การกู้ยืมเงินของคนไทยอาจถูกจำกัดให้แคบลง เพราะธปท มีการออกมาตรการลดการอนุมัติสินเชื่อบุคคล การจำกัดการถือบัตรเครดิต และเรื่องการปลดหนี้ด้วยคลินิกแก้หนี้ ความหวังริบหรี่ของผู้ที่อยากได้เงินเริ่มหายไปทุกที จนมาถึงยุคที่การกู้เงินไม่จำเป็นต้องทำกับธนาคารหรือสถาบันการเงินอีกต่อไป เพราะเราจะได้ยินคำว่า peer to peer lending (P2P) หรือการกู้ยืมเงินแบบ บุคคลต่อบุคคล ซึ่งเป็นอะไรที่ใหม่มากสำหรับคนไทย และข่าวเกี่ยวกับการกู้ยืมประเภทนี้ เริ่มมีกระแสมาตั้งแต่ปี 2016 ซึ่งหลายบริษัทอยากกระโดดเข้ามาเล่นในตลาด P2P Loan แต่ยังคงติดเรื่องกฎหมายอยู่ แต่นั่นก็เป็นอะไรที่ต้องค่อยๆไป เพราะ Thailand 4.0 อาจจะต้องมีการปรับปรุงอะไรหลายๆอย่างยกใหญ่ ซึ่งวันนี้ เราจะมาพูดถึงข้อดีของ P2P Lending กัน ว่ามันจะดีอย่างไรนะ? ดีต่อใคร? และมีข้อเสียมั้ย? Show รู้จักกับคำว่า P2P ก่อน
P2P หรือ peer to peer คำว่า peer มาจากคำว่า เพื่อน นั่นคือเพื่อนกับเพื่อน หรือบุคคลต่อบุคคลนั่นเอง และการกู้ยืมเงินในอดีตหากจะเป็นบุคคลต่อบุคคลแล้ว ต้องเป็นบุคคลที่เรารู้จักที่เราสามารถขอยืมเงินได้ เช่นพ่อแม่ ญาติ พี่น้อง เพื่อน และคนที่คุ้นกัน แต่ระบบ peer to peer lending มันเป็นการกู้ยืมเงินจากบุคคลและเป็นบุคคลเท่านั้น ไม่ใช่ธนาคาร หรือสถาบันการเงิน และเป็นการกู้ยืมเงินจากคนที่ไม่รู้จัก ผ่านตัวกลาง P2P Lending ต้องผ่านตัวกลางอยู่ดี ใครว่าไม่ผ่าน? หลายเว็บไซด์ตีความหมายว่า P2P lending เป็นการกู้ยืมที่ไม่ผ่านตัวกลาง ซึ่งจริงๆ แล้ว ถ้าไม่ผ่านตัวกลางเนี่ยแปลว่า นาย A จะให้นาย B กู้ยืม โดยการโอนเงินให้เลย หลังจากที่ได้พูดคุยกัน แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ เพราะ peer to peer lending มันคือการผ่านตัวกลาง และในปัจจุบันมันคือ Online Platform หรือ application นั่นเอง ซึ่งตัวกลางก็จะคอยเก็บเงินค่า Fees ค่าธรรมเนียม หรือส่วนแบ่งเป็น % ต่างๆ จากทั้งผู้ที่สนใจให้กู้ยืม ผู้กู้ยืมนั่นเอง ซึ่งรวมๆแล้ว ระบบ P2P lending มีทั้งหมด 3 parties ด้วยกันหลักๆคือ
หากใครนึกไม่ออก สำหรับคนที่ชอบโหลดหนังต่างๆผ่านพวก Bittorrent มันต้องมีคนเป็น Seeder และ Leacher ซึ่งเป็นคนปล่อยข้อมูล และ ดาวน์โหลดข้อมูล ระหว่างบุคคล ยังไงๆ ก็ต้องมีการผ่านระบบกลาง คือ internet หรือ software ที่ ไว้ใช้สำหรับ โหลดบิตนั่นแหละ โดยที่ตัวกลางเช่น Utorrent, Bittorrent ก็จะสามารถเอา platform ตัวเองมาให้คนสมัครเสียเงินรายเดือนได้ หรือเก็บค่าโฆษณาได้ ซึ่งเค้าก็ยังคงต้องมีตัวกลางอยู่ดี
ทุกคนรู้จัก UBER อยู่แล้ว ถ้าคุณมีรถ คุณไปสมัครเป็นคนขับ คุณอยากรับใครก็กดรับ และก็ไปรับไปส่งเค้า และได้ค่าตอบแทน นักลงทุน หรือผู้ให้ยืมก็เปรียบเสมือนคนขับนั่นแหละ คุณสามารถเลือกได้ว่า ใครคุณอยากจะให้กู้ และคุณจะคิดตังค์เค้าเท่าไหร่ ก็ตามกฎของ platform และกฎหมาย ผู้โดยสารก็เปรียบเสมือน ผู้ขอกู้ ที่ไม่สามารถเลือกผู้กู้ได้ ซึ่ง การที่ P2P lending เข้ามาในไทย อาจจะประสบปัญหาแบบเดิมๆ ที่ Taxi เจอกันอยู่ทุกวันนี้กับ คนขับ Uber Diagram ของ Peer to Peer Lending ภาพจาก stratinfotech (พัฒนาระบบ p2p)การกู้ยืมต้องมีตัวกลางขึ้นมาก่อน คือ website, application, ฯลฯ ซึ่งตัวกลางนี้ จะคอยทำหน้าที่โฆษณาชวนเชื่อ ให้ผู้มีเงิน ปล่อยกู้มาปล่อยกู้ และคนที่อยากกู้มาทำเรื่องกู้ และ คนที่มีเงินก็จะได้รับผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย และผู้ที่กู้ ก็จะได้เงิน และตัวกลางก็จะได้ส่วนแบ่งจากอัตราดอกเบี้ยนั้นๆไป จาก diagram นี้ จะเห็นได้ชัดว่า ยังไงก็ต้องผ่านตัวกลางอยู่ดีนะ ข้อดีข้อเสียของ Peer to Peer Lendingทุกอย่างในโลกล้วนแล้วแต่มีข้อดี และข้อเสียในตัวของมัน คนที่อยากกู้ยืมเงิน ทั้งระยะยาวและระยะสั้น ก็อาจจะสงสัยเกี่ยวกับระบบนี้ ว่ามันมีจุดแข็งจุดบอดยังไงบ้าง? จะหนีธนาคารมา ฟังเรื่องเกี่ยวกับ P2P Lending ทำไมมันดูดีจัง มันดีอย่างที่ได้ยินมาหรือเปล่านะ? เราแยก ข้อดี ข้อเสียของ Peer to Peer Lending เป็นทั้ง 2 ฝ่าย ฝ่ายละ 2 ข้อ รวมเป็นทั้งหมด 4 ข้อ ทั้งสำหรับผู้กู้ และผู้ให้กู้ ข้อดีของ P2P กับผู้ยื่นกู้
ข้อดีของ P2P กับผู้ให้กู้เงิน (เจ้าของเงิน)
ข้อเสียของ P2P กับผู้ยื่นกู้
ข้อเสียของ P2P กับผู้ให้กู้เงิน (เจ้าของเงิน)
จะเห็นได้ชัดว่า ความเสี่ยงนั้นไม่ได้อยู่ที่ผู้กู้เลย และความเสี่ยงก็ไม่ได้ตกอยู่กับ Platform ตัวกลางด้วย ความเสี่ยงส่วนใหญ่ หรือที่เรียกว่า ข้อเสียส่วนใหญ่มันอยู่กับเจ้าของเงินล้วนๆ ดังนั้นใครจะลงทุนกับ P2P lending ประเภทนี้ ต้องระมัดระวังให้เยอะ ข้อกฏหมายทั้งในไทยและต่างประเทศสิ่งหนึ่งที่ P2P Lending ยังคงไม่ได้เป็นที่นิยมในประเทศไทยก็คือ “ข้อบังคับ และความคลุมเครือ ของกฎหมาย” ที่ยังคงต้องมาตีความให้เจนมากยิ่งขึ้น เพราะมีบางข้อเช่น P2P จะสามารถตีเป็นการกู้ยืมเงินได้หรือไม่? เช่น การยืมเงินทดรอง, สัญญาเช่นแชร์เปียหวย, มอบเงินให้ไปดำเนินกิจการร่วมกัน, สัญญาเบิกเงินเกินบัญชี, สัญญาบัตรเครดิต ฯลฯ ซึ่งการกู้ยืมเงินผ่าน P2P นั้น หากไม่มีลายลักษณ์อักษร จะสามารถกู้ยืมได้หรือไม่? (ขนาดธนาคารใหญ่ๆ เวลาสินเชื่อผ่าน ผู้กู้ยังต้องเซ็นต์เอกสารเลย) และกฎหมายมีดังนี้
ดังนั้นการเซ็นต์ชื่อเป็นลายลักษณ์อักษรนั้นยังคงมีความจำเป็นต้องทำ ไม่ใช่การกู้ยืมเงิน และโอนผ่านออนไลน์กันอย่างเดียว รวมถึงธุรกิจเงินทุนนั้น กฎหมายสินเชื่อ จากธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวเอาไว้ถึง ธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ เพียง 3 อย่างเท่านั้น แต่ยังไม่มีข้อไหนที่สามารถระบุ ถึงบุคคลตัวกลางหรือ Platform เพราะน่าจะเข้าใจได้ว่า ธุรกิจตัวกลางไม่ใช่เจ้าของเงิน แต่เป็นบุคคลที่เอาเงินมาให้กู้นั่นเอง คลิ๊กเพื่อดาวน์โหลดเอกสารจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าด้วยกฎหมาย พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน ที่มา https://bot.or.th สำหรับเมืองนอกเค้ามีกฎหมายครอบคลุม 4 ข้อใหญ่ๆ ดังนี้
บริษัทที่เปิดให้บริการ P2P Lendingบริษัท Peer to Peer Lending ในต่างประเทศที่ดังๆคือ Upstart, Funding Circle, Prosper Marketplace, CircleBack Lending, Peerform, Sofi, Lending Club, ข้อมูลจาก Investopedia บริษัท Peer to Peer Lending ในประเทศไทยที่พึ่งเปิดตัวไป (มีทั้งที่ดำเนินกิจการแล้ว และยังไม่ดำเนินกิจการ เนื่องจากติดเรื่องกฎหมายหรือ ใบอนุญาต ประกอบกิจการ)
|