อาการ น้ำ ใน หู ไม่ เท่า กัน

โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน หรือ โรคความดันน้ำในหูไม่เท่ากัน หรือ โรคเมเนียร์ (Meniere’s disease)

     พบมากในวัยทำงานจนถึงวัยสูงอายุ คือช่วงอายุ 30-60 ปี พบได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่จะพบในผู้หญิงมากกว่าเล็กน้อย โดยอาการมักจะเริ่มแสดงเมื่ออายุ 30 ปี เป็นโรคที่พบได้บ่อยๆ เกิดจากความผิดปกติของหูชั้นในซึ่งเกิดจากความดันน้ำในหูชั้นในที่เรียกว่า Endolymph มากผิดปกติ ส่งผลให้หูขั้นในที่มีหน้าที่ในการรับเสียงกับการทรงตัวไม่สามารถที่จะทำงานได้อย่างปกติ โดย Endolymph มีเกลือแร่ที่สำคัญอย่าง โปรแตสเซียม และถ้าไปปนกับน้ำส่วนอื่นๆ หูจะทำงานไม่ได้ เยื่อต่างๆ ในหูชั้นในจะแตก

สาเหตุของการเกิดโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

     ในปัจจุบันยังไม่ทราบอย่างแน่ชัด และบางครั้งอาจไม่พบว่าสาเหตุอะไรที่ทำให้เกิดโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน แต่มีตัวกระตุ้นหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยภายในกับปัจจัยภายนอก ซึ่งปัจจัยภายในเกิดจากโรคทางกรรมพันธุ์ พบได้ถึง 10-20% และพบบ่อยในครอบครัวที่เป็นไมเกรน ส่วนปัจจัยภายนอกเกิดได้จากการติดเชื้อไวรัส หูชั้นกลางอักเสบ หูชั้นในอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ มีการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน รวมถึงการมีประจำเดือน มีอาการปวดศีรษะไมเกรน เป็นโรคภูมิแพ้ โรคซิฟิลิสขั้นรุนแรง โรคหูน้ำหนวก อดนอน ความเครียด การสูบบุหรี่ และพฤติกรรมการทานอาหารที่มีปริมาณเกลือโซเดียมสูง อาหารรสเค็ม รวมถึงการอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่มีเสียงดังอึกทึกมากๆ

 อาการโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

  • หูข้างที่ผิดปกติ จะมีอาการเสียงดังในหู และมีอาการตึงๆภายในหูคล้ายกับว่ามีแรงดันเกิดขึ้นข้างในหูร่วมด้วย
  • เวียนศีรษะอย่างรุนแรง โดยมีอาการนานเป็นนาทีไปจนถึงหลายชั่วโมง ซึ่งอาการจะมาๆ หายๆ และมีความรู้สึกหมุนร่วมด้วย
  • บางครั้งจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมกับการสูญเสียสมดุลของร่างกาย ทำให้เซหรือล้มได้ง่ายๆ และมีเหงื่อออกเยอะร่วมด้วย
  • มีอาการหูอื้อ ได้ยินไม่ค่อยชัด รู้สึกแน่นในหูแบบเป็นๆหายๆ แต่ในบางครั้งการได้ยินจะดีขึ้น บางครั้งก็แย่ลง เกิดจากประสาทหูที่เสื่อม ทำให้ผู้ป่วยมีภาวะประสาทการได้ยินที่ผิดปกติเรียกว่าประสาทเสียงเสีย ซึ่งอาการได้ยินไม่ค่อยชัดหรือการได้ยินลดลง มักจะพบในช่วงระยะเริ่มแรกของโรค โดยการได้ยินจะลดลงในช่วงเกิดอาการเวียนศีรษะ ซึ่งมักจะเป็นเพียงชั่วคราว และเมื่อร่างกายกลับสู่ภาวะปกติการได้ยินจะดีขึ้น แต่อาการหูอื้อในช่วงระยะหลังๆของโรคอาจจะเป็นอยู่ตลอดไป

 การรักษาโรคน้ำในหูไม่เท่ากันตามระยะของโรค

  • ระยะที่ 1 ดูแลร่างกายตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • ระยะที่ 2 เป็นระยะที่ ‘หู’ เริ่มเกิดการเสื่อม ทำให้มีเสียงในหู และมีอาการเวียนศีรษะ เป็นไม่มาก แต่เป็นๆหายๆ ในระยะที่2 อาจต้องทานยาเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง
  • ระยะที่ 3 กับ ระยะที่ 4 จะทำการรักษาด้วยการใช้ยาฉีดหรือผ่าตัด ซึ่งแพทย์จะทำการฉีดยาเข้าไปที่หูข้างในโดยตรง เพื่อทำลายเซลล์ที่ก่อให้เกิดอาการเวียนศีรษะ และเมื่อเซลล์ตายอาการดังกล่าวจะหายไป โดยไม่ต้องทำการผ่าตัดเพื่อรักษา

ข้อควรปฏิบัติเมื่อป่วยเป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

  1. หลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีรสชาติเค็มจัด ควบคุมจำกัดปริมาณเกลือไม่ให้มากเกินไป
  2. หลีกเลี่ยงช็อกโกแลต เครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ และอาหารที่มีคาเฟอีนอย่าง ชากับกาแฟ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้อาการแย่ลง
  3. ทานอาหารให้ครบทุกหมู่ และถูกต้องตามหลักอนามัย
  4. พักผ่อนให้เพียงพอ โดยเฉพาะในเวลานอนหลับ หากมีเสียงรบกวนในหูมากก็จะทำให้นอนไม่หลับผู้ป่วยจึงควรเปิดเพลงอย่างเบาๆในขณะนอน เพื่อที่จะกลบเสียงที่รบกวนในหูให้หมดไป
  5. หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  6. หลีกเลี่ยงความเครียด ซึ่งเป็นปัจจัยที่กระตุ้นทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ และควบคุมอารมณ์ให้เบิกบานแจ่มใส
  7. ผู้ป่วยที่เกิดอาการเวียนศีรษะในทันทีโดยไม่มีอาการเตือน ควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะ หรือการปีนป่ายที่สูง ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุหรือเสี่ยงอันตรายได้
  8. ไม่ควรออกกำลังกายอย่างหักโหม หรือทำงานติดต่อกันเป็นเวลานานเกินไป ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ทำให้ร่างกายเหนื่อยอ่อนอย่างมาก
  9. บริหารระบบการทรงตัว ซึ่งเป็นการบริหารศีรษะกับการทรงตัวทำให้สมองสามารถที่จะปรับตัวได้อย่างรวดเร็วขึ้น
  • วิธีป้องกันโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

การป้องกันที่ได้ผลดีที่สุดก็คือ ลดปัจจัยกระตุ้นการเกิดโรค อาทิ ลดการดื่มน้ำอัดลม ชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาหารที่มีคาเฟอีนทุกชนิด ลดการทานเค็ม และพยายามไม่ทำให้ตัวเองเครียด ไม่หักโหมทำงานจนมากเกินไป ทำจิตใจให้ผ่องใส และพักผ่อนให้เพียงพอ

ศูนย์การได้ยิน รพ.พิษณุเวชพร้อมให้คำปรึกษา
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
ศูนย์การได้ยินพิษณุเวช-เดียร์เฮียร์ริ่ง
โทร 1208 หรือ 055-90-9000 ต่อ 520101 และ 520102

น้ำในหูไม่เท่ากันคืออะไร

โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน หรือ โรคมีเนีย (Meniere’s disease) ผู้ป่วยมาด้วยอาการเวียนหัว เห็นบ้านหมุน ซึ่งเป็นที่มีความผิดปกติของหูชั้นใน แต่อาการผิดปกติดังกล่าวอาจพบได้ในโรคของหูชั้นนอกหรือชั้นกลาง รวมทั้งโรคทางสมองและระบบเส้นประสาทก็ได้ ผู้ป่วยควรมาพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาที่เหมาะสม

อาการของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

จะประกอบด้วยอาการสำคัญ 3 อาการคือ เวียนศีรษะ (vertigo) มีเสียงดังในหู (tinnitus) และการได้ยินลดลง (hearing loss) ซึ่งแตกต่างจากการเวียนหัวธรรมดาที่จะมีเพียงอาการเวียนหัวเพียงอาการเดียวเท่านั้น

ลักษณะการเวียนศีรษะ คือ มีอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน ส่วนใหญ่ไม่เกินครึ่งชั่วโมง แต่บางครั้งอาจมีอาการนานเป็นชั่วโมงได้ อาการเวียนศีรษะเป็นอาการที่รบกวนผู้ป่วยมากที่สุด ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ ต้องนอนพัก

ลักษณะการได้ยินที่ลดลงของโรคน้ำในหูไม่เท่ากันนั้น มีอาการหูอื้อ ได้ยินไม่ชัด รู้สึกแน่นในหูเป็นๆหายๆ บางครั้งการได้ยินดีขึ้น บางครั้งการได้ยินเลวลง ในระยะแรกเริ่มมักมีการเสียของประสาทหูที่ความถี่ต่ำก่อน แต่ในระยะยาวแล้วระดับการได้ยินจะแย่ลงเรื่อย ๆ อาจถึงขั้นหูหนวกได้ ในระยะแรกอาจมีอาการที่หูข้างเดียว ในระยะหลังอาจมีอาการที่หูทั้งสองข้าง มีอาการปวดหู หรือปวดศีรษะข้างที่เป็นด้วยได้

การรักษา

ประกอบด้วย การปฏิบัติตัวที่ถูกต้องเวลาเวียนศีรษะ การให้ยาบรรเทาอาการ

  1. การปฏิบัติตัวที่ถูกต้องเวลาเวียนศีรษะ
    • เมื่อมีอาการเวียนศีรษะขณะเดิน ควรหยุดเดินและนั่งพัก เพราะการฝืนเดินขณะเวียนศีรษะ อาจทำให้ผู้ป่วยล้ม เกิดอุบัติเหตุได้ เช่นกัน ถ้าอาการเวียนศีรษะเกิดขณะขับรถ หรือขณะทำงาน ควรหยุดรถข้างทาง หรือหยุดการทำงาน โดยเฉพาะการทำงานที่เกี่ยวกับเครื่องจักรกล ซึ่งอาจเกิดอุบัติเหตุได้ ถ้าเวียนศีรษะมากควรนอนบนพื้นราบที่ไม่มีการเคลื่อนไหว เช่น พื้น และผู้ป่วยควรมองไปยังวัตถุที่อยู่นิ่ง ไม่เคลื่อนไหว
    • รับประทานยาที่แพทย์ให้รับประทานเวลาเวียนศีรษะ
    • พยายามอย่ารับประทานหรือดื่มมากนัก จะได้มีโอกาสอาเจียนน้อยลง
    • หลีกเลี่ยงการเดินทางโดยทางเรือ เพราะจะทำให้มีอาการเวียนศีรษะมากขึ้นได้
    • ถ้าอาการเวียนศีรษะน้อยลง ค่อย ๆ ลุกขึ้น แต่อาจรู้สึกง่วงหรือเพลียได้ แนะนำให้นอนหลับพักผ่อน ถ้าง่วงหลังตื่นนอน อาการมักจะดีขึ้น
  2. การให้ยาบรรเทาอาการ และรักษา
    • ควรจำกัดความเค็ม เพราะความเค็มหรือเกลือโซเดียมที่มีปริมาณมากขึ้นในร่างกาย จะทำให้มีน้ำคั่งในร่างกาย และในหูชั้นในมากขึ้น อาจทำให้อาการผู้ป่วยแย่ลงได้
    • ให้ยาบรรเทาอาการเวียนศีรษะ หรือคลื่นไส้ อาเจียน
    • การรับประทานยาขยายหลอดเลือด(ฮิสตะมีน) จะช่วยให้การไหลเวียนของน้ำในหูดีขึ้น
    • ถ้าผู้ป่วยหายเวียนศีรษะแล้ว ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มเลือดไปเลี้ยงหูชั้นใน
    • หลีกเลี่ยงสารคาเฟอีน (ชา เครื่องดื่มน้ำอัดลม และกาแฟ) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ และความเครียด ซึ่งจะทำให้อาการของผู้ป่วยโรคนี้แย่ลง เนื่องจากจะไปลดเลือดที่ไปเลี้ยงหูชั้นใน

นพ. ธีรพันธ์ ใจบุญ แพทย์โสตศอนาสิก (หู คอ จมูก) โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ต

โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน เป็นนานไหม

อาการโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน เวียนศีรษะอย่างรุนแรง โดยมีอาการนานเป็นนาทีไปจนถึงหลายชั่วโมง ซึ่งอาการจะมาๆ หายๆ และมีความรู้สึกหมุนร่วมด้วย บางครั้งจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมกับการสูญเสียสมดุลของร่างกาย ทำให้เซหรือล้มได้ง่ายๆ และมีเหงื่อออกเยอะร่วมด้วย

ทำยังไงให้น้ำในหูเท่ากัน

การรักษาน้ำในหูไม่เท่ากัน ยารักษาอาการป่วยจากการเคลื่อนไหวหรือยาแก้เมารถเมาเรือ เช่น มีไคลซีน ยาต้านการอาเจียน เช่น โปรเมทาซีน ยาขับปัสสาวะ เป็นการรักษาในระยะยาว เพื่อช่วยรักษาระดับของเหลวในหูและบรรเทาอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน โดยรับประทานยาควบคู่ไปกับการลดการรับประทานอาหารที่มีรสเค็ม

น้ำในหูไม่เท่ากันเป็นไง พันทิป

โรคน้ำในหูไม่เท่ากันหรือโรคมีเนีย เป็นโรคที่มีความผิดปกติของหูชั้นใน โดยมีน้ำในหูชั้นในมากผิดปกติ เมื่อใดก็ตามที่มีความผิดปกติของการไหลเวียนของน้ำในหู เช่น การดูดซึมของน้ำในหูไม่ดี

น้ำในหูมีความสำคัญอย่างไร

หูชั้นในของคนเรามีเซลล์ประสาทที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการได้ยินและการทรงตัวอยู่ โดยปกติจะมีน้ำในหูชั้นใน ในปริมาณที่พอดีกับการทำงานของเซลล์ประสาทที่ทำหน้าที่ควบคุมการทรงตัว และการได้ยิน มีการไหลเวียนและถ่ายเทเป็นปกติ เมื่อมีการเคลื่อนไหวของน้ำในหู ขณะเคลื่อนไหวศีรษะ จะเกิดการกระตุ้นเซลล์ประสาท ทำให้มีการส่งสัญญาณไปยังสมอง ...