ร.ศ. 103 ตรงกับ พ.ศ. 2427 เป็นปีที่ 17 ของการครองราชย์รัชกาลที่ 5 ได้มีเจ้านายและข้าราชการจำนวนหนึ่งที่รับราชการ ณ สถานทูตไทย กรุงลอนดอนและกรุงปารีส ได้ร่วมกันลงชื่อในเอกสารกราบบังคมทูลความเห็นจัดการเปลี่ยนแปลงการปกครองราชการแผ่นดิน ร.ศ. 103 Show
ที่มา: หนังสืออนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ หลวงเอนกนยวาท (ม.ร.ว.นารถ ชุมสาย)
‘พระองค์เจ้าปฤษฎางค์’ ได้ทรงมีบันทึกไว้ว่า “ตกลงกันเป็นอันจะทูลเกล้าฯ ถวายความเห็นร่วมกันรับผิดชอบด้วยกัน ซึ่งเป็นความเห็นของพระองค์เจ้าสวัสดิโสภณมากข้อ ข้าพเข้าเป็นผู้เรียบเรียง กรมหมื่นนเรศร์พระองค์โสณบัณฑิตฯ พระองค์สวัสดิ์ฯเป็นผู้แก้ไขเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมทำ 4 ฉบับ ส่งเข้าไปให้สมาชิกสโมสรหลวง สุดแต่จะมีผู้ใดเต็มใจลงนามร่วมเห็นพ้องด้วยทูลเกล้าถวาย 1 ฉบับ สำหรับพระราชทานลงนาม ทูลเกล้าถวาย 1 สำหรับสำนักทูตทั้ง 2 เมืองสำนักละฉบับให้นายเสน่ห์ หุ้มแพร นำเข้าไปทูลเกล้า ฯ ถวายและชักชวนผู้อื่นให้ลงนามด้วย”
ภาพ: หนังสือกราบบังคมทูลของ “นักปฏิรูป ร.ศ. 103” ลงพระนามเจ้านาย 4 พระองค์ และนามข้าราชการสถานทูตสยามกรุงลอนดอน 7 คน ที่เข้าชื่อถวายหนังสือกราบบังคมทูลรัชกาลที่ 5 ที่มา: ศิลปวัฒนธรรม
แนวความคิดในการเรียกร้องให้ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตยนั้น เกิดขึ้นจากเจ้านาย 4 พระองค์ และ ข้าราชการอีก 7 คน ซึ่งประกอบไปด้วย 1. พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้ากฤดาภินิหาร กรมหมื่นนเรศวรฤทธิ์ ซึ่งทั้งหมดได้เสี่ยงต่อการถูกลงโทษฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กราบบังคมทูลถวายความเห็นจัดการเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินต่อรัชกาลที่ 5 ว่า สถานการณ์ของโลกในเวลานั้น มีลักษณะเป็นที่น่าวิตกว่าจะมีผลกระทบต่อประเทศไทยได้เมื่อเห็นว่าจะเกิดภยันตรายขึ้นจึงได้กราบบังคมทูลตามที่รู้เห็นข้อเท็จจริงโดยเจ้านายและ ข้าราชการกลุ่มนี้เห็นว่า “ถ้ามิได้กราบบังคมทูลพระกรุณาตามรู้เห็นแล้ว ก็เป็นการขาดจากความกตัญญูและน้ำพิพัฒน์ ทั้งความรักใคร่ในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทและทั้งพระราชอาณาเขตซึ่งเป็นของข้าพระพุทธเจ้าประเทศไทยทั่วกันหมด” จะเห็นได้ว่าเจ้านายและข้าราชการเหล่านี้ ได้กล่าวถึงประเทศหรือแผ่นดินประเทศไทยว่าเป็นของชาวไทยทั้งหมด ซึ่งเป็นการสอดแทรกแนวความคิดที่ว่าชาวไทยทุกคนมีส่วนร่วมกันเป็นเจ้าของมิใช่พระเจ้าแผ่นดินองค์เดียวเท่านั้น เพราะเมื่อมีผู้กล่าวถึงประเทศไทย ก็มักจะพูดแต่เพียงว่าเป็น “พระราชอาณาจักรอันได้แก่อาณาจักรของพระเจ้าแผ่นดิน” แต่ในครั้งนี้เจ้านายและข้าราชการกลุ่มนี้ได้เน้นย้ำว่า “พระราชอาณาเขตนั้นเป็นของชาวไทยทุกคน” ซึ่งเป็นข้อพิจารณาเบื้องต้นอันเป็นฐานของความคิดที่จะตามมาภายหลังว่า ทุกคนจะต้องรับผิดร่วมกันในการทำนุบำรุงชาติ มิใช่เฉพาะแต่พระเจ้าอยู่หัวเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น อันเป็นการแทรกสอดความคิดแเบบประชาธิปไตยที่ต้องการให้ประชาชนทุกคนได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศนั่นเอง สาระสำคัญของคำกราบบังคมทูลฯ นี้มีอยู่สามข้อ กล่าวคือ 1. ภัยอันตรายจะมาถึงบ้านเมือง เนื่องจากการปกครองในขณะนั้น 2. การที่จะรักษาบ้านเมืองให้พ้นอันตราย ต้องอาศัยความเปลี่ยนแปลงบำรุงรักษาบ้านเมืองแนวเดียวกับที่ญี่ปุ่นได้ทำตามแนวการปกครองของประเทศในยุโรป 3. การที่จะจัดการตามข้อ 2 ให้สำเร็จ ต้องลงมือจัดให้เป็นจริงทุกประการ ภัยอันตรายที่จะมาถึงบ้านเมือง คือ ภัยอันตรายที่จะมีมาจากประเทศที่มีอำนาจมากกว่าประเทศไทย ถ้ามหาอำนาจในยุโรปประสงค์จะได้เมืองใดเป็นอาณานิคม ก็จะต้องอ้างเหตุผลว่าเป็นภารกิจของชาวผิวขาวที่มีมนุษยชาติ ต้องการให้มนุษย์มีความสุขความเจริญ ได้รับความยุติธรรมเสมอกัน ประเทศที่มีการปกครองแบบเก่านอกจากจะกีดขวางความเจริญของประเทศในเอเชียแล้วยังยืดขวางความเจริญของประเทศที่เจริญรุ่งเรืองแล้วด้วย สรุปว่ารัฐบาลที่มีการปกครองแบบเก่าจัดการบ้านเมืองไม่เรียบร้อย เกิดอันตรายทำให้อันตรายนั้นมาถึงชาวยุโรป นับว่าเป็นช่องทางที่ชาวยุโรปจะเข้าจัดการให้หมดอันตราย และอีกประการหนึ่ง ถ้าปิดประเทศไม่ค้าขายก็จะเข้ามาเปิดประเทศค้าขายให้เกิดประโยชน์ ทั้งหมดเป็นเหตุผลที่ประเทศในยุโรปจะยึดเอาเป็นอาณานิคม การป้องกันอันตรายที่จะบังเกิดขึ้นอยู่หลายทาง แต่คิดว่าใช้ไม่ได้ คือ (ชัยอนันต์ สมุทวณิช, 2518) 1. การใช้ความอ่อนหวานเพื่อให้มหาอำนาจสงสาร ประเทศญี่ปุ่นได้ใช้ความอ่อนหวานมานานแล้วจนเห็นว่าไม่ได้ประโยชน์ จึงได้จัดการเปลี่ยนการบริหารประเทศให้ยุโรปนับถือ จึงเห็นว่าการใช้ความอ่อนหวานนั้นใช้ไม่ได้ 2. การต่อสู้ด้วยกำลังทหารซึ่งก็เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง กำลังทหารของไทยมีไม่เพียงพอทั้งยังต้องอาศัยซื้ออาวุธจากต่างประเทศถ้าได้รบกันจริงๆ กับประเทศในยุโรป 3. การอาศัยประโยชน์ที่ประเทศไทยมีเขตแดนติดต่อกับประเทศที่เป็นอาณานิคมของประเทศอังกฤษและประเทศฝรั่งเศส อาจให้ประเทศไทยเป็นรัฐกันชน (Buffer state) และก็คงให้มีอาณาเขตแดนเพียงเป็นกำแพงกั้นระหว่างอาณานิคมประเทศไทยก็จะเดือดร้อนเพราะเหตุนี้ 4. การจัดการบ้านเมืองเพียงเฉพาะเรื่อง ไม่ได้จัดให้เรียบร้อยตั้งแต่ฐานราก ไม่ใช่การแก้ปัญหา 5. สัญญาทางพระราชไมตรีที่ทำไว้กับต่างประเทศ ไม่เป็นหลักประกันว่าจะคุ้มครองประเทศไทยได้ ตัวอย่างที่สหรัฐอเมริกาสัญญาจะช่วยประเทศจีน ครั้นมีปัญหาเข้าจริงสหรัฐอเมริกาก็มิได้ช่วย และถ้าประเทศไทยไม่ทำสัญญาให้ผลประโยชน์แก่ต่างประเทศ ประเทศนั้นๆ ก็จะเข้ามากดขี่ให้ประเทศไทยทำสัญญาอยู่นั่นเอง 6. การค้าขายและผลประโยชน์ของชาวยุโรปที่มีอยู่ในประเทศไทย ไม่อาจช่วยคุ้มครองประเทศไทยได้ถ้าจะมีชาติที่หวังผลประโยขน์มากขึ้นมาเบียดเบียน 7. คำกล่าวที่ว่าประเทศไทยรักษาเอกราชมาได้ ก็คงจะรักษาได้อย่างเดิม คำกล่าวอย่างนั้นใช้ไม่ได้ในสถานการณ์ปัจจุบันซึ่งเป็นเวลาที่ประเทศในยุโรปกำลังแสวงหาเมืองขึ้นและประเทศที่ไม่มีความเจริญก็ตกเป็นอาณานิคมไปหมดแล้ว ถ้าประเทศไทยไม่แก้ไขก็อาจจะเป็นไปเหมือนกับประเทศที่กล่าวมา 8. กฎหมายระหว่างประเทศจะคุ้มครองประเทศที่เจริญและมีขนบธรรมเนียมคล้ายคลึงกัน ประเทศญี่ปุ่นได้แก้ไขกฎหมายให้คล้ายกับยุโรปก็จะได้รับความคุ้มครอง ประเทศไทยต้องปรับปรุงการจัดบ้านเมืองให้เป็นที่ยอมรับเช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่น มิฉะนั้นกฎหมายระหว่างประเทศก็ไม่ช่วยประเทศไทยให้พ้นอันตราย ในหนังสือกราบบังคมทูล ได้เสนอความเห็นที่เรียกว่าจัดการบ้านเมืองตามแบบยุโรปรวม 7 ข้อ ดังนี้ 1. ให้เปลี่ยนการปกครองจาก “แอบโสลูดโมนากี” ให้เป็นการปกครองที่เรียกว่า “คอนสติติวชั่นแนลโมนากี” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเข้าอยู่หัวทรงเป็นประธานของบ้านเมือง มีข้าราชการรับสนองพระบรมราชโองการเหมือนสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินทุกพระองค์ในยุโรปที่มิต้องทรงราชการเองทั่วไปทุกอย่าง 2. การทำนุบำรุงแผ่นดินต้องมีพวก “คาบิเนต” รับผิดชอบและต้องมีพระราชประเพณีจัดสืบสันตติวงศ์ให้เป็นที่รู้ทั่วกัน เมื่อถึงคราวเปลี่ยนแผ่นดินจะได้ไม่ยุ่งยากและป้องกันไม่ให้ผู้ใดคิดหาอำนาจเพื่อตัวเองด้วย 3. ต้องหาทางป้องกันคอร์รัปชั่นให้ข้าราชการมีเงินเดือนพอใช้ตามฐานานุรูป 4. ต้องให้ประชาชนมีความสุขเสมอกัน มีกฎหมายให้ความยุติธรรมแก่ประชาชนทั่วไป 5. ให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขขนบธรรมเนียมและกฎหมายที่ใช้ไม่ได้ที่กีดขวางความเจริญของบ้านเมือง 6. ให้มีเสรีภาพในทางความคิดเห็นและให้แสดงออกได้ในที่ประชุมหรือในหนังสือพิมพ์ การพูดไม่จริงจะต้องมีโทษตามกฎหมาย 7. ข้าราชการทุกระดับชั้นต้องเลือกเอาคนที่มีความรู้ มีความประพฤติดี อายุ 20 ขึ้นไป ผู้ที่เคยทำชั่วถูกถอดยศศักดิ์หรือเคยประพฤติผิดกฎหมาย ไม่ควรรับเข้ารับราชการอีกและถ้าได้ข้าราชการที่รู้ขนบธรรมเนียมยุโรปได้ยิ่งดี ในข้อเสนอนั้นได้ระบุว่า
หมายถึง ให้มีคณะรัฐบาล ซึ่งประกอบด้วยเสนาบดี หรือ รัฐมนตรีพร้อมทั้งมีกฎหมายที่ให้ความยุติธรรม รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดำรัสตอบความเห็นของคณะที่กราบบังคมทูลจะให้เปลี่ยนแปลงการปกครองว่า
พระองค์ทรงกล่าวต่อไปอีกว่า “เมื่อพระองค์ทรงครองราชสมบัติใหม่ ทรงไม่มีอำนาจอันใดเลย ขณะพระองค์ทรงมีอำนาจบริบูรณ์ในเวลาที่ทรงมีอำนาจน้อยก็มีความลำบาก เวลานี้มีอำนาจมากก็มีความลำบาก พระองค์จึงทรงปรารถนาอำนาจปานกลาง ได้ทรงครองราชย์มาถึง 17 - 18 ปี ได้ทรงศึกษาเหตุการณ์บ้านเมืองอื่นอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่เหมือนคางคกในกะลาครอบหรือทรงอยู่เฉยๆ ไม่ได้ทรงทำอะไรเลย ที่เรียกร้องให้มีรัฐบาล (คอเวอนเมนต์) ก็มีเสนาบดีเป็นรัฐบาลแล้วแต่ยังไม่ดี สิ่งที่พระองค์ทรงต้องการคือ คอเวอนเมนตรีฟอม” หมายถึง ให้พนักงานของราชการแผ่นดินทุกๆ กรม ทำการให้ได้เต็มที่ ให้ได้ประชุมปรึกษากัน ติดต่อกันง่ายและเร็ว อีกประการหนึ่งทรงหาผู้ทำกฎหมายสละที่ปรึกษากฎหมายการกระทำทั้งสองประการต้องได้สำเร็จก่อน การอื่นๆ ก็จะสำเร็จตลอด เพราะฉะนั้น การเรียกร้องให้มีรัฐบาลและรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายปกครองประเทศตามความหมายของระบอบประชาธิปไตยเป็นไปได้ยาก
บรรณานุกรม:
ที่มา:
หมายเหตุ:
พื้นที่โฆษณา/ประชาสัมพันธ์ สถาบันปรีดี พนมยงค์ ประกาศรับสมัครงานสถาบันปรีดี พนมยงค์ ประกาศรับสมัครงาน แนะนำหนังสือ : ปรัชญาสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตย อุดมการณ์เพื่อชาติและราษฎรไทยแนะนำหนังสือ : ปรัชญาสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตย อุดมการณ์เพื่อชาติและราษฎรไทย กลุ่มก้าวหน้า ร.ศ.103 เกิดขึ้นในสมัยใดร.ศ. 103 ตรงกับ พ.ศ. 2427 เป็นปีที่ 17 ของการครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีเจ้านายและข้าราชการ จำนวนหนึ่งที่รับราชการ ณ สถานทูตไทย ณ กรุงลอนดอน และกรุงปารีส ได้ร่วมกันลงชื่อในเอกสารกราบบังคมทูลความเห็นจัดการเปลี่ยนแปลงการปกครองราชการแผ่นดิน ร.ศ. 103 ทูลเกล้าฯ ถวาย ณ วันพฤหัสบดี แรม 8 ค่ำ เดือน ...
เหตุใดจึงไม่ถือว่ากลุ่มก้าวหน้า ร.ศ.103 เป็นกฏบ1. เหตุที่ไม่ถือว่ากลุ่มก้าวหน้าร.ศ. 103 เป็นกบฏ 👉🏻เพราประสบความล้มเหลวและไม่มีกายึดอำนาจ 2. ก่อนพ.ศ. 2475 มีผู้คิดจะเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบปชต.แบบใดบ้าง 👉🏻 กลุ่มก้าวหน้าร.ศ. 103 : เสนอแนะคำกราบบังคมทูลร.5. กลุ่มกบฏร.ศ. 130 : จะยึดอำนาจกษัตริย์
ใครเป็นผู้ขอพระราชทานอภัยโทษให้ขุนหลวงสรศักดิ์จากสมเด็จพระนารายณ์มหาราช * 1 คะแนนเหตุการณ์ครั้งนั้น สมเด็จพระนารายณ์ ทรงโกรธ หลวงสรศักดิ์ มาก แต่ “เจ้าแม่วัดดุสิต” ผู้เป็นพระนมของสมเด็จพระนารายณ์ ช่วยกราบทูล ขอพระราชทานอภัยโทษให้ ทำให้ไม่มีการลงโทษหลวงสรศักดิ์ แต่อย่างใด.
เหตุการณ์ใดแสดงถึงการเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยสมัยรัชกาลที่ 6การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประวัติศาสตร์ไทยในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ซึ่งมีผลทำให้ราชอาณาจักรสยามเปลี่ยนรูปแบบประเทศจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และเปลี่ยนรูปแบบการปกครองไปเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา เกิดขึ้น ...
|