ในการทำธุรกิจย่อมคาดหวังถึงผลกำไรเป็นเรื่องปกติ สำหรับใครที่อยู่ในแวดวงอาหาร สังเกตว่าวิธีที่จะช่วยให้มูลค่าสินค้าเพิ่มขึ้นได้นอกจากรสชาติ การเลือกใช้วัตถุดิบ ชื่อเสียงร้าน ความสามารถของพ่อครัวแล้ว บรรจุภัณฑ์อาหาร ก็ถือเป็นอีกทางเลือกดี ๆ ที่พร้อมตอบโจทย์ด้านผลกำไรอย่างมากหากรู้วิธีออกแบบสุดพิเศษ ลูกค้าได้รับแล้วเกิดความพึงพอใจ แม้จะบอกว่ากำไรตรงนี้อาจไม่ได้สูงมาก แต่เมื่อรวมกันแล้วก็จัดว่าช่วยเพิ่มรายได้ต่อธุรกิจอีกทางเช่นกัน เทคนิคออกแบบบรรจุภัณฑ์อาหารเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า 1. การใช้ฝาแบบใสเพื่อให้เห็นตัวอาหารด้านใน วิธีแรกในการเพิ่มมูลค่าให้กับอาหารของคุณ หากคิดว่าทางร้านมีฝีมือในการจัดแต่งอย่างสวยงาม ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องปิดกล่อง ปิดบรรจุภัณฑ์ด้วยฝามืดทึบ แนะนำให้เลือกฝาแบบใสเพื่อให้มองเห็นตัวอาหารภายใน สร้างความรู้สึกน่าประทับใจต่อลูกค้ามากขึ้น เขาจะลืมเรื่องราคาไปชั่วขณะเพราะรู้สึกว่าอาหารน่าทานมากจริง ๆ 2. แยกช่องใส่อาหารออกชัดเจน วิธีต่อมาสำหรับร้านอาหารที่ต้องแบ่งเมนูออกเป็นชุดในกล่องเดียวกัน ควรมีการออกแบบเฉพาะสำหรับใส่เมนูนั้น ๆ แยกชัดเจน เช่น ร้านอาหารไทย มีข้าวแยกกับข้าว แยกด้วยขนมหวาน เป็นต้น การแยกเมนูอาหารออกจากกันจะทำให้ผู้บริโภครู้สึกถึงความใส่ใจ เลือกทานในแบบที่ตนเองชอบได้ อีกทั้งยังรู้ด้วยว่าการเลือกบรรจุภัณฑ์อาหารแบบนี้มีราคาสูงกว่า การขายแพงขึ้นอีกนิดจึงไม่น่าเกลียด 3. ดีไซน์รูปทรงให้ดูแปลกตา เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว อีกเทคนิคในการสร้างมูลค่าให้กับสินค้าผ่านบรรจุภัณฑ์อาหารคือ ลองออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ไม่ใช่แค่กล่องใส่อาหารธรรมดา เช่น ร้านโดดเด่นเรื่องเป็ดย่าง อาจออกแบบกล่องให้มีหน้าตาคล้ายเป็ด หรือร้านที่ดังเรื่องซาลาเปา จะใช้ดีไซน์ของตัวซาลาเปามาทำเป็นบรรจุภัณฑ์ก็จัดว่าน่ารัก น่าสนใจไปอีกแบบ ลูกค้ารู้สึกประทับใจ อยากเก็บเอาไว้ใช้งานต่อ 4. วัสดุมีคุณภาพสูง ใช้งานต่อได้ ข้อนี้อาจไม่เชิงเกี่ยวกับการออกแบบโดยตรง แต่เป็นการคัดสรรนำเอาวัสดุคุณภาพดีมาใช้งาน เมื่อลูกค้าเห็นว่ากล่องใส่อาหารนี้แข็งแรง ก็อยากเก็บเอาไว้ใช้งานต่อ คล้ายเป็นบริการหลังการขาย แม้ราคาจะสูงขึ้นนิดหน่อย แต่ลูกค้ายอมรับได้ เพราะเขารู้สึกถึงสิ่งที่ได้มากกว่าแค่อาหารเพียงอย่างเดียว การพลิกแพลง พัฒนาบรรจุภัณฑ์อาหารย่อมช่วยให้ธุรกิจในแวดวงนี้ยืนหยัดอยู่ได้แม้กำลังเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ มากมาย แม้การเพิ่มมูลค่าอาจไม่ได้สูงอะไรมากนัก แต่การมีบรรจุภัณฑ์ดี ๆ ย่อมช่วยให้ลูกค้าประทับใจ และอยากกลับมาซื้อซ้ำอยู่เรื่อย ๆ เหมือนกัน ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.cppc.co.th/food-packaging/ หรือ https://onlinegreenpacks.com 7 พ.ค. 2022 เคยสงสัยไหมว่า แบรนด์ดัง ๆ เขาทำอย่างไร ให้เรารู้สึกอยากซื้อสินค้า คำตอบของหลายคนก็น่าจะเป็น เพราะดีไซน์สวย, ฟีเชอร์โดนใจ, ใส่สบาย หรือเหตุผลอื่น ๆ เช่น เครื่องนุ่งห่มที่เป็นหนึ่งในปัจจัย 4 มีจุดประสงค์เพื่อนุ่งห่มร่างกายให้อบอุ่น และปกปิดร่างกาย อาหารที่มีหน้าที่เติมเต็มสารอาหาร และดับความหิวกระหาย Core Product ที่ว่ามานี้ จะเห็นได้ว่าคุณสมบัติพื้นฐานของมัน ก็คือสิ่งจำเป็นในชีวิตอย่างปัจจัย 4 โดยเฉพาะเมื่อคนอื่นมีเหมือน ๆ กันกับเรา มันทำให้มนุษย์ยิ่งรู้สึกอยากมีอะไรที่พิเศษกว่าเดิมเสมอ ตาม ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ (Maslow's hierarchy of needs) ที่เมื่อเราสามารถเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีพได้แล้ว เราก็จะอยากได้อะไรที่มากไปกว่านั้นอีก ไล่ไปตั้งแต่การได้รับการยอมรับจากสังคม ไปจนถึงความภาคภูมิใจสูงสุดของชีวิต ซึ่งความรู้สึกพื้นฐานของมนุษย์นี้เอง ที่ทำให้หลาย ๆ แบรนด์พยายามทำให้ผู้บริโภครู้สึกดี และภูมิใจเวลาได้ใช้ หรือครอบครองสินค้าของแบรนด์ แล้วคำถามคือ ความรู้สึกพิเศษนี้ มันสะท้อนออกมาได้จากอะไรบ้าง ? - อย่างแรก นำเสนอ “ความพรีเมียม” เราคงรู้กันดีแล้วว่า
ความพรีเมียม ในวงการแฟชั่น หรือวงการรถยนต์นั้นคืออะไร อย่างน้ำตาลแบรนด์ Proud ที่เป็นน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์พิเศษสัญชาติไทย อีกทั้งทางแบรนด์ ยังมีเกล็ดน้ำตาลที่ละเอียดดุจคริสตัล ละลายน้ำง่ายกว่า ประกอบกับการออกแบบแพ็กเกจจิง
ที่เลียนแบบความใสบริสุทธิ์ของคริสตัลมา ส่วนหัวเท ก็มีทั้งแบบเทต่อเนื่อง กับหัวเทแบบจำกัดปริมาณ 1 ช้อนชา เพื่อให้เราไม่บริโภคน้ำตาลในปริมาณมากจนเกินไป ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าองค์ประกอบโดยรวมของแบรนด์ Proud ส่งผลให้สินค้าที่แทบไม่มีความต่าง อย่างน้ำตาล “ดูพรีเมียม” และ “โดดเด่น” ขึ้นมาทันที ในราคาที่เข้าถึงได้ นอกจากนี้ ความพรีเมียม อาจสะท้อนออกมาในรูปแบบความหายากก็ได้ หรือถ้าเป็นอย่างธุรกิจบริการ ก็ต้องมีสถานที่ และวัตถุดิบในการให้บริการ ที่ทำให้ลูกค้าประทับใจให้ได้ ประกอบกับฝีมือของเชฟที่หาตัวจับได้ยาก เช่น ร้านอาหารที่มีเชฟรางวัลมิชลิน หรือเป็นเชฟชื่อดังจากฝรั่งเศส - การพัฒนาดีไซน์ ให้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ถ้าเพื่อน ๆ นึกถึงแบรนด์เสื้อผ้า และกระเป๋าที่เป็น “ลายดอกไม้” จะนึกถึงแบรนด์อะไร แน่นอนว่าหนึ่งในคำตอบของหลายคน คงเป็นแบรนด์ Marimekko หรือไม่ก็แบรนด์ Cath Kidston ถึงแม้ว่าทั้งสองแบรนด์ จะมีลายเส้นเป็นดอกไม้เหมือนกัน หรือแม้แต่แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่โดดเด่นด้วยดีไซน์อย่างแบรนด์ SMEG และแบรนด์ Dyson ที่เป็นกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าระดับท็อปเหมือนกัน ดังนั้น ดีไซน์ที่โดดเด่น และเป็นที่จดจำ ก็สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับแบรนด์ได้มากเลยทีเดียว - บริการที่ยอดเยี่ยม จนเกินความคาดหวัง ตัวอย่างเช่น
บริการส่งเร็ว แต่เรื่องนี้ยืนยันได้จากการรีวิวบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Shopee และ Lazada ที่ถ้าร้านไหนส่งเร็ว ทันใจ ลูกค้าก็มักจะเขียนชมไว้เลย เช่น “สั่งเมื่อวาน ได้วันนี้ ไวมากค่ะ ไว้จะมาอุดหนุนอีก” นี่แสดงถึง Insight ที่บอกว่า นอกจากเรื่องคุณภาพ และราคาของสินค้า และยังมีโอกาสที่จะเพิ่มยอดขายได้ จากลูกค้าที่เขียนรีวิวไว้ให้ทางร้านแบบจริงใจผ่านช่องทางต่าง ๆ อีกด้วย - เพิ่มคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ หรือของแบรนด์ลงไป คำแนะนำ ถือเป็นสิ่งที่แสดงถึงความใส่ใจของแบรนด์เลยก็ว่าได้ ลูกค้าส่วนมากถ้าหากว่าได้รับสินค้า พร้อมกับคำแนะนำอย่างดี ก็จะรู้สึกว่าเงินที่ใช้จ่ายไปนั้นคุ้มค่า เพราะมนุษย์ทุกคน ย่อมปลื้มปีติ เมื่อรู้สึกว่าตัวเองนั้นถูกใส่ใจมากขนาดไหน เช่น ร้านขายเทียนหอม ที่จะส่งไปแต่เทียนหอมทื่อ ๆ เลยก็ได้ แต่ทางร้านกลับแนบการ์ดอธิบาย ว่าควรจุดเทียนที่ตำแหน่งไหนของห้อง พร้อมเหตุผล ควรดับเทียนอย่างไร เพื่อไม่ให้มีเขม่าควัน รวมถึงวิธีการเก็บรักษาที่ถูกต้อง อีกทั้งยังมีการ์ดขอบคุณ และโปสต์การ์ดที่ดูผ่อนคลาย เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบเทียนหอมเป็นทุนเดิมแถมมาด้วย - การพัฒนาแพ็กเกจจิงหรือดีไซน์ ให้ผู้บริโภคใช้งานสะดวกที่สุด ในแทบจะทุกสินค้า มักจะมี Pain Point เล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ เช่น ปัญหาโยเกิร์ตติดฝาถ้วย ที่หลายคนจะต้องเอาช้อนขูดโยเกิร์ตที่ติดฝา ก่อนนำไปทิ้ง หรือเด็ก ๆ จะชอบเอาฝาโยเกิร์ตมาเลียให้สะอาด จนบางคนมองเป็นปัญหาติดตลกเวลากินโยเกิร์ตไปแล้ว แต่ในประเทศญี่ปุ่น กลับคิดค้นนวัตกรรมที่ทำให้โยเกิร์ตไม่ติดฝาถ้วยได้ ซึ่งในปัจจุบันหลาย ๆ แบรนด์ก็หันมาใช้นวัตกรรมนี้ หรืออีกอย่างคือ ปัญหาจากขวดซอสมะเขือเทศ ที่เมื่อก่อนซอสไฮนซ์ เป็นผู้บุกเบิกแพ็กเกจจิงขวดพลาสติกหัวคว่ำ เพื่อแก้ปัญหาที่ต้องมานั่งตบตูดขวดแก้วแบบเก่า แต่ปัญหาใหม่คือ ซอสชอบไปเลอะเทอะที่ปากขวด ทำให้ทางบริษัทต้องพัฒนาปากขวดแบบที่สามารถบีบออกมาเป็นเส้นเล็ก ๆ แล้วเมื่อหยุดบีบ ก็จะไม่มีซอสหกเปรอะเปื้อนเหมือนเก่า นี่คือนวัตกรรมที่ทำให้ผลิตภัณฑ์มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเห็นว่า ไม่ได้เกิดจากการพัฒนาสูตรโยเกิร์ต หรือสูตรซอสเลย ที่กล่าวมาทั้งหมด
ก็เป็นตัวอย่างของการเพิ่มมูลค่าให้กับตัวสินค้าและบริการ จนแบรนด์สามารถปรับเพิ่มราคาสินค้าหรือบริการได้ตามมูลค่าที่เพิ่มขึ้น และลูกค้ายอมจ่ายเงินซื้อมันด้วยความเต็มใจ ซึ่งจริง ๆ แล้ว แบรนด์ก็ควรจะเลือกพัฒนาในหลาย ๆ ด้านไปพร้อมกัน เพราะจริง ๆ แล้ว ก็มีเรื่องราวของแบรนด์อีกมากมาย ที่มุ่งเน้นฟังก์ชันการใช้งานเพียงอย่างเดียว แต่ไม่สนใจดีไซน์ หรือการสร้างอรรถรสส่วนเพิ่มให้กับลูกค้า จนบางครั้ง ก็ไปไม่รอดในโลกแห่งการแข่งขัน |