เช่นสัตว์ปีก และสุกร อาจช่วยลดความร้อนให้สัตว์อย่างง่ายๆ โดยการพ่นละอองน้ำไปที่ผิวหนังสัตว์ เมื่อน้ำระเหยไป สัตว์จะรู้สึกเย็นสบาย เป็นการสร้างเหงื่อเทียมให้สัตว์ สิ่งที่สำคัญ ต้องมีกระแสลมช่วยพัดให้น้ำระเหยไปด้วย มิฉะนั้น จะทำให้สัตว์รู้สึกเครียดมากขึ้น เพราะความชื้นที่สูงขึ้น จะซ้ำเติม ทำให้การระบายความร้อนออกจากร่างกายได้ยากขึ้น การกิน การย่อย และการดูดซึมอาหาร เป็นอีกกระบวนการหนึ่ง ที่ก่อให้เกิดความร้อนขึ้นในร่างกายสัตว์ (Heat Increment) เมื่อสภาวะอากาศร้อนมากขึ้น สัตว์จะลดการกินอาหารลดลง เพื่อลดปัญหาดังกล่าว แต่ จะทำให้เกิดปัญหาอื่นตามมา คือ การเจริญเติบโต หรือการให้ผลผลิต ลดลง การประเมินความเหมาะสมของสภาพแวดล้อม สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม หมายถึงสภาพของอุณหภูมิ และความชื้น ของอากาศ ที่ช่วยให้สัตว์สามารถระบายความร้อนออกจากร่างกายได้อย่างเป็นปกติดี เมื่อสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม จะก่อให้เกิดปัญหา “ความเครียดจากความร้อน” (Heat Stress) ซึ่งสามารถประเมินค่า ดรรชนีความเครียด ได้ดังนี้ ดรรชนีความเครียด (Heat Stress Index) \= อุณหภูมิ (เป็น °F) + ความชื้น (เป็น %RH) ถ้าผลรวมที่ได้ เท่ากับ หรือมากกว่า 160 แสดงว่าสภาพอากาศในขณะนั้น เริ่มทำให้สัตว์เกิดความเครียด หลักการระเหยน้ำช่วยให้อุณหภูมิลดลง การระเหยของน้ำทำให้เกิดความเย็น เป็นที่รู้จัก และได้มีการนำมาใช้ประโยชน์นานแล้ว โดยอาศัยหลักการเปลี่ยนสถานะของน้ำ จากสถานะที่เป็นของเหลวให้เป็นสถานะที่เป็นก๊าซ หรือน้ำระเหยไปเป็นไอน้ำ จะดูดซับความร้อนแฝงของอากาศไป ทำให้อุณหภูมิของอากาศลดลง กล่าวคือ ทุก 1 กรัมของน้ำที่ระเหยไป จะดูดซับพลังงานความร้อนแฝง 540 แคลอรี แต่อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของการระเหยน้ำ จะขึ้นอยู่กับ อุณหภูมิ และความชื้น ของสภาวะอากาศตามธรรมชาติ ในขณะนั้นด้วย ทั้งนี้เป็นเพราะ น้ำจะสามารถระเหยได้ดี เมื่ออากาศมี อุณหภูมิไม่น้อยกว่า 85 °F หรือ 29.4 °C และ/หรือ มีความชื้นสัมพัทธ์ไม่เกิน 75 %RH หลักการลมช่วยให้อุณหภูมิลดลง ลม จะช่วยพาความร้อน และความชื้นที่สะสมอยู่ในบริเวณนั้น และใกล้เคียงออกไป เป็นการช่วยถ่ายเทความร้อนตามหลักฟิสิกส์ อุณหภูมิของอากาศจะลดลงตามความเร็วลมที่เพิ่มขึ้น เรียกว่า ปฏิกิริยาความเย็นจากลม (Effective Temperature) ปฏิกิริยาอุโมงค์ลม (Tunnel Effect) เป็นปฏิกิริยาการเคลื่อนที่ของลมไหลผ่านอุโมงค์ที่มีช่องเปิดด้านหัว-ท้าย มีขนาดเท่ากันโดยตลอด ไม่มีสิ่งกีดขวาง และแรงเสียดทาน ลมจะเคลื่อนผ่านอุโมงค์ อย่างสม่ำเสมอ และมีความเร็วเท่ากัน ตลอดทุกช่วงความยาวของอุโมงค์ ความกดดันบรรยากาศ ความกดดันบรรยากาศ หมายถึง ความกดดันของอากาศ ที่กดลงบนพื้นโลก ณ ระดับน้ำทะเล มีค่าเท่ากับ 1 บรรยากาศ หรือ 101.325 KPa ค่าความกดดันอากาศ เป็นบวก (Positive Pressure) หรือเป็นลบ (Negative Pressure) หมายถึง ค่าความกดดันอากาศที่แตกต่างกัน (Different Pressure) ระหว่าง ค่าความกดดันบรรยากาศภายนอกโรงเรือน กับค่าความกดดันอากาศภายในโรงเรือน มีค่าเป็น บวก หมายถึง ปริมาณอากาศที่ถูกดูดออกไป มีน้อยกว่า ปริมาณอากาศที่ไหลเข้ามาในโรงเรือน และมีค่าเป็น ลบ หมายถึง ปริมาณอากาศที่ถูกดูดออกไป มีมากกว่าปริมาณอากาศที่ไหลเข้ามาในโรงเรือน ในกรณีที่มีการบังคับลม ทำให้ลมมีความเร็ว หรือปริมาณลมที่ไหลผ่านพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง แตกต่างกัน จะทำให้ค่าความกดดันอากาศ ในโรงเรือนส่วนนั้นแตกต่างกันด้วย ความกดดันอากาศภายในโรงเรือนที่เพิ่มขึ้น ย่อมส่งผลทำให้ประสิทธิภาพของพัดลม ลดลงด้วย โดยเฉพาะ ความกดดันอากาศที่สูงกว่า 0.15 นิ้วของน้ำ หรือ 37.5 Pa จะทำให้ประสิทธิภาพของพัดลม ลดลงอย่างมากจนอาจต่ำกว่าค่าที่ยอมรับได้ ดังนั้น จึงควรพิจารณาอย่างรอบคอบในการบังคับลม เพื่อให้พัดลมยังคงมีประสิทธิภาพในการใช้งานที่ดี และยอมรับได้ ระบบ Evap. สำหรับโรงเรือนเลี้ยงสัตว์ เป็นการนำเอาหลักการ ระเหยของน้ำ การใช้ประโยชน์จากลม และลักษณะการไหลของลมผ่านอุโมงค์ มาใช้ร่วมกัน โรงเรือนระบบ Evap. เป็นวิธีการระบายอากาศในโรงเรือนที่มีลักษณะยาวตรง และปิดมิดชิด โดยที่ปลายด้านหนึ่ง ติดตั้งพัดลมดูดอากาศ และที่ปลายอีกด้านหนึ่งติดตั้ง “แผ่นระเหยน้ำ” (Cooling Pad) เมื่อพัดลมทำงาน อากาศในโรงเรือนจะถูกดูดออกไป ทำให้ภายในโรงเรือน เกิดความกดดันอากาศเป็นลบ (Negative Pressure) อากาศภายนอกโรงเรือน จะถูกความกดดันของบรรยากาศนอกโรงเรือน กดดันให้อากาศไหลเข้ามาในโรงเรือน ผ่านทางช่องเปิดซึ่งติดตั้ง “แผ่นระเหยน้ำ” (Cooling Pad) แล้วไหลผ่านตลอดความยาวภายในโรงเรือนไป อย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่องกัน (Potential Flow) และถูกเป่าทิ้งไปทางพัดลมดูดอากาศ การเคลื่อนที่ของลมในลักษณะนี้ เป็นไปตามหลักการ ปฏิกิริยาอุโมงค์ลม จึงช่วยให้สัตว์ที่เลี้ยงอยู่ในโรงเรือน ได้รับการระบายอากาศอย่างสม่ำเสมอ และใกล้เคียงกันตลอดทั้งโรงเรือน และใช้พัดลมที่มีจำนวนน้อยกว่า ซึ่งดีกว่า การใช้พัดลมเป่าไปที่สัตว์โดยตรง (Positive Pressure) เพราะสัตว์ที่อยู่ใกล้พัดลมจะได้รับการระบายอากาศมากกว่าสัตว์ที่อยู่ห่างจากพัดลม อย่างไรก็ตาม ต้องคำนวณให้มีปริมาณลมอย่างเพียงพอที่จะพา ความร้อน และความชื้น ออกไปจากโรงเรือนได้อย่างต่อเนื่อง เหมาะสมกับปริมาณ ความร้อน และความชื้น ที่เกิดขึ้นในโรงเรือน และต้องมีความเร็วลมพอเหมาะ ที่จะช่วยให้สัตว์เกิดความเย็นสบาย การนำคุณสมบัติของความเร็วลมมาใช้ เพื่อช่วยให้สัตว์มีความรู้สึกเย็นสบายขึ้น เรียกว่า ปฏิกิริยาความเย็นที่เกิดจากกระแสลม (Wind-Chilled Effect) อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยานี้ มีข้อจำกัด และเงื่อนไขในการใช้งาน ดังนี้
โรงเรือนระบบ Evap. ให้ประโยชน์อะไร ตามปกติในเขตร้อนชื้น อุณหภูมิของอากาศ จะแตกต่างกันมากในแต่ละช่วงเวลาของวัน กล่าวคือ ในเวลากลางคืน อุณหภูมิของอากาศจะเย็นสบาย อยู่ในระดับที่น่าพอใจ แต่ในเวลากลางวัน อุณหภูมิของอากาศจะสูง ขึ้น จนอาจก่อให้เกิดปัญหากับการเลี้ยงสัตว์ได้ โรงเรือนระบบ Evap. ต้องมีอุปกรณ์ควบคุมการทำงานของ พัดลม และปั๊มน้ำ เพื่อให้มีการ เปิด-ปิด พัดลม ตามระดับอุณหภูมิของอากาศ และมีการ เปิด-ปิด ปั๊มน้ำ ตามระดับอุณหภูมิ และความชื้นของอากาศ การทำงานของพัดลม และปั๊มน้ำ จะต้องมีความสัมพันธ์ต่อกัน และเป็นไปตามความต้องการของสัตว์เลี้ยง อากาศในโรงเรือนระบบ Evap. จะไม่มีความแตกต่างกันมากนัก ระหว่างกลางวัน และกลางคืน ทำให้สัตว์มีความเครียดลดลง โดยไม่ต้องผจญกับการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศอย่างรวดเร็ว และลดปัญหาที่เกิดจากสภาพอากาศร้อน โรงเรือนระบบ Evap. ในเขตร้อนชื้น สภาพแวดล้อมในเขตร้อนชื้น เช่น ประเทศไทย จะมีอุณหภูมิ และความชื้นสูง ทำให้ประสิทธิภาพในการระเหยน้ำต่ำ ทำให้ลดอุณหภูมิลงได้ในระดับหนึ่ง จากประสบการณ์ของผู้เขียน พบว่า ในการเลี้ยงไก่เนื้อ ขนาด 2.20 กก. ในขณะที่อากาศในท้องถิ่นมี อุณหภูมิ 38 °C และความชื้น 40 %RH อากาศที่ไหลผ่าน Cooling Pads ด้วยความเร็ว 1.5 m/s อุณหภูมิจะลดลงเหลือ 26.5 °C และความชื้น 87 %RH เมื่อตรวจสอบที่กลางโรงเรือน (ในการเลี้ยงไก่เนื้อ ขนาด 2.20 กก. ที่ความหนาแน่น 27.5 กก./ตร.ม.) ได้ค่าโดยประมาณ ดังนี้ อุณหภูมิของอากาศ 28.5 – 29.0 °C และความชื้น 80 - 85 %RH ในขณะที่ความเร็วลมเฉลี่ยประมาณ 2.5 m/s เมื่อคำนวณหาค่า ดรรชนีความเครียด (Heat Stress Index) พบว่า ค่าดรรชนีความเครียดอยู่ที่ประมาณ 165 -167 แต่ถ้า ค่าดรรชนีความเครียดสูงถึง 175 จะพบว่ามีอัตราการตายสูงขึ้น อย่างเห็นได้ชัด ในกรณีนี้ ดังนั้น จะเห็นว่า ระบบ Evap. ในเขตร้อนชื้นส่วนใหญ่มักมี ค่าดรรชนีความเครียดสูงกว่าค่ามาตรฐาน (160) เสมอ สัตว์จึงยังคงมีความเครียดอยู่บ้าง อันที่จริง ผลการผลิตโดยทั่วไป ยังคงได้ผลเป็นที่น่าพอใจ เมื่อเปรียบเทียบกับการเลี้ยงสัตว์ในโรงเรือนเปิด ข้อสังเกต และคำแนะนำการใช้ประโยชน์ระบบ Evap. ในเขตร้อนชื้น ในการใช้ประโยชน์โรงเรือนระบบ Evap. เพื่อเลี้ยงสัตว์ในเขตร้อนชื้นให้ได้ผลดี ควรออกแบบให้ ระบบ Evap. ระเหยน้ำได้มาก โดยสามารถทำความชื้นให้ถึง 80 – 85 %RH และให้มีความเร็วลมในโรงเรือนไม่น้อยกว่า 2.5 – 2.8 m/s เพื่อใช้ประโยชน์ความเย็นจากความเร็วลม (Wind-Chilled Effect) และลมยังช่วยพาความชื้นออกไปจากโรงเรือน ซึ่งจะช่วยทำให้ ค่าดรรชนีความเครียด (Heat Stress Index) ลดลงได้ในระดับหนึ่ง สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ต้องจัดการให้กระแสลมมีความสม่ำเสมอทั่วถึงกันทั้งโรงเรือน และไม่มีจุดอับลม จึงจะได้ผลเต็มที่เพื่อให้การเลี้ยง สัตว์ในเขตร้อนชื้น ประสบผลสำเร็จที่ดี จึงควรพิจารณาปัจจัยอื่นร่วมด้วย ดังนี้คือ การใช้สูตรอาหารที่เหมาะสม ความหนาแน่นในการเลี้ยงสัตว์พอเหมาะกับสภาพโรงเรือน มีการจัดการที่ดี และถูกต้อง คำแนะนำทั่วไปในการคำนวณ - ออกแบบ ระบบ Evap. สำหรับโรงเรือนเลี้ยงสัตว์ในเขตร้อนชื้น ขั้นตอนในการคำนวณ และออกแบบ ระบบ Evap. สำหรับโรงเรือนเลี้ยงสัตว์ มีดังนี้
1.1 คำนวณจาก ค่าอัตราการระบายอากาศ (Air Flow Rate) โดยคิดจากน้ำหนักของสัตว์ และจำนวนสัตว์ ที่เลี้ยงในโรงเรือน ดังนี้ ปริมาณลมเฉลี่ยสูงสุด \= จำนวนสัตว์ x น้ำหนักเฉลี่ย x Air Flow Rate หน่วย : CMH หรือ ลูกบาศก์เมตร ต่อ ชั่วโมง 1.2 คำนวณจาก ค่าอัตราการถ่ายเทอากาศ (Air Change Rate) เพื่อหาปริมาณลมที่ใช้ในการระบายอากาศต่อปริมาตรของโรงเรือน ซึ่งเป็นไปตามหลักวิศวกรรมการระบายอากาศ ในการระบายถ่ายเทเอา ความร้อน ความชื้น ฝุ่นละออง และอากาศเสีย ออกไปจากโรงเรือน และนำเอาอากาศดีจากภายนอกโรงเรือนเข้ามาแทนที่ ปริมาณลมเฉลี่ยสูงสุด \= ปริมาตรภายในของโรงเรือน (ลบ.ม.) x Air Change Rate หน่วย : CMH หรือ ลูกบาศก์เมตร ต่อ ชั่วโมง
ความเร็วลม \= ปริมาณลมจากพัดลมที่ใช้จริง ¸ 3,600 ¸ พื้นที่หน้าตัดของโรงเรือน (ตร.ม.) หน่วย : m / s หรือ เมตร ต่อ วินาที
พื้นที่หน้า Pads (ตร.ม.) \= ปริมาณลมจากพัดลมที่ใช้จริง ¸ ความเร็วลมผ่าน pads ¸ 3,600
10.ติดตั้งพัดลมให้ถูกทิศทาง อย่าให้สวนทางกับกระแสลมตามธรรมชาติ อาจติดตั้งแสลนห่างจากหน้า พัดลม ประมาณ 4.00 เมตร เพื่อป้องกันฝุ่นละอองจากในโรงเรือนไม่ให้ฟุ้งกระจายออกไป และป้องกันกระแสลมตามธรรมชาติไม่ให้พัดไปอัดที่หน้าพัดลมโดยตรง เพื่อให้พัดลมยังคงมีประสิทธิภาพในการใช้งาน ในขณะที่มีลมพัดแรง 11.การติดผ้าม่าน หรือการบังคับลมที่ไหลผ่าน Cooling Pad จะต้องพิจารณาถึงความจำเป็น ตามสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในท้องถิ่น วัตถุประสงค์ และความคุ้มค่าในการใช้งานด้วย โดยทั่วไป การบังคับลมที่ผ่าน Pads จะใช้ในเขตที่มีอากาศหนาว เพื่อเพิ่มความเร็วลมในการพาความชื้น และอากาศเสียออกไป แต่ไม่ต้องการให้กระแสลมผ่านตัวสัตว์ เพราะจะทำให้สัตว์เกิดความหนาวเย็นมากเกินไป และมักจะใช้กับการดูดอากาศ แบบตามขวางโรงเรือน (Cross Flow) มากกว่า แบบตามยาวโรงเรือน (Longitudinal Flow) ตารางที่ 1 คำแนะนำ ที่ใช้ประกอบการคำนวณ ระบบ Evap. สำหรับโรงเรือนเลี้ยงสัตว์ โดย นายศิขัณฑ์ พงษพิพัฒน์ ชนิด หรือประเภทสัตว์ Air Flow Rate (CMH / kg) Air Change Rate (Air Change / hr.) Stocking Density (kg. / sq.m.) Velocity (m /s ) ไก่เนื้อ ขนาด £ 2.00 ก.ก. 6.8 - 7.5 90 ±10% £ 30 2.0 – 3.0 ไก่เนื้อ 2.00– 2.50 ก.ก. 7.0 - 8.5 90 ±10% 24 – 28 2.5 – 3.5 ไก่เนื้อ ขนาด \> 2.50 ก.ก 8.0 - 10.0 90 ±10% 22 – 26 2.7 – 3.5 เป็ดไข่ และเป็ดเนื้อ 7.5 - 8.5 90 ±10% 20 – 26 2.5 – 3.5 ไก่ไข่ (กรงตับ) 7.0 - 8.5 90 ±10% ≥ 430 ตร.ซม./ตัว 3.0 – 4.5 ไก่พ่อ-แม่พันธุ์ (ไก่ไข่) 7.5 - 9.5 90 ±10% 22 - 26 2.5 – 3.0 ไก่พ่อ-แม่พันธุ์ (ไก่เนื้อ) 8.0 - 10.0 100 ±10% 20 - 24 2.7 – 3.5 สุกรขุน 7.0 - 10.0 100 ±10% 50 - 100 2.5 – 3.5 สุกรพันธุ์ และวัวนม 8.0 - 10.5 100 ±10% 30 - 75 2.5 – 3.5 หมายเหตุ 1. ตารางนี้เป็นเพียงคำแนะนำเท่านั้น ความสำเร็จของระบบฯ ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกหลายประการ
3.1 ไก่เนื้อ เป็ดเนื้อ และสุกรขุน ให้คิดที่ กำหนดเวลา หรืออายุที่ปลดขาย 3.2 ไก่พันธุ์ ไก่ไข่ และเป็ดไข่ ให้คิดที่ อายุที่ถือว่าเริ่มการผลิต (เช่น ในไก่พันธุ์เมื่อได้ไข่ 5% หรือในไก่ไข่ เมื่อได้ไข่ 10%) 3.3 สุกรพันธุ์ และวัวนม ให้คิดที่ น้ำหนักเฉลี่ย ในช่วงอายุที่ให้ผลผลิต (ผสมพันธุ์ หรือให้นม) ตารางที่ 2 ตัวอย่างข้อมูล แสดงประสิทธิภาพของพัดลมดูดอากาศ UT FAN 50 ค่าแรงดันสถิต ของพัดลม ปริมาณลม Pascals นิ้ว ของน้ำ ลูกบาศก์เมตร / ชั่วโมง ลูกบาศก์ฟุต / นาที 0.0 0.000 39,500 23,500 12.5 0.050 37,722 22,203 24.9 0.100 35,749 21,042 31.1 0.125 34,669 20,406 37.4 0.150 33,527 19,734 From: โดย บริษัท ยูที เอ็นจิเนียริ่ง อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จำหน่ายแต่ผู้เดียวในประเทศไทย ตารางที่ 3 ตัวอย่างข้อมูล แสดงประสิทธิภาพของ Cooling Pad CeLPadTM ความเร็วลม ที่ไหลผ่าน CeLPadä ประสิทธิภาพจากการระเหยน้ำ (%) ความกดดันอากาศ (Pa , Pascal) ความหนาของ CeLPadä ความหนาของ CeLPadä 150 ม.ม. 100 ม.ม. 75 ม.ม. 150 ม.ม. 100 ม.ม. 75 ม.ม 0.5 เมตร / วินาที 93 83 73 10 5 2 1.0 เมตร / วินาที 90 78 69 15 10 5 1.5 เมตร / วินาที 87 74 64 30 20 10 2.0 เมตร / วินาที 84 71 61 50 35 20 From: HUTEK (Asia) Co., Ltd. THAILAND หลักการควบคุมการทำงาน ระบบ Evap. โดยทั่วไปควรเลือกใช้เครื่องควบคุม อุณหภูมิ และความชื้น ที่มีจำนวนช่องส่งสัญญาณในการสั่งงาน ให้เพียงพอกับการใช้งาน (4 – 8 ports) แขวนหัว Sensors ไว้ที่จุดกึ่งกลางโรงเรือน และสูงประมาณ 0.50 - 1.00 เมตร ให้ตั้งค่าอุณหภูมิ และความชื้น เพื่อควบคุมการทำงานของระบบ Evap. ดังนี้
3.1 ให้เครื่องปั้มน้ำเริ่มทำงาน ที่อุณหภูมิไม่เกิน 27 – 30 °C 3.2 ให้ตั้งค่าความชื้นสูงสุด (เพื่อปิดปั๊มน้ำ) ที่ 80 – 85 %RH และ ตั้งค่าความชื้นต่ำสุด (เพื่อเปิดปั๊มน้ำ) ที่ 75 – 80 %RH อนึ่ง ควรตั้งค่าความชื้น สูงสุด - ต่ำสุด เพื่อการเปิด-ปิด ปั๊มน้ำให้ต่างกัน 5 %RH การควรควบคุมเครื่องปั๊มน้ำ ด้วยค่าความชื้นสัมพัทธ์ ควบคู่ไปกับการทำงานของพัดลม ซึ่งควบคุมการทำงานด้วยค่าอุณหภูมิ จะสามารถควบคุมค่า ดรรชนีความเครียด (Heat Stress Index) ในโรงเรือนได้ดี การควบคุม ปั๊มน้ำด้วยการตั้งเวลา (Timer) จะไม่สามารถควบคุม ค่าความชื้นในโรงเรือนได้ เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่า ความชื้นจะสูง หรือต่ำ ในเวลาใด และอาจทำให้สัตว์เกิดความเครียดมากขึ้น และ/หรือ บ่อยขึ้น ซึ่งล้วนเป็นผลเสียทั้งสิ้น ปัญหาที่เกิดจากน้ำ น้ำ เป็นสิ่งที่จำเป็น และมีความสำคัญต่อระบบ Evap. อย่างมาก ดังนั้นจึงต้องให้ความสนใจ และดูแลจัดการอย่างถูกต้อง เพื่อทำให้ระบบ Evap. มีประสิทธิภาพสูง และคุ้มค่าในการลงทุน น้ำอาจก่อให้เกิดปัญหาได้หลายประการ ดังต่อไปนี้
การแก้ปัญหาที่เกิดจากน้ำ พอจะสรุป การแก้ปัญหาที่เกิดจากน้ำ ได้เป็น 2 ประการ ดังนี้
การดูแล และบำรุงรักษา Cooling Pad
2. ควรทำการถ่ายน้ำทิ้ง (Bleed–off) อย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำ มีความเข้มข้นของสารละลาย (TDS) สูงเกินไป จนทำให้เกิดตะกรันหินปูน และมีสภาพด่าง (Alkalinity) สูง ซึ่งอาจทำให้เยื้อกระดาษเสียหาย และมีอายุการใช้งานสั้นลง 3. ไม่ควรใช้ ยาฆ่าเชื้อ หรือสารเคมีที่มีฤทธิ์เป็น Oxidizing Agent เพราะสารเหล่านี้สามารถทำลายเยื้อกระดาษได้ เช่น สารประกอบคลอรีน และสารประกอบเปอร์ออกไซด์ แต่ถ้าจำเป็นให้ใช้ได้ในอัตราไม่เกิน 1 – 2 ppm และไม่ควรใช้สารเคมีที่ทำให้ ค่า pH ของ น้ำเปลี่ยนแปลงไป ต่ำกว่า 6 หรือสูงกว่า 8 4. ห้ามใช้ สารประกอบทองแดง (Copper Compound) เช่นจุลสี ในการกำจัด เชื้อรา ตะไคร่น้ำ หรือสาหร่าย ในบ่อพักน้ำ เพราะสารในกลุ่มนี้สามารถทำลาย เยื่อกระดาษ และโลหะพวก เหล็ก แสตนเลส และอลูมิเนียม 5. ควรใช้ มุ้งไนลอน หรือ สแลน ป้องกัน Cooling Pad จากแมลง เศษไม้ ใบหญ้า หรือดอกหญ้า โดยคลุมที่หน้า Cooling Pad ให้ห่าง ประมาณ 1 เมตร 6. ล้าง ทำความสะอาด Cooling Pad เป็นประจำ และควรปิดน้ำแล้วปล่อยให้ Cooling Pad แห้งสนิท ไม่น้อยกว่า 2 – 3 ชั่วโมง ทุกวัน (ในรอบ 24 ชั่วโมง) เพื่อตัดวงจรของสิ่งมีชีวิตในน้ำ เช่นแบคทีเรีย เชื้อรา สาหร่าย 7. ล้างทำความสะอาด และฆ่าเชื้อโรค ในถังพักน้ำเป็นประจำ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง 8. ควรปิดถังน้ำ และท่อน้ำ ไม่ให้แสงแดดส่องผ่านไปถึงน้ำได้ เพื่อป้องกันการเกิดขึ้นของ สาหร่าย และตะไคร่น้ำ 9. ระวังอย่าให้ Cooling Pad สัมผัสกับ อาหารสัตว์ ปุ๋ย มูลสัตว์ ผงซักฟอก สารประกอบฟอสเฟต หรือสารอินทรีต่างๆ ถ้ามีการสัมผัสกับสารเหล่านี้ ควรรีบล้างออกให้หมด เพราะอาจเป็นเหตุให้เกิด เชื้อรา และแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เยื้อกระดาษ เน่า เปื่อย และถ้าพบว่ามีเยื้อกระดาษเน่าเปื่อย ให้รีบตัดส่วนที่เน่าทิ้ง เพื่อป้องกันการลุกลามต่อไป |