ออกแบบ วางแผน ใช้กระบวนการรวบรวมข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ

คานา

ชุดฝึกรายวิชาการศึกษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ รหัสวิชา I20201 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
สาระการเรียนรู้การศึกษาคน้ คว้าดว้ ยตนเอง โรงเรียนมหาชนะชัยวทิ ยาคม จัดทาข้นึ เพอ่ื เป็นแนวทาง
ในการจัดการเรียนรู้ ให้สอดคล้องตามแนวทางการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนมาตรฐานสากล
โดยได้ศึกษาเอกสารหลักสูตร ผังมโนทัศน์ โครงสร้างขอบข่ายสาระการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียน
และตัวชี้วัด เพื่อกาหนดกรอบการจัดกิจกรรมและระยะเวลาในการทากิจกรรม ให้สอดคล้องกับ
แผนการจดั การเรยี นรู้ และหลักสตู รกล่มุ สาระการเรยี นรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ซึ่งประกอบไป
ด้วย แบบทดสอบก่อนเรยี น ใบความรู้ 15 ชุด และ ใบงาน 19 ชุด เพื่อการจัดกิจกรรมการเรียนการ
สอนได้บูรณาการตามความเหมาะสม อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดเป็นไปตามความมุ่ง
หมายของสถานศึกษาตอ่ ไป

กลมุ่ สาระการเรยี นรู้การศึกษาค้นควา้ ดว้ ยตนเอง

สารบญั

หน้า
ปกใน ................................................................................................................................................ ก
คา นา............................................................................................................................................... ข
สารบญั ............................................................................................................................................. ค
แบบทดสอบกอ่ นเรยี น ......................................................................................................................1
ใบความรู้เรอ่ื ง การศึกษาค้นคว้าดว้ ยตนเอง “Independent Study : IS” .................................2
ใบความรทู้ ี่ 1 เร่อื ง การต้ังประเดน็ ปัญหาหรือตัง้ คาถาม ...............................................................2
ใบงานท่ี 1 เรอ่ื ง การตั้งประเด็นปญั หาหรือตั้งคาถาม ....................................................................2
ใบงานที่ 2 เรื่อง การฝกึ ตั้งคาถาม...................................................................................................2
ใบงานที่ 3 เรื่อง การวิเคราะห์ / ตั้งคาถาม / ระบุปัญหาของตนเอง.............................................2
ใบงานที่ 4 เรอ่ื ง การวเิ คราะห์ / ตั้งคาถาม / ระบุปัญหาของชุมชน .............................................2
ใบงานที่ 5 เรื่อง การวิเคราะห์ / ตั้งคาถาม / ระบปุ ัญหาของประเทศ ..........................................2
ใบงานที่ 6 เรอ่ื ง การต้งั คาถาม / การระบุประเดน็ ปัญหา..............................................................2
ใบความรู้ที่ 2 เร่ือง การตั้งสมมติฐาน .............................................................................................2
ใบงานที่ 7 เรื่อง การต้งั สมมตฐิ าน..................................................................................................2
ใบงานที่ 8 เรือ่ ง การฝึกตง้ั สมมติฐาน .............................................................................................2
ใบความรทู้ ี่ 3 เรอื่ ง ประเด็นปญั หาและสมมติฐาน .........................................................................2
ใบงานท่ี 9 เรื่อง ประเด็นปัญหากับการต้งั สมมตฐิ าน.....................................................................2
ใบความรู้ที่ 4 เร่อื ง การออกแบบ วางแผน รวบรวมข้อมลู ...........................................................2
ใบงานที่ 10 เรอ่ื ง การออกแบบ วางแผน รวบรวมข้อมูล..............................................................2
ใบความรทู้ ี่ 5 เรื่อง การเก็บรวบรวมข้อมูล.....................................................................................2
ใบงานท่ี 11 เรือ่ ง การเกบ็ รวบรวมข้อมูล.......................................................................................2
ใบงานที่ 12 เรื่อง ออกแบบ วางแผน ใช้กระบวนการรวบรวมข้อมลู อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ...........2
ใบความรู้ท่ี 6 เรอื่ ง วธิ ีการแสวงหาความรขู้ องมนุษย์................................................................. 34
ใบงานที่ 13 เรอ่ื ง วธิ กี ารแสวงหาความรู้ของมนุษย์ ......................................................................2
ใบความรู้ที่ 7 เรอ่ื ง แหลง่ เรียนรู้ .................................................................................................. 39
ใบงานท่ี 14 เรื่อง การระบุแหล่งที่มาของความรู้ ........................................................................ 41
ใบความรู้ที่ 8 เร่ือง การอา้ งทางบรรณานุกรม............................................................................. 42

สารบัญ (ต่อ)

หน้า

ใบความร้ทู ี่ 9 เร่อื ง เทคนคิ ในการคดิ หาวิธีแก้ไขปญั หา .............................................................. 44
ใบงานที่ 15 เรื่อง การเสนอแนวคดิ เทคนคิ วิธกี ารแกป้ ญั หา...................................................... 46
ใบความรู้ท่ี 10 เรื่อง ข้อมลู การตรวจสอบความน่าเชอ่ื ถอื ของข้อมูล...........................................2
ใบงานท่ี 16 เรอื่ ง แบบบนั ทึกผลการตรวจสอบขอ้ มลู ................................................................ 50
ใบความรทู้ ่ี 11 เรอื่ ง การจัดกระทาขอ้ มูล ................................................................................... 52
ใบงานท่ี 17 เรือ่ ง แบบฝึกกิจกรรมการจัดกระทาและส่ือความหมายของข้อมลู ...........................2
ใบความรู้ท่ี 12 เร่อื ง การนาเสนอข้อมูล...................................................................................... 54
ใบความรทู้ ่ี 13 เรอ่ื ง การวเิ คราะหข์ ้อมูลและการแปลความหมายข้อมูล ......................................2
ใบความรู้ที่ 14 เรอ่ื ง สถติ ิ ............................................................................................................ 59
ใบความรทู้ ี่ 15 เรอ่ื ง องคค์ วามรู้.................................................................................................. 64
ใบงานที่ 18 เรอ่ื ง องค์ความรู้ ...................................................................................................... 66
ใบงานที่ 19 เรื่อง ประโยชน์ของการศึกษาค้นควา้ และสร้างองค์ความรู้ .................................... 66
แบบทดสอบหลังเรียน.................................................................................................................... 68

แบบทดสอบกอ่ นเรียน
รายวิชาการศกึ ษาค้นคว้าและสรา้ งองคค์ วามรู้ IS1(Research and Knowledge Formation)
รหัสวิชา I20201 ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2557 โรงเรยี นมหาชนะชยั วทิ ยาคม

คาชีแ้ จง ให้เลอื กคาตอบที่ถูกตอ้ งท่สี ดุ เพียงคาตอบเดียวในแตล่ ะข้อ แล้วกาเครอ่ื งหมาย ลงใน

กระดาษคาตอบใช้เวลาในการทดสอบ 1 ชั่วโมง 40 คะแนน

1. ข้อใดสาคัญที่สุดในการศึกษาค้นคว้า 6. แหล่งการเรียนรูท้ ี่ใชส้ าหรบั การศกึ ษา

ก. การกาหนดจุดมุ่งหมายของการศึกษา คน้ คว้า ควรมลี ักษณะเปน็ อย่างไร

คน้ ควา้ ก. พอเพยี ง

ข. การกล่าวถงึ ความเปน็ มาของปญั หาที่ ข. ทนั สมยั

จะศกึ ษาคน้ คว้า ค. เพยี งพอ

ค. การอธบิ ายปญั หาทจี่ ะทาการศึกษา ง. สบื คน้ ได้งา่ ย

คน้ ควา้ ให้ชดั เจน 7. ขอ้ ใด คือ ผ้เู กย่ี วขอ้ งในการศึกษาค้นควา้

ง. การเลอื กเรื่องเพ่ือต้ังประเดน็ ปญั หา เป็นลาดับแรก

2. การปฏบิ ัตใิ นขอ้ ใดท่ีจะช่วยลดอุปสรรคใน ก. ประชากร

การศกึ ษาคน้ ควา้ ได้มากท่ีสุด ข. กลมุ่ ตวั อย่าง

ก. การประหยัด ค. ผู้ช่วยการวเิ คราะหข์ ้อมลู

ข. ความอดทน ง. ทีป่ รึกษา

ค. ความละเอียด รอบคอบ 8. ข้อใดเปน็ ลักษณะของการนิยามปญั หา

ง. ความพากเพยี ร ก. การอธบิ ายปญั หาทจี่ ะศึกษาคน้ ควา้ ให้

3. เรอ่ื งทผ่ี ู้ศึกษาคน้ คว้าสนใจ ควรสอดคล้อง ชัดเจน

กับเรอ่ื งใดมากทีส่ ดุ ข. การกล่าวถงึ ท่ีมาของปญั หาทีจ่ ะศึกษา

ก. ผศู้ กึ ษาค้นคว้ามีความสนใจอยา่ งแท้จริง ค้นคว้า

ข. มีประโยชน์ต่อคนในสงั คมโลก ค. การอา้ งทฤษฏี กฎเกณฑ์ หรือขอ้ เขียน

ค. มคี วามพากเพียร อดทน ท่ีเชื่อถือได้

ง. ตั้งใจศึกษาค้นคว้าให้สาเรจ็ ง. การกาหนดจุดมุ่งหมายของการศึกษา

4. ขอ้ ใด แสดงวา่ ผู้ศึกษาค้นคว้ามีความรู้ คน้ ควา้

ความสามารถในเร่ืองทีศ่ ึกษาค้นควา้ 9. การกลา่ วถงึ ท่ีมาของปัญหาทจ่ี ะศึกษา

ก. ศกั ยภาพในการเรยี นรู้ ค้นคว้า สาเหตุท่ีต้องศึกษาคน้ คว้าเรอื่ งน้นั

ข. ประสบการณ์ในการศึกษาค้นคว้า เป็นลักษณะของข้อใด

ค. พื้นฐานการศึกษา ก. การกาหนดจดุ มุ่งหมาย

ง. การทาความเขา้ ใจเรื่องที่ศึกษาคน้ ควา้ ข. บทนา หรือความเป็นมา

5. ผศู้ ึกษาค้นควา้ ควรทาอย่างไรเกี่ยวกบั ทุนท่ี ค. การเขียนสมมตุ ฐิ าน

ใช้เปน็ คา่ ใชจ้ า่ ย ง. การนิยามปัญหา

ก. กาหนดราคาคา่ วัสดุ อปุ กรณ์ใหช้ ัดเจน

ข. ทาประมาณการคา่ ใช้จ่าย

ค. ระบคุ ่าเดินทางเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู

ง. จดั เตรียมงบประมาณคา่ พิมพ์รายงาน

10. ข้อใดเปน็ จริง เกย่ี วกับการกาหนด 2
จดุ มงุ่ หมายของการศึกษาคน้ ควา้
ก. เขยี นแยกเป็นรายขอ้ 15. ผลการทดสอบสมมตุ ฐิ าน จะต้องตรงกับ
ข. ไม่ต้องเขียนแยกเป็นรายข้อ สมมุตฐิ านที่ต้งั ไว้หรอื ไม่
ค. เขียนแยกเป็นรายขอ้ หรือไมแ่ ยกขอ้ ก็ได้
ง. ใช้ภาษาทางวิชาการ ก. ตรง
11. ข้อใด คือ ความหมายของสมมุตฐิ าน ข. ไมต่ รง
ก. วิธีการแก้ปญั หาทางวิทยาศาสตร์โดย ค. ตรง หรือไมต่ รง ก็ได้
ง. สรปุ แนน่ อนไม่ได้
เรมิ่ ต้นจากการตั้งประเด็นปญั หา 16. ขอ้ ใดสาคัญท่สี ดุ
ข. ขอ้ คดิ เห็น หรอื ถ้อยแถลงทีใ่ ช้เปน็ มูล ก. อธิบายผลการศกึ ษาคน้ คว้าว่าเป็น

ฐานของการหาเหตผุ ล เพราะเหตุใด
ค. การรวบรวมข้อมลู เพ่อื คาดคะเน ข. ผลการศึกษาต้องเปน็ ไปตามสมมตุ ิฐาน
ค. ผลการศกึ ษาคน้ คว้า ไม่เป็นไปตาม
คาตอบ
ง. การคาดคะเนคาตอบใหถ้ กู ต้องตรงกบั สมมตุ ิฐาน
ง. ไมม่ ขี ้อใดสาคญั ทส่ี ุด
ความเปน็ จรงิ มากทส่ี ดุ 17. สมมตุ ิฐาน ที่กาหนดว่า “ไม่มีความ
12. ขอ้ ใดเป็นจริง แตกตา่ ง” เปน็ สมมุตฐิ านประเภทใด
ก. สมมตุ ฐิ านทางเลือก
ก. สมมุติฐานตัง้ ขนึ้ หลงั จากศึกษาคน้ คว้า ข. สมมตุ ิฐานทางสถิติ
รวบรวมข้อมูลแล้ว ค. แสดงถึงการปฏเิ สธสมมตุ ิฐาน
ง. แสดงถงึ การยอมรับสมมตุ ฐิ าน
ข. สมมตุ ิฐานต้ังข้ึนกอ่ นการศึกษาคน้ ควา้ 18. การศกึ ษาคน้ คว้า ใชต้ ้งั สมมุตฐิ านแบบใด
รวบรวมข้อมูล ก. ไมต่ อ้ งต้ังสมมุตฐิ าน
ข. ตงั้ สมมุตฐิ านแบบยอมรับ
ค. สมมตุ ฐิ าน ไม่ต้องสอดคล้องกบั ค. สมมตุ ฐิ านทางเลือก
จดุ มงุ่ หมายของการศึกษาคน้ คว้าก็ได้ ง. สมมุตฐิ านทางสถติ ิ
19. หากผลการทดสอบ ทางสถิตชิ ี้วา่ “ไม่
ง. สมมตุ ตฐิ าน ตง้ั ขนึ้ ก่อนการตั้งประเด็น จรงิ ” ต้องปฏิบัติอยา่ งไร
ปัญหา ก. แสดงวา่ การศึกษาค้นควา้ ล้มเหลว
ข. แสดงวา่ การศึกษาค้นควา้ ประสบ
13. สมมุตฐิ านการศึกษาคน้ ควา้ ควรตัง้ ขนึ้
เมอ่ื ใด ความสาเรจ็
ค. ไมย่ อมรับ
ก. การศกึ ษาคน้ คว้าไม่ตอ้ งต้ังสมมตุ ฐิ านกไ็ ด้ ง. ยอมรับ
ข. ก่อน หรอื หลังการเก็บรวบรวมข้อมูลก็ได้ 20. ขอ้ ใดเปน็ ประโยชน์ของสมมุตฐิ าน
ค. หลงั การเก็บรวบรวมข้อมลู ก. ใช้ตรวจสอบ
ง. กอ่ นการเก็บรวบรวมขอ้ มูล ข. จากดั ขอบเขตการศึกษาค้นคว้า
14. อะไรเปน็ สง่ิ บง่ ช้วี า่ สมมุตฐิ านไดม้ าจาก ค. ใช้ตรวจสอบ จากัดขอบเขต ช่วยให้
การไตร่ตรองโดยใช้เหตุผลทน่ี ่าจะเปน็
ก. รากฐานของทฤษฏี เขา้ ใจเรือ่ ง
ข. รากฐานของทฤษฏี ผลการศึกษาค้นคว้า ง. แสดงความสมั พันธข์ องผลการศกึ ษา
ค. ทฤษฏี ผลการศกึ ษา ผลการวจิ ัยท่ี
คน้ คว้า
เกย่ี วขอ้ ง
ง. ผลการทดสอบสมมุตฐิ าน ตรงกับ

สมมุติฐาน

21. ขอ้ ใดควรเกิดข้ึนหลังจากตั้งสมมตุ ิฐานแลว้ 3
ก. จดุ มงุ่ หมาย
ข. ผลการศึกษาค้นคว้า ค. เชิงคณุ ลกั ษณะ หรอื เชงิ คุณภาพ
ค. สมมตุ ิฐาน ง. การศกึ ษาค้นควา้ ต้องมีการตงั้
ง. ทุกข้อสามารถเกิดขึ้นก่อน หรอื หลงั ก็ได้
สมมตุ ฐิ านก่อน
22. ข้อใดเปน็ ลักษณะของสมมุตฐิ านทดี่ ี 28. ข้อใดเป็นจริง
ก. ตงั้ ข้นึ ก่อนการกาหนดจดุ มุ่งหมาย
ข. ตัง้ ขนึ้ ก่อนการรวบรวมข้อมลู ก. การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ต้องทาก่อนตง้ั
ค. สามารถทดสอบไดด้ ้วยข้อมูล สมมตุ ิฐาน
หลักฐานต่าง ๆ
ง. ใช้ภาษาที่แสดงรายละเอียดใหม้ ากที่สุด ข. สมมุตฐิ านตั้งขน้ึ จากข้อมูลทีค่ ้นพบไม่ได้
ค. การสังเกต เปน็ การศึกษาเชิงปรมิ าณ
23. ควรปฏบิ ัตอิ ย่างไรใหส้ มมุตฐิ านมีความ ง. การสังเกต เป็นการศึกษาเชิงคณุ ลักษณะ
สมเหตุสมผล 29. สมมุติฐาน ทดสอบได้จากอะไร
ก. ขอ้ มลู ท่เี กบ็ รวบรวมมา
ก. มเี หตผุ ล ข. ขอ้ มลู ที่มีผ้เู กบ็ รวบรวมไว้แล้ว
ข. มเี หตุผล และตามทฤษฏี ค. ขอ้ มลู จากผลการศึกษาคน้ คว้าที่
ค. มีเหตุผล ตามทฤษฏี และผลการศึกษา
ง. มีผู้เชี่ยวชาญรับรอง เก่ยี วขอ้ ง
24. ขอ้ ความท่ใี ช้เขียนสมมตุ ฐิ าน ควรมี ง. สถิติที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า
ลักษณะเป็นอย่างไร 30. ข้อใดเป็นจริง
ก. ใชภ้ าษาเขียน หรือภาษพูดกไ็ ด้ ก. สมมุตฐิ านควรมขี ้อเดยี ว
ข. เขยี นเปน็ ภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษ ข. สมมุติฐานจะมีข้อเดยี ว หรือมีหลายข้อก็ได้
ค. เขยี นอธบิ ายรายละเอยี ดชัดเจน อ่าน ค. สมมุตฐิ านควรมีหลายข้อ
ง. สรปุ แนน่ อนไม่ได้
เข้าใจง่าย 31. เทคโนโลยีทใี่ ชเ้ ชื่อมโยงการรบั ส่งสารสนเทศ
ง. เฉพาะเจาะจง กะทดั รดั ตรงจดุ มงุ่ หมาย โดยผา่ นเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ คอื อะไร
25. ควรต้ังสมมตุ ิฐานเมื่อใด ก. อินเทอรเ์ น็ต
ก. เมื่อศึกษาค้นควา้ จากเอกสารที่ ข. เครือข่าย
ค. รหสั URL
เกย่ี วขอ้ งแล้ว ง. เทคโนโลยีสารสนเทศ
ข. กอ่ นการศึกษาเอกสารทีเ่ ก่ียวข้อง 32. “ห้องสมุดของโลก” มลี ักษณะคลา้ ยกบั
ค. กอ่ น หรอื หลงั การศึกษาค้นควา้ กไ็ ด้ ขอ้ ใดมากท่สี ุด
ง. เมื่อสรุปผลการศึกษาคน้ ควา้ แลว้ ก. ห้องสมดุ
26. ข้อใดควรปฏบิ ตั ิเป็นลาดับแรก ข. แหลง่ การเรยี นรู้
ก. การเก็บรวบรวมข้อมลู ค. อินเทอร์เน็ต
ข. การต้ังสมมุตฐิ าน ง. เครือข่ายสารสนเทศ
ค. การสรุปผลการศึกษาค้นคว้า 33. ในการใชอ้ นิ เทอร์เน็ต ข้อใดเป็นประโยชน์
ง. การรายงานผลการศึกษาค้นคว้า ของรหสั สบื คน้ ยูอารแ์ อล
27. การศึกษาคน้ คว้าแบบใดอาจไม่ ก. กาหนดตาแหนง่ ทอ่ี ยู่ของเว็บเพจ็
จาเป็นต้องต้งั สมมุตฐิ านก่อน ข. กาหนดลักษณะการส่อื สาร
ก. เชงิ ปริมาณ ค. กาหนดภาษาการแสดงผลขอ้ มูล
ข. เชิงสถิติ ง. เช่ือมต่อเครื่องทใ่ี ชง้ าน เครือ่ งแม่ข่าย

และเครื่องที่มสี ารสนเทศ

34. ขอ้ ใดเป็นเคร่ืองชว่ ยคน้ ท่รี วบรวมเว็บไซต์ 4
ไว้บรกิ ารแกผ่ ู้ใช้
39. ผูศ้ ึกษาค้นควา้ จะนยิ ามศัพท์ด้วยตนเอง
ก. http://www.chk.ac.th ต้องมีคุณลักษณะตามขอ้ ใด
ข. http://www.ditigal.altavista
ค. http://www.google.com ก. มที ักษะในการใช้ภาษาไทยเพื่อการ
ง. http://www.lycos.com สือ่ สาร
35. เมอ่ื ต้องการคน้ เรื่องในภาพตอ้ งพมิ พ์
ขอ้ ความใดจึงจะค้นไดต้ รง และเรว็ ท่สี ุด ข. มคี วามรอบรู้ในเรอื่ งท่ศี ึกษาค้นควา้
ก. http://www อย่างชัดเจน
ข. http://www.chaoprayanews
ค. http://www.chaoprayanews.com/ ค. มีความรอบรูใ้ นเรือ่ งนัน้ อย่างลึกซ้ึง ใช้
2009/02/19/ ภาษาครอบคลุม แจม่ ชัด รดั กมุ
ง. http://www.chaoprayanews.com/
2009/02/19/เร่อื งของปรัชญาเศรษฐกจิ / ง. มีความสามารถในการศึกษาคน้ ควา้
36. นิยาม หมายถงึ อะไร 40. ขอ้ ใดเปน็ นิยามแบบทว่ั ไป
ก. การกาหนด หรอื การจากดั ความหมายที่
แนน่ อน ก. ภาวะผู้นา หมายถึง ความสามารถใน
ข. ศพั ท์เฉพาะ การนาของหวั หน้าสถานีอนามัย
ค. ศัพทป์ กติ
ง. ความหมายของคาทก่ี าหนดตาม ข. การพยากรณอ์ ากาศ หมายถึง การ
พจนานุกรม บอกลักษณะอากาศในเวลาข้างหนา้
37. ขอ้ ใดกลา่ วถงึ ประโยชน์ของการ นยิ าม โดยอาศยั ข้อมลู และเหตุผลทาง
ศัพทเ์ ฉพาะ ไดถ้ ูกตอ้ งทสี่ ุด วิทยาศาสตร์
ก. ชว่ ยให้นยิ ามศัพท์ไดถ้ ูกต้องตามแบบ
พจนานกุ รม ค. ทัศนคติ หมายถึง ความรูส้ กึ ของ
ข. ช่วยให้ผูอ้ ่านเข้าใจความหมายของศัพท์ บคุ ลากรสาธารณสุข
ไดต้ รงกับผู้ศกึ ษาคน้ คว้ากาหนด
ค. ชว่ ยใหผ้ ู้อา่ นเขา้ ใจความหมายของศัพท์ ง. ผลการเรียน หมายถึง ความสามารถ
ได้ตรงกับท่สี ารานกุ รมกาหนด ในการเรยี นหลงั จบการศึกษา ทว่ี ัด
ง. ชว่ ยให้ผลการศึกษาคน้ ควา้ ถูกต้อง โดย แบบทดสอบ และกจิ กรรมทค่ี รู
ชดั เจนตามจุดมงุ่ หมาย ประจาวชิ าสร้างขนึ้
38. ข้อใดเปน็ การนยิ ามแบบท่วั ไป
ก. การนิยามตามที่ผูศ้ ึกษาค้นควา้ ต้องการวัดผล
ข. การนยิ ามศัพทต์ ามที่ระบุไว้ใน
พจนานุกรม สารานกุ รม
ค. การนิยามตามทผี่ ู้ศกึ ษาค้นควา้ ตอ้ งการ
ตรวจสอบ
ง. การสงั เกตตามท่ีผู้ศกึ ษาคน้ คว้าต้องการ

5

ใบความรู้
เรอื่ ง การศึกษาค้นควา้ ด้วยตนเอง “Independent Study : IS”

นับเป็นวธิ กี ารท่ีมปี ระสิทธภิ าพวิธีหน่ึงที่ใช้กันอย่างกว้างขวางในการพัฒนาผู้เรียน เพราะเป็นการเปิด
โลกกว้างให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าอย่างอิสระในเรื่องหรือ “การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง (Independent
Study : IS)”ซึง่ จัดเป็นสาระการเรียนรู้ 3 สาระ ประกอบดว้ ย

IS 1- การศึกษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ (Research and Knowledge Formation) เป็น
สาระทม่ี ุ่งให้ผเู้ รยี นกาหนดประเดน็ ปญั หา ตงั้ สมมุติฐาน คน้ คว้า แสวงหาความรู้และฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์
สังเคราะหแ์ ละสร้างองค์ความรู้

IS 2- การส่ือสารและการนาเสนอ (Communication and Presentation)เป็นสาระท่ีมุ่งให้
ผู้เรยี นนาความร้ทู ีไ่ ดร้ บั มาพฒั นาวิธีการการถ่ายทอด/ส่ือสารความหมาย/แนวคิด ข้อมูลและองค์ความรู้ ด้วย
วธิ ีการนาเสนอทีเ่ หมาะสม หลากหลายรปู แบบ และมีประสทิ ธภิ าพ

IS 3- การนาองค์ความรู้ไปใช้บริการสังคม (Social Service Activity)เป็นสาระที่มุ่งให้ผู้เรียน นา/
ประยุกต์องค์ความรู้ไปสู่การปฏิบัติ หรือนาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม เกิดบริการสาธารณะ ( Public
Service) โรงเรียนต้องนาสาระการเรียนรู้ การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง(Independent Study : IS )ไปสู่
การเรียนการสอน ในลกั ษณะของหนว่ ยการเรยี นรู้ รายวชิ าเพิ่มเติม หรือกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ตามแนวทางที่
กาหนด โดยพิจารณาให้สอดคล้องกับบริบทและพัฒนาการวัยของผู้เรียนซึ่งอาจแตกต่างกันในระดับประถม
มัธยมศกึ ษาตอนตน้ และตอนปลาย

การศึกษาอิสระ หรือ การค้นคว้าอิสระ (อังกฤษ: independent study หรือ directed study) เป็น
การศึกษารูปแบบหน่ึงที่ผู้เรียนศึกษา ค้นคว้า วิจัย อย่างอิสระในหัวข้อท่ีตกลงกัน นอกเหนือจากการเรียนใน
ชั้นเรยี นตามหลกั สูตรปกตขิ องสถานศึกษา

หัวข้อที่ศึกษาขึ้นอยู่กับการตกลงกันระหว่างผู้เรียนและอาจารย์ภายใต้กรอบที่สถานศึกษากาหนด ซึ่ง
มักกาหนดสาขาวิชาที่ให้ศึกษา ระยะเวลา ความยากง่าย ปริมาณเน้ืองานที่ต้องศึกษาและวิธีการประเมินผล
เอาไว้ โดยปกติก่อนเริ่มทาการศึกษาต้องมีอาจารย์ที่ปรึกษาหรืออาจารย์ประจาวิชาศึกษาอิสระรับรองหัวข้อ
นน้ั ก่อน ซ่งึ อาจการรับรองดังกลา่ วแตกต่างกนั ไปตามบริบท เชน่

 รบั รองว่าตนมีความรู้ ความเช่ยี วชาญทีจ่ ะใหค้ าปรึกษาในหัวข้อนั้น
 รับรองวา่ ผ้เู รียนมีความสามารถเพยี งพอทีจ่ ะศึกษาหัวข้อดงั กล่าวได้ด้วยตนเอง
 รบั รองวา่ หวั ขอ้ นน้ั มคี วามสาคัญเหมาะสมกับวิชาการศึกษาอิสระในระดับท่ีผเู้ รยี นศึกษาอยู่

เม่ือได้หัวข้อ ผู้เรียนทาการศึกษาในเรื่องท่ีได้รับอนุมัติให้ศึกษาด้วยตนเอง ภายใต้การกากับดูแลของท่ี
ปรึกษา ระดับของการกากับดูแลอาจมากน้อยต่างกันตามข้อกาหนดของวิชาการศึกษาอิสระในระดับที่ศึกษา
อยู่ โดยท่ัวไปในระดับมัธยมศึกษามักต้องการคาแนะนาอย่างใกล้ชิดจากที่ปรึกษา ในขณะที่ผู้เรียนระดับ
บัณฑิตศึกษาอาจได้รับคาปรึกษาที่ค่อนข้างจากัด เมื่อเสร็จสิ้นการศึกษามักมีการประเมินผลโดยให้ผู้เรียนทา
รายงานสรุปผลการศึกษาและ/หรือนาเสนอปากเปล่า ผลการเรียนของการศึกษาอิสระอาจเป็นคะแนนระดับ
ต่างๆ หรือ ให้แตเ่ พียงผา่ นหรอื ไมผ่ า่ นก็ได้

การศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเองมคี วามมงุ่ หมายเกยี่ วกับการพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน เพ่ือให้ผู้เรียน
ได้ศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง เกี่ยวกับประเด็นที่อยู่ในความต้องการและความสนใจ อย่างเป็นระบบ
ตระหนกั ถงึ ความสาคัญของกระบวนการและวิธกี ารของการศึกษาด้วยตนเอง และสามารถนาไปประยุกต์ใช้ใน
การเรียนรตู้ ลอดชวี ติ ได้

6

ใบความรู้ที่ 1
เรอื่ ง การตัง้ ประเด็นปญั หาหรอื ตงั้ คาถาม

การใช้คาถามเป็นเทคนิคสาคัญในการเสาะแสวงหาความรู้ท่ีมีประสิทธิภาพ เป็นกลวิธีการสอนท่ี
กอ่ ใหเ้ กดิ การเรยี นร้ทู ี่พฒั นาทักษะการคดิ การตคี วาม การไตร่ตรอง การถ่ายทอดความคิด สามารถนาไปสู่
การเปลย่ี นแปลงและปรบั ปรงุ การจดั กระบวนการเรยี นรู้ได้เปน็ อย่างดี

การถามเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการเรียนรู้ ช่วยให้ผู้เรียนสร้างความรู้ ความเข้าใจ และพัฒนา
ความคิดใหม่ ๆ กระบวนการถามจะช่วยขยายทักษะการคิด ทาความเข้าใจให้กระจ่าง ได้ข้อมูลป้อนกลับทั้ง
ด้านการเรียนการสอน ก่อให้เกิดการทบทวน การเชื่อมโยงระหว่างความคิดต่าง ๆ ส่งเสริมความอยากรู้
อยากเห็นและเกดิ ความท้าทาย

การสังเกต (Observation) วิธีการทางวิทยาศาสตร์มักจะเริ่มจากการสังเกตปรากฏการณ์ต่างๆ ที่อยู่
รอบๆ ตัวเรา เม่ือได้ข้อสังเกตบางอย่างที่เราสนใจจะทาให้ได้สิ่งที่ตามมาคือ ปัญหา (Problem) เช่น การ
สงั เกต ตน้ หญ้าใตต้ ้นไม้ใหญ่ หรือต้นหญา้ ท่อี ย่ใู ต้หลังคามกั จะไม่งอกงาม ส่วนตน้ หญ้าในบริเวณใกล้เคียงกันที่
ไดร้ บั แสงเจรญิ งอกงามดี

การตงั้ ปญั หา
"แสงแดดมีส่วนเก่ยี วขอ้ งกับการเจรญิ งอกงามของต้นหญา้ หรือไม"่
"แบคทเี รยี ในจานเพาะเชื่อเจริญชา้ ไม่งอกงามถา้ มีราสีเขยี วอย่ใู นจานเพาะเชอื้ น้นั "

"การต้ังปัญหานั้นสาคัญกว่าการแก้ปัญหา" เพราะ การต้ังปัญหาท่ีดีและชัดเจนจะทาให้ผู้ตั้งปัญหา
เกดิ ความเข้าใจและมองเห็นลู่ทางของการค้นหาคาตอบเพื่อแก้ปัญหาท่ีตั้งข้ึน ดังนั้นจึงต้องหมั่นฝึกการสังเกต
ส่งิ ที่สังเกตน้ันเปน็ อะไร? เกิดข้นึ เม่อื ไร? เกิดขึน้ ที่ไหน? เกดิ ขนึ้ ได้อย่างไร? ทาไมจึงเป็นเชน่ นั้น?

ระดบั ของการตงั้ คาถาม
การตั้งคาถามมี 2 ระดบั คือ คาถามระดับพื้นฐาน และคาถามระดับสงู ซึ่งมีรายละเอยี ดดงั นี้
1) คาถามระดับพน้ื ฐาน เป็นการถามความรู้ ความจา เปน็ คาถามท่ีใช้ความคิดท่ัวไป หรือความคิด
ระดับต่า ใชพ้ ื้นฐานความรู้เดิมหรือสง่ิ ท่ปี ระจกั ษใ์ นการตอบ เนือ่ งจากเปน็ คาถามที่ฝึกใหเ้ กิดความคล่องตัวใน
การตอบ คาถามในระดับน้ีเป็นการประเมินความพร้อมของผู้เรียนก่อนเรียน วินิจฉัยจุดอ่อน – จุดแข็งและ
สรปุ เนื้อหาที่เรยี นไปแลว้ คาถามระดบั พ้นื ฐานได้แก่

1.1) คาถามให้สังเกต เป็นคาถามที่ให้ผู้เรียนคิดตอบจากการสังเกต เป็นคาถามท่ีต้องการ
ให้ผเู้ รียนใช้ประสาทสมั ผสั ทงั้ หา้ ในการสบื ค้นหาคาตอบ คือ ใชต้ าดู มือสมั ผัส จมกู ดมกล่ิน ลิ้นชิมรส และ
หูฟงั เสียง ตัวอย่างคาถาม เช่น

- เม่ือนักเรยี นฟงั เพลงนแ้ี ล้วรสู้ กึ อยา่ งไร
- ภาพน้มี ีลกั ษณะอยา่ งไร
- สารเคมใี น 2 บีกเกอร์ ต่างกันอย่างไร
- พ้นื ผิวของวตั ถเุ ป็นอยา่ งไร
1.2) คาถามทบทวนความจา เป็นคาถามที่ใช้ทบทวนความรู้เดิมของผู้เรียน เพ่ือใช้
เช่อื มโยงไปสู่ความรใู้ หมก่ อ่ นเร่มิ บทเรยี น ตัวอย่างคาถาม เช่น
- วนั วสิ าขบชู าตรงกบั วันใด
- ดาวเคราะหด์ วงใดท่มี ีขนาดใหญท่ สี่ ดุ
- ใครเป็นผูแ้ ตง่ เรอื่ งอเิ หนา
- เม่อื เกดิ อาการแพ้ยาควรโทรศพั ทไ์ ปท่เี บอร์ใด

7

1.3) คาถามทใ่ี ห้บอกความหมายหรือคาจากัดความ เป็นการถามความเข้าใจ โดยการให้
บอกความหมายของขอ้ มลู ต่าง ๆ ตัวอยา่ งคาถาม เช่น

- คาวา่ สทิ ธิมนุษยชนหมายความว่าอยา่ งไร
- ภาษเี งนิ ได้บุคคลธรรมดาคืออะไร
- สถิติ (Statistics) หมายความว่าอย่างไร
- บอกความหมายของ Passive Voice
1.4) คาถามบ่งชี้หรือระบุ เป็นคาถามท่ีให้ผู้เรียนบ่งชี้หรือระบุคาตอบจากคาถามให้
ถกู ต้อง ตัวอยา่ งคาถาม เช่น
- ประโยคทีป่ รากฏบนกระดานประโยคใดบ้างท่ีเป็น Past Simple Tense
- คาใดตอ่ ไปนเี้ ป็นคาควบกลา้ ไม่แท้
- ระบชุ ่อื สตั ว์ทม่ี ีกระดกู สันหลัง
- ประเทศใดบ้างทีเ่ ป็นสมาชิก APEC
2) คาถามระดับสูง เป็นการถามให้คิดค้น หมายถึง คาตอบท่ีผู้เรียนตอบต้องใช้ความคิดซับซ้อน
เป็นการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และกระตุ้นให้ผู้เรียนสามารถใช้สมองซีกซ้ายและซีกขวาในการคิดหา
คาตอบ โดยอาจใช้ความรู้หรือประสบการณ์เดิมมาเป็นพ้ืนฐานในการคิดและตอบคาถาม ตัวอย่างคาถาม
ระดบั สูงได้แก่
2.1) คาถามให้อธิบาย เป็นการถามโดยให้ผู้เรียนตีความหมาย ขยายความ โดยการให้
อธิบายแนวคดิ ของขอ้ มลู ต่าง ๆ ตวั อย่างคาถาม เช่น
- เพราะเหตใุ ดใบไมจ้ ึงมสี ีเขียว
- นักเรยี นควรมบี ทบาทหน้าท่ใี นโรงเรียนอยา่ งไร
- ชาวพทุ ธท่ดี คี วรปฏิบัติตนอย่างไร
- นักเรยี นจะปฏบิ ตั ิตนอย่างไรจงึ จะทาใหร้ ่างกายแขง็ แรง
2.2) คาถามให้เปรียบเทียบ เป็นการต้ังคาถามให้ผู้เรียนสามารถจาแนกความเหมือน –
ความแตกต่างของข้อมลู ได้ ตัวอยา่ งคาถาม เช่น
- พืชใบเล้ยี งคูต่ า่ งจากพชื ใบเล้ียงเดี่ยวอยา่ งไร
- จงเปรยี บเทียบวิถชี ีวิตของคนไทยในภมู ิภาคตา่ ง ๆ ของประเทศไทย
- DNA กับ RNA แตกตา่ งกนั หรือไม่ อยา่ งไร
- สงั คมเมอื งกับสงั คมชนบทเหมือนและต่างกันอยา่ งไร
2.3) คาถามให้วิเคราะห์ เป็นคาถามให้ผู้เรียนวิเคราะห์ แยกแยะปัญหา จัดหมวดหมู่
วิจารณแ์ นวคดิ หรือบอกความสมั พันธ์และเหตุผล ตวั อย่างคาถาม เชน่
- อะไรเปน็ สาเหตุท่ที าให้เกดิ ภาวะโลกรอ้ น
- วัฒนธรรมแบ่งออกเปน็ กปี่ ระเภท อะไรบ้าง
- สาเหตใุ ดทท่ี าให้นางวันทองถูกประหารชวี ิต
- การติดยาเสพติดของเยาวชนเกิดจากสาเหตุใด
2.4) คาถามให้ยกตัวอย่าง เป็นการถามให้ผู้เรียนใช้ความสามารถในการคิด นามา
ยกตวั อย่าง ตวั อย่างคาถาม เช่น
- รา่ งกายขับของเสยี ออกจากสว่ นใดบา้ ง
- ยกตัวอยา่ งการเคล่อื นที่แบบโปรเจกไตล์

8

- หนิ อัคนสี ามารถนาไปใช้ประโยชนไ์ ด้อยา่ งไรบ้าง
- อาหารคาวหวานในพระราชนพิ นธ์กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานได้แก่อะไรบ้าง
2.5) คาถามให้สรุป เป็นการใช้คาถามเม่ือจบบทเรียน เพ่ือให้ทราบว่าผู้เรียนได้รับความรู้
หรือมีความก้าวหน้าในการเรียนมากน้อยเพียงใด และเป็นการช่วยเน้นย้าความรู้ท่ีได้เรียนไปแล้ว ทาให้
สามารถจดจาเนือ้ หาไดด้ ยี ง่ิ ขึ้น ตวั อย่างคาถาม เชน่
- จงสรปุ เหตผุ ลท่ที าใหพ้ ระเจา้ ตากสนิ ทรงยา้ ยเมืองหลวง
- เมอ่ื นกั เรียนอ่านบทความเรือ่ งนีแ้ ลว้ นักเรียนได้ข้อคดิ อะไรบา้ ง
- จงสรปุ แนวทางในการอนรุ ักษท์ รพั ยากรนา้ เพ่ือให้เกิดคุณคา่ สูงสุด
- จงสรปุ ขั้นตอนการทาผ้าบาติค
2.6) คาถามเพื่อให้ประเมินและเลือกทางเลือก เป็นการใช้คาถามท่ีให้ผู้เรียนเปรียบเทียบ
หรือใชว้ จิ ารณญาณในการตดั สินใจเลือกทางเลอื กท่หี ลากหลาย ตวั อยา่ งคาถามเช่น
- การว่ายน้ากบั การวิ่งเหยาะ อยา่ งไหนเปน็ การออกกาลังกายทีด่ ีกวา่ กนั เพราะเหตใุ ด
- ระหว่างนา้ อดั ลมกับนมอยา่ งไหนมปี ระโยชน์ต่อรา่ งกายมากกวา่ กัน เพราะเหตุใด
- ดินร่วนดนิ ทรายและดินเหนียวดินชนดิ ใดเหมาะแก่การปลูกมะมว่ งมากกว่ากันเพราะเหตุใด
- ไก่ทอดกบั สลดั ไก่ นักเรียนจะเลือกรับประทานอาหารชนดิ ใด เพราะเหตใุ ด
2.7) คาถามให้ประยกุ ต์ เปน็ การถามให้ผู้เรียนใช้พ้ืนฐานความรู้เดิมที่มีอยู่มาประยุกต์ใช้ใน
สถานการณ์ใหม่หรอื ในชีวิตประจาวนั ตัวอยา่ งคาถามเชน่
- นักเรียนมวี ิธกี ารประหยดั พลงั งานอย่างไรบา้ ง
- เม่ือนักเรียนเหน็ เพื่อนในหอ้ งขาแพลง นักเรียนจะทาการปฐมพยาบาลอยา่ งไร
- นกั เรียนนาปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งไปประยุกต์ใช้ในการดาเนนิ ชีวิต
ประจาวนั อยา่ งไรบา้ ง
- นกั เรียนจะทาการส่งขอ้ ความผา่ นทางอีเมลลไ์ ด้อย่างไร
2.8) คาถามให้สร้างหรือคิดค้นส่ิงใหม่ ๆ หรือผลิตผลใหม่ ๆ เป็นลักษณะการถามให้
ผู้เรียนคิดสรา้ งสรรค์ผลงานใหม่ ๆ ท่ีไม่ซา้ กับผูอ้ ่ืนหรือทมี่ ีอย่แู ลว้ ตัวอย่างคาถามเช่น
- กระดาษหนังสือพมิ พท์ ่ีไม่ใชแ้ ล้ว สามารถนาไปประดิษฐ์ของเล่นอะไรไดบ้ ้าง
- กลอ่ งหรือลังไม้เก่า ๆ สามารถดดั แปลงกลบั ไปใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์ไดอ้ ย่างไร
- เสอื้ ผ้าทไ่ี ม่ใช้แล้ว นักเรยี นจะนาไปดัดแปลงเป็นส่ิงใดเพอ่ื ใหเ้ กิดประโยชน์
- นกั เรียนจะนากระดาษทีใ่ ช้เพยี งหน้าเดียวมาประดษิ ฐ์เป็นส่งิ ใดบา้ ง
การตั้งคาถามระดับสูงจะทาให้ผู้เรียนเกิดทักษะการคิดระดับสูง และเป็นคนมีเหตุผล ผู้เรียนไม่
เพียงแต่จดจาความรู้ ข้อเท็จจริงได้อย่างเดียวแต่สามารถนาความรู้ไปใช้ในการแก้ปัญหา วิเคราะห์ และ
ประเมินส่ิงท่ีถามได้ นอกจากน้ียังช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจสาระสาคัญของเร่ืองราวที่เรียนได้อย่างถูกต้องและ
กระตุ้นให้ผู้เรียนค้นหาข้อมูลมาตอบคาถามด้วยตนเอง การตอบคาถามระดับสูง ผู้สอนต้องให้เวลาผู้เรียนใน
การคิดหาคาตอบเป็นเวลามากกว่าการตอบคาถามระดับพื้นฐาน เพราะผู้เรียนต้องใช้เวลาในการคิดวิเคราะห์
อย่างลึกซง้ึ และมวี ิจารณญาณในการตอบคาถาม ความผิดพลาดอย่างหน่ึงของการตั้งคาถามคือ การถามแล้ว
ตอ้ งการคาตอบในทันทโี ดยไมใ่ ห้เวลาผ้เู รยี นในการคิดหาคาตอบ

9

ใบงานท่ี 1
เรอื่ ง การต้งั ประเดน็ ปัญหาหรือตงั้ คาถาม

คาช้ีแจง ใหน้ ักเรยี นตอบคาถามลงในช่องว่างให้ไดใ้ จความถกู ต้องสมบรู ณ์
1. เทคนคิ สาคญั ในการเสาะแสวงหาความร้ทู ่มี ีประสิทธิภาพ เปน็ กลวธิ ีการสอนท่กี อ่ ให้เกดิ การเรียนรู้
ทพ่ี ฒั นาทกั ษะการคิด การตีความ การไตรต่ รอง การถา่ ยทอดความคิด คือ………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………….
2. กระบวนการเรียนรู้โดยการถาม ช่วยให้ผู้เรียนเปน็ อย่างไร………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………..…………………………
………………………………………………………………………………..……………………………………………………
การสงั เกต (Observation) เป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เมอ่ื ได้ขอ้ สงั เกตบางอย่างท่ีเราสนใจจะทาให้
ไดส้ ิ่งท่ีตามมาคือ ………………………………………………………………………………………..……………………
3. ทก่ี ลา่ ววา่ "การตัง้ ปญั หานั้นสาคัญกว่าการแกป้ ญั หา" เพราะเหตุใด
…………………………………………………………………………………………………………..…………………………
…………………………………………………………………………………………………………..…………………………
4. ระดบั ของการตัง้ คาถามมี ก่ี ระดับ อะไรบ้าง…………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………..…………………………
…………………………………………………………………………………………………………..…………………………
เป็นการถามความรู้ ความจา คาถามที่ใช้ความคิดท่ัวไป หรือความคิดระดับต่า ใช้พ้ืนฐานความรู้
เดมิ หรอื สิง่ ท่ปี ระจักษ์ในการตอบ เป็นการประเมินความพร้อมของผู้เรียนก่อนเรียน วินิจฉัยจุดอ่อน
– จุดแขง็ และสรุปเน้อื หาท่เี รยี นไปแลว้ เรยี กว่า……………………………………………………………………………
5. คาถามระดบั พน้ื ฐานไดแ้ ก่…………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………..…………………………
…………………………………………………………………………………………………………..…………………………
คาถามระดับสงู เป็นการถามให้คิดค้น หมายถึง ………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………..…………………………
…………………………………………………………………………………………………………..…………………………
6. ตัวอยา่ งคาถามระดบั สงู ได้แก่…………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………..…………………………
…………………………………………………………………………………………………………..…………………………
7. ทาให้ผู้เรียนเกิดทักษะการคิดระดับสูง และเป็นคนมีเหตุผล ผู้เรียนไม่เพียงแต่จดจาความรู้
ข้อเท็จจริงได้อย่างเดียวแต่สามารถนาความรู้ไปใช้ในการแก้ปัญหา วิเคราะห์ และประเมินสิ่งท่ีถาม
ได้ เปน็ คาถามระดับใด………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………..…………………………
…………………………………………………………………………………………………………..…………………………

ช่ือ………………………...…………………………ชั้น………….เลขท…่ี ………..

10

ใบงานที่ 2
เรอื่ ง การฝกึ ตัง้ คาถาม

คาช้ีแจง ให้นักเรยี นฝึกตงั้ คาถามตามลักษณะคาถามทก่ี าหนดใหพ้ ร้อมเขียนตอบลงในช่องว่าง

ระดับการตั้งคาถาม ลกั ษณะคาถาม คาถาม

ขัน้ พืน้ ฐาน 1.ให้สังเกต

2.ทบทวนความจา

3.บอกให้ความหมายหรือคา
จากัดความ

4.บ่งชห้ี รอื ระบุ

ขน้ั สงู 1.ให้อธบิ าย

2.ให้เปรียบเทยี บ

3.ให้วิเคราะห์

4.ใหย้ กตวั อยา่ ง

5.ใหส้ รุป

6.ให้ประเมินและเลือก
ทางเลอื ก

7.ให้ประยกุ ต์

8.ให้สรา้ งหรือคิดคน้ สิ่ง
ใหมๆ่ หรือผลติ ผลใหม่ๆ

ชอื่ ………………………...…………………………ช้ัน………….เลขท…่ี ………..

11

ใบงานท่ี 3
เรอ่ื ง การวิเคราะห์ / ตั้งคาถาม / ระบปุ ัญหาของตนเอง

1. ปญั หาของตนเองคืออะไร
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................

2. ปัญหาของตนเองน้นั มีสาเหตุ มาจากอะไรบา้ ง
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................

3. ควรมีวธิ ีการแกไ้ ขปัญหาของตนเองไดอ้ ย่างไรบ้าง
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................

ชอ่ื ………………………...…………………………ชัน้ ………….เลขท…ี่ ………..

12

ใบงานท่ี 4
เร่ือง การวิเคราะห์ / ตั้งคาถาม / ระบุปัญหาของชุมชน

1. ปัญหาของชุมชนคืออะไร
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................

2. ปัญหาชมุ ชนนัน้ มสี าเหตุ มาจากอะไรบา้ ง
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................

3. ควรมีวิธีการแก้ไขปัญหาของชุมชนไดอ้ ย่างไรบา้ ง
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................

ชอื่ ………………………...…………………………ชั้น………….เลขท…่ี ………..

13

ใบงานที่ 5
เรือ่ ง การวเิ คราะห์ / ต้ังคาถาม / ระบปุ ัญหาของประเทศ

1. ปญั หาของประเทศชาตคิ ืออะไร
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................

2. ปัญหาของประเทศชาตินั้นมสี าเหตุ มาจากอะไรบ้าง
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................

3. ควรมวี ธิ กี ารแก้ไขปัญหาของประเทศชาตไิ ด้อยา่ งไรบ้าง
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................
………………………………………………………………………………………………………….…......................................

ชือ่ ………………………...…………………………ชน้ั ………….เลขท…่ี ………..

14

ใบงานที่ 6
เร่อื ง การตัง้ คาถาม / การระบุประเดน็ ปญั หา

คาช้แี จง ใหน้ กั เรียนช่วยกนั คิดระดมพลังสมองตัง้ คาถาม/ขอ้ สงสยั และระบปุ ระเดน็ ปัญหาทีก่ ลมุ่ ตนเองสนใจ

ท่ี คาถาม/ข้อสงสัย ประเด็นปัญหา

1 …………………………………………………….. ……………………………………………………..
…………………………………………………… ……………………………………………………

2 …………………………………………………….. ……………………………………………………..
…………………………………………………… ……………………………………………………

3 …………………………………………………….. ……………………………………………………..
…………………………………………………… ……………………………………………………

4 …………………………………………………….. ……………………………………………………..
…………………………………………………… ……………………………………………………

5 …………………………………………………….. ……………………………………………………..
…………………………………………………… ……………………………………………………

6 …………………………………………………….. ……………………………………………………..
…………………………………………………… ……………………………………………………

7 …………………………………………………….. ……………………………………………………..
…………………………………………………… ……………………………………………………

8 …………………………………………………….. ……………………………………………………..
…………………………………………………… ……………………………………………………

9 …………………………………………………….. ……………………………………………………..
…………………………………………………… ……………………………………………………

10 …………………………………………………….. ……………………………………………………..
…………………………………………………… ……………………………………………………

ชอื่ ………………………...…………………………ชน้ั ………….เลขท…ี่ ………..

15

ใบความร้ทู ่ี 2
เรื่อง การต้ังสมมติฐาน

1. สมมติฐาน หมายถึง ความเช่ือของบุคคลใดบุคคลหน่ึง หรือ ของกลุ่มใดกลุ่มหน่ึงหรืออาจกล่าวได้
ว่า สมมติฐานเปน็ สง่ิ ทบ่ี ุคคลหรอื กล่มุ บุคคลคาดว่าจะเกิดขึ้นโดยท่ีความเช่ือหรือส่ิงท่ีคาดนั้นจะเป็นจริงหรือไม่
กไ็ ด้ เชน่

- เจ้าของร้านค้าปลกี คาดวา่ จะมีกาไรสุทธิจากการขายสินคา้ ต่อปไี ม่ต่ากวา่ 500,000 บาท
- หัวหน้าพรรคการเมือง A …..คาดว่าการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในคราวหน้า
พรรคอนื่ ๆ จะไดท้ นี่ ง่ั ในสภาตา่ กว่า 50% ของทัง้ หมด
- คาดว่ารายไดเ้ ฉลีย่ ตอ่ เดอื นของประชากรในจังหวัดพิษณุโลกเทา่ กับ 15,000 บาท
2. ความแตกตา่ งของสมมติฐานกบั การพยากรณ์
การต้ังสมมติฐาน คือ การทานายผลล่วงหน้าโดยไม่มีหรือไม่ทราบ ความสัมพันธ์เกี่ยวข้องระหว่าง
ข้อมลู
การพยากรณ์ คือ การทานายผลล่วงหน้าโดยการมีหรือทราบความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลที่เก่ียวข้อง
ในการทานายลว่ งหน้า
3. หลักการต้งั สมมตุ ิฐาน
1) สมมตฐิ านต้องเปน็ ข้อความทีบ่ อกความสัมพันธ์ระหวา่ ง ตวั แปรตน้ กับ ตัวแปรตาม
2) ในสถานการณ์หน่ึง ๆ อาจต้ังหนึ่งสมมติฐานหรือหลายสมมติฐานก็ได้ สมมติฐานท่ีต้ังข้ึน
อาจจะถูกหรือผิดก็ได้ ดังนั้นจาเป็นต้องมีการทดลองเพ่ือตรวจสอบว่า สมมติฐานที่ตั้งข้ึนนั้นเป็นท่ียอมรับ
หรือไม่ซ่งึ จะทราบภายหลงั จากการทดลองหาคาตอบแล้วตวั อยา่ งการตัง้ สมมติฐาน
อะไรมผี ลต่อความเร็วรถ (ความเรว็ รถขึ้นอย่กู บั ปัจจัยอะไรบา้ ง)
สมมติว่า นักเรียนเลือกขนาดของยางรถยนต์ เป็นตัวแปรที่ต้องการทดสอบ ก็อาจ
ตัง้ สมมติฐานไดว้ ่าเมอ่ื ขนาดของยางรถยนต์ใหญ่ขน้ึ ความเร็วของรถยนตจ์ ะลดลง
(ตวั แปรตน้ : ขนาดของยางรถยนต)์ (ตัวแปรตาม : ความเร็วของรถยนต์)
4. การตง้ั สมมติฐานท่ดี ี ควรมีลกั ษณะดงั นี้
1) เปน็ สมมติฐานทเ่ี ขา้ ใจง่าย มักนิยมใชว้ ลี “ถ้า…ดงั น้ัน”
2) เปน็ สมมตฐิ านทแี่ นะลทู่ างท่จี ะตรวจสอบได้
3) เป็นสมมตฐิ านทตี่ รวจไดโ้ ดยการทดลอง
4) เป็นสมมตฐิ านทสี่ อดคลอ้ งและอยู่ในขอบเขตข้อเทจ็ จริงที่ได้จากการสังเกตและสัมพันธ์กับ
ปญั หาทตี่ งั้ ไว้
สมมตฐิ านทเ่ี คยยอมรบั อาจล้มเลิกไดถ้ ้ามีข้อมลู จากการทดลองใหม่ๆ มาลบล้าง แต่ก็มีบางสมมติฐาน
ที่ไมม่ ีข้อมลู จากการทดลองมาคดั คา้ นทาใหส้ มมติฐานเหล่านั้นเปน็ ท่ี
ยอมรับว่าถูกต้อง เช่น สมมติฐานของเมนเดลเกี่ยวกับหน่วยกรรมพันธ์ุ ซึ่งเปลี่ยนกฎการแยกตัวของยีน หรือ
สมมตฐิ านของอโวกาโดรซ่ึงเปล่ียนเปน็ กฎของอโวกาโดร

16

ตัวอยา่ งการต้ังสมมติฐาน

ขอ้ สงสัย/ขอ้ สังเกต/ปญั หา “ทาไมหญ้าบรเิ วณใตต้ ้นไม้จงึ ไมง่ อกงามเท่าหญา้ ท่ีอยู่กลางแจ้ง”
ประเดน็ ปัญหา “แสงแดดมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเจริญงอกงามของต้นหญ้า
หรือไม”่
สมมติฐาน “ถ้าแสงแดดมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเจริญงอกงามของต้นหญ้า
ดงั น้ัน
ต้นหญา้ บรเิ วณทีไ่ ม่ไดร้ ับแสงแดดจะไม่งอกงามหรือตายไป”
หรอื “ถ้าแสงแดดมีส่วนเก่ียวข้องกับการเจริญงอกงามของต้นหญ้า
ดงั นน้ั
ต้นหญา้ บรเิ วณท่ไี ด้รับแสงแดดจะเจริญงอกงาม”

ข้อสงสัย/ข้อสงั เกต/ปญั หา “ความเรว็ รถข้นึ อยูก่ บั ปจั จยั อะไรบ้าง”

ประเดน็ ปญั หา “ขนาดของยางรถยนตม์ ีผลตอ่ ความเร็วของรถยนต์หรือไม่”

สมมตฐิ าน “เม่ือขนาดของยางรถยนต์ใหญข่ นึ้ ความเรว็ ของรถยนต์จะลดลง”

ขอ้ สงสัย/ขอ้ สังเกต/ปัญหา “นักเรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 2/…..ชอบอา่ นหนงั สอื ประเภทใด”

ประเด็นปญั หา “ศึกษาพฤตกิ รรมการเลือกอ่านหนังสือของนกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ ...”

สมมตฐิ าน “ถ้านกั เรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี ……. มนี ิสัยชอบเพ้อฝนั ดังน้นั นกั เรยี น

ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี…..ชอบอ่านหนงั สอื นวนิยาย”

(การวจิ ัยเชงิ สารวจไม่ต้องตง้ั สมมติฐานก็ได้)

17

ใบงานที่ 7
เรือ่ ง การต้งั สมมติฐาน

คาชีแ้ จง ใหน้ ักเรียนตอบคาถามลงในชอ่ งว่างใหไ้ ด้ใจความถกู ต้องสมบรู ณ์

1. สมมตฐิ าน
……………………………………………………………………………………………........................................................
……………………………………………………………………………………………........................................................
……………………………………………………………………………………………........................................................

2. การตั้งสมมติฐาน คือ
……………………………………………………………………………………………........................................................
……………………………………………………………………………………………........................................................
……………………………………………………………………………………………........................................................

3. การพยากรณ์ คือ
……………………………………………………………………………………………........................................................
……………………………………………………………………………………………........................................................
……………………………………………………………………………………………........................................................

4. บอกหลักในการต้ังสมมติฐาน
……………………………………………………………………………………………........................................................
……………………………………………………………………………………………........................................................
……………………………………………………………………………………………........................................................

5. บอกลกั ษณะการตัง้ สมมตฐิ านทด่ี ี
……………………………………………………………………………………………........................................................
……………………………………………………………………………………………........................................................
……………………………………………………………………………………………........................................................
……………………………………………………………………………………………........................................................
……………………………………………………………………………………………........................................................

ช่อื ………………………...…………………………ช้นั ………….เลขท…ี่ ………..

18

ใบงานที่ 8
เร่ือง การฝกึ ตั้งสมมติฐาน

คาชีแ้ จง ใหน้ กั เรยี นต้ังสมมติฐานตามประเด็นปญั หาท่ีกาหนดให้ ดงั น้ี

ท่ี ประเด็นปญั หา สมมติฐาน

ตวั วธิ กี ารเลยี้ งดขู องผู้ปกครองมีผลต่อ วิธีการเล้ยี งดขู องผู้ปกครองมผี ลต่อพฤติกรรมการ

อย่าง พฤติกรรมการก้าวร้าวของเดก็ กา้ วร้าวของเด็ก

1 การสารวจพฤติกรรมการใชผ้ งชูรสในการ ……………………………………………………………………………
ประกอบอาหารของแม่คา้ โรงเรยี น…. ……………………………………………………………………………

2 การสารวจพฤติกรรมการใชโ้ ทรศัพทข์ อง ……………………………………………………………………………
นกั เรียน ……………………………………………………………………………

3 ผลกระทบท่เี กิดจากการท่ีไม่ได้อยูอ่ าศัยกับ ……………………………………………………………………………
บิดา-มารดาของนักเรียน ……………………………………………………………………………

4 การสกดั สีจากวสั ดธุ รรมชาติเพ่ือนามาใช้ ……………………………………………………………………………
แทนสนี า้ ……………………………………………………………………………

5 การศกึ ษาสมุนไพรที่มีผลตอ่ การดับกลน่ิ เท้า ……………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………

6 สารวจพฤติกรรมเกย่ี วกับการบรโิ ภค ……………………………………………………………………………
เครือ่ งดื่มของนกั เรยี น ……………………………………………………………………………

7 ผลกระทบที่เกดิ จากสภาวะน้ามนั แพง ……………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………

8 การสารวจการเลน่ เกมออนไลน์ของนักเรียน ……………………………………………………………………………

……………………………………………………………………………

9 การสารวจการประหยดั พลงั งานไฟฟ้าของ ……………………………………………………………………………
นกั เรยี น ……………………………………………………………………………

10 การศกึ ษาผลการจัดทาบญั ชีครวั เรอื นของ ……………………………………………………………………………
ครอบครัว ……………………………………………………………………………

ช่อื ………………………...…………………………ชนั้ ………….เลขท…่ี ………..

19

ใบความร้ทู ี่ 3
เรื่อง ประเดน็ ปัญหาและสมมติฐาน

การตง้ั ประเดน็ ปัญหา

การวจิ ยั เป็นการหาคาตอบทอี่ ยากรู้ ทสี่ งสัย ท่ีเป็นปัญหาข้องใจ แต่คาตอบนั้นต้องเช่ือถือได้ ไม่ใช่

การคาดเดา หรือคิดสรุปไปเองโดยใช้ความรู้สึก วิธีการหาคาตอบจึงต้องเป็นกระบวนการ ข้ันตอนอย่างเป็น

ระบบ ตัวอย่าง เช่น

- ถ้าต้องการทราบว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2/…..โรงเรียนลือคาหาญวารินชาราบ ชอบ
อ่านหนังสอื ประเภทใด

จะคาดเดาเองหรอื ไปสอบถามนักเรียนเพียงหนึง่ คน สองคน แลว้ มาสรุปว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่

2/…..โรงเรียนลือคาหาญวารินชาราบ ชอบอา่ นหนังสอื ประเภทน้นั ประเภทนไ้ี มไ่ ด้

แต่ต้องทาแบบสอบถามให้นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2/…..โรงเรียนลือคาหาญวารินชาราบ เป็น

ผู้ตอบแล้วนามาสรุปคาตอบข้อคน้ พบท่ไี ด้ เป็นตน้

ผลท่ีได้จากการทาวจิ ัย นอกจากจะได้คาตอบท่ีต้องการแล้ว ผู้วิจัยเองก็ได้ประโยชน์จาก

การทาวิจัย คือ การเป็นคนช่างคิด ช่างสังเกต ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ และเขียนเรียบเรียง อย่างเป็นระบบ

นอกจากน้นั การวจิ ยั จะเกดิ ประโยชนใ์ นภาพรวม ดังนี้

1. การวจิ ยั ทาให้เกิดความรู้ทางวชิ าการใหม่ๆ

2. การวจิ ยั ทาให้เกิดนวตั กรรม ส่งิ ประดษิ ฐ์ แนวคดิ ใหมๆ่

3. การวิจัยช่วยตอบคาถามทอ่ี ยากรู้ ใหเ้ ขา้ ใจปัญหา และชว่ ยในการแก้ปญั หา

4. การวิจยั ชว่ ยในการวางแผนและตดั สนิ ใจ

5. การวจิ ยั ช่วยใหท้ ราบผลและขอ้ บกพร่องจากการดาเนินงาน

การค้นหาความรู้ ความจรงิ และตรวจสอบความถูกตอ้ ง ความรู้ ความจรงิ ของ ชาร์ล ดาร์วนิ

( Charles Darwin ) ซ่ึงปัจจุบันเรียกว่า วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) เป็นวิธีการหาความรู้

ความจริงท่ีน่าเช่ือถือที่สุดการวิจัยได้นาเอาวิธีการทางวิทยาศาสตร์นี้ขึ้นมาประยุกต์เป็นกระบวนการวิจัย

ประกอบดว้ ย 5 ข้ันตอน ดังน้ี

1. ขั้นปัญหา (Problem) เป็นข้ันตอนท่ีเราสังเกตพบปัญหาความต้องการความรู้ความจริงหน่ึงว่ามี

เหตุการณห์ รอื สภาพการณ์เปน็ อย่างไร มีเหตุหรือปัจจยั อะไรทีท่ าให้เกดิ เหตกุ ารณ์หรือสภาพเหตุการณ์นั้น

2. วิธีตั้งสมมติฐาน (Hypothesis) ในข้ันตอนนี้เราจะต้องศึกษาทบทวนความรู้เดิมมาประกอบการ

พิจารณาว่าคาตอบของปัญหาในขั้นท่ี1 นั้นจะเป็นอย่างไร ซ่ึงเรียกว่า การตั้งสมมติฐาน ซึ่งจะเป็นแนวในการ

ตรวจสอบวา่ สมมติฐานท่ีต้ังขึ้นจะเปน็ จริงหรอื ไม่

3. ข้นั รวบรวมข้อมลู (Gathering Data) ในขนั้ น้เี ราจะทาการเก็บรวบรวมข้อมูลท่ีเก่ียวข้อง มาอย่าง

เพียงพอและตรงกบั ส่งิ ท่ตี อ้ งการศกึ ษา

4. ขัน้ วเิ คราะหข์ อ้ มลู (Analysis) ในขัน้ น้จี ะเปน็ การนาข้อมูลท่ีรวบรวมมาทาการวิเคราะห์เพ่ือมาหา

ลกั ษณะร่วมหรอื สอดคลอ้ งกนั ของข้อมลู เหล่าน้ัน และพจิ ารณาวา่ ขอ้ มลู เหล่านม้ี ีกี่ลักษณะและแตกต่างอย่างไร

เป็นต้น

5. ขน้ั สรุป (Conclusion) ในขน้ั ตอนนนี้ าผลการวิเคราะห์มาแปลผลและตีความผลการวิจัยท่ีพบ อัน

เป็นการสรุปผลการวจิ ัย

20

กระบวนการและขนั้ ตอนการทาวจิ ัยอย่างง่าย

1. ขั้นปัญหา (Problem) เป็นขั้นตอนที่เราสังเกตพบปัญหาความต้องการความรู้ความจริงหนึ่งว่ามี
เหตกุ ารณ์หรือสภาพการณ์เปน็ อยา่ งไร มเี หตุหรือปัจจยั อะไรท่ีทาใหเ้ กิดเหตกุ ารณห์ รือสภาพเหตกุ ารณน์ ัน้
การต้ังประเด็นปัญหานั้นสาคัญกว่าปัญหา เพราะการตั้งประเด็นปัญหาที่ดีและชัดเจนจะทาให้ผู้ต้ังปัญหาเกิด
ความเขา้ ใจและมองเหน็ ลู่ทางของการคน้ หาคาตอบเพือ่ แก้ปัญหาท่ตี งั้ ข้ึน

การสังเกตและการตั้งปญั หา (Observation problem)
การสังเกต (Observation) วิธที างการวิทยาศาสตร์มกั จะเรมิ่ จากการสงั เกตปรากฎการณ์ต่างๆที

อยู่รอบตัวเรา เมื่อได้ข้อสังเกตบางอย่างที่เราสนใจจะทาให้ได้ส่ิงที่ตามมาคือ ปัญหา (Problem) เช่น การ
สงั เกต ตน้ หญ้าใต้ตน้ ไม้ใหญ่ หรือต้นหญ้าท่ีอยู่ใต้หลังคามักจะไม่งอกงาม ส่วนต้นหญ้าบริเวณใกล้เคียงท่ีได้รับ
แสงแดดเจริญงอกงามได้ดี

การต้ังปัญหา “แสงแดดมีสว่ นเกีย่ วข้องกับการเจรญิ งอกงามของตอ้ นหญา้ หรือไม่”
ดังน้ันการต้งั ประเด็นปัญหาตอ้ งหมั่นฝึกการสังเกตสิ่งที่สังเกตนั้น เป็นอะไร เกิดข้ึนเมื่อใด เกิดข้ึน
ท่ี
ไหน เกิดขึน้ ไดอ้ ย่างไร ทาไมถงึ เป็นเช่นนัน้
ข้นั ตอนแรกของการวจิ ยั มักจะเรมิ่ ตน้ จากผวู้ ิจัยอยากรู้อะไร มีปัญหาขอ้ สงสัยอะไร เป็นขน้ั ตอน
การกาหนดคาถามวิจัย/ปัญหาวิจัย
ตวั อยา่ งคาถามการวิจยั /ปญั หาการวจิ ยั (การต้งั ประเด็นปญั หา)
- นักร้องในดวงใจวัยรนุ่ คอื ใคร นกั การเมืองในดวงใจวัยร่นุ คอื ใคร
- วัยรุ่นใชเ้ วลาว่างทาอะไร
- การศึกษาผลการจัดบญั ชคี รัวเรือนของ…
- วธิ กี ารเล้ยี งดูของผปู้ กครองที่ลดพฤติกรรมของบตุ ร
- วธิ กี ารลดสภาวะโลกร้อนของนกั เรยี นในโรงเรียน..
- การสารวจความพงึ พอใจของนักเรียนโรงเรยี น..ในการใช้หอ้ งไอซีที-
- การใช้กระแสไฟฟ้าจากแบตเตอร่ีกบั แมแ่ รงเพ่ือกับลอ้ รถยนต์
- การผลติ เซลลพ์ ลังงานไฟฟ้าด้วยวิธีการหมักกลว้ ยหยวก
- การสารวจพฤติกรรมการใชโ้ ทรศัพทข์ องนกั เรยี นในโรงเรยี น..
- การสารวจพฤตกิ รรมการใหข้ องขวญั ของนกั เรียนในโรงเรยี น..
- การสารวจการเลอื กอ่านหนังสอื นอกเวลาของนกั เรียน..
- การสารวจการประหยัดพลังงานไฟฟา้ ของนกั เรยี น
- การสารวจพฤติกรรมการเข้าวัดของนกั เรยี น..
- ผลกระทบท่เี กิดจากสภาวะนา้ มันแพงของผปู้ กครองนักเรยี นโรงเรียน..
- ผลกระทบทเ่ี กิดจากการไม่ได้อาศัยกบั บิดามารดาของนักเรียน..
- สารวจความนิยมและเหตผุ ลของนกั เรียนมธั ยมศกึ ษาปที ี่1 ของโรงเรยี น..ตอ่ การเลอื กเรยี นใน
สถาบันกวดวชิ า
- ความคิดเห็นของนกั เรียนช้นั …ปีการศึกษา..ทม่ี ีโปรแกรมเรียนอังกฤษแบบเข้ม
- ศึกษาพฤติกรรมการบริโภคอาหารเสรมิ ดา้ นความงามของ..
- สารวจพฤติกรรมการบริโภคเครือ่ งด่มื ของนักเรียน
- ศึกษาสาเหตขุ องความเครียดและวธิ ีคลายเครียดของ..

21

- การศกึ ษาการใชโ้ ปรแกรม Facbook ของนักเรยี น..
- การศกึ ษาและสารวจปญั หาดา้ นตัวนกั เรียนและดา้ นสภาพแวดลอ้ ม
- สารวจพฤติกรรมการเลน่ เกมออนไลนข์ องนักเรียน..
- ความพงึ พอใจต่อส่งิ อานวยความสะดวกของนกั เรียน..
- พฤติกรรมการบรโิ ภคอาหารที่เสยี่ งตอ่ การเกิดโรคมะเรง็ ของนกั เรียน
- วัฒนธรรมต่างชาติมีอทิ ธพิ ลต่อนักเรยี น
- การสารวจการมีมารยาทในการใชห้ อ้ งสมุดของนักเรยี น
- การสารวจพฤติกรรมการทาความสะอาดของนักเรียนระดับช้ัน….
- การผลติ น้ายาขัดรองเท้าจากเปลือกสม้
- การผลติ แชมพูสุนขั จากใบนอ้ ยหน่า
- การศกึ ษาสมนุ ไพรทีม่ ผี ลต่อการดบั กล่ินเทา้
- การสารวจพฤตกิ รรมการใช้ผงชรู สในการประกอบอาหารของแม่คา้ โรงเรียน…..
- การเปรยี บเทยี บวธิ กี ารบาบัดน้าเสียระหว่างการกรองด้วยผักตบชวา กับ การบาบัดด้วย EM ที่
มี
ประสิทธิภาพมากที่สดุ
- การศกึ ษาประสิทธภิ าพของสมนุ ไพรในการยบั ย้งั การเจรญิ เติบโตของเชอื้ ราในถั่วลิสง
- การศึกษาการชาร์จแบตเตอรรี่เคร่ือง MP 3 ด้วยมะนาว
- การเปรียบเทียบการปลูกผกั แบบไฮโดรโปนกิ สท์ ใี่ ชป้ ุ๋ยสารละลายธาตุอาหารกบั ปยุ๋ ชวี ภาพ
- การฟงั ดนตรคี ลาสสิค ปอ๊ ป และรอ็ คท่มี ีตอ่ ความสามารถในการจดจา
- การสกัดสจี ากวสั ดุธรรมชาติเพอ่ื นามาใชแ้ ทนสีน้า
- การศกึ ษาจติ สานกึ ในการอนรุ กั ษ์พลังงานและสงิ่ แวดล้อมของนักเรียนโรงเรยี น…
- การสารวจความคดิ เห็นเกีย่ วกับการจดั แขง่ ขนั กีฬาสีภายในโรงเรยี น….
- การสารวจความรู้และความคดิ เหน็ เกี่ยวกบั เทคโนโลยรี ะบบ 3 G ของนกั เรียน….
- การศึกษาความสดของดอกไม้ เม่ือปักไว้ในสารละลายตา่ งชนิดกนั
- การศึกษาการใช้เวลาว่างของนักเรียน…
- การศึกษาปัญหาการติดเกมของนักเรียน….

ฯลฯ

22

ใบงานที่ 9
เรอ่ื ง ประเด็นปัญหากับการตง้ั สมมตฐิ าน

คาช้แี จง ใหน้ ักเรียนแตล่ ะกล่มุ ศึกษาเน้ือหาจากใบความรู้ท่ี 3 เร่ือง ประเดน็ ปัญหาและสมมตฐิ าน
แลว้ ให้ระดมความคิดเหน็ จากสมาชกิ ในกลมุ่ ต้ังประเด็นปัญหาทส่ี นใจมาสกั 10 ประเดน็ (อาจเลือกประเดน็
จากในใบความรู้หรอื เลือกประเด็นอน่ื ตามทส่ี นใจได)้

1. ประเดน็ ปัญหาจากการระดมความคดิ เห็นของสมาชิกในกลุ่ม ทส่ี นใจ 10 ประเดน็ มีดังน้ี
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

2. ใหแ้ ตล่ ะกลุ่มอภปิ รายเพื่อคัดเลือกประเด็น 3 ประเดน็ จากประเด็นในข้อท่ี 1 โดยบอกเหตุผล
ประกอบ
ประเด็นที่ 1……………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
เหตุผล……………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ประเด็นที่ 2……………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
เหตผุ ล……………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ประเดน็ ที่ 3……………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
เหตุผล……………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

23

3. ใหน้ กั เรยี นแต่ละกลุ่มตงั้ สมมตฐิ านตามประเดน็ ปญั หาท่ีตั้งไว้ 3 ประเดน็

ประเดน็ ปญั หาท่ี 1…………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
สมมติฐาน………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ประเด็นปญั หาที่ 2…………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
สมมติฐาน………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ประเด็นปัญหาที่ 3…………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
สมมติฐาน………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. ใหน้ ักเรยี นแต่ละกลุม่ อภปิ รายเพ่อื คดั เลือกประเด็นเพ่ือทาการศึกษาค้นควา้ ให้เหลือเพยี ง 1 ประเดน็ พร้อม
อธิบายและใหเ้ หตุผลประกอบ
ประเดน็ ปญั หาท่เี ลือก………………………………………………………………………………….………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
สมมติฐาน………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
เหตุผลทเี่ ลือกประเดน็ นี้……………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ชื่อกลุ่ม……………………………………..
ชอื่ -สกุล.................................................................... ชนั้ ม.2/.......... เลขท่ี ...............
ช่ือ-สกุล.................................................................... ชัน้ ม.2/.......... เลขที่ ...............
ชอื่ -สกลุ .................................................................... ชั้น ม.2/.......... เลขท่ี ...............
ชอ่ื -สกุล.................................................................... ชน้ั ม.2/.......... เลขท่ี ...............

24

ใบความร้ทู ่ี 4
เร่ือง การออกแบบ วางแผน รวบรวมขอ้ มลู

การตรวจสอบสมมติฐาน จะต้องยึดข้อกาหนดสมมติฐานไว้เป็นเหลักเสมอ (เน่ืองจากสมมติฐานท่ีดี
ได้แนะลทู่ างการตรวจสอบและออกแบบการตรวจสอบไวแ้ ลว้ ) โดยการตรวจสอบสมมตฐิ านนี้ได้จากการสังเกต
และการรวบรวมข้อเทจ็ จริงต่างๆ ที่เกิดจากประสบการณธ์ รรมชาติ

การทดลอง เป็นกระบวนการปฏิบัติ หรือหาคาตอบหรือตรวจสอบสมมติฐานท่ีต้ังไว้โดยการทดลอง
เพอ่ื ทาการคน้ คว้าหาขอ้ มูลและตรวจสอบดวู ่าสมมติฐานข้อใดเป็นคาตอบที่ถูกต้องท่ีสุด ประกอบด้วยกิจกรรม
3 กระบวนการ คอื

3.1 การออกแบบการทดลอง คือการวางแผนการทดลองกอ่ นท่ีจะลงมือปฏบิ ัติจริงโดยใหส้ อดคล้อง
กบั สมมติฐานท่ตี ง้ั ไว้เสมอ และควบคุมปจั จัยหรือตวั แปรตา่ งๆ ทมี่ ผี ลตอ่ การทดลอง แบ่งไดเ้ ปน็ 3 ชนดิ คือ

3.1.1 ตัวแปรอิสระหรือตัวแปรต้น (Independent Variable or Manipulated Variable)
คือปัจจยั ทเ่ี ป็นสาเหตทุ าใหเ้ กิดผลการทดลองหรอื ตัวแปรท่ีต้องศึกษาทาการตรวจสอบดวู า่ เป็นสาเหตุทีก่ ่อให้
เกดิ ผลเช่นกัน

3.1.2 ตัวแปรตาม (Dependent Variable) คือ ผลที่เกิดจากการทดลอง ซึ่งต้องใช้วิธีการ
สงั เกตหรอื วดั ผลดว้ ยวิธกี ารตา่ งๆ เพอ่ื เก็บข้อมูลไว้ และจะเปลยี่ นแปลงไปตามตัวแปรอสิ ระ

3.1.3 ตัวแปรท่ตี อ้ งควบคมุ (Control Variable) คือปจั จยั อ่ืนๆ ท่ีนอกเหนือจากตัวแปรต้นที่
มีผลตอ่ การทดลอง และต้องควบคุมให้เหมือนกันทุกชุดการทดลอง เพื่อป้องกันไม่ให้ผลการทดลองเกิดความ
คลาดเคล่ือนในการตรวจสอบสมมติฐาน นอกจากจะควบคุมปัจจัยที่มีผลต่อการทดลองจะต้องแบ่งชุดการ
ทดลองออกเป็น 2 ชุด ดงั น้ี

ชุดทดลอง หมายถึง ชุดท่ีเราใช้ศึกษาผลของตัวแปรอสิ ระ

ชุดควบคุม หมายถึง ชุดของการทดลองท่ีใช้เป็นมาตาฐานอ้างอิง เพ่ือเปรียบเทียบ
ข้อมูลที่ได้จากการทดลอง ซ่ึงชุดควบคุมนี้จะมีตัวแปรต่างๆ เหมือนชุดทดลองแต่จะแตกต่างจากชุดทดลอง
เพียง 1 ตวั แปรเทา่ นน้ั คือตัวแปรทเ่ี ราจะตรวจสอบหรอื ตัวแปรอสิ ระ

3.2 การปฏิบัติการทดลอง ในกิจกรรมนี้จะลงมือปฏิบัติการทดลองจริงโดยจะดาเนินการไปตาม
ขั้นตอนที่ได้ออกแบบไว้ และควรจะทดลองซา้ ๆ หลายๆ ครั้งเพ่อื ให้แนใ่ จว่าได้ผลเช่นนัน้ จริง

3.3 การบันทึกผลการทดลอง หมายถึง การจดบันทึกท่ีได้จากการทดลองซ่ึงข้อมูลท่ีได้นี้สามารถ
รวบรวมไว้ใช้สาหรบั ยืนยันว่าสมมตฐิ านทต่ี ัง้ ไว้ถกู ตอ้ งหรอื ไม่

25
ในบางคร้ังข้อมูลอาจได้มาจากการสร้างข้อเท็จจริง เอกสาร จากการสังเกตปรากฏการณ์ หรือจาก
การซักถามผู้รอบรู้ แล้วนาข้อมูลที่ได้มาน้ันไปแปรผลและลงข้อสรุปในต่อไป ด้ังน้ัน การรวบรวมข้อมูลเป็น
สิง่ จาเปน็ ในวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ ตวั อย่าง

เมื่อคาดคะเนคาตอบว่า "แสงแดดทาให้ต้นหญ้าเจริญงอกงาม ดังน้ันต้นหญ้าท่ีถูกแสงแดด
จะเจรญิ งอกงาม สว่ นต้นหญ้าทไ่ี ม่ถกู แสงแดดจะไม่เจริญงอกงามหรอื เฉาตายไป" ดังนั้นในข้ันนี้จะเป็นขั้นที่จะ
ตรวจสอบวา่ คาตอบท่เี ราคาดคะเนไว้นี้จะถูกต้องหรอื ไม่ โดยอาจออกแบบการทดลองไดด้ ังนี้

นาต้นหญ้า (หรือพืชชนิดอื่นก็ได้เช่นถั่วเขียวท่ีต้องเหมือนกันท้ัง 2 กลุ่มชุดการทดลอง) ปลูก
ในทีมีแสงแดด ส่วนอีกหน่ึงกลุ่มปลูกใช้สังกะสีมาครอบไว้ไม่ให้ได้รับแสงแดด (จัดชุดการทดลองและชุด
ควบคุมให้เหมือนกนั ทกุ ประการยกเว้นการได้รับแสงแดด กับไม่ได้รับแสงแดด) ทาการควบคุมทั้งปริมาณน้า
ที่รดทง้ั 2 กลุ่มน้ีเทา่ ๆ กัน ประมาณ 2สัปดาห์ ทาการสังเกตและบันทกึ ผล

* ตวั แปรต้นหรอื ตวั แปรอสิ ระ คอื แสงแดด
* ตัวแปรตาม คอื ต้นหญ้าเจรญิ งอกงาม (หรอื การเจรญิ เติบโตของต้นหญ้า)
* ตัวแปรท่ีต้องควบคุม คือ ปริมาณน้า, ชนิดของดิน, ปริมาณของดิน, ชนิดของกระถางท่ีใช้
ปลกู , ชนดิ ของต้นหญา้
นาข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ยความสูงของต้นหญ้า หรือการนาจานวนใบของต้นหญ้า ซึ่งเรา
พบว่าต้นหญ้าท่ีได้รับแสงแดดจะเจริญเติบโตงอกงามดีส่วนต้นหญ้าท่ีไม่ได้รับแสงแดดจะมีสีเหลืองหรือสีขาว
ซดี และไมง่ อกงาม จากนัน้ ก็สรปุ ผลการทดลอง

ออกแบบการทดลอง

ทมี่ า http://e-learning.snru.ac.th/els/scilife/unit1/t2-33.htm
สบื คน้ เมื่อวันท่ี 7 กนั ยายน 2556

26

ใบงานที่ 10
เรื่อง การออกแบบ วางแผน รวบรวมขอ้ มูล

คาชีแ้ จง ใหน้ กั เรยี นออกแบบ วางแผน และรวบรวมขอ้ มูล

1. การตรวจสอบสมมติฐานต้องยึด……………………………………………………………..เป็นหลกั ในการตรวจสอบเสมอ
โดยการตรวจสอบสมมติฐานนไี้ ดจ้ าก ……………………………………………………………………………………………………
2. บอกคาจากดั ความของการทดลอง

………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. การทดลองประกอบด้วยกิจกรรม 3 กระบวนการ คือ
3.1………………………………………………………………………………………………………………………………………….
3.2…………………………………………………………………………………………………………………………………………
3.3…………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. การออกแบบการทดลอง คือ………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
5. การออกแบบการทดลอง แบ่งไดเ้ ป็น 3 ชนดิ คือ
5.1………………………………………………………………………………………………………………………………………….
5.2…………………………………………………………………………………………………………………………………………
5.3…………………………………………………………………………………………………………………………………………
6. ตวั แปรอสิ ระหรอื ตัวแปรต้น (Independent Variable or Manipulated Variable) คอื
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
7. ตวั แปรตาม (Dependent Variable) คอื
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
8. ตวั แปรทต่ี อ้ งควบคมุ (Control Variable) คือ
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
9. ชดุ ทดลอง คือ…………………………………………………………………………………………………………………………………..
ชุดควบคมุ คือ………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
10. การบนั ทึกผลการทดลอง หมายถึง ………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ชื่อ………………………...…………………………ช้ัน………….เลขท…ี่ ………..

27

ใบความรู้ท่ี 5
เรอื่ ง การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล

ขั้นตอนสาคัญในการทาวิจัย หลังจากได้ปัญหา วัตถุประสงค์และสมมติฐานในการวิจัยแล้ว ขั้นตอนที่
สาคัญตามมา คือ การเก็บรวบรวมข้อมูล การตรวจสอบข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูล
คือการที่ผู้วิจัยพยายามรวบรวมหลักฐานต่างๆ นามาพิจารณา วิเคราะห์วิจารณ์ แล้วสรุปผลมาเป็นคาตอบ
ปัญหาการวิจัยว่าเป็นไปตามท่ีได้ตั้งสมมติฐานไว้หรือไม่ วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล มีวิธีการหลายอย่าง เช่น
เก็บรวบรวมข้อมูลโดยตรงจากผู้ให้ข้อมูล รวบรวมข้อมูลที่มีอยู่เดิมแล้ว หรือใช้ผู้สังเกตการณ์เก็บรวบรวม
ข้อมลู หรอื ใชว้ ธิ ีการหลาย ๆ วิธรี วมกนั

ขน้ั ตอนสาคญั ของการรวบรวมข้อมลู

การรวบรวมข้อมูลทางพฤติกรรมศาสตร์ ส่วนใหญ่เป็นการรวบรวมข้อมูลภาคสนาม แบ่งได้เป็น 6
ขน้ั ตอน ตามท่ีบุญธรรม กิจปรีดาบรสิ ุทธิ์ ( 2540 ) แบง่ ไว้ ดงั นี้

1. กาหนดตัวแปรที่ต้องการศึกษา ท่ีสาคัญ คือ ต้องทราบว่าอะไร คือตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม ตัว
แปรควบคมุ การวัดตัวแปรแต่ละตวั วัดอยา่ งไร มีระดับการวัดของตัวแปรคืออะไร ตัวแปรและตัวมีความหมาย
อยา่ งไร ตอ้ งนิยามความหมายเชงิ ปฏบิ ัตกิ ารใหช้ ัดเจนใหส้ ามารถวดั ได้

2. กาหนดขอ้ มลู หรือตวั ช้วี ดั จากตวั แปรที่ศึกษาจะต้องระบุข้อมูลและลักษณะของข้อมูลท่ีต้องการว่า
มีลักษณะอย่างไร ที่ตรงกับสภาพความเป็นจริง ควรสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ หรือปัญหาและขอบเขตของ
การวจิ ยั

3. กาหนดแหล่งขอ้ มลู ตอ้ งการขอ้ มลู หรอื รวบรวมขอ้ มลู มาจากท่ีไหนบ้างผู้ให้ข้อมูลเป็นใคร อยู่ที่ไหน
เปน็ แหล่งขอ้ มูลปฐมภูมหิ รอื ทตุ ยิ ภูมิ

4. เลือกวิธีรวบรวมข้อมูล ต้องวางแผนในวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างรอบคอบรวมท้ังคานึงถึง
ขนาดของกลุ่มตัวอยา่ งท่ีเหมาะสม ซ่ึงวิธีการเก็บข้อมูลจาเป็นต้องเลือกเคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บว่ามีอะไร ถ้ามี
แล้วก็สามารถนาไปปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะกับงานวิจัยที่ทา ถ้าไม่มีก็ต้องสร้างเครื่องมือขึ้นมาใหม่ ซ่ึงต้อง
คานงึ ถึงหลักในการสร้างเครอื่ งมือทีด่ ี

5. นาเครือ่ งมือรวบรวมข้อมูลไปทดลองใช้ ในการใช้เคร่ืองมือรวบรวมข้อมูลไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือที่มี
อยู่แล้วหรือเครื่องมือที่สร้างขึ้นเอง ควรมีการทดลองใช้กับกลุ่มท่ีใกล้เคียงกับกลุ่มตัวอย่างจานวนไม่มากก่อน
เพ่ือดูข้อบกพร่องต่างๆที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้เคร่ืองมือและผู้วิจัยเองต้องนาเครื่องมือไปปรับปรุงแก้ไขหรือ
อาจจะตอ้ งสรา้ งใหมเ่ พ่ือใหเ้ หมาะสมกบั งานวิจยั ทีท่ า เพื่อใหเ้ กดิ คุณภาพของเครื่องมือวิจัย ที่สาคัญ คือจะต้อง
มีความตรงและความเที่ยงของเครอื่ งมอื

28

6. ออกรวบรวมข้อมลู ข้ันตอนนเ้ี ปน็ การออกภาคสนาม ต้องมีการวางแผนเป็นอย่างดีว่าจะเก็บข้อมูล
อย่างไร คนเดียว หรือหลายคน ต้องมีการอบรมผู้เก็บข้อมูลในกรณีท่ีใช้ผู้เก็บหลายคน ที่สาคัญต้องมีการ
ประสานงานเพอื่ ใหแ้ หลง่ ที่ต้องการเกบ็ ข้อมูลยนิ ยอม

วธิ ีการเก็บรวบรวมขอ้ มลู

วิธีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล มหี ลายวิธีท่ใี ชก้ ันมากในทางพฤติกรรมศาสตร์ ได้แก่

• การสัมภาษณโ์ ดยตรง

ผู้วิจัยไปทาการสัมภาษณ์จากหน่วยทดลองโดยตรง วิธีน้ีใช้กันมากในการทาสามะโนและการสารวจ
จากตัวอย่าง วิธีน้ีเหมาะสาหรับงานวิจัยท่ีมีข้อคาถามเป็นจานวนมาก ข้อคาถามมีความซับซ้อนมีคาศัพท์
เฉพาะและมคี าจากัดความทีต่ อ้ งการคาอธิบาย แต่เป็นวธิ ที ีเ่ สยี คา่ ใช้จา่ ยสงู

• การสัมภาษณท์ างโทรศัพท์

ในกรณีท่คี าถามไม่มากและไม่ซบั ซอ้ น ปรมิ าณคาถามมีไม่มากนัก การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์จะทาให้
ไดข้ อ้ มลู เร็วข้นึ แต่มีข้อเสียคือ สัมภาษณ์ได้เฉพาะหน่วยตัวอย่างที่มีโทรศัพท์เท่านั้น บางกรณีผู้ตอบอาจจะไม่
เกรงใจ หรือไมพ่ อใจทจ่ี ะตอบ หรอื อาจจะวางหูโทรศัพทก์ ไ็ ด้

• การตอบแบบสอบถาม

เป็นวิธีการรวบรวมข้อมูลโดยมอบแบบสอบถามพร้อมท้ังอธิบายวิธีบันทึกตลอดจนคาอธิบายศัพท์
ต่างๆ ให้แก่หน่วยตัวอย่างล่วงหน้า ผู้วิจัยจะกลับไปรับแบบสอบถามตามวัน เวลาท่ีนัดหมายไว้ ถ้าการบันทึก
แบบสอบถามไม่ถูกต้องหรือไม่เรียบร้อยก็จะได้มีการสอบถามหรือสัมภาษณ์เพิ่มเติมจนกระทั่งได้ข้ อมูลตามที่
ต้องการ

• การสง่ แบบสอบถามทางไปรษณีย์

ผู้เก็บรวบรวมขอ้ มูลส่งแบบสอบถามทางไปรษณีย์ วิธีน้ีเหมาะสาหรับการเก็บข้อมูลที่ไม่มีความสาคัญ
มากนัก เป็นข้อมูลง่ายๆ ที่ไม่ซับซ้อน ไม่มีศัพท์หรือคาจากัดความท่ีต้องการคาอธิบาย จานวนข้อคาถามมีไม่
มากนกั วธิ นี ้มี ขี อ้ ดคี ือ เสียค่าใช้จา่ ยน้อยแต่มขี ้อเสียคือ ได้รับแบบสอบถามกลับคืนมาน้อยหรือผู้บันทึกอาจจะ
เข้าใจข้อคาถามไม่ถูกต้อง หรือบันทึกอย่างขาดความรับผิดชอบ ข้อจากัดคือ วิธีนี้ใช้สาหรับหน่วยตัวอย่างที่
อ่านออกเขยี นไดเ้ ท่าน้นั

• การนบั และการวัด

ในการเก็บรวบรวมข้อมูลบางอย่างต้องใช้วิธีนับ เช่น การสารวจจานวนรถท่ีผ่านจุดท่ีต้องการศึกษา
และในเวลาที่สนใจศึกษา จานวนลูกค้าท่ีเข้าแถวเพื่อชาระเงินในคาบเวลาหนึ่งๆ จานวนผู้ป่วยที่เข้ารับบริการ
ในโรงพยาบาลในคาบเวลาหนงึ่ การเก็บข้อมูลโดยให้กลมุ่ ตัวอย่างทาแบบสอบ แบบวดั เป็นตน้

• การสังเกต วิธีนี้ใช้ในโครงการวิจัยต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์ และทางสังคมศาสตร์ เช่น การสังเกตตาแหน่ง
ของดวงดาวบนท้องฟ้า การสังเกตพฤติกรรมของคนในชุมชนที่มีต่อผู้ป่วยเอดส์ เป็นต้น ข้อมูลท่ีได้จากการ
สังเกตอาจจะเป็นข้อมูลเชิงคุณลักษณะหรือปริมาณก็ได้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลผู้วิจัยต้องกาหนดขั้นตอนให้
รัดกุมต้ังแต่ การวางแผนการเก็บรวบรวมกาหนดวิธีการให้เหมาะสมกับกลุ่มตัวอย่าง กาหนดวิธีบันทึกข้อมูล
ถ้ามีผู้ชว่ ยในการเก็บขอ้ มูลตอ้ งอบรมวธิ กี ารเก็บใหม้ คี วามรู้ ความเขา้ ใจและชานาญเทา่ เทียมกัน จากน้ันจึงเก็บ
ข้อมูลตามท่ีวางแผนไว้ เม่ือได้ข้อมูลกลับมาต้องตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูลท่ีได้รับก่อนนาไปวิเคราะห์
ข้อมูลตอ่ ไป

29

( ตวั อย่าง )
แบบสอบถามความพงึ พอใจ / ไม่พึงพอใจต่อการให้บรกิ าร

สานักงาน.....................................................................
เดอื น.................................พ.ศ.2553

ขอ้ ช้ีแจง กรณุ าทาเครือ่ งหมายในขอ้ ท่ตี รงกบั ความเปน็ จริงและในช่องท่ตี รงกบั ความคดิ เห็นของทา่ นมากท่ีสดุ

ตอนท่ี 1 ขอ้ มูลทวั่ ไปของผูต้ อบแบบสอบถาม

1. เพศ  1) ชาย  2) หญิง

2. อายุ  1) ตา่ กวา่ 20 ปี  2) 21 - 40 ปี  4) 41 – 60 ปี  6) 60 ปขี ึน้ ไป

3. ระดบั การศึกษาสูงสุด  2) มัธยมศกึ ษาตอนต้น/ตอนปลาย/เทียบเทา่
 1) ประถมศึกษา  4) สงู กวา่ ปริญญาตรี
 3) ปริญญาตรี

4. สถานภาพของผ้มู ารบั บริการ

 1) เกษตรกร/องค์กรเกษตรกร  2) ผู้ประกอบการ

 3) ประชาชนผรู้ ับบริการ  4) องค์กรชมุ ชน/เครือข่ายองค์กรชมุ ชน

 5) อื่นๆ โปรดระบุ ……………………………………….

ตอนท่ี 2 ความพงึ พอใจ / ไม่พงึ พอใจต่อการใหบ้ รกิ าร

ประเดน็ /ด้าน ระดบั ความพึงพอใจ ระดบั ความไม่พงึ พอใจ
ไม่พอใจ ไม่พอใจมาก
1. ดา้ นเวลา พอใจมาก พอใจ พอใจ
1.1 การใหบ้ ริการเปน็ ไปตามระยะเวลาทก่ี าหนด น้อย
1.2 ความรวดเร็วในการใหบ้ รกิ าร

2. ด้านขน้ั ตอนการให้บรกิ าร
2.1 การตดิ ปา้ ยประกาศหรือแจง้ ขอ้ มลู เกยี่ วกับ

ขน้ั ตอนและระยะเวลาการใหบ้ ริการ

2.2 การจัดลาดบั ขัน้ ตอนการใหบ้ ริการตามทปี่ ระกาศไว้

2.3 การให้บรกิ ารตามลาดับก่อนหลัง เชน่ มาก่อนตอ้ ง
ได้รบั บรกิ ารก่อน

30

ประเดน็ /ด้าน ระดบั ความพึงพอใจ ระดับความไม่พงึ พอใจ
ไมพ่ อใจ ไม่พอใจมาก
3. ด้านบุคลากรทีใ่ ห้บริการ พอใจมาก พอใจ พอใจ
3.1 ความเหมาะสมในการแต่งกายของผู้ให้บริการ น้อย
3.2 ความเต็มใจและความพร้อมในการให้บริการอยา่ ง
สุภาพ
3.3 ความรูค้ วามสามารถในการให้บรกิ าร เชน่ สามารถ

ตอบคาถาม ชีแ้ จงขอ้ สงสัยให้คาแนะนาได้ เปน็ ตน้

3.4 ความซอ่ื สตั ย์สุจริตในการปฏิบัตหิ นา้ ท่เี ช่น ไม่ขอ
ส่งิ ตอบแทน, ไมร่ ับสนิ บน, ไม่หาผลประโยชน์
ในทางมิชอบ

3.5 การใหบ้ รกิ ารเหมือนกนั ทุกรายโดยไมเ่ ลือกปฏิบตั ิ

4. ด้านส่ิงอานวยความสะดวก
4.1 ความชัดเจนของป้าย สญั ลักษณ์ ประชาสัมพนั ธ์
บอกจุดบริการ
4.2 จดุ /ช่อง การใหบ้ ริการมีความเหมาะสมและเขา้ ถึง
ได้ สะดวก

4.3 ความเพยี งพอของส่งิ อานวยความสะดวก เช่น ที่นง่ั
รอรบั บริการ น้าดื่ม หนงั สอื พมิ พ์ ฯลฯ

4.4 ความสะอาดของสถานท่ีใหบ้ ริการ

5. ท่านมคี วามพึงพอใจ / ไม่พงึ พอใจต่อการใหบ้ ริการ
ในภาพรวม อยู่ในระดับใด

ตอนท่ี 3 ปญั หา / ขอ้ เสนอแนะ

ปัญหา 1. ............................................................................................................................. ....
ข้อเสนอแนะ 2. ......................................................................................................................... ........
1. .. ....................................................................................................................... ..........
2. .. .................................................................................................................................

ขอขอบคุณในความรว่ มมือที่ท่านไดเ้ สียสละเวลาให้ข้อมูลทเี่ ป็นประโยชนแ์ ก่ทางราชการในครง้ั น้ี

31

(ตวั อย่าง)
แบบแบบสมั ภาษณภ์ ูมิปญั ญาทอ้ งถน่ิ

รปู ภาพ

1. ช่อื ……………………………………..…….สกุล………..…………………..อายุ……………….ปี
2. อาชพี ………………………………………..สถานทปี่ ระกอบอาชีพ……………………………….
3. ทอ่ี ยู่……………………………………………………………………………………………………

………………………………………………………………………………………………………...
……………………………………………………………………โทรศพั ทใ์ ………………………...
4. ภมู ิปญั ญาด้าน………………………………………………………………………………………..
5. ข้อคิดเห็นจากการสมั ภาษณ์
………………………………………………………………………………………………………...
………………………………………………………………………………………………………...
………………………………………………………………………………………………………...
………………………………………………………………………………………………………...
………………………………………………………………………………………………………...

(ลงชื่อ) ผูใ้ ห้ขอ้ มลู
()
………./…………../………

(ลงช่ือ) ผู้สมั ภาษณ์
()
………./…………../………

32

ใบงานท่ี 11
เร่ือง การเกบ็ รวบรวมข้อมูล

คาช้แี จง ใหน้ กั เรยี นบอกข้ันตอนการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลดงั นี้

1. ขั้นตอนสาคญั ในการทาวิจยั หลงั จากไดป้ ญั หา วัตถปุ ระสงค์และสมมติฐานในการวิจยั แล้ว ข้ันตอน
ทีส่ าคญั ตามมา คือ………………………………………………………………………………………………………………………………

2. การเก็บรวบรวมขอ้ มลู คอื …………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

3. ขัน้ ตอนสาคญั ของการรวบรวมขอ้ มูล มี……………ขัน้ ตอน อะไรบ้าง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

4. กาหนดตวั แปรทต่ี ้องการศึกษา ท่ีสาคัญ คอื ………………………………………………………………………..

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

5. วิธกี ารเกบ็ รวบรวมข้อมูล มีหลายวธิ ีทใ่ี ชก้ นั มากในทางพฤติกรรมศาสตร์ ได้แก่
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ชือ่ ………………………...…………………………ชนั้ ………….เลขท่ี…………..

33

ใบงานท่ี 12
เรื่อง ออกแบบ วางแผน ใช้กระบวนการรวบรวมข้อมูลอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ

คาชแี้ จง ใหน้ กั เรยี นแต่ละกลมุ่ คดั เลอื กประเด็นปัญหาจาก 3 ประเดน็ ของกลมุ่ ตนสนใจเลอื กไว้ ใหเ้ หลอื 1
ประเดน็ ออกแบบ วางแผน ใชก้ ระบวนการรวบรวมข้อมูลอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ

บันทกึ การวางแผนการทางาน (ID Plan)
สมาชิก

ชื่อ-สกุล.................................................................... ช้นั ม.2/.......... เลขท่ี ...............
ช่ือ-สกุล.................................................................... ชนั้ ม.2/.......... เลขท่ี ...............
ช่ือ-สกุล.................................................................... ชั้น ม.2/.......... เลขที่ ...............
ช่อื -สกุล.................................................................... ชั้น ม.2/.......... เลขที่ ...............

ครทู ีป่ รึกษาการทางาน

ชอื่ -สกลุ .................................................................... กลุ่มสาระการเรียนรู้……………………………………
ชอื่ -สกุล.................................................................... กลุ่มสาระการเรยี นรู้……………………………………

ครผู ้สู อน
..................................................................................................................

ประเด็นปญั หา
............................................................................................................................. ...................................
............................................................................................................................. ...................................
สมมติฐาน
................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...................................
การเกบ็ รวบรวมข้อมูล
............................................................................................................................. ...................................
................................................................................................................................................................
เครื่องมอื เก็บข้อมูล
............................................................................................................................. ...................................
............................................................................................................................. ...................................
(ให้แนบแบบฟอร์มทใ่ี ช้เกบ็ รวบรวมข้อมูล เช่น แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ ฯไวต้ อนทา้ ยใบงานนดี้ ้วย)
แหล่งเรยี นรูเ้ กยี่ วกับประเดน็ ปญั หา
............................................................................................................................. ...................................
................................................................................................................................................................