ในปี 2564 ยังคงมีเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อการใช้สิทธิทางการเมืองของชาวไทย ตั้งแต่การคุมตัวแกนนำการประท้วงระหว่างรอพิจารณาคดีโดยศาลปฏิเสธประกันตัว ตามด้วยคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อเดือนพฤศจิกายน ที่วินิจฉัยว่า แกนนำกลุ่มดังกล่าวใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง และมีมติเอกฉันท์ให้เลิกกระทำ สำหรับกรณีหลังนี้ รายงานจากสำนักข่าวต่างประเทศ เช่น บลูมเบิร์ก เอพี และเอเอฟพี สะท้อนทัศนะว่าคำตัดสินอาจนำไปสู่การดำเนินคดีข้อหาอื่นๆ ต่อผู้ประท้วง และอาจทำให้ผู้ประท้วงได้รับโทษหนักขึ้น และอาจยังมีผลต่อการรณรงค์เพื่อปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ต่อไปในอนาคต อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ดูสงวนท่าทีและความเห็นต่อสถานการณ์การเมืองไทยในช่วงที่ผ่านมา ถือว่าเป็นการสงวนท่าทีต่อเนื่องจากปี 2563 ที่การเมืองไทยร้อนระอุ ส่วนปฏิกิริยาที่ชัดเจนที่สุดจากทางสหรัฐฯ ก็เป็นเพียงมติร่วมแบบ “มติธรรมดา” หรือ simple resolution จากกลุ่มวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ รวมถึงจากพ.ท. หญิง ลัดดา แทมมี ดักเวิร์ธ เมื่อเดือนธันวาคม 2563 เพื่อเน้นพันธสัญญาของสหรัฐฯ ต่อสถานการณ์สิทธิมนุษยชนและการเมืองในไทย แต่ในระดับรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ ก็ไม่ได้มีการแสดงท่าทีใดเป็นพิเศษต่อเหตุการณ์ในไทย “ประเด็นนี้ไม่ได้บั่นทอนไมตรีและความร่วมมือของเราในหลากหลายประเด็น และแท้จริงแล้ว การสนทนาหารืออย่างตรงไปตรงมากลับเสริมสร้างความสัมพันธ์ของเรายิ่งขึ้น” นายฮีธกล่าว พร้อมยืนยันว่า สหรัฐฯ ยังคงทุ่มเทสนับสนุนสิทธิมนุษยชน เสรีภาพสื่อ และการปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็น “หัวใจของนโยบายต่างประเทศ” ของสหรัฐฯ Police officers stand guard during a protest over the government's handling of the coronavirus disease (COVID-19) pandemic, in Bangkok, Thailand, Aug. 16, 2021.ทางด้านนายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวกับวีโอเอไทยทางอีเมลว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับประเด็นการเสริมสร้างประชาธิปไตย ธรรมาภิบาล และสิทธิมนุษยชนอยู่แล้ว อุปทูตฮีธยังได้กล่าวถึงจุดประสงค์ของการจัด "ประชุมสุดยอดประชาธิปไตย" (Summit for Democracy) ผ่านระบบออนไลน์ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-10 ธันวาคมที่ผ่านมา ที่มีประเทศเข้าร่วม 111 ประเทศ แต่ประเทศไทยไม่ได้เป็นหนึ่งในนั้น “วัตถุประสงค์โดยรวมของการประชุมสุดยอดนี้คือเพื่อเสริมสร้างประชาธิปไตยทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะประเทศที่เข้าร่วมการประชุมเท่านั้น” SEE ALSO: ไต้หวันพร้อมประชุมประชาธิปไตยของสหรัฐฯ ขณะจีน รัสเซีย และไทยไม่ได้รับเชิญเขาระบุด้วยว่า แม้ไทยจะไม่ได้รับเชิญเข้าการประชุมดังกล่าว แต่สหรัฐฯ จะยังคงทำงานร่วมกับรัฐบาลไทยและประชาชนไทยต่อไป เพื่อขับเคลื่อนค่านิยมที่นำประเทศทั้งสองให้ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ซึ่งรวมไปถึงประชาธิปไตย การยอมรับซึ่งกันและกัน เสรีภาพสื่อมวลชน และการเคารพสิทธิมนุษยชน สำหรับกรณีที่ไทยไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมการประชุมสุดยอดประชาธิปไตยนี้ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เคยชี้แจงเมื่อเดือนพฤศจิกายนว่า หากสหรัฐฯส่งคำเชิญมายังไทย ก็อาจเป็น “ดาบสองคม” นักวิเคราะห์ระบุผลประโยชน์ของสหรัฐฯมีประเด็นใหม่ๆมากขึ้น เบนจามิน ซาวัคคิ ผู้เชี่ยวชาญโครงการอาวุโสด้านความมั่นคงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากมูลนิธิ The Asia Foundation เห็นด้วยเช่นกันว่า การที่ไทยไม่ได้ถูกรับเชิญเข้าการประชุมดังกล่าว เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนต่อท่าทีของสหรัฐฯ ต่อไทย นักวิเคราะห์ผู้นี้กล่าวว่า ท่าทีของอเมริกาต่อไทยเรื่อง Summit for Democracy มีผลเชิงสัญลักษณ์ มากกว่าแผนการเยือนไทยของนายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ในเดือนธันวาคม ทั้งนี้แผนถูกเลื่อนเนื่องจากมีผู้สื่อข่าวที่ร่วมเดินทางมาติดเชื้อโคโรนาไวรัสก็ตาม วัคซีนจากสหรัฐฯ และผลเชิงการทูต SEE ALSO: รักษาการทูตสหรัฐฯ ยืนยัน สหรัฐฯ บริจาควัคซีนไทย 2.5 ล้านโดส - ไม่มีบทบาทควบคุมการจัดสรรวัคซีนในไทย
ทางฝั่งเมียนมานั้น สหรัฐฯ แสดงท่าทีประณามรัฐบาลทหารเมียนมา รวมถึงมีการใช้มาตรการลงโทษและงดทำธุรกรรมกับบริษัทและรัฐวิสาหกิจในเครือของรัฐบาลทหารมาโดยตลอด จากรายงานการปราบปราม คุมขัง และสังหารผู้ประท้วงพลเรือน นักการเมืองฝ่ายตรงข้าม และสื่อมวลชน นับตั้งแต่มีการรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ “เรายังคงเรียกร้องให้ไทยและชาติสมาชิกอาเซียนอื่น ๆ กำหนดให้รัฐบาลทหาร (เมียนมา) รับผิดชอบดำเนินการตามฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน ซึ่งรวมถึงการอำนวยความสะดวกให้ผู้แทนพิเศษของอาเซียนเดินทางเยือน (เมียนมา) พร้อมพูดคุยหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน และปล่อยตัวผู้ที่ถูกคุมขังโดยไม่เป็นธรรมทุกคน” นายฮีธกล่าว อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางบทบาททางการทูตของไทยและความคาดหวังในเรื่องเมียนมา อาจารย์แชมเบอรส์เห็นว่าไทยจะมีบทบาทในประเด็นรัฐบาลทหารของเมียนมากกว่านี้ “อย่างเสียไม่ได้” ไทยในฐานะเจ้าภาพ “เอเปค” หวังได้ต้อนรับไบเดนปีหน้า – นักวิชาการมอง ไทยจะไม่มีบทเด่นหากรัฐบาลประยุทธ์ยังอยู่ ทางด้านนายธานีแสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า ไทยหวังว่าจะได้ต้อนรับการเยือนของ ปธน. ไบเดน ในช่วงการประชุมเอเปคที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน โดยเขาระบุว่า การประชุมครั้งนี้จะเป็น “โอกาสในการเสริมสร้างพลวัตของความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ เพื่อขับเคลื่อนความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์และความร่วมมือระหว่างกันทั้งในกรอบทวิภาคี ภูมิภาค และพหุภาคี” อย่างไรก็ตาม อาจารย์ธเนศระบุว่า ถ้าปีหน้ารัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ยังอยู่ต่อ การเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทยจะ “จืดชืด” เนื่องจากประเทศมหาอำนาจไม่คาดหวังว่ารัฐบาลไทยชุดนี้จะตอบสนองทั้งพัฒนาการประชาธิปไตยและเรื่องนโยบายต่างประเทศได้ “แต่หากมีการเปลี่ยนนายกฯ ไทย ก็อาจมีการเจรจาใหม่ๆ” เขาระบุ กต. ยืนยัน ไทย-สหรัฐฯ มีนโยบายสอดคล้องกัน - นักวิชาการมอง ความสัมพันธ์สองประเทศจะ “นิ่งเฉย” ต่อไป หากรัฐบาลไทยยังเป็นชุดเดิม นายธานียังยืนยันว่า รัฐบาลไทยพร้อมสานต่อการทำงานร่วมกับสหรัฐฯ โดยเฉพาะในประเด็นที่เป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย ทั้งด้านการทหาร ความมั่นคง เศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน และในมิติอื่น ๆ อาจารย์ธเนศ มองว่าความสัมพันธ์ของสหรัฐฯ-ไทยนั้น “นิ่งเฉย” มานับตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อปี 2549 ซึ่งเป็นช่วงแรกของจุดเริ่มต้นวิกฤตทางการเมืองของไทย และทำให้ไทยไม่สามารถตอบสนองนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้เต็มที่นับแต่นั้นมา ทางด้านซาวัคคิมองว่า ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ และไทยมีการตอบสนองต่อกันและกัน แต่ก็ไม่ได้เป็นไปในเชิงรุกมากนัก ความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศยังเป็นไปในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน ที่มีความร่วมมืออย่างเห็นผลและได้รับความสำคัญมากกว่า และเขาสรุปว่า ไทยไม่ได้คิดถ่วงดุลความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ แต่อย่างใด |