ปวดท้องน้อย มีเมือกใสปนเลือด

ช็อกโกแลตซีสต์เกิดจาก?

ช็อกโกแลตซีสต์ (Chocolate Cyst) หรือ ทางการแพทย์เชื่อว่าเกิดจากการที่เลือดประจำเดือนไหลย้อนกลับ คือ แทนที่เลือดจะไหลออกมาทางช่องคลอดตามปกติแต่กลับมีประจำเดือนส่วนหนึ่งไหลย้อนไปทางหลอดมดลูกเข้าไปในช่องท้องแล้วไปฝังตัวที่รังไข่จนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำหรือถุงที่มีเลือดคั่ง และไปเจริญเติบโตในอวัยวะต่างๆ เช่น อุ้งเชิงกรานท่อรังไข่ ลำไส้ช่องคลอด มดลูก กระเพาะปัสสาวะ ผู้หญิงทุกคนมีโอกาสเป็น

ปวดท้องน้อย มีเมือกใสปนเลือด

โรคนี้ได้เพียงแต่จะแสดงอาการ หรือส่งผลต่อร่างกายมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ถึงแม้จะไม่ใช่โรคร้ายที่อันตรายถึงชีวิต แต่ก็สร้างความทรมานให้สาวๆ ที่เป็นโรคนี้ได้ไม่น้อย

อาการที่เสี่ยงเป็นช็อกโกแลตซีสต์

  • ปวดท้องมากผิดปกติเวลามีประจำเดือน และปวดมากขึ้นๆ ทุกเดือน โดยอาจจะปวดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ตั้งแต่สะดือไปถึงอุ้งเชิงกรานและตั้งแต่บั้นเอวไปถึงก้นกบ รวมถึงการปวดท้องน้อยเวลามีเพศสัมพันธ์
  • ประจำเดือนมามากผิดปกติ หรือนานกว่า 7 วัน และการมีเลือดออกทางช่องคลอดอย่างผิดปกติ
  • ประจำเดือนมาถี่ หรือระยะห่างระหว่างที่เป็นประจำเดือนแต่ละรอบสั้นกว่าปกติ คือมีมากกว่าเดือนละ 2 ครั้ง
  • ปัสสาวะบ่อยขึ้นกว่าปกติ อาจเป็นเพราะก้อนซีสต์มีขนาดใหญ่ และไปเบียดกระเพาะปัสสาวะจนทำให้เกิดการทำงานที่ผิดปก
  • ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ปัสสาวะเป็นเลือดในช่วงมีประจำเดือน
  • ถ้าเป็นคนผอมแต่มีพุง ให้ตั้งข้อสงสัยว่าอาจมีถุงน้ำขนาดใหญ่เกิดขึ้นภายในท้อง
  • ปวดไมเกรนบ่อยๆ โดยเฉพาะช่วงก่อน และระหว่างมีประจำเดือน
  • บางรายอาจไม่มีอาการใดๆ แสดงออกมาเลยแต่คลำพบก้อนแข็งบริเวณท้องน้อยซึ่งอาจจะอยู่ตรงกลางหรือด้านข้างเนื่องจากถุงน้ำโตขึ้นจนมีขนาดใหญ่และอยู่ในระยะที่เป็นอันตราย
  • บางรายตรวจพบว่าโรคนี้เป็นสาเหตุของการมีบุตรยากเนื่องจากท่อนำไข่ตีบตัน ทำให้ไข่ไม่สามารถเดินทางได้สะดวก ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งผลพวงที่มีสาเหตุมาจากช็อกโกแลตซีสต์ เพราะเมื่อเยื่อบุนี้ไปเกาะอยู่บนรังไข่ ทำให้รังไข่มีพื้นในการผลิตไข่ และสร้างฮอร์โมนน้อยลง เพราะถูกแทนที่ด้วยช็อกโกแลตซีสต์ไข่ที่ผลิตได้ก็ด้อยคุณภาพ และยังทำให้ท่อรังไข่คดงอ ไข่กับอสุจิที่ผสมกันแล้วจึงผ่านมาฝังตัวได้อย่างไม่สมบูรณ์

หากสำรวจตัวเองแล้วพบว่ามีอาการดังที่กล่าวมานี้ ก็ให้ตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนเลยว่าคุณอาจกำลังป่วยเป็นช็อกโกแลตซีสต์ จึงควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและหาทางจัดการต่อไป ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้จนลุกลามกลายเป็นระยะที่รุนแรง และสร้างความทุกข์ทรมานให้กับร่างกายอีกต่อไป

อบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน โทร. 1772 ต่อ สุขภาพสตรี

  1. หน้าหลัก
  2. บทความสุขภาพ
  3. เลือดออก ปวดท้อง อย่ามองข้าม

เลือดออก ปวดท้อง อย่ามองข้าม

ปวดท้องน้อย มีเมือกใสปนเลือด

“อยู่ดีๆ ทำไมมีเลือดไหลออกมา” ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับคุณผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์คงทำให้เสียขวัญกำลังใจกันน่าดู เพราะกลัวว่าตัวเองจะแท้ง แล้วลูกจะยังอยู่กับเราหรือไม่ อาการเลือดออกตอนตั้งครรภ์จึงเป็นภาวะที่คุณแม่เป็นกังวลมากที่สุดเรื่องหนึ่ง และถือเป็นเรื่องฉุกเฉินที่ต้องไปพบแพทย์ทันที

ภาวะฉุกเฉินระหว่างตั้งครรภ์

คือภาวะหรืออาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด และไม่สามารถป้องกันได้ แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มที่มีเลือดออก และกลุ่มที่มีอาการปวดท้อง

กลุ่มที่มีเลือดออกระหว่างตั้งครรภ์

โดยอาจมีอาการปวดหน่วงๆ บริเวณท้องน้อยร่วมด้วย อันเนื่องมาจากภาวะ

  • แท้งคุกคาม คือการตั้งครรภ์ที่มีเลือดออกทางช่องคลอด ทั้งที่ปากมดลูกยังไม่เปิด เป็นอาการที่พบได้บ่อยในช่วงตั้งครรภ์ไตรมาสแรก อาจมีอาการปวดท้องน้อยร่วมกับมีเลือดออกกะปริบกะปรอย และอาการจะมากขึ้นจนกระทั่งตกเลือดมากได้ หากคุณแม่พบว่ามีเลือดออกทางช่องคลอด ให้รีบไปพบแพทย์ เพื่อตรวจดูทารกในครรภ์ทันที
  • ท้องลม คือการตั้งครรภ์ที่ไม่มีตัวเด็ก หรือเรียกว่าภาวะไข่ฝ่อ ทำให้การตั้งครรภ์ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้จนถึงครบกำหนดคลอด สุดท้ายก็จะมีการแท้งเองตามธรรมชาติโดยแพทย์จะสามารถตรวจได้ว่าเป็นท้องลมหรือไม่ ด้วยการตรวจภายในและอัลตราซาวนด์
  • ท้องนอกมดลูก มีอาการปวดท้องน้อยมาก อาจปวดร้าวขึ้นไปถึงไหล่และหลัง เพราะเลือดที่ออกมาไปกดใต้กระบังลม นอกจากนี้อาจมีความดันต่ำ หัวใจเต้นเร็ว จนถึงขั้นช็อกได้ ต้องรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด

กลุ่มที่มีเลือดออกก่อนคลอด

ในช่วงนี้เรียกว่าการตกเลือดก่อนคลอด อาการทั่วไปจะปวดท้องเนื่องจากการหดรัดตัวของมดลูก ซึ่งเสี่ยงต่อการที่ทารกจะคลอดก่อนกำหนด อาจมีสาเหตุมาจากภาวะ “รกเกาะต่ำ” โดยปกติรกจะเกาะอยู่ที่ส่วนบนของมดลูก แต่รกเกาะต่ำ คือ มาเกาะใกล้ๆ ปากมดลูก หรือปิดบริเวณปากมดลูก เวลามดลูกขยายตัวจึงมีเลือดออกมา หรือภาวะ ”รกลอกตัวก่อนกำหนด” คือภาวะที่รกซึ่งเกาะอยู่บริเวณส่วนบนของโพรงมดลูกในตำแหน่งปกติ แต่เกิดมีภาวะแทรกซ้อนบางอย่าง เช่น ความดันโลหิตสูง ครรภ์เป็นพิษ ได้รับการกระทบกระเทือน จนเกิดการลอกตัวจากผนังมดลูกก่อนถึงกำหนดคลอด ทำให้มีเลือดออกระหว่างผนังมดลูกกับตัวรก เมื่อมีเลือดออกมากก็จะทำให้รกลอกตัวจากผนังมดลูกมากขึ้น ซึ่งตัวคุณแม่และลูกในครรภ์อาจเป็นอันตรายได้แพทย์จะต้องคอยตรวจเช็คลักษณะของเลือดที่ออก ดูอาการการปวดท้อง หรือการหดรัดตัวของมดลูก พร้อมกับดูควบคู่ไปกับประวัติของคุณแม่ เพื่อประเมินสถานการณ์และเตรียมการรักษาอย่างทันท่วงที

กลุ่มที่มีอาการปวดท้อง

สำหรับกลุ่มที่มีอาการปวดท้องนั้นการวินิจฉัยค่อนข้างลำบาก ต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายๆ อย่างประกอบกัน ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดที่มาจากการตั้งครรภ์ ถ้าเกิดในช่วงไตรมาสแรกก็ให้สงสัยว่าอาจเป็นการท้องนอกมดลูก หรือภาวะแท้งคุกคาม ถ้ามาปวดในช่วงท้ายๆ ของการตั้งครรภ์นั้นอาจเป็นไปได้ว่าเป็นการปวดท้องเพราะจะคลอด หรือปวดท้องเพราะเกิดจากโรคของตัวคุณแม่เอง เช่น เป็นถุงน้ำในรังไข่ ซีสต์หรือเนื้องอก เป็นต้น ซึ่งคุณหมอจะต้องแยกว่าอายุครรภ์เท่าไหร่ มีลักษณะอาการปวดแบบไหน เพื่อจะสามารถวินิจฉัยโรคให้ชัดเจน และนำไปสู่การรักษาที่ถูกต้อง

การดูแลตัวเองเมื่อเกิดภาวะฉุกเฉิน

ภาวะฉุกเฉินเป็นเรื่องที่ไม่สามารถป้องกันได้ ทั้งตัวคนไข้เองต้องไม่นิ่งนอนใจ หากมีเลือดออกหรืออาการผิดปกติควรรีบมาพบแพทย์ทันที หรือโทรมาสอบถามที่เคาเตอร์พยาบาลก่อน เพื่อการเตรียมตัวในเบื้องต้น ทางโรงพยาบาลเองก็ต้องสร้างความมั่นใจให้กับคนไข้ สร้างช่องทางการติดต่อสื่อสารให้ชัดเจนสามารถตอบคำถามได้ตลอด 24 ชั่วโมง เช่น หากคนไข้โทรมาสอบถามแล้วสงสัยว่าเข้าข่ายภาวะรกเกาะต่ำ อาจต้องมีการผ่าตัดฉุกเฉิน พยาบาลควรแนะนำให้คนไข้งดน้ำงดอาหารมาเลย เมื่อมาถึงโรงพยาบาลจะได้สามารถทำการรักษาได้ทันท่วงที เพราะหากไม่ได้งดน้ำงดอาหารมา อาจมีภาวะแทรกซ้อนจากการดมยาสลบได้ แต่ถ้ามาตรวจแล้วไม่ต้องผ่าตัดก็สามารถกลับบ้านได้โดยไม่มีอันตรายอะไร

อาการเลือดออกระหว่างตั้งครรภ์นั้นมีสาเหตุซ่อนอยู่มากมายหลายอย่าง การดูแลรักษาแต่ละอย่างก็แตกต่างกันออกไป หากคุณแม่มีเลือดออกระหว่างการตั้งครรภ์ไม่ว่าช่วงไหน ขอให้รีบไปโรงพยาบาลทันที เพื่อได้รับการตรวจวินิจฉัยและหาสาเหตุที่แท้จริง พร้อมได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี เพื่อความปลอดภัยทั้งคุณแม่และคุณลูก

นพ. สุรเชษฐ์ อภินิลบงกช

ดูประวัติ