Show
บรรยายพิเศษ และเสวนาออนไลน์ มองญี่ปุ่น มองไทย: ว่าด้วยการปกครองท้องถิ่นกับการพัฒนาประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2564 : สถาบันพระปกเกล้า ร่วมกับ สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย จัดงานสัมมนาออนไลน์ KPI Public Lecture "มองญี่ปุ่น มองไทย: ว่าด้วยการปกครองท้องถิ่นกับการพัฒนาประชาธิปไตย" (Thailand and Japan’s Perspective: On Local Government and Democracy Development) โดยได้รับเกียรติจาก Dr.Akima Umezawa (อัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย) กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน และได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์ วุฒิสาร ตันไชย (เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า) กล่าวเปิดการสัมมนา ความตอนหนึ่งว่า การปกครองท้องถิ่น เป็นรากฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพื่อให้ประชาชนได้เรียนรู้และฝึกฝนทักษะประชาธิปไตย ซึ่งเป็นการปูทางเพื่อเป็นรากฐานประชาธิปไตยในระดับประเทศ โดยผ่านกลไกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นหน่วยงานในพื้นที่ที่ทำงานใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด อีกทั้งยังเป็นกลไกที่มาจากประชาชน ดำเนินกิจการสาธารณะเพื่อประชาชน และกำกับดูแลโดยประชาชนอย่างแท้จริง ประเทศญี่ปุ่น เป็นประเทศหนึ่งในโลก ที่มีการพัฒนาการของการปกครองท้องถิ่นมาอย่างยาวนาน มีรากฐานการพัฒนาที่เข้มแข็ง ส่งผลต่อการพัฒนาประชาธิปไตยในระดับประเทศที่เจริญก้าวหน้าอย่างมาก ประชาชนในประเทศญี่ปุ่นยังมีความตระหนักถึงสิทธิหน้าที่ในฐานะพลเมืองของประเทศเป็นอย่างดี และสามารถนำข้อค้นพบดังกล่าวมาสะท้อนเป็นบทเรียนการพัฒนาประชาธิปไตยในสังคมไทย ต่อด้วยกิจกรรมที่น่าสนใจ คือ การบรรยายพิเศษ หัวข้อ “การส่งเสริมประชาธิปไตยในการเมืองการปกครองท้องถิ่นญี่ปุ่น” โดยได้รับเกียรติจาก Prof. Nagai Fumio (Graduate School of Law Osaka City University) ความว่า ประเทศญี่ปุ่นมีระบอบการปกครองแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ มีการสถาปนารัฐธรรมนูญแห่งประเทศญี่ปุ่น ซึ่งในหมวดการปกครองส่วนท้องถิ่นมีสาระสำคัญ คือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีสิทธิที่จะปกครองด้วยตนเองในระดับหนึ่งโดยมีอิสระต่อรัฐบาลกลาง สภาท้องถิ่นมีอำนาจสำรวจและแถลงความคิดเห็น และประชาชนมีส่วนร่วมต่อการปกครองท้องถิ่น ขณะที่รัฐบาลกลางมีหน้าที่กระตุ้นให้องค์กรปกครองท้องถิ่นทำงานให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลักการสำคัญเริ่มต้นที่ท้องถิ่น รัฐบาลกลางและท้องถิ่นจะร่วมมือกันในหลายๆด้าน และบางกรณีอาจมีการกระจายงานที่เป็นภารกิจขององค์กรระดับจังหวัดไปสู่องค์กรระดับเทศบาลได้เช่นกัน การบริหารบุคลากรของญี่ปุ่นจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรแบบทั่วไปมากกว่าพัฒนาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน มีการแลกเปลี่ยนบุคลากรระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับรัฐบาลกลางเพื่อให้มีประสบการณ์การทำงานทั้งสองด้านและเพื่อขยายขีดความสามารถในการทำงานและเวทีเสวนา “จากญี่ปุ่นสู่เมืองไทย: เรียนรู้ เสริมสร้าง พัฒนา ประชาธิปไตยท้องถิ่นไทย”ร่วมอภิปรายและแลกเปลี่ยนมุมมองโดย Prof. Nagai Fumio รศ.ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ (รองอธิการบดีฝ่ายบริหารทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) และผศ.ดร.วสันต์ เหลืองประภัสสร์ (ผู้อำนวยการสำนักงานสัญญาธรรมศักดิ์ เพื่อประชาธิปไตย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) มองว่า ท้องถิ่นไม่ได้มีปัญหาด้านการเมืองแต่เป็นปัญหาด้านการบริหาร จากการปฏิรูปการเมือง ปัญหาสำคัญของท้องถิ่นไทยเป็นเรื่อง สมรรถนะทางการบริหาร มากกว่า การเมือง การเพิ่มศักยภาพด้านการบริหารจัดการต้องเป็น Agenda สำคัญของกลไกราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาคทั้งในด้านการคลัง การบริหารงานบุคคล มาตรฐานการบริการสาธารณะ และเทควิธีการต่างๆ การแบ่งบทบาท อำนาจหน้าที่ให้เหมาะสมและชัดเจนระหว่างส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และท้องถิ่น การกำกับและตรวจสอบให้เป็นหน้าที่หลักของประชาชนและกลไกในระดับพื้นที่
รัฐบาลญี่ปุ่น ประกอบด้วยฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ภายใต้แนวคิดอธิปไตยของปวงชน รัฐบาลดำเนินการภายใต้โครงสร้างตามรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่นที่นำมาใช้ใน ค.ศ. 1947 ประเทศญี่ปุ่นเป็นรัฐเดี่ยวที่ประกอบด้วยเขตการปกครอง 47 แห่ง โดยมีจักรพรรดิเป็นประมุขแห่งรัฐ[1] พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งในเชิงพิธีและไม่มีอำนาจต่อรัฐบาล[2] แต่อำนาจนั้นตกเป็นของคณะรัฐมนตรีอันประกอบด้วยรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีซึ่งมีหน้าที่ควบคุมและกำกับกิจการของรัฐบาลและข้าราชการพลเรือน คณะรัฐมนตรีมีอำนาจบริหารและแต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรีผู้เป็นหัวหน้ารัฐบาล[3][4] นายกรัฐมนตรีได้รับการเสนอชื่อโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติและได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการโดยจักรพรรดิให้ดำรงตำแหน่งนี้[5][6] สภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นสภานิติบัญญัติ ซึ่งเป็นองค์กรของฝ่ายนิติบัญญัติ รัฐสภานี้ใช้ระบบสองสภา ประกอบด้วยราชมนตรีสภาที่ทำหน้าที่เป็นสภาสูง และสภาผู้แทนราษฎรที่ทำหน้าที่เป็นสภาล่าง สมาชิกในสภาเหล่านี้ได้รับเลือกโดยตรงจากประชาชน ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของอำนาจอธิปไตย[7] โดยถือเป็นองค์กรสูงสุดตามรัฐธรรมนูญ ส่วนศาลสูงสุดและศาลภายในอื่น ๆ อยู่ในฝ่ายตุลาการ และถืออำนาจตุลาการเบ็ดเสร็จ โดยมีเจ้าพนักงานที่ได้รับมอบหมายหน้าที่โดยองค์กรตุลาการต่าง ๆ ในการตีความรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น และถืออำนาจในการพิจารณาทบทวน ฝ่ายตุลาการเป็นอิสระจากฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร[8] คณะรัฐมนตรีเสนอชื่อหรือแต่งตั้งผู้พิพากษาและฝ่ายนิติบัญญัติหรือบริหารไม่สามารถถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งนี้ได้ เว้นแต่จะอยู่ในช่วงการฟ้องให้ขับออกจากตำแหน่ง ประวัติ[แก้]ก่อนหน้าการฟื้นฟูพระราชอำนาจสมัยเมจิ ประเทศญี่ปุ่นปกครองโดยรัฐบาลทหารโชกุนที่สืบทอดตามสายโลหิต ระหว่างยุคนี้ ประสิทธาภิบาลในกิจการของรัฐตกเป็นของโชกุน ผู้ซึ่งปกครองประเทศในพระปรมาภิไธยของจักรพรรดิ[9] โชกุนเป็นผู้ว่าการฝ่ายทหารที่สืบทอดกันมา โดยเทียบเท่ากับชั้นยศสมัยใหม่ เจเนราลิสซีโม แม้ว่าจักรพรรดิผู้มีอำนาจสูงสุดจะทรงแต่งตั้งโชกุนก็ตาม แต่บทบาทของจักรพรรดินั้นมีไว้เพียงเป็นพิธีและทรงไม่เข้ามาเกี่ยวข้องในกิจการบริหารประเทศ[10] ซึ่งมักนำมาเปรียบเทียบได้กับบทบาทปัจจุบันของจักรพรรดิที่ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี[11] การฟื้นฟูพระราชอำนาจสมัยเมจิใน ค.ศ. 1872 นำไปสู่การลาออกของโชกุน โทกูงาวะ โยชิโนบุ ที่ยินยอม "เป็นเครื่องมือในการสนองพระบรมราชโองการ" ของจักรพรรดิ[12] จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ประเทศญี่ปุ่นปกครองโดยจักรพรรดิ และการประกาศสถาปนาจักรวรรดิญี่ปุ่น ใน ค.ศ. 1889 มีการนำรัฐธรรมนูญเมจิมาใช้เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับประเทศญี่ปุ่นให้อยู่ในระดับเดียวกันกับชาติตะวันตก และทำให้เป็นชาติแรกในเอเชียที่นำระบบรัฐสภามาใช้[13] ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ–สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่ได้รับต้นแบบจากแบบจำลองของชาวปรัสเซียในขณะนั้น โดยมีฝ่ายนิติบัญญัติเป็นอิสระ[14] กลุ่มชนชั้นสูงใหม่ที่เรียก คาโซกุ ก่อตั้งขึ้นเพื่อรวบรวมขุนนางโบราณในยุคเฮอัง, คูเงะ และไดเมียว ขุนนางมูลนายต่อโชกุน[15] นอกจากนี้ยังมีการสถาปนาสภานิติบัญญัติแห่งสมเด็จพระจักรพรรดิ ประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรญี่ปุ่นและสภาขุนนางญี่ปุ่นที่มีสมาชิกเป็นราชวงศ์, คาโซกุ และผู้ที่ได้รับการเสนอนามโดยจักรพรรดิ[16] ขณะที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้รับการเลือกโดยบุรุษที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง[17] แม้ว่าจะมีการแบ่งแยกอำนาจของฝ่ายบริหารและจักรพรรดิในยุครัฐธรรมนูญเมจิออกจากกันอย่างเห็นได้ชัด ความคลุมเครือและข้อพิพาทในรัฐธรรมนูญฯ นำไปสู่วิกฤตการณ์การเมืองในที่สุด[18] นอกจากนี้ยังทำให้สูญเสียความเชื่อต่อแนวคิดการควบคุมทหารโดยพลเรือน ซึ่งหมายถึงทหารนั้นสามารถพัฒนากองทัพของตนเพื่อให้มีอิทธิพลในการเมืองได้[19] หลังจากการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่นฉบับปัจจุบันถือกำเนิดขึ้น ซึ่งเป็นการแทนที่กลไกการปกครองโดยจักรพรรดิให้เป็นประชาธิปไตยเสรีนิยมแบบตะวันตก[20] จวบจนถึง ค.ศ. 2020 สถาบันวิจัยญี่ปุ่น (Japan Research Institute) พบว่ารัฐบาลแห่งชาติส่วนใหญ่ดำเนินกิจการด้วยระบบแอนะล็อก เนื่องจากมีเพียงแค่ 7.5% (4,000 จาก 55,000) ของขั้นตอนทางราชการของรัฐบาลสามารถทำได้ผ่านระบบออนไลน์แบบเบ็ดเสร็จได้ โดยกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมอยู่ที่ 7.8%, กระทรวงกิจการภายในประเทศและการสื่อสารอยู่ที่ 8% และเพียงแค่ 1.3% ที่กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง[21] ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2021 เท็ตสึชิ ซากาโมโตะ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีเพื่อความเหงา มีหน้าที่ช่วยลดความโดดเดี่ยวทางสังคมและความเหงาในกลุ่มอายุและเพศต่าง ๆ[22] จักรพรรดิ[แก้]จักรพรรดิญี่ปุ่น (ญี่ปุ่น: 日本天皇; โรมาจิ: Nihon Tennō) เป็นผู้นำพระบรมวงศานุวงศ์และเป็นประมุขแห่งรัฐเชิงพิธี พระจักรพรรดิได้รับการจำกัดความในรัฐธรรมนูญว่า "เป็นสัญลักษณ์แห่งรัฐและความเป็นหนึ่งเดียวของประชาชน"[7] อย่างไรก็ตาม จักรพรรดิทรงไม่ได้เป็นผู้ถืออำนาจสูงสุดตามตำแหน่งของพระองค์ และยังทรงมีพระราชอำนาจที่จำกัดไว้เพียงการปฏิบัติพระราชกรณียกิจในพิธีสำคัญต่าง ๆ เท่านั้น พระจักรพรรดิไม่ได้มีพระราชอำนาจที่แท้จริงต่อรัฐบาลตามที่ได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนใน มาตรา 4 แห่งรัฐธรรมนูญ[23] มาตรา 6 แห่งรัฐธรรมนูญญี่ปุ่น กำหนดให้จักรพรรดิทรงมีบทบาทเชิงพิธีดังต่อไปนี้:
ขณะที่คณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของอำนาจบริหารและอำนาจส่วนใหญ่นั้นได้รับการนำมาใช้โดยตรงผ่านนายกรัฐมนตรี ขณะที่อำนาจส่วนหนึ่งนำมาใช้โดยจักรพรรดิตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 7 แห่งรัฐธรรมนูญ ได้แก่:
จักรพรรดิเป็นที่รู้จักกันในฐานะผู้ถืออำนาจเชิงพิธี เช่น จักรพรรดิทรงเป็นผู้เดียวที่มีอำนาจแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีแม้สภานิติบัญญัติแห่งชาติจะมีอำนาจในการเสนอชื่อบุคคลที่เหมาะสมกับตำแหน่งก็ตาม หรือการยุบสภาผู้แทนราษฎรโดยคำแนะนำของนายกรัฐมนตรีใน ค.ศ. 2009 นั้นเลื่อนออกไปสำหรับการเลือกตั้งเป็นการทั่วไปครั้งถัดไปเนื่องจากทั้งจักรพรรดิและจักรพรรดินีทรงเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศแคนาดา[24][25] ด้วยเหตุนี้ บทบาทสมัยใหม่ของจักรพรรดิจึงมักได้รับการนำไปเปรียบเทียบกับผู้ปกครองสูงสุดในยุครัฐบาลโชกุน และประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะพบจักรพรรดิที่ถืออำนาจหน้าที่เชิงสัญลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่แต่มีอำนาจทางการเมืองที่น้อย ซึ่งผู้ถืออำนาจดังกล่าวมักเป็นบุคคลผู้ที่จักรพรรดิทรงแต่งตั้งเอง จนถึงทุกวันนี้ มรดกบางส่วนยังสืบทอดต่อมายังอดีตนายกรัฐมนตรีที่แม้จะไม่ดำรงตำแหน่งดังกล่าวแล้วแต่ยังคงไว้ซึ่งอำนาจส่วนหนึ่งนั้นเรียกว่าโชกุนเงา (闇将軍, Yami Shōgun)[26] ซึ่งแตกต่างจากกษัตริย์ในยุโรป จักรพรรดิญี่ปุ่นทรงไม่ได้เป็นแหล่งที่มาของอำนาจอธิปไตยและรัฐบาลไม่ได้บริหารราชการแผ่นดินในพระปรมาภิไธยของพระองค์ แต่จักรพรรดิทรงเป็นตัวแทนของรัฐและทรงแต่งตั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่อื่น ๆ ในนามแห่งรัฐ โดยมีชาวญี่ปุ่นเป็นผู้ครองอำนาจอธิปไตยดังกล่าว[27] มาตรา 5 แห่งรัฐธรรมนูญ และกฎราชวงศ์ได้บัญญัติให้มีผู้สำเร็จราชการแผ่นดินภายใต้พระปรมาภิไธยหากจักรพรรดิทรงไม่สามารถปฏิบัติพระราชกรณียกิจได้[28] ในวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1989 ศาลสูงสุด ได้ตัดสินว่าศาลฯ ไม่มีอำนาจตุลาการเหนือจักรพรรดิ[29] ราชวงศ์ญี่ปุ่นได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในราชวงศ์ที่มีการสืบทอดสันตติวงศ์มาอย่างยาวนานที่สุดในโลก[30] อ้างอิงจากพงศาวดารโคจิกิและนิฮงโชกิ ญี่ปุ่นนั้นก่อตั้งโดยราชวงศ์ญี่ปุ่นเมื่อ 660 ปีก่อนคริสต์ศักราชโดยจักรพรรดิจิมมุ[31] จักรพรรดิจิมมุทรงเป็นจักรพรรดิพระองค์แรกของญี่ปุ่น และเป็นบรรพบุรุษของจักรพรรดิพระองค์ต่อ ๆ มา[32] ตามเทวตำนานของญี่ปุ่น รัชทายาทโดยตรงของพระเจ้าแห่งพระอาทิตย์ในศาสนาชินโตพื้นเมือง อามาเตราซุ (天照大御神, Amaterasu) ผ่านนินิงิ พระอัยกาทวดของจักรพรรดิจิมมุ[33][34] จักรพรรดิองค์ปัจจุบันของญี่ปุ่น (ญี่ปุ่น: 今上天皇; โรมาจิ: Kinjō Tennō) คือสมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 หลังการสละราชสมบัติของพระบิดา[35][36] พระจักรพรรดินารูฮิโตะทรงมีพระบรมราชอิสริยยศว่า สมเด็จพระจักรพรรดิ (天皇陛下, Tennō Heika; His Imperial Majesty) และทรงมีชื่อรัชสมัยของพระองค์ว่า เรวะ (令和, Reiwa) เจ้าชายฟูมิฮิโตะ อากิชิโนะโนะมิยะ ทรงเป็นทายาทโดยสันนิษฐานต่อราชบัลลังก์ดอกเบญจมาศ ฝ่ายบริหาร[แก้]ฝ่ายบริหารของประเทศญี่ปุ่น นำโดยนายกรัฐมนตรีผู้เป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรี และได้รับการเสนอชื่อโดยฝ่ายนิติบัญญัติ กล่าวคือสภานิติบัญญัติแห่งชาติ[5] คณะรัฐมนตรีมีรัฐมนตรีซึ่งจะได้รับการแต่งตั้งหรือสั่งให้พ้นจากตำแหน่งโดยนายกรัฐมนตรีเมื่อใดก็ได้[4] ฝ่ายบริหารเป็นแหล่งที่มาของอำนาจบริหารอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติ นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารโดยมีสภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นผู้รับผิดชอบการใช้อำนาจนั้น หากคณะรัฐมนตรีสูญเสียความไว้วางใจและการให้ความสนับสนุนในการดำรงตำแหน่งต่อไปโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาฯ ก็สามารถถอดถอนคณะรัฐมนตรีทั้งคณะได้ผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจ[37] นายกรัฐมนตรี[แก้]ตราประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น (ญี่ปุ่น: 内閣総理大臣; โรมาจิ: Naikaku Sōri Daijin) ได้รับการเสนอชื่อโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และดำรงตำแหน่งในวาระ 4 ปี หรือน้อยกว่า โดยไม่มีการกำหนดว่านายกรัฐมนตรีสามารถดำรงตำแหน่งได้กี่วาระ นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรีและ "ควบคุมดูแล" ฝ่ายบริหาร อีกทั้งยังเป็นหัวหน้ารัฐบาลและผู้บัญชาการทหารของกองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่น[38] นายกรัฐมนตรีได้รับอำนาจในการเสนอร่างพระราชบัญญัติต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ, ลงนามกฎหมาย, ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และยังสามารถยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ตามอัธยาศัย[39] นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรี และแต่งตั้งหรือถอดถอนรัฐมนตรีออกจากตำแหน่งได้[4] ทั้งสองสภาในสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีโดยการลงบัตรเลือกตั้งภายใต้ระบบสองรอบ หากทั้งสองสภาไม่สามารถตกลงในผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งได้ ให้มีคณะกรรมาธิการร่วมตามที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเพื่อหารือในประเด็นดังกล่าวภายในระยะเวลา 10 วัน โดยไม่นับช่วงเวลาที่รัฐสภาปิดสมัยประชุม[40] อย่างไรก็ตาม หากทั้งสองสภายังคงไม่สามารถหาข้อสรุปได้ ให้ถือว่าการตัดสินใจโดยสภาผู้แทนราษฎรเป็นมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ[40] ในกรณีที่ได้รับการเสนอชื่อ นายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยคณะกรรมาธิการร่วมจะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งโดยจักรพรรดิ[6] เมื่อผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งได้รับการเสนอชื่อโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ผู้สมัครจะต้องรายงานตนต่อสภานิติบัญญัติฯ หากได้รับการร้องขอ[41] นายกรัฐมนตรียังต้องเป็นทั้งพลเรือนและสมาชิกของสภาใดสภาหนึ่งของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ[42]
※ จวบจนถึง 17 ตุลาคม 2021 คณะรัฐมนตรี[แก้]คณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น (ญี่ปุ่น: 内閣; โรมาจิ: Naikaku) ประกอบด้วยรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรี สมาชิกของคณะรัฐมนตรีได้รับการแต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรีและตามกฎหมายคณะรัฐมนตรี จำนวนของสมาชิกคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งไม่รวมนายกรัฐมนตรีจะต้องไม่เกิน 14 คน แต่อาจเพิ่มจนถึง 19 ได้หากมีความต้องการพิเศษ[44][45] มาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ว่าสมาชิกคณะรัฐมนตรีทั้งหมดจะต้องเป็นพลเรือน และจำนวนสมาชิกส่วนใหญ่จะต้องได้รับการรับเลือกจากสมาชิกของสภาใดสภาหนึ่งในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ[46] การบัญญัติที่ชัดเจนสร้างโอกาสให้นายกรัฐมนตรีในการแต่งตั้งข้าราชการสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง[47] คณะรัฐมนตรีจำเป็นที่จะต้องลาออกทั้งคณะในขณะยังคงปฏิบัติหน้าที่จนกว่าการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่หากเกิดสถานการณ์ดังต่อไปนี้ขึ้น:
โดยปรับใช้หลักความชอบธรรมจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติผู้ซึ่งต้องรับผิดชอบหลักการดังกล่าว คณะรัฐมนตรีจะใช้อำนาจทั้งทางปฏิบัติ กล่าวคือใช้อำนาจผ่านนายกรัฐมนตรี อีกทางหนึ่งคือใช้อำนาจผ่านพระปรมาภิไธยของจักรพรรดิ[3] มาตรา 73 ของรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น บัญญัติให้คณะรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ต่อไปนี้นอกเหนือจากการบริหารราชการแผ่นดินดังนี้:
ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ กฎหมายและคำสั่งคณะรัฐมนตรีทั้งสิ้นล้วนจะต้องลงนามโดยรัฐมนตรีที่ไม่ขาดคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีและลงนามกำกับโดยนายกรัฐมนตรี ก่อนที่จะได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการโดยจักรพรรดิ อีกทั้งยังไม่สามารถฟ้องร้องดำเนินคดีสมาชิกคณะรัฐมนตรีทุกคนได้ยกเว้นแต่ได้รับอนุญาตจากนายกรัฐมนตรีโดยไม่ลดทอนสิทธิของผู้ฟ้องร้องดำเนินคดี[48] คณะรัฐมนตรีคิชิดะที่สอง
※ จวบจนถึงวันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 2021[49] กระทรวง[แก้]อาคารสำนักงานกิจการวัฒนธรรมญี่ปุ่น การเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น กระทรวงในประเทศญี่ปุ่น (ญี่ปุ่น: 行政機関; โรมาจิ: Gyōseikikan) ประกอบด้วย 11 กระทรวงและสำนักคณะรัฐมนตรี แต่ละกระทรวงมีรัฐมนตรีซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมาชิกอาวุโสของสภานิติบัญญัติและได้รับการแต่งตั้งจากสมาชิกของคณะรัฐมนตรีให้เป็นผู้นำกระทรวง สำนักคณะรัฐมนตรีนำโดยนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลกิจการภายในคณะรัฐมนตรีวันต่อวัน กระทรวงเป็นส่วนราชการที่มีอิทธิพลต่อการใช้อำนาจบริหารมากที่สุดอย่างเป็นประจำทุกวัน ขณะที่รัฐมนตรีบางคนอาจดำรงตำแหน่งมากกว่า 1 ปี เพื่อปฏิบัติราชการในกระทรวงหรือทบวงนั้นหากมีความจำเป็น ดังนั้นอำนาจส่วนใหญ่ตกเป็นของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่[50]
※ จวบจนถึง 14 ตุลาคม ค.ศ. 2018[51][52] คณะกรรมการตรวจสอบบัญชีแผ่นดิน (ญี่ปุ่น: 会計検査院; โรมาจิ: Kaikei Kensa'in) เป็นองค์กรเดียวของรัฐบาลที่คณะกรรมการนั้นแยกออกเป็นอิสระโดยสิ้นเชิงจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี คณะกรรมการตรวจสอบบัญชีแผ่นดินมีหน้าที่ตรวจสอบการใช้จ่ายของรัฐบาลและรายงานต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตามมาตรา 90 ของรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น และพระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจสอบแผ่นดิน ค.ศ. 1947 นั้นมอบความเป็นอิสระอย่างยิ่งยวดจากทั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี[53] ฝ่ายนิติบัญญัติ[แก้]
องค์กรฝ่ายนิติบัญญัติในประเทศญี่ปุ่นคือ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ญี่ปุ่น: 国会; โรมาจิ: Kokkai) ที่ใช้ระบบสองสภาโดยประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรเป็นสภาล่าง และราชมนตรีสภาเป็นสภาสูง ฝ่ายนิติบัญญัติได้รับอำนาจจากรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นให้เป็น "องค์กรสูงสุดแห่งอำนาจรัฐ" และเป็น "องค์กรเพื่อการออกกฎหมายเพียงองค์กรเดียวของรัฐ" ทั้งสองสภาได้รับเลือกโดยตรงภายใต้ระบบการลงคะแนนระบบคู่ขนาน อีกทั้งยังได้รับการประกันไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติในคุณสมบัติของสมาชิกสภา ไม่ว่าจะเป็น "เชื้อชาติ, ความเชื่อ, เพศ, สถานะทางสังคม, ต้นกำเนิดของครอบครัว, การศึกษา, ทรัพย์สิน หรือรายได้" โดยรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุนี้สภานิติบัญญัติแห่งชาติจึงสะท้อนอำนาจอธิปไตยซึ่งเป็นของประชาชน (หลักอธิปไตยของปวงชน) ที่ว่าในกรณีนี้ อำนาจสูงสุดตกเป็นของชาวญี่ปุ่น[7][54] หน้าที่ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้แก่ การออกกฎหมาย, การพิจารณาอนุมัติงบประมาณแผ่นดินประจำปี, การอนุมัติข้อตกลงของสนธิสัญญา และการคัดเลือกนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติยังมีอำนาจในการริเริ่มร่างพระราชบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งถ้าหากได้รับความเห็นชอบก็จะได้รับการนำเสนอต่อประชาชนในการให้สัตยาบันผ่านการออกเสียงประชามติ ก่อนที่จะได้รับการประกาศโดยจักรพรรดิภายใต้นามของชาวญี่ปุ่น[55] รัฐธรรมนูญยังอนุญาตให้ทั้งสองสภาดำเนินการสืบสวนในกิจการของรัฐบาล, การเรียกเพื่อให้แสดงตน, เบิกพยานบุคคล และพยานหลักฐาน รวมถึงยังอนุญาตให้ทั้งสองสภาเรียกนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีคนอื่น ๆ เพื่อตอบกระทู้ถามหรือให้คำอธิบายเพิ่มเติมเมื่อต้องการ[41] สภานิติบัญญัติแห่งชาติยังสามารถฟ้องร้องผู้พิพากษาศาลที่ได้รับการตัดสินว่ากระทำความผิดทางอาญาหรือประพฤติตนไม่ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดวิธีการลงคะแนน จำนวนสมาชิกของแต่ละสภา และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรับเลือกของสมาชิกผู้มีสิทธิพิจารณาการฟ้องร้องแต่ละคนอย่างชัดเจน ดังนั้นจึงให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ[56] ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ผู้ใหญ่ทุกคนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งได้ผ่านการลงคะแนนเลือกตั้งลับ และผู้ที่ได้รับการเลือกจะได้รับความคุ้มครองบางประการจากการจับกุมตัวขณะกำลังมีการประชุมสภา[57] สุนทรพจน์, การอภิปราย และการลงมติในสภายังได้รับความคุ้มครองจากเอกสิทธิ์ของสมาชิกรัฐสภา แต่ละสภามีหน้าที่ในการควบคุมให้สมาชิกของตนอยู่ในวินัย และการพิจารณาไตร่ตรองทั้งสิ้นล้วนเป็นสาธารณะ เว้นแต่สองในสามหรือมากกว่าของสมาชิกแต่ละสภายื่นญัตติเป็นอย่างอื่น อีกทั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติจำเป็นที่จะต้องมีอย่างน้อยหนึ่งในสามของสมาชิกแต่ละสภาเพื่อให้ครบองค์ประชุม[58] ข้อสรุปทุกข้อล้วนตัดสินใจมาจากสมาชิกส่วนใหญ่ที่ปรากฏตัวอยู่ในสภา เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นโดยรัฐธรรมนูญ และในกรณีที่คะแนนเสียงเท่ากัน ประธานมีสิทธิตัดสินข้อพิพาทดังกล่าว การถอดถอนสมาชิกสภาจะไม่สามารถกระทำได้ เว้นแต่เสียงส่วนใหญ่สองในสามหรือมากกว่าของสมาชิกที่ปรากฏอยู่ในสภาผ่านญัตติให้ถอดถอน[59] ภายใต้รัฐธรรมนูญ ต้องมีการเรียกประชุมสภาอย่างน้อย 1 ครั้งต่อปี คณะรัฐมนตรียังสามารถเรียกประชุมสภาวาระพิเศษเมื่อใดก็ได้ แต่จำเป็นที่จะต้องได้รับความเห็นชอบของสมาชิกทั้งหมดหนึ่งในสี่หรือมากกว่า[60] ในระหว่างการเลือกตั้ง มีการยุบลงของสภาผู้แทนราษฎรแต่เพียงสภาเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ราชมนตรีสภาจะไม่ยุบแต่จะปิดลงและสามารถเรียกประชุมวาระฉุกเฉินได้ในกรณีเกิดภาวะเร่งด่วนระดับชาติ[61] จักรพรรดิสามารถเรียกประชุมสภาและยุบสภาผู้แทนราษฎรได้โดยคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี ในการที่ร่างกฎหมายจะประกาศให้เป็นกฎหมาย จะต้องได้รับการอนุมัติจากทั้งสองสภาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ, ลงนามโดยรัฐมนตรี และลงนามกำกับโดยนายกรัฐมนตรี จากนั้นจึงประกาศอย่างเป็นทางการโดยจักรพรรดิ อย่างไรก็ตามไม่มีข้อกฎหมายกำหนดอำนาจของจักรพรรดิในการคัดค้านร่างกฎหมาย สภาผู้แทนราษฎร[แก้]สภาผู้แทนราษฎรญี่ปุ่น (ญี่ปุ่น: 衆議院; โรมาจิ: Shūgi'in) เป็นสภาล่างที่มีสมาชิกสภาได้รับเลือกทุก 4 ปี หรือเมื่อมีการยุบสภาจะดำรงตำแหน่งวาระ 4 ปี[62] จวบจนถึงวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 2017 สภาผู้แทนราษฎรมีสมาชิก 465 คน ในบรรดาเหล่านั้น สมาชิก 176 คนได้รับเลือกจาก 11 ผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งหลายคนโดยระบบสัดส่วนแบบบัญชีรายชื่อ และสมาชิกอีก 289 คนได้รับเลือกจากผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งหนึ่งเขตเลือกตั้งหนึ่งคน ต้องการ 233 ที่นั่งเพื่อเป็นเสียงข้างมาก สภาผู้แทนราษฎรเป็นสภาที่มีอำนาจมากที่สุดจากทั้งสอง สภาผู้แทนราษฎรสามารถใช้อำนาจยับยั้งต่อร่างพระราชบัญญัติต่าง ๆ ที่เสนอโดยราชมนตรีสภาได้เมื่อสภาได้รับเสียงข้างมากสองในสาม อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีสามารถสั่งให้ยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ทุกเมื่อตามอัธยาศัย[39] สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องเป็นชาวญี่ปุ่น บุคคลผู้ซึ่งอายุมากกว่า 18 ปีมีสิทธิที่จะลงคะแนนเสียงได้ ขณะที่ผู้ที่มีอายุมากกว่า 25 ปีสามารถลงรับสมัครเลือกตั้งสภาล่างนี้ได้[57] อำนาจนิติบัญญัติของสภาผู้แทนราษฎรนั้นถือได้ว่ามีอำนาจเหนือกว่าราชมนตรีสภา เพราะแม้ว่าราชมนตรีสภาสามารถใช้อำนาจยับยั้งมติที่ได้รับการตัดสินใจส่วนใหญ่ของสภาผู้แทนราษฎรได้ก็ตาม แต่อย่างไรก็ตามเป็นเพียงมาตรการชั่วคราวในการชะลอข้อตัดสินใจต่าง ๆ ได้แก่ การตราสนธิสัญญา การจัดสรรงบประมาณ และการคัดเลือกนายกรัฐมนตรี เป็นต้น ในทางกลับกัน นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีสามารถยุบสภาผู้แทนราษฎรเมื่อใดก็ได้หากต้องการ[39] การพิจารณาว่าการยุบสภาผู้แทนราษฎรนั้นเป็นทางการแล้วได้ต่อเมื่อมีการเตรียมสารตราประกาศการยุบสภา และสภาจะยุบลงตามธรรมเนียมปฏิบัติโดยพระราชพิธียุบสภา[63] ที่มีลำดับพิธีการดังนี้:[64]
นอกจากนี้ยังมีขนบธรรมเนียมที่หลังการยุบสภาผู้แทนราษฎรนั้นสำเร็จแล้ว สมาชิกสภาจะเปล่งเสียงบันไซสามครั้ง (萬歲)[63][65] ราชมนตรีสภา[แก้]ราชมนตรีสภา (ญี่ปุ่น: 参議院; โรมาจิ: Sangi'in) เป็นสภาสูงที่มีกึ่งหนึ่งของสมาชิกสภาได้รับการเลือกทุก 3 ปี เพื่อดำรงตำแหน่งวาระ 6 ปี จวนจนถึงวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 2017 ราชมนตรีสภามีสมาชิก 242 คน โดยสมาชิก 73 คนของสมาชิกสภาทั้งหมดได้รับเลือกจาก 47 เขตจังหวัดผ่านระบบการลงคะแนนแบบเสียงเดียวโอนไม่ได้ และสมาชิกอีก 48 คนได้รับเลือกผ่านการเลือกตั้งระบบสัดส่วนแบบบัญชีรายชื่อเปิด นายกรัฐมนตรีไม่สามารถสั่งให้ยุบราชมนตรีสภาได้[61] สมาชิกสภาราชมนตรีสภาต้องเป็นชาวญี่ปุ่น บุคคลผู้ซึ่งอายุมากกว่า 18 ปีมีสิทธิที่จะลงคะแนนเสียงได้ ขณะที่ผู้ที่มีอายุมากกว่า 30 ปีสามารถลงรับสมัครเลือกตั้งสภาสูงนี้ได้[57] ราชมนตรีสภาสามารถใช้อำนาจในการยับยั้งข้อตัดสินใจของสภาผู้แทนราษฎร อีกทั้งยังร้องขอให้สภาผู้แทนราษฎรทบทวนข้อตัดสินใจดังกล่าวได้ อย่างไรก็ตามสภาผู้แทนราษฎรสามารถยืนกรานตามข้อตัดสินใจเดิมโดยใช้อำนาจยับยั้งซ้อนทับอีกครั้งหากสมาชิกที่แสดงตนในสภาสองในสามเห็นด้วย ในแต่ละปีและเมื่อมีความจำเป็น ราชมนตรีสภาเรียกประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติภายใต้คำแนะนำของคณะรัฐมนตรีเพื่อให้จัดการประชุมวาระสามัญหรือวิสามัญโดยจักรพรรดิได้ อย่างไรก็ตามก่อนที่จักรพรรดิจะเรียกประชุมสภาพร้อมพระราชทานพระราชดำรัสต่อสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎรจะเป็นผู้กล่าวสุนทรพจน์อย่างสั้นคนแรกก่อน[66] ฝ่ายตุลาการ[แก้]ฝ่ายตุลาการของประเทศญี่ปุ่น แบ่งออกเป็น 4 ลำดับขั้น ประกอบด้วยศาลสูงสุด และศาลล่างอื่น ๆ อีก 4 ศาล ได้แก่ ศาลสูง ศาลจังหวัด ศาลครอบครัว และศาลแขวง[67][68] ความเป็นอิสระของศาลจากอำนาจบริหารและนิติบัญญัติได้รับการประกันโดยรัฐธรรมนูญซึ่งบัญญัติไว้ว่า: "มิควรมีการสถาปนาศาลชำนัญพิเศษ (extraordinary tribunal) และมิควรให้องค์กรหรือหน่วยงานอื่นของอำนาจบริหารได้รับอำนาจทางตุลาการโดยสัมบูรณ์" อันเป็นส่วนหนึ่งของหลักที่รู้จักกันว่าการแยกใช้อำนาจ[8] มาตรา 76 แห่งรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ว่าผู้พิพากษาศาลนั้นเป็นอิสระทางการใช้อำนาจด้วยสติสัมปชัญญะของผู้พิพากษาศาลและภายใต้ขอบเขตแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมาย[69] โดยสามารถถอดถอนผู้พิพากษาศาลได้ผ่านการฟ้องให้ขับออกจากตำแหน่งสาธารณะ หรือหากไม่มีการฟ้องร้องดังกล่าว สามารถถอดถอนผู้พิพากษาศาลได้ต่อเมื่อศาลสั่งให้ผู้พิพากษาศาลเป็นบุคคลไร้ความสามารถทั้งด้านจิตใจและร่างกายในการปฏิบัติหน้าที่ของตน[70] รัฐธรรมนูญยังอีกทั้งปฏิเสธอำนาจสำหรับองค์กรบริหารหรือหน่วยงานใด ๆ ในการพิจารณาโทษทางวินัยต่อผู้พิพากษา[70] อย่างไรก็ตามอาจถอดถอนผู้พิพากษาศาลสูงสุดได้หากเสียงส่วนมากในการลงประชามติเห็นชอบภายใต้กรณีที่การลงประชามติจะต้องเกิดขึ้นระหว่างการเลือกตั้งเป็นการทั่วไปครั้งแรกของสภาผู้แทนราษฎรในสภานิติบัญญัติแห่งชาติหลังจากการแต่งตั้งผู้พิพากษาศาล และหลังจากการเลือกตั้งเป็นการทั่วไปครั้งแรกในระยะเวลา 10 ปี[71] การพิจารณาคดีจะต้องกระทำและประกาศคำตัดสินอย่างเป็นสาธารณะ เว้นแต่ศาล "เห็นควรอย่างเป็นเอกฉันท์ว่าความเป็นสาธารณะนั้นอาจสร้างความอันตรายต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน" แต่การพิจารณาคดีความผิดเกี่ยวกับการเมือง ความผิดเกี่ยวกับสื่อมวลชน และคดีที่สิทธิของบุคคลได้รับการประกันโดยรัฐธรรมนูญซึ่งไม่สามารถถือว่าจะพิจารณาคดีได้อย่างลับ[72] ผู้พิพากษาศาลได้รับการแต่งตั้งโดยคณะรัฐธรรมนูญผ่านการรับรองโดยจักรพรรดิ ขณะที่ประธานศาลสูงสุดได้รับการแต่งตั้งโดยจักรพรรดิด้วยพระองค์เองภายใต้คำแนะนำและการเสนอชื่อของคณะรัฐมนตรี ซึ่งในทางปฏิบัติมักจะได้รับคำแนะนำจากอดีตประธานศาลสูงสุด[73] ระบบกฎหมายในประเทศญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลทางประวัติศาสตร์จากกฎหมายจีนที่พัฒนาอย่างเป็นอิสระในยุคเอโดะผ่านบทบัญญัติต่าง ๆ อย่างประชุมราชนีติ (公事方御定書, Kujikata Osadamegaki)[74] แต่อย่างไรก็ตาม หลังการฟื้นฟูพระราชอำนาจสมัยเมจิระบบกฎหมายได้รับการเปลี่ยนแปลง และส่วนใหญ่ได้รับต้นแบบจากระบบกฎหมายซีวิลลอว์ของยุโรปในตอนนี้ นอกจากนี้การบังคับใช้จนถึงปัจจุบันของประมวลกฎหมายแพ่งได้รับการอิงจากต้นแบบของเยอรมัน[75] การนำระบบลูกขุนผสมมาใช้พึ่งเริ่มต้นขึ้นได้ไม่นาน และอีกทั้งระบบกฎหมายยังยอมรับบัญญัติสิทธิมาตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 1947[76] นอกจากนี้หกประมวลยังเป็นองค์ประกอบหลักของกฎหมายซีวิลลอว์ญี่ปุ่น[75] กฎหมายลายลักษณ์อักษรทั้งสิ้นในประเทศญี่ปุ่นจะต้องได้รับการประทับตรายางโดยจักรพรรดิด้วยพระราชลัญจกรแห่งจักรพรรดิ (天皇御璽, Tennō Gyoji) และไม่มีกฎหมายใดจะนำไปบังคับใช้โดยปราศจากการลงนามโดยคณะรัฐมนตรี การลงนามกำกับโดยนายกรัฐมนตรี และการประกาศใช้เป็นกฎหมายโดยจักรพรรดิ[77][78][79][80][81] ศาลสูงสุด[แก้]ศาลสูงสุด หรือ ศาลฎีกา (ญี่ปุ่น: 最高裁判所; โรมาจิ: Saikō Saibansho) เป็นศาลลำดับขั้นสุดท้ายและมีอำนาจพิจารณาทบทวนโดยศาลตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่า "ศาลลำดับขั้นสุดท้ายมีอำนาจในการกำหนดความเป็นรัฐธรรมนูญของกฎหมาย คำสั่ง ข้อบังคับ หรือพระราชบัญญัติใด ๆ"[82] ศาลสูงสุดยังอีกทีมีหน้าที่ในการเสนอชื่อผู้พิพากษาศาลล่างและกำหนดกระบวนการทางตุลาการ ควบคุมดูแลระบบตุลาการ การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานอัยการ และรักษาไว้ซึ่งระเบียบวินัยของผู้พิพากษาศาลและบุคคลากรทางตุลาการอื่น ๆ[83] ศาลสูง[แก้]ศาลสูง (ญี่ปุ่น: 高等裁判所; โรมาจิ: Kōtō Saibansho) มีอำนาจในการรับฟังคำอุทธรณ์ต่อคำชี้ขาดของศาลจังหวัดและศาลครอบครัว ยกเว้นคดีที่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของศาลสูงสุด การอุทธรณ์คดีอาญานั้นจะอยู่ภายใต้การดูแลของศาลสูงโดยตรง แต่คดีแพ่งจะมีศาลจังหวัดเป็นศาลแรกที่รับดูแลคดีก่อน ในประเทศญี่ปุ่นมีศาลสูงอยู่ 8 ศาล: ศาลสูงโตเกียว, โอซากะ, นาโงยะ, ฮิโรชิมะ, ฟูกูโอกะ, เซ็นได, ซัปโปโร และทากามัตสึ[83] ระบบราชทัณฑ์[แก้]ระบบราชทัณฑ์ (ญี่ปุ่น: 矯正施設; โรมาจิ: Kyōsei Shisetsu) อยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงยุติธรรม เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรม มีจุดประสงค์เพื่อขัดเกลาทางสังคม, เปลี่ยนแปลง และฟื้นฟูผู้กระทำความผิด กรมราชทัณฑ์ของกระทรวงฯ ดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับระบบเรือนจำผู้ใหญ่, ระบบราชทัณฑ์เยาวชน และสถานพัฒนาสตรี 3 แหล่ง[84] ขณะที่กรมฟื้นฟูผู้ต้องขังดำเนินงานเกี่ยวกับระบบการคุมประพฤติและระบบการปล่อยตัวชั่วคราว[85] การปกครองส่วนท้องถิ่น[แก้]เขตการปกครองในประเทศญี่ปุ่น ตามความในมาตรา 92 แห่งรัฐธรรมนูญ การปกครองส่วนท้องถิ่น (ญี่ปุ่น: 地方公共団体) มีองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นซึ่งมีกฎหมายกำหนดโครงสร้างและหน้าที่ให้สอดคล้องกับหลักแห่งการปกครองตนเองส่วนท้องถิ่น[86][87] กฎหมายแม่ที่บัญญัตินั้นคือกฎหมายปกครองตนเองท้องถิ่น[88][89] องค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นได้รับอำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติที่จำกัดโดยรัฐธรรมนูญ ผู้ว่าราชการจังหวัด นายกเทศมนตรี และสมาชิกของสภาต่าง ๆ ต้องได้รับการเลือกโดยประชาชนอย่างเป็นประชาธิปไตย กระทรวงกิจการภายในประเทศและการสื่อสารแทรกแซงองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นอย่างเห็นได้ชัด เช่นเดียวกันกระทรวงอื่น ๆ การแทรกแซงส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องทางการเงิน เนื่องจากภาระหน้าที่ขององค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นส่วนมากต้องการเงินทุนโดยกระทรวงของรัฐบาลกลาง ความสัมพันธ์เช่นนี้ได้รับการเรียกว่า "การปกครองตนเองแบบ 30%"[90] ผลที่ได้จากอำนาจนี้คือการวางมาตรฐานนโยบายและโครงสร้างในระดับสูงของเขตปกครองตนเองท้องถิ่นที่แตกต่างกันซึ่งสามารถคงไว้ซึ่งความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละจังหวัด, นคร หรือเมืองได้ นอกจากนี้เขตการปกครองแบบชุมชนนิยม (collectivist jurisdiction) อย่างโตเกียวและเกียวโตได้ทดลองบังคับใช้นโยบายในด้านสวัสดิการสังคมซึ่งต่อมาได้รับการยินยอมโดยรัฐบาลแห่งชาติ[90] องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น[แก้]ประเทศญี่ปุ่นแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 47 จังหวัด ได้แก่ 1 มหานคร (โตเกียว), 2 จังหวัดนคร (จังหวัดเกียวโต และจังหวัดโอซากะ), 43 จังหวัด และ 1 มลฑล (ฮกไกโด) แต่ละจังหวัดจะแบ่งออกเป็นอำเภอ บางจังหวัดอาจแบ่งออกเป็นกิ่งจังหวัดก่อนแล้วจึงแบ่งย่อยเป็นอำเภอ เขตการปกครองส่วนท้องถิ่นระดับล่างของประเทศญี่ปุ่นเรียกว่า เทศบาล มี 3 ประเภท ได้แก่ นคร เมือง และหมู่บ้าน นครเป็นหน่วยการปกครองตนเองที่เป็นอิสระจากอำเภอ เพื่อที่จะได้สถานะนครมาครอง เขตการปกครองนั้นจะต้องมีผู้พำนักอาศัยอย่างน้อย 50,000 คน โดย 60% จากทั้งหมดจะต้องมีอาชีพแบบชาวเมือง (urban occupation) มีการแบ่งเป็นเขตของนครที่มีขนาดใหญ่ และแบ่งย่อยต่อไปเป็นแขวง หรือบางครั้งเรียกว่าเมือง ชุมชน หรือย่าน นอกจากนี้ยังมีเมืองที่ปกครองตนเองที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับนคร ซึ่งแตกต่างจากเมืองหรือแขวงที่อยู่ภายใต้เขตของนครขนาดใหญ่ การบริหารของเมืองจะมีลักษณะเช่นเดียวกับนคร คือจะมีนายกเทศมนตรีเมืองและสภาเมืองที่ได้รับการเลือกผ่านการเลือกตั้ง ส่วนหมู่บ้านเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เล็กที่สุดในเขตชนบท ซึ่งมักจะประกอบด้วยหมู่บ้านขนาดเล็กหลาย ๆ แห่งที่มีประชากรรวมราวพันคน โดยหมู่บ้านขนาดเล็กเหล่านี้จะเชื่อมโยงซึ่งกันและกันผ่านขอบค่ายการบริหารงานหมู่บ้านที่ได้มีการกำหนดไว้อย่างเป็นทางการ หมู่บ้านจะมีนายกเทศมนตรีหมู่บ้านและสภาหมู่บ้านที่ได้รับเลือกโดยประชาชนเพื่อดำรงตำแหน่งวาระ 4 ปี[91][92] โครงสร้าง[แก้]ในแต่ละเขตการปกครองจะมีผู้บริหารสูงสุดที่เรียกว่าผู้ว่าราชการจังหวัด (知事, Chiji) ในระดับจังหวัด และนายกเทศมนตรี (市町村長, Shichōsonchō) ในระดับเทศบาล เขตการปกครองส่วนใหญ่จะมีสภาท้องถิ่น (議会, Gikai) แบบระบบสภาเดี่ยว อย่างไรก็ตามเมืองและหมู่บ้านสามารถเลือกให้มีการปกครองตนเองโดยตรงจากประชาชนเพื่อจัดตั้งสมัชชาสามัญ (総会, Sōkai) ได้ ทั้งฝ่ายบริหารและสภาต่าง ๆ ได้รับเลือกโดย คะแนนเสียงของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทุก ๆ 4 ปี[93][94][95] การปกครองท้องถิ่นนั้นเป็นไปตามแบบจำลองดัดแปลงของการแยกใช้อำนาจที่ใช้ในรัฐบาลแห่งชาติ สมัชชาสามารถมีมติเห็นชอบการอภิปรายไม่ไว้วางใจต่อฝ่ายบริหารได้ ในกรณีนั้น ฝ่ายบริหารจะต้องยุบสภาท้องถิ่นภายใน 10 วัน หากไม่ทำเช่นนั้นจะไม่สูญเสียตำแหน่งของตนไปโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตามหลังจากการเลือกตั้งเป็นการทั่วไปครั้งถัดไป ฝ่ายบริหารจะยังคงอยู่ในตำแหน่งเว้นแต่สภาองค์ใหม่จะมีมติเห็นชอบญัตติไม่ไว้วางใจอีกครั้ง[88] ขั้นตอนในชั้นปฐมภูมิของการตรากฎหมายนั้นคือข้อบัญญัติท้องถิ่น (条例, Jōrei) และ ข้อบังคับท้องถิ่น (規則, Kisoku) ข้อบัญญัติที่มีความคล้ายคลึงกับพระราชบัญญัติในระบบแห่งชาตินั้นจะผ่านโดยสมัชชาสามัญและอาจกำหนดโทษทางอาญาแบบจำกัดสำหรับบุคคลที่ละเมิดข้อบัญญัติดังกล่าว (จำคุกสูงสุด 2 ปี หรือปรับ 1 ล้านเยน หรือทั้งจำและปรับ) ขณะที่ข้อบังคับซึ่งคล้ายคลึงกับคำสั่งคณะรัฐมนตรีในระบบแห่งชาตินั้นจะผ่านโดยฝ่ายบริหารเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้นและจะแทรกแทนข้อบัญญัติใด ๆ ที่ขัดแย้งกับข้อบังคับดังกล่าว ทั้งนี้ฝ่ายบริหารสามารถกำหนดโทษได้เพียงโทษปรับสูงสุด 50,000 เยน[91] การปกครองท้องถิ่นยังอีกทั้งมีคณะกรรมการที่หลากหลาย เช่น คณะกรรมการบริหารโรงเรียน, คณะกรรมการความปลอดภัยสาธารณะ (มีหน้าที่ในการกำกับดูแลตำรวจ) คณะกรรมการบริหารงานบุคคล, คณะกรรมการการเลือกตั้ง และคณะกรรมการตรวจสอบบัญชี[96] คณะกรรมการเหล่านี้อาจได้รับการเลือกผ่านการเลือกตั้งหรือเลือกโดยสภาหรือฝ่ายบริหารหรือทั้งสอง[90] จังหวัดทุกจังหวัดจำเป็นที่จะต้องมีส่วนราชการฝ่ายทั่วไป, ฝ่ายการเงิน, ฝ่ายสวัสดิการ, ฝ่ายสาธารณสุข และฝ่ายแรงงาน ขณะที่ฝ่ายเกษตรกรรม, ฝ่ายการประมง, ฝ่ายป่าไม้, ฝ่ายการค้า และฝ่ายอุตสาหกรรมเป็นทางเลือกโดยขึ้นอยู่กับความต้องการในพื้นที่นั้น ๆ ผู้ว่าราชการจังหวัดมีหน้าที่กำกับดูแลในทุกกิจกรรมซึ่งได้รับการสนับสนุนจากภาษีบำรุงท้องที่หรือรัฐบาลแห่งชาติ[90][94] อ้างอิง[แก้]
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
|