza Virus, Para Influenza Virus, Rhinovirus, Respiratory Syncytial Virus (RSV) ไวรัสอื่นที่พบรองลงมา คือ Coxsackievirus, Echovirus, Herpes Virus, Epstein-Barr Virus (EBV) กลุ่มแบคที่เรีย เชื้อที่พบบ่อยที่สุด คือ Group A Beta-hemolytic Streptococci (GABHS) พบเป็นสาเหตุประมาณร้อยละ 20 ถึง 40 ที่พบรองลงมา ได้แก่ Group C, Group G streptococci และ Anaerobe มีรายงานว่าพบเชื้อ Fusobacterium Necrophorum ในวัยรุ่น กลุ่ม Atypical pathogen ที่เป็นสาเหตุ ได้แก่ Mycoplasma Pneumoniae, Chlamydophila (or Chlamydia) Pneumoniae แต่พบได้ไม่บ่อย ลักษณะอาการทางคลินิก อาการที่สำคัญ คือ ไข้ และเจ็บคอ แต่ในเด็กเล็กที่ยังไม่สามารถบอกอาการได้ จะมาด้วยอาการน้ำลายไหลผิดปกติ หรือไม่รับประทานอาหาร ส่วนอาการอื่นๆ ที่พบร่วมได้ ขึ้นกับเชื้อที่เป็นสาเหตุ เช่น
1) ทอนซิลอักสบเป็นหนอง หรือทอนซิลบวมแดงจัด 2) ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอส่วนหน้าบวมและกดเจ็บ 3) ไข้สูง > 38 “ซ 4) ไม่มีอาการไอ 5) อายุ 3-14 ปี เชื้อก่อโรคบางชนิดมีลักษณะเฉพาะที่ช่วยในการวินิจฉัย หรือมีอาการร่วมในระบบอื่น ๆ ของร่างกาย หรือมีภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ การรักษา
พบว่ามีผลไม่แตกต่างจากยาหลอก ภาวะแทรกซ้อน
แหล่งที่มา : ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และ สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย 4.หลอดลมอักเสบ (Bronchitis) โรคหลอดลมอักเสบ เกิดจากการอักเสบของเยื่อบุหลอดลม ซึ่งเป็นท่อที่นำลมหรืออากาศที่หายใจเข้าสู่ปอด ทำให้เยื่อบุหลอดลมบวม มีเสมหะในหลอดลม ทำให้ผู้ป่วยมีอาการไอ มีเสมหะ หายใจลำบาก หอบเหนื่อย แน่นหน้าอก อาจหายใจมีเสียงดังหวีดได้
อาจมีอาการเจ็บคอ แสบคอ หรือเจ็บหน้าอก ผู้ป่วยอาจมีไข้ รู้สึกครั่นเนื้อ ครั่นตัว ซึ่งควรวินิจฉัยแยกโรคจากโรคปอดบวม (Pneumonia) ซึ่งทำให้ผู้ป่วยมีไข้ ไอ และหอบเหนื่อย
– ควรหลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานต่ำลง ได้แก่ เครียด, นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ, สัมผัสอากาศที่เย็นมากๆ เช่น ขณะนอนเปิดแอร์ หรือพัดลมเป่าจ่อ, ตากฝน หรือมีคนรอบข้างที่ไม่สบายคอยแพร่เชื้อให้ – หมั่นออกกำลังกายแบบแอโรบิก (การออกกำลังกายที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น หายใจเร็วขึ้นต่อเนื่องกัน เช่น วิ่ง, เดินเร็ว, ขึ้นลงบันได, ว่ายน้ำ, ขี่จักรยานแบบปรับน้ำหนักความฝืดได้, เตะฟุตบอล, เล่นเทนนิส, แบดมินตัน หรือบาสเกตบอล) อย่างน้อยวันละ 30 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน
– ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยง ควัน, กลิ่นฉุน, ควันบุหรี่, สารเคมี, ฝุ่น, สารระคายเคืองต่างๆ ภาวะแทรกซ้อน แหล่งที่มา : ราชวิทยาลัยโสต ศอ นาสิกแพทย์ประเทศไทย
ลักษณะโรค
สาเหตุ อาจเกิดได้ทั้งจากไวรัส แบคทีเรีย และเชื้อรา อาการ
การป้องกัน
|