ฮั ส กี้ หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา เล่ม 3

ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา
二哈和他的白猫师尊

肉包不吃肉 โร่วเปาปู้ชือโร่ว เขียน
Bou Ptrn แปล

คำเตือน!! นิยายเรื่องนี้เหมาะสมกับผู้ที่อายุ 21 ปีขึ้นไป โดยมีเนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับ…

: among other immoralities (การผิดศีลธรรมจรรยา)
: Angst (มีความรุนแรงในอารมณ์ บีบคั้นกดดัน)
: Cannibalism (การกินเนื้อเผ่าพันธุ์เดียวกัน)
: child abuse (การทารุณกรรมเด็ก)
: coercion (การใช้อำนาจที่เหนือกว่าบังคับให้คนอื่นทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ)
: corporal punishment (การลงโทษทางร่างกาย)
: death (การตาย)
: depression (ภาวะซึมเศร้า)
: explicit sex (การร่วมเพศแบบเปิดเผย)
: gang-rape (การข่มขืนเป็นกลุ่ม)
: genocide (การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์)
: gore (เนื้อหามีความโหดร้าย และรุนแรง)
: humiliation (การทำให้อีกฝ่ายได้รับความอับอาย)
: massacre (การสังหารหมู่)
: mental and emotional abuse (การทำร้ายร่างกายและจิตใจ)
: questionable principles (มีีหลักการที่น่าสงสัย)
: rape/non-con/dub-con (การข่มขืนโดยที่อีกฝ่ายไม่ยินยอม หรือ กึ่งจำยอม)
: suicide (การฆ่าตัวตาย)
: starvation (ความอดอยาก)
: torture (การทรมาน)
: underage sex (การมีความสัมพันธ์กับคนที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์)
: and unhealthy relationship (ความสัมพันธ์ที่เป็นปัญหา)

** หมายเหตุ : ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์และต้นฉบับที่สำนักพิมพ์ได้รับ เป็นฉบับ Uncensored

————————————————————-

85

ตัวข้าไหนเลยจะใช้พันห้ามาตะเพิดได้

เสียงยิ้มแย้มยินดีของเหลาป่านเหนียงดังมา “นายท่านนักพรตใจกว้างนัก พอควักเงินทีก็ห้าร้อยตำลึงทอง ช่างทำให้บ่าวเบิกบานใจเหลือเกิน แต่เราเปิดกิจการทำการค้า ต้องถ้อยทีถ้อยอาศัย ไหนเลยจะไล่ลูกค้าคนอื่นๆ ได้ ท่านว่าเช่นนี้ดีหรือไม่ ห้องรับรองส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดของหอกุยอู้เป็นห้องที่จัดไว้สำหรับลูกค้าสูงส่งใจกว้างเช่นนายท่านโดยเฉพาะ ข้าจะพาท่านไปดู…”

ยังพูดไม่ทันจบ เสียงพังโต๊ะล้มเก้าอี้ก็ดังขึ้น

“ดูอะไร! ข้าไม่สนว่าจะเป็นหอกุยอู้หรือหออูกุย [1] อะไร…บัดซบ! ชื่อนี้ตั้งได้แย่มาก ไม่เอาๆ ให้เจ้าหนึ่งพันตำลึงทอง ไล่พวกเขาไป!”

“นายท่านนักพรตอย่าทำให้บ่าวลำบากใจเลย ท่านก็ดูเป็นผู้มีการศึกษาที่เข้าใจเหตุผล” เหลาป่านเหนียงยังคงลอยหน้าลอยตาพูดพล่าม พลางส่งยิ้มหวาน “ซ้ายขวาล้วนเป็นลูกค้า หากท่านไม่พอใจหอกุยอู้ ข้าก็เปลี่ยนที่ใหม่ให้ท่านได้ สถานที่อาจจะเล็กไปบ้าง แต่สง่างาม ทั้งยังจัดแสดงผีผาร้องรำให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ท่านว่าเช่นนี้ดีหรือไม่”

“ไม่ดี! ไม่ดี! พันห้า! ให้ทุกคนไสหัวไป!” น้ำเสียงกระด้างคำรามอย่างเดือดดาล “อย่ามัวร่ำไร! ประเดี๋ยวคุณชายของข้ามาแล้วจะไม่พอใจ!”

“วา…” พันตำลึงทองสำหรับหลายๆ คนอาจจะมาก แต่สำหรับโม่หรานที่เคยเป็นตี้จวินแห่งโลกมนุษย์ ฟังแล้วช่างน่าขันสิ้นดี รู้ไว้เสียด้วยว่าชาติก่อนเขาใช้จ่ายตามอำเภอใจ ซื้อของมีค่ามากมายให้ซ่งชิวถง เหล่านั้นล้วนมีมูลค่ามหาศาล ด้วยเหตุนี้เขาจึงกัดตะเกียบ ดวงตาเบิกกว้าง ยิ้มพลางเอ่ยกับฉู่หว่านหนิงเบาๆ “อาจารย์ๆ ท่านฟังคนผู้นี้ พันห้าก็คิดไล่เราออกไปแล้ว”

ฉู่หว่านหนิงเหลือบมองเขา ก่อนจะเลิกมู่ลี่ไม้ไผ่ของห้องรับรองส่วนตัว มองลงไปชั้นล่าง

เห็นในโถงมีคนกลุ่มใหญ่แน่นขนัดไปหมด แม้พวกเขาแต่งกายธรรมดาสามัญ มองไม่ออกว่าเป็นคนสำนักใด แต่ที่เอวทุกคนล้วนพกดาบล้ำค่าชั้นดีที่เปล่งประกายเย็นเยียบ มือจูงหมาป่าปีศาจที่น้ำลายไหลย้อยตรงมุมปาก ราคาของดาบล้ำค่าอาจชี้ขาดได้ยาก แต่หมาป่าปีศาจนี้กลับมีมูลค่าสูง สำนักฝึกบำเพ็ญเล็กๆ ทั่วไปเพียงแค่ตัวเดียวก็หาได้ยากแล้ว แต่พวกเขากลับมีคนละตัว เห็นชัดว่ามีฐานะอย่างยิ่ง

ลูกค้าที่เดิมกำลังกินข้าวต่างมองคนกลุ่มนี้ด้วยความตกใจและหวาดกลัว ในห้องโถงเงียบกริบ

จู่ๆ เงาสีขาวก็พุ่งเข้ามาในเรือนแรม ทุกคนต่างตกตะลึง ก่อนจะถอยกรูดไปด้านหลัง ผู้ที่ขวัญอ่อนยังร้องขึ้นมา “ปีศาจๆ!”

สิ่งที่พุ่งเข้ามาคือหมาป่าปีศาจสีขาวปลอดสูงเท่าคนสามคน นัยน์ตาแดงก่ำดุจโลหิต ขนมันวาวดุจเส้นไหม เขี้ยวแหลมคมวาววับยาวเท่าแขนชายฉกรรจ์

ทว่าบนร่างขนาดใหญ่ของสัตว์ดุร้ายตัวนี้กลับมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา แววตาโอหังนั่งพาดขาอยู่อย่างสบายใจ ชายหนุ่มผู้นั้นสวมเกราะล่าสัตว์ ใต้ชุดเกราะคือเสื้อสีแดงสด ข้อมือเสื้อปักลายดิ้นทองอย่างเป็นระเบียบ ศีรษะสวมหมวกเกราะ พู่แดงห้อยลงมาจากยอดหมวกเกราะที่เป็นรูปสิงโตเงินอมตะวัน บนตักมีคันธนูหยก น่าจะเป็นอาวุธประจำกายเขา

พอผู้ฝึกบำเพ็ญที่โอ้อวดศักดาเหล่านั้นเห็นเขา ก็คุกเข่าข้างหนึ่งทันที กำหมัดทาบหน้าอก เอ่ยพร้อมเพรียงกัน “น้อมต้อนรับคุณชาย!”

“เอาล่ะ” ชายหนุ่มโบกมือด้วยสีหน้าหงุดหงิด “ให้พวกเจ้ามาจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ชักช้าอืดอาด น้อมต้อนรับอะไร น้อมต้อนรับหัวสุนัขพวกเจ้าสิ!”

“พรืด” โม่หรานหลุดหัวเราะ เอ่ยกับฉู่หว่านหนิง “เขาบอกว่าพวกเขาน้อมต้อนรับหัวสุนัข เช่นนั้นตัวเขามิใช่หัวสุนัขหรอกรึ”

“…”

ชายหนุ่มนั่งอยู่บนลำคออ่อนนุ่มของหมาป่าปีศาจ เอ่ยด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “เจ้าของเรือนแรมซอมซ่อแห่งนี้เล่า คือผู้ใด”

เหลาป่านเหนียงแม้หวาดกลัว แต่ยังคงฝืนเดินเข้าไปอย่างสงบนิ่งพร้อมรอยยิ้ม “ลบหลู่ดวงตาสูงส่งของเซียนจวินแล้ว เจ้าของเรือนแรมนี้คือบ่าวเอง”

“อ้อ” ชายหนุ่มเหลือบมองนาง “คุณชายเช่นข้าจะเข้าพัก แต่ไม่คุ้นเคยกับผู้คนแออัดส่งเสียงโหวกเหวก เจ้าบอกพวกเขาสักหน่อย ข้าจะชดเชยเงินให้”

“แต่ว่าเซียนจวิน…”

“รู้ว่าเจ้าลำบากใจ เจ้าเอานี่ไปขอโทษลูกค้าแต่ละโต๊ะแทนข้า หากมีผู้ใดไม่ยอมจริงๆ เช่นนั้นก็ช่างเถิด” ชายหนุ่มว่าพลางโยนถุงแพรใบหนึ่งให้เหลาป่านเหนียง เมื่อเปิดออก ด้านในคือลูกกลอนเก้าโคจรคืนปราณสีทองอร่ามจำนวนหนึ่ง ลูกกลอนนี้ช่วยเพิ่มฐานการฝึกบำเพ็ญได้ภายในสิบวัน ในท้องตลาดเม็ดละสองพันกว่าตำลึงทอง เหลาป่านเหนียงรับมา สีหน้าแปรเปลี่ยนเพราะความใจกว้างของอีกฝ่าย ก่อนจะผ่อนลมหายใจเงียบๆ

ไม่มีผู้ฝึกบำเพ็ญคนใดจะปฏิเสธของดีเช่นนี้ การเชิญคนออกไปเช่นนี้ ย่อมเป็นเรื่องที่พอจะเอ่ยปากได้

เหลาป่านเหนียงเอ่ยขออภัยและมอบของขวัญให้ทีละคน ชายหนุ่มอ้าปากหาว ก้มหน้ามองเหยียดผู้ติดตามกลุ่มนั้น “เศษสวะทั้งนั้น ต้องให้ข้าลงมือเอง”

คนทั้งซ้ายขวาหันไปมองตากัน ก่อนจะรีบเอ่ย “…คุณชายปราดเปรื่อง คุณชายมากบารมี”

ไม่นานผู้คนก็สลายตัวไป นอกจากฉู่หว่านหนิงกับโม่หรานที่มิได้สนใจเงินและลูกกลอน คนอื่นล้วนคว้าข้าวของสัมภาระออกจากเรือนแรมไปพักที่อื่นโดยไม่บ่นแม้แต่น้อย

เหลาป่านเหนียงกล่าว “คุณชาย ทุกคนไปกันหมดแล้ว เหลือเพียงลูกค้าสองคนที่บอกว่าดึกมากแล้ว คนหนึ่งในนั้นร่างกายเจ็บป่วย ไม่อยากไปหาที่พักอื่น ท่านว่า…”

“ช่างเถอะๆ ข้าไม่คิดเล็กคิดน้อยกับคนขี้โรค” ชายหนุ่มโบกมืออย่างพอใจ “อย่ารบกวนข้าก็พอ”

ฉู่หว่านหนิงที่เป็นคนขี้โรค “…”

เหลาป่านเหนียงหน้าบาน รีบเอ่ยอย่างกระตือรือร้น “คุณชายช่างเมตตานัก ดึกแล้ว คุณชายจะพักผ่อนหรือว่ากินอะไรสักหน่อยก่อน”

ชายหนุ่ม “หิวแล้ว ยังไม่พัก ข้าจะกินข้าว”

“คุณชายจะกินข้าว เช่นนั้นเรือนแรมเราจะนำอาหารที่ดีที่สุดมาต้อนรับ อาหารที่พ่อครัวของเราเชี่ยวชาญที่สุดคือหัวสิงโตเนื้อปู [2] หมูวุ้นเย็น…”

“หัวสิงโตระบายโทสะ?” เห็นชัดว่าชายหนุ่มมิใช่คนทางใต้ ทั้งไม่ชอบกินอาหารทางใต้ พอได้ยินชื่ออาหารนี้ก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็นิ่วหน้าโบกมือ “ไม่เอา ฟังไม่รู้เรื่อง พูดจาเลอะเทอะอะไร”

เดิมคิดว่าเป็นบุตรหลานตระกูลขุนนาง ตอนนี้ดูเหมือนน่าจะเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยปุบปับ

เหลาป่านเหนียง “…เช่นนั้นคุณชายต้องการอะไรบ้าง ขอเพียงร้านเราทำเป็น ล้วนทำได้หมด”

“ง่ายๆ” ชายหนุ่มชี้ไปทางพวกผู้ติดตามของเขา “หั่นเนื้อวัวให้พวกเขาคนละห้าชั่ง เฉพาะข้าคนเดียว เอาเนื้อวัวมาสิบชั่ง สุราเซาจิ่ว [3] หนึ่งชั่ง ขาแพะสองขา เอาเท่านี้แหละ ดึกมากแล้วมิอาจกินมากเกินไป รองท้องสักหน่อยก็พอ”

โม่หราน “วา…”

ครั้นหันหน้ากลับมาคิดจะหัวเราะเยาะความกินจุเหมือนยัดทะนานของชายหนุ่ม กลับเห็นฉู่หว่านหนิงกำลังจ้องชายหนุ่มผู้นั้นตาไม่กะพริบ แววตาดูคลุมเครือ

โม่หรานถาม “อาจารย์เหมือนรู้จักเขา?”

“อืม”

เดิมเขาเพียงแค่ถามเรื่อยเปื่อย คิดไม่ถึงว่าฉู่หว่านหนิงจะรู้จักจริงๆ จึงอดประหลาดใจไม่ได้ “อะไรนะ เช่น…เช่นนั้นเขาคือ”

“บุตรชายคนเดียวของเจ้าสำนักหรูเฟิง” ฉู่หว่านหนิงเอ่ยเสียงเบา “หนานกงซื่อ”

“…” โม่หรานกล่าวในใจว่า มิน่าฉู่หว่านหนิงจึงรู้จัก ถึงอย่างไรฉู่หว่านหนิงก็เคยเป็นเค่อชิงของสำนักหรูเฟิงแห่งหลินอี๋ บุตรชายของเจ้าสำนัก เขาต้องเคยพบแน่นอน และมิน่าข้าไม่รู้จัก ชาติก่อนตอนที่ข้าฆ่าล้างสำนักหรูเฟิง หนานกงซื่อผู้นี้ป่วยตายไปแล้ว

ในตอนนั้นเขายังบอกว่าบุตรชายของเจ้าสำนักผู้นี้คือคนพิการขี้โรค คิดไม่ถึงว่าวันนี้ได้พบ กลับเป็นชายหนุ่มโอหังที่ร่างกายแข็งแรงกระฉับกระเฉงเช่นนี้

…เหตุใดจึงป่วยตาย เป็นโรคปัจจุบันรึ

หนานกงซื่อดื่มกินอย่างสำราญใจอยู่ชั้นล่าง ไม่ทันไรก็แทะขาแพะสองขาและกินเนื้อวัวสิบชั่งหมดเกลี้ยง ราวกับลมหอบเมฆ ซ้ำยังดื่มสุราอีกหลายชาม โม่หรานมองดูอยู่ชั้นบนพลางเดาะลิ้นไม่หยุด

“อาจารย์ สำนักหรูเฟิงใส่ใจเรื่องความสง่าภูมิฐานเป็นที่สุดมิใช่หรือ เกิดอะไรขึ้นกับประมุขน้อยผู้นี้ ดูเหมือนไม่เอาไหนยิ่งกว่าเซวียเหมิงเหมิง [4] ของเราเสียอีก”

ฉู่หว่านหนิงผลักศีรษะที่เอียงเข้ามาใกล้ของเขากลับไป ตายังมองดูเหตุการณ์ด้านล่าง “อย่าเที่ยวตั้งฉายาส่งเดชให้พี่น้องร่วมสำนักของเจ้า”

โม่หรานหัวเราะแหะๆ กำลังคิดจะเอ่ยต่อ แต่เพราะปลายนิ้วฉู่หว่านหนิงจิ้มศีรษะเขาอยู่ แขนเสื้อพลิ้วดุจเมฆหมอกจึงตกบนใบหน้าเขา เนื้อผ้าเบาหวิว คล้ายไหมทว่ามิใช่ไหม คล้ายต่วนแต่มิใช่ต่วน สัมผัสอบอุ่นและเย็นเหมือนน้ำ ชั่วขณะนั้นพลันนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงตกตะลึงไป

เมื่อครู่ตอนอยู่ในห้อง ตนเลอะเลือนจนกระชากเสื้อผ้าฉู่หว่านหนิง กระชากอยู่นานก็กระชากไม่ออก เขาคิดว่าฉู่หว่านหนิงสวมเสื้อผ้ามิดชิดแน่นหนาเกินไปเสียอีก

ทว่ายามนี้มองดูเนื้อผ้าอย่างละเอียดแล้ว โม่หรานก็จำได้ทันทีว่านี่คือ “ไหมหมอกน้ำแข็ง” ของวังท่าเสวี่ยแห่งคุนหลุน

วังท่าเสวี่ยแห่งคุนหลุนคือสำนักที่หลบเร้นไม่ข้องแวะเรื่องทางโลกมากที่สุดในโลกบำเพ็ญเพียรระดับสูง โดยทั่วไปศิษย์จะเข้าสำนักเมื่ออายุห้าขวบ หนึ่งปีให้หลังต้องเข้าเก็บตัวฝึกบำเพ็ญในแดนศักดิ์สิทธิ์ของคุนหลุน พอก่อแก่นวิญญาณของตนเองสำเร็จ จึงจะออกจากการเก็บตัวได้ แม้กล่าวว่าแก่นวิญญาณคือสิ่งที่มีอยู่ในตัว ฝึกบำเพ็ญเพียงเพื่อดึงออกมา ทว่าช่วงระหว่างนี้กินเวลายาวนานอย่างยิ่ง มักจะยาวนานตั้งแต่สิบปีถึงสิบห้าปี ระหว่างนั้นห้ามมิให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้ามา ดังนั้นเสื้อผ้าอาหารของศิษย์จึงกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก อาหารยังพอทำเนา เพราะดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของคุนหลุนอยู่ใกล้ทะเลสาบหวังหมู่ เหล่าศิษย์วังท่าเสวี่ยสามารถไปจับสัตว์น้ำในทะเลสาบมาเป็นอาหารได้ แต่เสื้อผ้าคงมิอาจทอขึ้นเองกระมัง

ดังนั้น “ไหมหมอกน้ำแข็ง” จึงบังเกิดขึ้น

เสื้อผ้าที่ทำจากไหมชนิดนี้ ไม่เพียงอ่อนนุ่มดุจหมอกควัน แต่ยังลงอาคมป้องกันฝุ่นไว้ เพื่อไม่ให้เปรอะเปื้อนสิ่งสกปรก ยกเว้นแต่จะเลอะคราบสกปรกจำพวกรอยเลือด นอกนั้นแล้วล้วนไม่ต้องซักล้าง

ทว่าสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือ “ไหมหมอกน้ำแข็ง” จะเปลี่ยนสภาพตามรูปร่างของผู้สวมใส่ ข้อนี้สำหรับศิษย์วังท่าเสวี่ยนับว่าสำคัญยิ่ง เพราะพวกเขาต้องอยู่ในดินแดนต้องห้ามตั้งแต่อายุห้าขวบ และอาจต้องเก็บตัวอยู่นานอายุสิบห้าถึงยี่สิบปีกว่าจะออกมาได้ วันคืนยาวนานระหว่างนี้ ตั้งแต่เป็นเด็กน้อยผมหยอมแหยมจนเติบโตเจริญวัยขึ้นมา เสื้อผ้าที่ทอจากไหมหมอกน้ำแข็งก็จะขยายขนาดไปพร้อมกับรูปร่างของพวกเขาอย่างพอดิบพอดี จึงไม่ต้องรู้สึกเก้อกระดากเพราะเสื้อผ้าสั้นเต่อไม่พอดีตัว

…แต่ฉู่หว่านหนิงจะสวมเสื้อผ้าที่ทำจากเนื้อผ้าชนิดนี้ไปทำไม

โม่หรานหรี่ตา พลันความคิดบางอย่างก็วูบขึ้นมาราวกับประกายหินไฟ เขารู้สึกว่ามีบางจุดไม่ถูกต้อง คล้ายมีบางอย่างที่เขาเข้าใจผิดมาตั้งแต่ต้น คืออะไรกันนะ…

“รบกวนแล้ว ขอเรียนถาม เจ้าของเรือนแรมอยู่ที่ใด”

น้ำเสียงเปี่ยมพลังทว่าสุภาพนุ่มนวลของชายหนุ่มพลันดังขัดจังหวะความคิดของโม่หราน

เมื่อมองลงไป ก็เห็นศิษย์สำนักหรูเฟิงที่ปรากฏตัวที่หอเซวียนหยวนเมื่อตอนกลางวันกลุ่มนั้น ผู้เป็นหัวหน้าสวมชุดเฮ่อฮุยพลิ้วไหว มือถือกระบี่ประจำตัว ด้ามกระบี่แหวกเปิดม่านประตู ชะโงกตัวเข้ามาครึ่งหนึ่ง

“นี่คือผู้ติดตามของเยี่ยวั่งซีมิใช่หรือ” โม่หรานพลันหลุดจากภวังค์

สำนักหรูเฟิงมีเจ็ดสิบสองเมือง ในหมู่ศิษย์ด้วยกันจึงมักไม่รู้จักกัน ส่วนหนานกงซื่อ เขานั่งอยู่ในห้องรับรองส่วนตัวตามลำพัง หันหลังให้ประตู ด้วยเหตุนี้เมื่อชายหนุ่มกลุ่มที่มาใหม่กวาดตาเห็นศิษย์ร่วมสำนักซึ่งสวมชุดสามัญในเรือนแรม จึงย่อมจดจำไม่ได้

เยี่ยวั่งซีมองไปยังหนานกงซื่อ

คราวนี้คงได้ดูเรื่องสนุกแล้ว

“ขออภัยจริงๆ คืนนี้เรือนแรมเล็กๆ ของเราถูกเหมาแล้ว” เหลาป่านเหนียงกุลีกุจอเข้าไปต้อนรับ พลางลอบตำหนิตนเองที่ลืมหับประตูลงกลอน “เซียนจวินทุกท่านโปรดลองดูที่อื่นเถิด ขออภัยด้วย ขออภัยจริงๆ”

ชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าเผยสีหน้าลำบากใจ “เฮ้อ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เมื่อครู่ข้าก็ไปดูที่อื่นมาแล้ว ล้วนมีคนเต็มแน่นไปหมด เราพาแม่นางร่างกายอ่อนแอมาด้วยผู้หนึ่ง นางไม่ได้พักผ่อนมานานแล้ว อยากหาที่พักดีๆ ให้นางได้หลับสักตื่น เหลาป่านเหนียง รบกวนท่านไปถามนายท่านที่เหมาเรือนแรมท่านนั้นสักหน่อยว่าพอจะยกห้องสักสองสามห้องให้ได้หรือไม่”

“เรื่องนี้…เกรงว่าผู้อื่นจะไม่ยินยอม”

ชายหนุ่มประสานมือ ขอร้องอย่างสุภาพ “ขอเพียงเหลาป่านเหนียงช่วยไปถามดู หากเขาไม่ยอม เช่นนั้นก็ช่างเถิด”

เหลาป่านเหนียงยังไม่ทันเอ่ยอะไร ผู้ติดตามของหนานกงซื่อซึ่งนั่งโต๊ะใกล้ประตูก็ลุกพรวดขึ้นมา เอ่ยอย่างฉุนเฉียว “จะมาถามอะไร! ออกไปๆ! ห้ามรบกวนคุณชายของเรากินข้าว!”

“นั่นสิ! ตัวสวมเครื่องแบบของสำนักหรูเฟิง กลับพาแม่นางมาหลับนอน ไม่กลัวขายหน้าสำนักตนเอง!”

ชายหนุ่มไม่คาดว่าพวกเขาจะเข้าใจผิดเช่นนี้ ใบหน้าพลันแดงฉาน เอ่ยอย่างกรุ่นโกรธว่า “สหายนักพรตท่านนี้ไยจึงว่าร้ายกันเช่นนี้ สำนักหรูเฟิงเราเปิดเผยซื่อตรง ย่อมไม่มีทางกระทำเรื่องชู้สาวพรรค์นี้แน่ แม่นางผู้นี้คือคนที่คุณชายของเราช่วยไว้ด้วยเจตนาดี ไหนเลยจะให้ท่านพูดจาส่งเดชเช่นนี้ได้”

“คุณชายของเจ้า?” ผู้ติดตามของหนานกงซื่อเหลือบมองไปทางห้องส่วนตัวแวบหนึ่ง เห็นประมุขน้อยยังคงดื่มสุราอย่างไม่ไยดี คล้ายเห็นชอบการไล่คนของตน ดังนั้นจึงวางใจ เอ่ยเยาะหยันขึ้นมาทันที “ใต้หล้าต่างก็รู้ว่าคุณชายของสำนักหรูเฟิงมีเพียงผู้เดียว คุณชายคนนั้นของเจ้าคือใครกัน”

“ผู้น้อยเยี่ยวั่งซีแห่งสำนักหรูเฟิง” น้ำเสียงอ่อนโยนดังมาจากนอกม่านประตู

เหล่าชายหนุ่มต่างหันไปมอง “คุณชายเยี่ย…”

เยี่ยวั่งซีสวมชุดดำ รูปโฉมหล่อเหลาดูละมุนละไมลงเล็กน้อยใต้แสงเทียน เขาเอามือไพล่หลังเดินเข้ามาในเรือนแรม ด้านหลังมีสตรีคลุมผ้าโปร่งปิดบังใบหน้าเดินตามมา นัยน์ตาที่เผยออกมาดูตื่นตระหนกลนลาน…เป็นซ่งชิวถง

“…” พอโม่หรานเห็นนาง เส้นเลือดเขียวตรงหน้าผากก็กระตุกทันที

เป็นนางอีกแล้ว พบศัตรูบนทางแคบ [5] จริงๆ …

พอผู้ติดตามของหนานกงซื่อเห็นคนที่มาเป็นเยี่ยวั่งซี ต่างก็ตกตะลึง จากนั้นมีหลายคนเก็บอาการไม่อยู่ เผยสีหน้ารังเกียจออกมา

เยี่ยวั่งซีผู้นี้เป็นบุตรบุญธรรมของผู้อาวุโสอันดับหนึ่งแห่งสำนักหรูเฟิง สังกัด “อั้นเฉิง” [6] จากเจ็ดสิบสองเมืองของสำนักหรูเฟิง ชื่อตรงตามความหมาย เมืองอั้นเฉิงเชี่ยวชาญเรื่องฝึกฝนองครักษ์ลับ ประมุขของสำนักหรูเฟิงเดิมเลี้ยงดูเขาไว้เพื่อให้เป็นหัวหน้าองครักษ์ลับรุ่นต่อไป แต่เนื่องจากคุณสมบัติของเยี่ยวั่งซีไม่เหมาะสมกับเคล็ดวิชาองครักษ์ลับ ต่อมาจึงค่อยๆ ย้ายไปยังเมืองหลัก กลายเป็นแขนซ้ายแขนขวาของประมุข

เนื่องจากเยี่ยวั่งซีเคยมีสถานะเป็นองครักษ์ลับมาก่อน เขาจึงทำอะไรถ่อมตัวไม่เป็นที่สะดุดตา ด้วยเหตุนี้คนที่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเขาจึงมีน้อยอย่างยิ่ง แต่ประมุขให้ความสำคัญต่อเขายิ่งนัก หลายปีนี้ ในสำนักถึงขั้นลือกันว่าเยี่ยวั่งซีเป็นบุตรนอกสมรสของประมุข อาจด้วยสาเหตุนี้ ประมุขน้อยหนานกงซื่อจึงไม่ถูกชะตากับเยี่ยวั่งซี

ประมุขน้อยไม่ชอบเขา พวกลิ่วล้อเบื้องล่างไหนเลยจะมีความรู้สึกที่ดีกับเยี่ยวั่งซี

เดิมศิษย์รุ่นน้องย่อมไม่อาจล่วงเกินคุณชายเยี่ย ทว่าคนกลุ่มนี้ล้วนเป็นผู้ติดตามคนสนิทของหนานกงซื่อ ขึ้นตรงกับหนานกง ด้วยเหตุนี้บรรยากาศจึงชะงักงันอยู่นาน ก่อนจะมีคนกิริยาหยาบกระด้างแค่นหัวเราะหยัน “คุณชายเยี่ยเชิญกลับไปเถอะ วันนี้เรือนแรมแห่งนี้คงยกห้องว่างให้ท่านไม่ได้”

“คุณชาย ในเมื่อพวกเขาบอกว่าไม่มีห้องว่าง เช่น…เช่นนั้นเราไปหาที่อื่นกันดีกว่า” ซ่งชิวถงยื่นมือเรียวขาวไปคว้าชายเสื้อของเยี่ยวั่งซี เอ่ยอย่างลนลาน “อีกทั้งที่นี่ก็ดูหรูหรา ข้ามิอาจให้คุณชายสิ้นเปลืองได้อีกแล้ว…”

โม่หรานซึ่งอยู่ชั้นสองได้ยินคำพูดเช่นนี้ก็เหลือกตาขาว เอ่ยในใจว่า คนผู้นี้ไปที่ใดล้วนใช้น้ำเสียงอ่อนแอน่าสงสารเช่นนี้เสมอ ตอนแรกหลอกข้า ตอนนี้ยังมาหลอกเยี่ยวั่งซีอีก

เยี่ยวั่งซีกำลังจะกล่าวคำ จู่ๆ เงาขาวขนาดมหึมาก็พุ่งออกมาจากห้อง ตรงไปทางด้านหลังเยี่ยวั่งซีทันที

ซ่งชิวถงหลุดเสียงร้องด้วยความตกใจ “คุณชายระวัง!”

บรู๊วๆ! บรู๊วๆๆ!”

หมาป่าปีศาจสีขาวหิมะพุ่งออกมาพร้อมเสียงคำรามต่ำกังวาน วิ่งวนรอบตัวเยี่ยวั่งซีอย่างบ้าคลั่ง

“…”

ทุกคนเงียบกริบ

เยี่ยวั่งซีหลุบตาลงมองด้วยความประหลาดใจ พูดกับหมาป่าปีศาจขนขาวที่สูงเท่าคนสามคน ทว่าเวลานี้กลับกำลังกลิ้งเกลือกอยู่กับพื้น “เหน่าไป๋จิน?”

หมาป่าปีศาจตัวนี้เป็นพาหนะของหนานกงซื่อ แต่เพราะมีดวงตาสีแดงเหมือนโมราแดง ขนขาวดุจหิมะ ปลายเล็บเป็นสีทอง จึงชื่อว่าเหน่าไป๋จิน [7]

เมื่อเหน่าไป๋จินอยู่ที่นี่ ย่อมแสดงว่าหนานกงซื่ออยู่ที่นี่เช่นกัน เยี่ยวั่งซียกมือลูบหัวปุกปุยสีขาวที่ยื่นเข้ามาของเหน่าไป๋จิน พลางกวาดตามองรอบๆ

พรึ่บ…

มู่ลี่ไม้ไผ่ถูกมือข้างหนึ่งเลิกขึ้น แขนเสื้อแดงสด ที่ข้อมือเสื้อยังแต่งด้วยดิ้นทอง

ใบหน้าเจือความหงุดหงิดโผล่ออกมาครึ่งหนึ่ง หนานกงซื่อเอามือกอดอก พิงกายอยู่ในห้องรับรองส่วนตัวอย่างเกียจคร้าน ในมือยังถือสุราเซาจิ่วป้านหนึ่ง เขาเหลือบมองเยี่ยวั่งซีเล็กน้อย พลางเอ่ยหยัน “น่าสนใจนัก ไปที่ใดก็ล้วนแต่เจอเจ้า เจ้าตามติดข้าเช่นนี้ คนอื่นจะเอาไปพูดเหลวไหลได้ว่าเราทั้งสอง…เจ้าจะให้ข้าเอาหน้าไปไว้ที่ใด”

[1] “กุยอู้” แปลว่า หมอกหวนคืน “อูกุย” แปลว่า เต่า

[2] ภาษาจีนอ่านว่า “เซี่ยเฝิ่นซือจึโถว” ซึ่งออกเสียงใกล้เคียงกับ “เซี่ยเฟิ่นซือจึโถว” ที่แปลว่า หัวสิงโตระบายโทสะ

[3] เหล้าขาวที่ทำให้ระดับแอลกอฮอล์เข้มข้นขึ้นด้วยไฟ (การกลั่น) จึงมีชื่อเรียกว่า “เซาจิ่ว” หรือ “สุราเผา”

[4] “เหมิงเหมิง” แปลว่า น่ารัก บ้องแบ๊ว

[5] หมายถึง การปะทะหรือเผชิญหน้ากันที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง

[6] แปลว่า เมืองลับ

[7] “เหน่า” คือโมรา “ไป๋” คือสีขาว “จิน” คือทอง