�ѧ����ʵ�� �Ѱ��ʵ�� ������ͧ ���ɰ��ʵ�� >> Show ������ͧ��û���ͧ �������¡�����ͧ��û���ͧ�Ѱ (State) ��������ѹ�������ҧ�Ѱ�Ѻ�ѧ�� �Ѱ�����٭ (Constitution) ������ (Law) �ӹҨԻ�� �Ѱ��� ��ä������ͧ��С�����͡��� ��ЪҪ��Ѻ���ҷ�ҧ������ͧ �ѷ�ԡ�����ͧ������ɰ�Ԩ ��������ѹ�������ҧ����� ������ͧ��û���ͧ�� �к����ɰ�Ԩ����к���û���ͧ ������Ժ�� ��óҹء�� ��������ѹ�������ҧ�����5. ���˵آͧ��âѴ��������ҧ�������ҡ���ó�ҧ������ͧ�����ҧ����ȷ���Դ�����㹷ء�ؤ�ء���¡��ͤ����Ѵ��� ������¶֧���ǡ�ó������� 2 ����Ȣ����ջѭ�Һҧ��С�÷���ͧ��зӡ�õ�ŧ�����ЧѺ��ͻѭ�ҹ�����¡� ���蹹������дѧ����Ǩ��ռŷ�����������ѹ��ҧ������ͧ�����ҧ���������Ҩ���Թ������ҧ���� ����Ѻ���˵آͧ�����Ѵ��������ҧ���������ö��ػ�� 5 ��С�� �ѧ��� 1. ��âѴ��������ҧ�Ż���ª��ͧ�ҵ� 2. ��ȹ��Է���յ�͡ѹ 3. ��âѴ��駷ҧ�ش���ó� 4. ����觢ѹ��ǧ���ӹҨ 5. ��âѴ�������ͧ�Թᴹ �Ѩ�������ӹҨ�ͧ�ҵ� ��á�˹���º�µ�ҧ����� ����ͧ���㹡�ô��Թ��º�µ�ҧ����� ���˵آͧ��âѴ��������ҧ����� �ҵá����䢤����Ѵ��������ҧ�����
เศรษฐกิจ ความขัดแย้งระหว่างประเทศ กับการเชี่อมโยงการลงทุนเมื่อความขัดแย้งระหว่างประเทศเริ่มก่อตัว หากมองดูผิวเผินคงไม่เกี่ยวข้องกับไทย หรือแม้แต่การลงทุนจากต่างประเทศ แต่ในความเป็นจริงมีทฤษฎีหลายข้อที่ชี้ว่าสิ่งเหล่านี้เกี่ยวโยงกันการเมืองโลกที่กำลังก่อตัวรุนแรงมากขึ้นระหว่าง กรณีแรก (บริบทของโลก 1 ขั้วอำนาจ) Unipolar World) ประเทศมหาอำนาจหลังสงครามเย็นอย่างประเทศสหรัฐกับประเทศที่กำลังก้าวมาเป็นอีกหนึ่งมหาอำนาจอย่างประเทศจีน ส่วนกรณีที่สอง (บริบทของโลก 2 ขั้วอำนาจ Bipolar World) ประเทศมหาอำนาจหลังสงครามโลกครั้งที่สองอย่างประเทศสหรัฐกับประเทศมหาอำนาจเก่าอย่างประเทศรัฐเซียในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นกรณีไหนก็จะมีผลกระทบไม่ทางใดก็ทางหนึ่งต่อประเทศไทย และการคาดการณ์ของความเป็นไปได้ของแนวทางที่จะเกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ ทั้งนี้ การคาดการณ์สามารถมองจากได้หลายมุมมอง การมองจากมุมประวัติศาสตร์ของการเมืองระหว่างประเทศบนบริบทของทั้งการเมืองและเศรษฐกิจก็สามารถให้เห็นภาพโดยรวมแบบสแนปชอต (snap shot) ที่สามารถช่วยให้เราเข้าใจได้มากขึ้น ความรุนแรงจะไปในทิศทางใดนั้นจะต้องคำนึงถึงปัญหาเศรษฐกิจปัจจุบันที่กระทบต่อนโยบายต่างประเทศของมหาอำนาจ เนื่องจากปัจจุบันทุกประเทศกำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาภาวะเงินเฟ้อที่กระทบคนส่วนใหญ่ในประเทศซึ่งจะแตกต่างจากปัญหาเศรษฐกิจที่ผ่านมา ดังนั้นหากประเทศมหาอำนาจมีนโยบายที่การเมืองนำเศรษฐกิจก็จะส่งผลกระทบลดลงต่อการลงทุน ซึ่งก็จะมีผลการกระทบตรงต่อ อย่างเช่น เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี สามารถอธิบายได้จาก ปัจจัยแรกของแนวนโยบายระบบเศรษฐกิจนิยมหรือทุนนิยม หากมองย้อนไปในมุมมองของประวัติศาสตร์ นักวิชาการหลายสำนักได้ให้มุมมองไว้ว่าที่ผ่านมาการตัดสินใจดำเนินนโยบายในปัจจุบันเป็นที่น่ากังวลเนื่องจากหลายประเทศมีนโยบายให้ความสำคัญทางการเมืองมากยิ่งขึ้นเพื่อป้องกันประชาชนในประเทศที่จะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโควิด ภาวะเงินเฟ้อ และการพุ่งขึ้นของราคาพลังงาน การลดความสำคัญต่อการสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (economic growth) การเพิ่มขึ้นของนโยบายป้องกันเศรษฐกิจของประเทศมากขึ้น (protectionism) หากแนวโน้มยังเป็นอย่างนี้ต่อเนื่องไปอีกก็จะส่งผลกระทบต่อการส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศ ปัจจัยที่สองการเมืองระหว่างประเทศ ความขัดแย้งที่ก่อตัวขึ้นแต่ปัจจุบันยังไม่มาถึงภูมิภาคเรา(เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) เหมือนสมัยช่วงปีค.ศ. 1970 เป็นช่วงของนโยบายการเลือกข้าง การทำเกิดสงครามที่เรียกว่าสงครามตัวแทน หรือ proxy war หากมองย้อนไปในมุมมองของประวัติศาสตร์การที่ประเทศที่เลือกไปอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ได้รับความช่วยเหลือในด้านต่างๆ (foreign assistance) จากประเทศมหาอำนาจนั้นมาในหลายรูปแบบ การเลือกอยู่ฝั่งเสรีนิยมทำให้ประเทศเรามีการพัฒนาไปในหลายๆด้านเนื่องจากได้รับความช่วยเหลือที่แตกต่างกับประเทศอื่นในภูมิภาคเดียวกัน ขณะที่เวียดนามที่เลือกฝั่งคอมมิวนิสต์ทำให้พัฒนาการทางเศรษฐกิจที่ผ่านมานั้นไม่เท่ากับประเทศเรา แต่เมื่อประเทศเวียดนามเปิดประเทศและประเทศสหรัฐได้ยกเลิกการห้ามการค้า (trade embargo) ใน ค.ศ. 1994 ทำให้การพัฒนาด้านต่างๆของเวียดนามโตแบบก้าวกระโดดและแซงหน้าประเทศเราในหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัตราการเจริญเติบโตของการลงทุน ซึ่งทำให้เป็นอีกหนึ่งประเทศที่น่าสนใจของการลงทุนในภูมิภาคนี้ ในโลกที่ทุกอย่างเชื่อมโยงถึงกัน เมื่อเกิดผลกระทบในพื้นที่หนึ่ง ก็อาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่อีกซีกหนึ่งก็ได้ และไม่เลือกว่าต้องเป็นประเด็นด้านเศรษฐกิจหรือการเมืองเพราะไม่ว่าจะเลือกเรื่องใดเรื่องหนึ่งผลที่เกิดขึ้นจะกระทบอีกเรื่ืองหนึ่งเสมอ ความขัดแย้งทางการเมืองหลายครั้งจึงเป็นที่มาของความขัดแย้งทางเศรษฐกิจและหลายครั้งปัญหาเศรษฐกิจก็นำไปสู่การเมือง ไทยแม้ไม่ใช่ผู้เล่นในเวทีการเมืองโลกแต่ก็เป็นผู้จะได้รับผลกระทบไม่ทางใดก็ทางหนึ่งตราบใดที่เศรษฐกิจไทยยังต้องการเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศอยู่ |