บาทแรกตีความได้เป็น 2 ทาง ทางหนึ่ง ตีความว่า คำอยุธยา นั้นหมายถึง กรุงศรีอยุธยา อดีตราชธานีของไทย ก็อาจถอดความได้ว่า กรุงศรีอยุธยาอันมียศล่มจมไปแล้วคือเสียแก่พม่าแต่แล้วก็ลอยจากสวรรค์เป็นกรุงเทพฯอีกทางหนึ่ง ตีความว่า คำอยุธยา หมายถึงกรุงเทพฯ ราชธานีปัจจุบัน ก็อาจตีความได้ว่า กรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยา อันประกอบด้วยยศ หล่นลอยจากสวรรค์ลงมาตั้งอยู่ ณ ที่ปัจจุบัน ส่วนบาทอื่นๆ เนื้อความชัดเจน บาทที่ 2 พรรณนาความงามของปราสาทราชมณเฑียร บาทที่ 3 กล่าวถึง อำนาจบุญบารมีแต่ปางก่อนของพระมหากษัตริย์ไทย ที่ยังผลให้พระศาสนารุ่งเรือง บาทที่ 4 ความรุ่งเรืองของพระศาสนานั้นจึงปิดทางอบาย(ทุคติ) และเปิดทางสวรรค์ด้วยการฟื้นฟูจิตใจของประชาชนให้เจริญ เรืองเรืองไตรรัตน์พ้น พันแสง พรรณนาถึงอำนาจของคุณพระรัตนตรัย อันเป็นสรณะในพระพุทธศาสนา โดยกล่าวว่ารุ่งเรืองยิ่งกว่าแสงพระอาทิตย์ (ในภาษาบาลีมีศัพท์ว่า "สหัสรังสี" ซึ่งหมายถึงแสงอาทิตย์ ถอดเป็นคำไทยแท้ว่า "พันแสง") มีการแสดงธรรมทุกค่ำเช้า ภาพเจดีย์ที่เรียงรายยอดสูงเสียดกัน มองดูงามยิ่งกว่าแสงจากแก้วเก้าประการ เป็นหลักของแผ่นดินเป็นที่พิศวงแก่สวรรค์ โฉมควรจักฝากฟ้า ฤาดิน ดีฤา โคลงบทนี้ เป็นกวีโวหารหรือการใช้ภาพพจน์ที่เรียกว่า การกล่าวเกินจริง แสดงความห่วงและหวงหญิงผู้เป็นที่รัก ด้วยการพรรณนาว่า ในการจากไปครั้งนี้ควรจะฝากหญิงผู้เป็นที่รักไว้กับฟ้าหรือดินจึงจะดี ถ้าฝากฟ้าก็ไม่ไว้ใจเทวดา ฝากดินก็ไม่ไว้ใจผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน จะฝากลมก็เกรงว่าลมพัดนางเลื่อนลอยไป ทำให้เกิดความชอกช้ำแก่ผิวเนื้อของนางซึ่งตนเคยถนอม จากมามาลิ่วล้ำ ลำบาง โคลงบทนี้เป็นตัวแทนของขนบการแต่งนิราศที่ชัดเจน คือกวีนำชื่อของตำบลที่ผ่านพบมาเชื่อมโยงกับความรู้สึกที่มีต่อหญิงผู้เป็นที่รัก ซึ่งได้แก่ ตำบลบางยี่เรือ เมื่อถึงตำบลบางยี่เรือ ก็ราพายชะลอให้เรือช้าลง พลางพูดกับเรือแผง (เรือที่ใช้แผงกั้นเป็นเครื่องกำบัง) ขอให้ช่วยพานางมา (ปกติหญิงผู้สูงศักดิ์เมื่อเดินทางย่อมมีม่านกั้น)แต่แล้วบางยี่เรือก็ไม่รับคำ จึงได้แต่น้ำตาไหลคลอ เอียงอกเทออกอ้าง อวดองค์ อรเอย โคลงบทนี้ กวีเอียงอกเทความรู้สึกในอกออกหมดสิ้น และพรรณนาต่อไปว่า แม้จะใช้เขาพระสุเมรุชุบน้ำในมหาสมุทรซึ่งละลายกับดิน (เป็นหมึก) เขียนลงแผ่นฟ้า ก็ยังจารึกไว้ไม่พอและรำพึงว่านางผู้งามดุจลงมาจากฟากฟ้า คงไม่อาจเห็นว่ากวีรุ่มร้อนเพียงใด |