ปัญญา3ฐานตามรอยร.9 – ในโอกาสวันครูประจำปี 2564 สำนักเลขาธิการคุรุสภาจัดงานวันครูออนไลน์ภายใต้แนวคิด “พลังครูวิถีใหม่ ฉลาดรู้เท่าทันดิจิทัล” และจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในหัวข้อ “ทักษะการจัดการเรียนรู้เพื่อครูยุคดิจิทัล เรื่องศาสตร์พระราชา” ที่หอสมุด คุรุสภา เมื่อวันที่ 16 ม.ค. โดย ดร.ดนัย จันทร์เจ้าฉาย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) มูลนิธิประเทศไทยใสสะอาด และประธานมูลนิธิธรรมดี นายอดุลย์ ดาราธรรม นายกสมาคมนักเรียนเก่าเอเอฟเอส ประเทศไทย และ ดร.สุมณี ปิ่นเวหา วิทยากรจิตอาสานักเรียนเก่าเอเอฟเอส มาร่วมสนทนาเกี่ยวกับโครงการ “ตามรอยพระราชา” ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากพระบาทสมเด็จพระ บรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ผู้ทรงเป็นครูของแผ่นดินและได้รับการถวายพระเกียรติ จากองค์การสหประชาชาติ ด้วยรางวัล ความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ (UNDP Human Development Lifetime Achievement Award) กระทรวงศึกษาธิการ มูลนิธิชัยพัฒนา และมูลนิธิธรรมดี ได้ร่วมกันคัดสรรแหล่งเรียนรู้ 9 เส้นทาง 81 โครงการพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 จากกว่า 4,800 โครงการทั่วประเทศ และคัดเลือกครูอาจารย์จากสถาบันการศึกษาต่างๆ ทั่วประเทศไปเรียนรู้ด้วยการลงมือทำ พร้อมถอดบทเรียนสร้างนวัตกรรมด้านการเรียนการสอนเพื่อให้สอดคล้องกับผู้เรียนในโลกยุคใหม่ ที่ผ่านมาได้มีการจัดโครงการทิพยสืบสาน รักษา ต่อยอดนวัตกรรมศาสตร์พระราชาไปแล้ว 11 รุ่น โดยมีครูเข้าร่วมโครงการมากกว่า 300 คน จาก 180 สถาบันทั่วประเทศ ทั้งระดับอุดมศึกษา อาชีวศึกษา มัธยมศึกษา และประถมศึกษา โดยการสนับสนุนจากบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ดร.ดนัยเล่าถึงหลักคิดสำคัญของโครงการว่า หน้าที่ของครูคือการพัฒนาศิษย์หรือพัฒนานักเรียน ซึ่งการพัฒนามนุษย์ที่สมบูรณ์ ประกอบด้วย 3 ฐานที่สำคัญ คือ ฐานกาย ฐานจิต ฐานปัญญา สิ่งที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงทำมาตลอดคือการเสด็จพระราชดำเนินออกไปสัมผัสทุกพื้นที่ เพื่อให้เข้าใจธรรมชาติ ดิน น้ำ ลม ไฟ ภูมิศาสตร์ ภูมิสังคม และสังคมศาสตร์ ส่วนฐานจิตคือ การเข้าถึงอย่างลึกซึ้งถึงความรู้สึก จิตวิญญาณ วัฒนธรรมขนบประเพณี เป็นอย่างไร ซึ่งจะนำไปสู่ฐานปัญญา คือ วิจารณญาณ การสามารถคิดวิเคราะห์ จนนำไปต่อยอดสร้างนวัตกรรมได้ ดร.สุมณี ปิ่นเวหา วิทยากรจิตอาสาโครงการตามรอยพระราชา กล่าวเสริมว่า กิจกรรมการเรียนรู้เหล่านี้นำไปใช้ในห้องเรียนผ่านกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน ได้แก่ 1.Preparation การกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจอยากเรียนรู้ แหวกกรอบการเรียนรู้แบบเดิมๆ 2.Presentation ให้ผู้เรียนเป็นคนทำกิจกรรม 3.Practice ฝึกฝนจนเชี่ยวชาญมากขึ้น ทบทวนความรู้ด้วยกิจกรรมถาม-ตอบ เป็นต้น 4.Project ให้ผู้เรียนทำโครงงานที่เชื่อมโยงสิ่งที่เรียนในห้องเรียนกับโลกภายนอก 5. Feedback ครูต้องเป็นคนให้กำลังใจ ให้ความเห็น (ฟีดแบ็ก) เพื่อให้ผู้เรียนรู้ว่าสิ่งที่ทำไปดีหรือไม่จะทำให้ดีขึ้นได้อย่างไร พัฒนาหรือต่อยอดตรงไหนได้อีก ดร.ดนัยแนะว่า วันนี้เราต้องเปิดพื้นที่ปลอดภัย หรือเซฟโซนให้กับเยาวชน ให้เขารู้สึกว่าไม่ว่าเขาจะคิดไปทางไหน ครูก็ยังมีพื้นที่ปลอดภัยให้เขา ไม่วิพากษ์วิจารณ์ ไม่ตัดสินถูกผิด รับฟังอย่างให้เกียรติ โดยการใช้ศิลปะสุนทรียสนทนา การทรงงานตลอด 70 ปีของในหลวงรัชกาลที่ 9 พระองค์ทรงรับฟังทุกเสียง โครงการในพระราชดำริแต่ละโครงการกว่าจะสัมฤทธิผลต้องใช้เวลาและที่สำคัญคือการมีส่วนร่วมของชุมชน ทำให้คนในพื้นที่มีจิตสำนึกรักในผืนแผ่นดินของเขา “ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเน้นเรื่องการเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ซึ่งสอดคล้องกับหลักปัญญา 3 ฐาน และนำมาใช้ได้จริงในการพัฒนามนุษย์และพัฒนานักเรียน ครูควรเข้าใจและเข้าถึงจิตใจความรู้สึกของผู้เรียน สังเกตว่าเด็กนักเรียนทุกคนเป็นอย่างไร พัฒนาให้มีปัญญาด้วยตัวเอง เป็นการเรียนรู้ 3 ขั้นตอน ได้แก่ Learning by Doing, Learning by Feelings และ Learning by Critical Thinking หากเดินตามรอยในหลวงรัชกาลที่ 9 ในการพัฒนาทุนมนุษย์ เชื่อว่าจะปลดล็อกศักยภาพของเยาวชนไทย และทำให้ประเทศพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่” ดร.ดนัยกล่าวทิ้งท้าย หนึ่งในประสบการณ์ล้ำค่าที่สุดในชีวิตของผมคือการได้มีโอกาสไปอบรมหลักสูตรวิปัสสนา 10 วันของอาจารย์โกเอ็นก้าเมื่อปี 2552 และ 2554 เป็นการอบรมที่หฤโหดเอาการ เพราะต้องฝึกวันละร่วม 10 ชั่วโมง ช่วงสองสามวันแรกนี่ผมคิดอยู่ตลอดเลยว่าจะไหวไหมๆ ยังดีที่มีสิ่งหล่อเลี้ยงจิตใจคือ “ธรรมบรรยาย” ทุกค่ำก่อนเข้านอน ที่อาจารย์โกเอ็นก้าจะมาเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟังเพื่อให้เราเข้าใจถึงสิ่งที่เพิ่งเรียนรู้ไปในวันที่ผ่านมา วันนี้จึงอยากยกธรรมบรรยายที่ว่าด้วยเรื่องปัญญา 3 ระดับมาเล่าไว้ตรงนี้ครับ
|