ก มารเร ยกทร พย ม ลน ธ หลวงป ท ม

“ประพันธ์” ชี้ “แม้ว” ต้นแบบเลือกตั้งอัปยศ ซัด “สื่อ-นักวิชาการ” ทำ ปชช.ไม่รังเกียจการโกง

เผยแพร่: 20 พ.ค. 2554 01:18 โดย: MGR Online

“ประพันธ์” ชี้ การเลือกตั้งยุคปัจจุบันอัปยศสุด หลัง “แม้ว” เป็นต้นแบบของทุนสามานย์ ยึดคุมอำนาจการเมือง ทำให้เห็นว่าเป็นอาชีพที่ถอนทุนคืนได้รวดเร็ว จนคนแห่ทำตาม ซัด “สื่อ-นักวิชาการ” รับใช้นักการเมือง คอยพูดให้ประชาชนคล้อยตาม มีส่วนทำให้ประชาชนไม่รังเกียจการโกงขอแค่ได้รับผลประโยชน์บ้าง

คลิกที่นี่ เพื่อฟัง “รวมพลัง ปกป้องแผ่นดิน” ปราศรัยโดย “นายประพันธ์ คูณมี”

วันนี้ (19 พ.ค.) เมื่อเวลาประมาณ 21.30 น.นายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย กล่าวปราศรัยบนเวที “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” ว่า มีคนสงสัยว่าการรณรงค์โหวตโนผิดกฎหมายหรือเปล่า วันนี้ที่ไปรณรงค์ที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง ตำรวจก็ไม่ให้เข้า ตนขอยืนยันว่า โหวตโนเป็นสิ่งที่ทำได้ตามระบอบประชาธิปไตย การที่ตำรวจอ้างว่าทำผิดกฎหมาย จึงเป็นข้ออ้างที่ไม่ถูกต้อง ฟังไม่ขึ้น แต่เหตุที่พรรคการเมืองพยายามไปกดดันเจ้าหน้าที่ให้ควบคุมขัดขวาง ก็เพราะวิตกและหวาดกลัวต่อเสียงของประชาชนที่ไม่ยอมให้นักการเมืองเหล่านั้นใช้เป็นเครื่องมือเหยียบขึ้นสู่อำนาจ

นายประพันธ์ กล่าวอีกว่า สำหรับผู้ที่กังวลในข้อกฎหมาย ต้องอ่านพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง มาตรา 51 เขียนไว้ชัดเจน ดังนี้ หีบบัตรเลือกตั้งต้องมีลักษณะที่สามารถมองเห็นภายในได้ง่าย และมีวิธีการปิดผนึกเพื่อป้องกันการเปิดหีบบัตรโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือการนำบัตรใส่ในหีบบัตรหลังจากปิดการลงคะแนนแล้วได้ รวมทั้งต้องมีลักษณะพิเศษเพื่อป้องกันการเปลี่ยนหีบบัตรด้วย

บัตรเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จะต้องมีหมายเลขครบถ้วนตามจำนวนผู้สมัครในเขตเลือกตั้งนั้น และมีช่องทำเครื่องหมายว่าไม่ประสงค์จะลงคะแนนด้วย

บัตรเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อจะต้องมีหมายเลขของพรรคการเมืองและชื่อพรรคการเมืองครบทุกพรรคที่ส่งสมัครเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ และมีช่องทำเครื่องหมายว่าไม่ประสงค์จะลงคะแนนด้วย

“เห็นได้ชัดเจนว่า การไม่ประสงค์เลือกใคร เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย และรัฐบธรรมนูญทุกประการ และไม่ใช่ทำคะแนนทิ้งด้วย แต่เป็นการบอกนักการเมืองทั้งหมดว่าคุณไม่มีคุณสมบัติที่ฉันจะเลือก นี่เป็นการลงคะแนนเสียงแบบชาญฉลาด เพื่อนำไปสู่การกระตุ้นสังคมให้ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองไปพร้อมๆ กัน” นายประพันธ์ กล่าว

นายประพันธ์ ยังกล่าวอีกว่า ถึงบอกว่า วันนี้ละครที่เราดูพรรคการเมืองจับเบอร์ แล้วก็เฮ ตีฆ้อง ตีกลอง เป็นพิธีกรรมที่ตบตา เป็นละครการเมืองที่ต้มตุ๋นประชาชน ประชาธิปไตยแบบนี้จอมปลอมและหลอกต้มประชาชน

นายประพันธ์ กล่าวอีกว่า ถ้าศึกษาติดตามการเมืองมาต่อเนื่อง จะเห็นว่า การเลือกตั้งของไทยแบ่งยุคสมัยได้ 3 ยุค เลือกตั้งครั้งแรกสมัยปี 2476 ถึงวันนี้ รวมที่จะเลือกตั้ง 3 กรกฎาคมนี้ด้วย รวมแล้ว 26 ครั้ง

ยุคที่ 1 ตั้งแต่ปี 2476 เลือกตั้งครั้งแรกถึงครั้งที่ 10 เป็นการเลือกตั้งหลังการเปลี่ยนแปลงการปกปครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นการเลือกตั้งหลังจากอำนาจพระมหากษัริย์ตกมาอยู่ในอำนาจของคณะราษฎรการช่วงชิงอำนาจจะอยู่ในหมู่ของขุนนาง อำมาตย์ และตัวแทนราษฎรจำนวนหนึ่งเท่านั้น จึงไม่มีการทุจริตแบบยุคปัจจุบัน

ยุคที่ 2 ตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งที่ 11-19 จะเป็นการเลือกตั้งยุคเผด็จการทหารสลับกับยุคประชาธิปไตยแตกหน่อใหม่ๆ เป็นยุคที่ทหารปกครองบ้านเมือง ถึงมีเลือกตั้งก็อยู่ภายใต้การควบคุมของทหาร ประชาธิปไตยยังไม่แตกหน่อมาแตกหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา เมื่อมีการลุกขึ้นสู้ของนักศึกษาในการโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการ

ยุคประชาธิปไตยแตกหน่อ หลังเกิดเหตุ 14 ตุลา ท่านสัญญา ธรรมศักดิ์ ขึ้นเป็นนายกฯ เมื่อเลือกตั้งก็มี มรว.เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกฯ ตามมาด้วย มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช จากนั้นมีปฏิวัติโดย พลเรือเอก สงัด ชลออยู่ เมื่อ 16 ตุลาคม 2519 นายธานินทร์ กรัยวิเชียร ขึ้นเป็นนายกฯ แล้วมาถึง พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ แล้วตามมาด้วย พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ สรุปแล้วยุคนี้มีการปกครองโดยทหารสลับกับประชาธิปไตย

มาถึงยุคที่ 3 หลัง พลเอก เปรม ลงจากอำนาจแล้ว ประชาธิปไตยจะเรียกว่าเต็มใบ ที่ปล่อยให้พลเรือนเข้าสู่การเลือกตั้ง อย่างที่บอกยุคแรกเป็นการช่วงชิงอำนาจระหว่างขุนนางอำมาตย์ ยุคที่ 2 ช่วงชิงกันระหว่างเผด็จการทหาร แต่มายุคที่ 3 เป็นยุคนายทุนขุนนางผูกขาด ทุนสามานย์ ทุนขนาดใหญ่เข้าสู่อำนาจการเมืองเต็มตัว การเมืองการเลือกตั้งเป็นการเมืองกลุ่มทุนที่มีความสามานย์ ชั่วร้าย ตกต่ำที่สุด

และคนที่เป็นต้นแบบของการเป็นนายทุนที่มายึดคุมอำนาจการเมือง คือ นายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายทุนขนาดใหญ่คนแรก ที่ตั้งพรรคการเมือง และลงสู่การเมืองเอง ที่ผ่านมา คนที่ทุนใหญ่ขนาดนี้จะอยู่เบื้องหลัง ไม่เล่นเอง แต่นายทักษิณเป็นคนแรก

นายประพันธ์ กล่าวอีกว่า ถ้าเปรียบเทียบการเมืองยุค 1 และ 2 จะเห็นว่า การโกงการทุจริตน้อย หากทุจริตก็อยู่ในวงเงินไม่เกิน 100 ล้าน ซื้อเสียงก็มีอยู่แต่ไม่ได้ทุ่มเหมือนยุคนี้ ไม่ถึงขนาดใช้กลไกเลือกตั้งทุกองค์กร ยุคที่ 3 นี้ โกงมากสุด ทุจริตโครงการเป็นหมื่นๆ แสนๆ ล้าน ทั้งนั้น

ตั้งแต่ยุคนายทักษิณ มา มีการใช้เงินทุ่มไปกับการซื้อ ส.ส. โฆษณาหาเสียง ใช้ในการให้ชนะเลือกตั้ง เพราะทักษิณทำให้เป็นตัวอย่างว่าหลังจากได้เป็นนายกฯธุรกิจตัวเองมูลค่า 2-3 หมื่นล้านบาท สามารถร่ำรวยแป็นแสนๆ ล้าน หลังจากได้อำนาจทางการเมือง

นายประพันธ์ กล่าวว่า เมื่อหมดยุคทักษิณ ทุกคนเอาอย่างทักษิณหมดเลย ถ้าจะถามว่า สุเทพ เนวิน บรรหาร สุวัจน์ วิชัย รักศรีอักษร เชื่อแน่ว่า พวกนี้ร่ำรวยรวมกันมากกว่าทักษิณไม่น้อยกว่า 2-3 เท่า ตอนทักษิณ รวยแบบกระจุก แต่ทุกวันนี้รวยกระจาย นักการเมืองหลายคนอิ่มหมีพีมัน มีเงินเป็นหมื่นๆ ล้าน อย่าง นายสุวัจน์ ก็ไปสร้างโรงแรม 6 ดาว ที่หัวหิน เพียงแค่กำกับกระทรวงพลังงาน กระทรวงเดียว ก็ร่ำรวยมหาศาล นายสุเทพ วันนี้ ก็อยู่ในระดับแนวหน้า น้องๆ ทักษิณ ไปแล้ว

นายประพันธ์ ยังกล่าวอีกว่า วันนี้ที่เห็นพรรคการเมืองแข่งกันเลือกตั้ง เพราะการลงทุนทางการเมือง เป็นอาชีพที่รวยเร็ว ได้กำไรเร็ว หากลงทุนทางการเมือง 2 หมื่นล้าน ไม่เกิน 6 เดือน ได้ทุนกำไรคืนหมด ฉะนั้น วันนี้ลูกท่านหลานเธอ นายทุนทั้งหลาย จึงส่งลูกหลานของตัวเองไปลงทุนทางการเมืองเพราะได้กำไรมากสุด

ที่พูดวันนี้เพียงอยากชี้ให้เห็นว่ายุคเลือกตั้งวันนี้ เป็นยุคละครหลอกลวงตบตาประชาชน วันนี้ประชาชนมีความคิด 2 ทาง ส่วนหนึ่งจำนนยอมรับกับการเมืองการเลือกตั้งที่เป็นอยู่ สื่อมวลชนก็กระดี๊กระด๊าเห่อไปกับเขา เพราะมันก็สื่อขี้โกงหากินกับนักการเมืองเช่นกัน

ผลสำรวจทำไมคนไทยไม่รังเกียจนักการเมืองที่โกงทุจริต โกงได้แต่เอามาแบ่งบ้าง ทำไมไม่ตื่นตัวขึ้นมากำจัดนักการเมืองโกง ก็เพราะสื่อ และนักวิชาการรับใช้นักการเมืองนี่แหละตัวดี พยายามทำให้ประชาชนคล้อยตาม

วันนี้ตามสื่อต่างๆ มีเกาะติดเลือกตั้ง มีการเชิญนักวิชาการมาวิเคราะห์ ตนฟังคนโน้นคนนี้แล้วเศร้าใจ นักรัฐศาสตร์ไทยทำไมโง่งมงายเป็นปากกระบอกเสียงชวนเชื่อให้นักการเมืองไทยเท่านั้นเอง เมื่อเป็นแบบนี้ค่านิยมสังคมเปลี่ยนไป ถูกสื่อนักวิชาการลากดึงไป มันเลยเกิดความคิดยอมจำนน

“เวลาที่เห็นพวกเรามาบอกว่า นักการเมืองไม่ดี สื่อ นักวิชาการมองพวกเราเป็นตัวตลก แปลกประหลาด ต้องชวนมาทำชั่วทั้งประเทศถึงพอใจหรือไง วันนี้อาจมองเราเป็นตัวตลก สักวันประชาชนจะเข้าใจ ว่าถ้ามีพวกเราเป็นธงนำต่อสู้อยู่ เมื่อบ้านเมืองเปลี่ยนไปเขาจะต้องเข้าใจ เพราะไม่ว่าเลือกใครมามันก็เลวพอๆ กัน” นายประพันธ์ กล่าว

นายประพันธ์ กล่าวอีกว่า ไม่มีการเลือกตั้งยุคไหนอัปยศเท่ายุคปัจจุบันนี้แล้ว มีแต่เลวลง ต่ำลง และการเลือกตั้งนี้ไม่มีวันได้คนดีมีคุณภาพ เพราะระบบและโครงสร้างของมันเลว มีคนบอกว่านักการเมืองก็มีดีไม่ได้เลวหมด ตนบอกเลยว่าความจริงแล้ววันนี้องค์กรสำคัญ มีคนเลวมากกว่าคนดี วาทกรรมที่บอกว่าถ้ามีคนเลวมากกว่าคนดีก็อยู่ไม่ได้ ไม่จริงอยู่ได้ แต่อยู่แบบเลวๆ ถ้ามีคนดีมากกว่าการเมืองไม่เป็นอย่างนี้

ใครก็ตามอ้างว่าการเมืองมีคนดีมากกว่า ไม่จริง และคนเลวมีอำนาจควบคุมทุกระบบ คนดีก็เลวได้ การโหวตโนแม้มีคนส่วนหนึ่งไม่เข้าใจ ก็ไม่เป็นไร อย่าวิตกกังวลเราต้องเชื่อมั่นว่าสิ่งที่เราทำถูกต้อง อย่างไรต้องชนะอธรรมแน่นอน

คำต่อคำ

สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องที่เคารพรักทุกท่านครับ กราบสวัสดีพี่น้องทางบ้าน และที่รับชมอยู่ในต่างประเทศทุกท่านนะครับ พี่น้องครับวันนี้ เป็นวันที่มีปรากฏการณ์เกิดขึ้นมากมายหลายเรื่อง และน่าสนใจทั้งนั้นเลย เป็นวันที่มีการรับสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ เป็นวันแรก วันที่ 19 พฤษภา ถึงวันที่ 23 และก็มีความเคลื่อนไหวที่เป็นกิจกรรมของพี่น้องประชาชน ซึ่งต้องจารึกไว้เป็นประวัติศาตร์เหมือนกันนะครับว่า วันรับสมัครรับเลือกตั้งวันนี้ วันแรก ก็มีพี่น้องประชาชนโดยเฉพาะพวกเราพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไปรณรงค์โหวตโนเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศไทย นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ นะครับ นับตั้งแต่มีการเลือกตั้ง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2476 นั่นหมายความว่า เรามีการเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2476 หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เราเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อปี 2476 การเลือกตั้งจาก 2476 มาถึงครั้งนี้ ถือว่า เป็นครั้งที่ 26 ของประเทศไทยครับพี่น้องครับ ใน 26 ครั้งนี้ ถ้ากล่าวถึงเฉพาะช่วงหลังๆ มันมักจะมีมหกรรมละครการเมือง อย่างแบบวันนี้ครับ พรรคนู้นก็จัดขบวนแห่ พรรคนี้ก็จัดขบวนนะครับ สร้างสีสันบรรยากาศ ไม่ต่างอะไรกับละครการเมือง เป็นมุขเดิมๆ เป็นรูปแบบเดิมๆ ที่เราเคยเห็นซ้ำซาก แต่วันนี้ ปรากฏการณ์ใหม่เกิดขึ้น นั่นคือมีพี่น้องไปยืนรณรงค์โหวตโนว่า อย่าเลือกใครในบรรดาไอ้พวกที่มาสมัครรับเลือกตั้งในวันนี้ ทั้งหมดทุกพรรคครับพี่น้อง นี่ต้องถือเป็นประวัติศาสตร์การเมืองภาคประชาชนครั้งแรก แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น ในวันนี้ มันจะบอกนัยอะไรสำคัญนั้น เดี๋ยวเรามาคุยกัน

ขณะเดียวกัน ละครเรื่องดอกส้มสีทอง วันนี้ก็เป็นตอนอวสานเหมือนกัน ใช่ไหมครับ หรือดอกทองสีส้ม ดอกส้มสีทอง ก็เป็นตอนอวสาน ก็มาพร้อมกับวันรับสมัครเลือกตั้งวันนี้ เหมือนกัน ก็จบจากดอกส้มสีทอง ก็คงจะมีละครทีวีมาฉายต่อเป็นเรื่องต่อไป เรื่องนี้ผมแต่งเองเขียนเอง ชื่อเรื่องดอกทองสีม่วงครับ จะมาฉายแทนดอกส้มสีทอง แต่ฉายบนเวทีนี้นะครับ ไม่ได้ฉายบนทีวี ก็มีปรากฏการณ์ที่น่าศึกษาและน่าสนใจอย่างยิ่งนะครับ และก็เวทีสัมมนาวิชาการของพวกเราวันนี้ ก็เข้มข้นด้วยข้อมูลที่ให้สาระความรู้กับพี่น้องประชาชนเกี่ยวกับการเมือง การเลือกตั้ง ทางเลือกทางออกคำตอบที่ประชาชนควรตัดสินใจเลือกอะไรดี ซึ่งเหตุผลที่ทีมเสวนาวิชาการได้ให้ข้อมูลกับพี่น้องประชาชนยิ่งตอกย้ำชัดเจนว่า โหวตโน คือคำตอบและทางเลือกที่ดีที่สุดของประชาชนไทยในขณะนี้ ครับพี่น้องครับ

ส่วนอีกปรากฏการณ์หนึ่ง เป็นเรื่องที่เถ้าแก่ปราศรัยผ่านรายการ เป็นคลิปวิดีโอมาฉายให้พี่น้องชม ก็เป็นการชี้แจงเหตุผลข้อเท็จจริงที่คุณสนธิต้องเดินทางไปต่างประเทศ ไม่จำเป็นต้องใช้วิดีโอลิงก์แบบทักษิณ นะครับ แต่เป็นการพูดจากใจของคุณสนธิ แม้ว่าไม่อยากจะไป อยากจะอยู่กับพี่น้องประชาชน แต่เป็นความจำเป็นอย่างที่คุณสนธิได้พูดแล้วนะครับ และท่านก็คงทราบดีแล้วว่า ซาโตมิ หลานสาวที่เป็นเหมือนลูก ที่คุณสนธิดูแลมานั้น วันนี้ สำเร็จการศึกษา และจะได้รับปริญญา ถ้าไม่มีผู้ปกครอง ผู้เปรียบเสมือนพ่อแม่อยู่ด้วยนั้น มันจะเป็นความเศร้าใจเพียงใดสำหรับเด็กที่เพิ่งจบการศึกษาใหม่ๆ ตรงนี้ ผมคิดว่า แม้เราเป็นพันธมิตร แต่เราก็คือมนุษย์และเป็นคนที่มีจิตวิญญาณ มีความรัก ความผูกพัน มีความห่วงใย มิได้แตกต่างจากประชาชนทั่วไป นะครับ พี่น้องครับ และอาจมีความสำคัญและมีความหมายลึกซึ้งยิ่งกว่า ด้วยเหตุนี้ จึงมีคำว่า ระหว่างพี่ไม่อยู่ ห้ามเจ็บ ห้ามป่วย ห้ามลา ห้ามขาดโดยเด็ดขาด แต่พี่น้องครับ ก็เกริ่นไว้ล่วงหน้า ถ้าจำเป็นต้องขออนุญาตบ้างนะครับ แต่อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ผมต้องมาพบกับพี่น้องทุกวันในระหว่างนี้อย่างแน่นอนครับ

พี่น้องครับ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้ ที่มีการเมือง มีการเลือกตั้งจนถึงวันนี้ และเป็นการรับสมัครเลือกตั้งนั้น ผมยังลืมพูดไปอีกเรื่องหนึ่ง ที่เป็นปรากฏการณ์ที่มันเกิดขึ้น และเป็นเรื่องที่มาพร้อมกับปรากฏการณ์ใหม่ๆ ที่ดี แต่มีปรากฏการณ์ที่น่าละอายเกิดขึ้นคือ คณะกรรมการบริหารพรรค มีมติไม่ส่งผู้สมัคร ที่ประชุมใหญ่พรรคมีมติไม่ส่งผู้สมัคร ก็มีผู้สร้างประวัติศาสตร์หน้าด้าน ก็กูอยากจะลงเลือกตั้ง จะทำไม กูก็จะแหลไปสมัครเลือกตั้งกับเขาจนได้ นี่ก็ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ ที่ในยุคการเมืองหน้าด้านเข้าไว้ เดี๋ยวได้ดีเอง แต่เอาเหอะครับพี่น้อง ผมยังเชื่อว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. คงจะได้มีคำวินิจฉัย ว่า ไอ้พรรคที่กรรมการบริหารเขาไม่มีมติให้ส่งสมัคร ที่ประชุมใหญ่พรรคก็ไม่มีมติให้ส่งสมัคร คณะกรรมการคัดเลือกผู้สมัครก็ไม่เคยมีการประชุมคัดเลือกผู้สมัครเลย แล้วอยู่ๆ บอกกูอยากจะลงเลือกตั้ง มันจะโดนอย่างไร อันนี้จะเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่ทำให้พวกเรารับรู้ และเรียนรู้พร้อมกันว่า ในบรรดากระบวนการต่อสู้การเมืองภาคประชาชน มันจะมีพวกนอกคอกแบบนี้ หรือพวกหลุดหล่น ตกไประหว่างกลางทางครับ เหมือนพันธุ์พืชนะครับ มันย่อมมีพวกผ่าเหล่าผ่ากอเสมอ พันธุ์พืชที่ดีถึงจะอยู่ได้ ประชาชนที่เข้มแข็งที่ต่อสู้อย่างแท้จริงจึงจะยืนหยัดอยู่ได้ พวกของเทียมของปลอมมันจะหลุดร่อนไปตามสถานการณ์ของการต่อสู้ครับพี่น้องครับ เป็นเรื่องปกติธรรมดาครับ แต่ว่า เราต้องเชื่อมั่นในความจริงในหลักการที่ถูกต้อง

เมื่อสักครู่ คุณแอนบอกว่า มีคนสงสัยและพยายามจะกล่าวว่า การเลือกตั้ง การรณรงค์โหวตโนนั้นมันถูกกฎหมายหรือเปล่า หรือผิดกฎหมาย และเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อวานนี้ ทำไมไม่ยอมให้พวกเราเข้าไป ความจริงแล้ว ถ้าเขาจะอ้างว่า พวกเราไม่ได้เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง เป็นพวกที่มารณรงค์ทางการเมือง ก็ขอความกรุณาให้รณรงค์ด้านนอก เพื่อจะได้ไม่ปะปนหรือสับสนกับผู้ที่จะมาสมัครรับเลือกตั้ง อย่างนี้ เราก็พอยอมรับได้ ใช่ไหมครับพี่น้องครับ ซึ่งเป็นเหตุผลที่อธิบายได้ และพวกเราก็ไม่ใช่พวกที่ต้องการจะไปก่อกวนและก่อความวุ่นวาย อันเป็นการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ หรือการใช้สิทธิ์ของคนอื่น แต่การมายืนรณรงค์ของพวกเรา เพื่อเรียกร้องให้ประชาชนทั้งประเทศโหวตโนนั้นมันก็เป็นสิ่งที่เราทำได้ตามระบอบประชาธิปไตย ไม่ได้ผิดกฎหมายแต่ประการใดครับ พี่น้องครับ

ดังนั้น การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะมาอ้างว่า การที่เราไปรณรงค์โหวตโนนั้น จะเป็นการกระทำผิดกฎหมาย จึงเป็นข้ออ้างที่ไม่ถูกต้อง และไม่ชอบด้วยกฎหมายตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง เหตุผลที่ตำรวจจะอ้างอย่างนี้ ฟังไม่ขึ้น ครับพี่น้อง เรามีสิทธิ์รณรงค์โหวตโนได้ เช่นเดียวกัน พรรคที่ลงเลือกตั้ง คุณก็มีสิทธิ์รณรงค์หาเสียงเลือกตั้งได้ แต่เราก็รณรงค์บอกประชาชนได้ว่า ทุกพรรคที่มาลงเลือกตั้ง ไม่ใช่คำตอบ และทางเลือกของประชาชน นี่เป็นสิทธิ์ตามชอบธรรมของประชาชน ตามกฎหมายทุกประการครับพี่น้องครับ แต่เหตุที่พรรคการเมืองต่างๆ พยายามจะกดดันเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องการเลือกตั้ง หรือคณะกรรมการ กกต.ก็ดี ให้ทำหน้าที่ควบคุมขัดขวางการรณรงค์โหวตโนของพวกเรานั้น ก็เพราะพรรคการเมืองเหล่านั้น วิตกและหวาดกลัวต่อเสียงของประชาชน วิตกหวาดกลัวต่อการใช้สิทธิ์โดยชอบธรรมของประชาชน เพราะจะทำให้เขาไม่ได้รับการเลือกตั้ง หรือถูกประจานในสังคมว่า เป็นนักการเมืองน้ำเน่า ไม่ควรค่าแก่การเลือกของประชาชนนั่นเองครับ พี่น้องครับ

เช่นเดียวกับที่ ท่านผู้พิพากษา เลขานุการศาลฎีกาแผนคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ท่านเขียนบทความลงมาวันนี้ ที่คุณเติมศักดิ์ เอามาอ่าน ก็จะเห็นว่า ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย แต่เป็นเพราะนักการเมือง พรรคการเมืองเหล่านั้น หวาดกลัวต่อพลังอันชอบธรรม และชอบด้วยกฎหมายของประชาชน หวาดกลัวต่อประชาชนที่เขาไม่ยอมเป็นเครื่องมือรับใช้ให้นักการเมืองน้ำเน่าเหล่านั้นเป็นเครื่องมือเหยียบสู่บันไดอำนาจ แล้วผมก็ตอบคำถามหลายท่าน ที่เขียนจดหมายมา หรือว่าโพสข้อความถามในเฟสบุ๊คผม ว่า เขาจะไปรณรงค์โหวตโน จะทำจดหมายจะถือป้าย จะส่งข้อความถึงพี่น้องประชาชน จะส่งจดหมายเปิดผนึกไปถึงพี่น้องประชาชน ทำได้หรือไม่ ผมก็ตอบว่า ทำได้ เป็นสิทธิ์ของท่าน และท่านมีสิทธิ์บอกพี่น้อง เพื่อนพ้อง และประชาชนทุกคนว่า การโหวตโนเป็นการใช้สิทธิ์ของประชาชนอย่างชาญฉลาดอย่างไร เป็นการใช้สิทธิ์ของประชาชน โดยไม่ขอยอมตกเป็นเครื่องมืองทางการเมืองของนักการเมืองอย่างไร เหตุผลวันนี้ ที่อาจารย์ปานเทพ พูดบนเวทีนี้ เป็นเหตุผลที่ครบถ้วนและสมบูรณ์ที่สุดครับพี่น้องครับ ที่เราต้องไม่ลงคะแนนเลือกใคร และตอกย้ำอีกครั้งสำหรับท่านที่ยังกังวลข้อกฎหมาย ให้ไปเปิดพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง มาตรา 51 นะครับ จำให้ดี เขาเขียนชัดเจน

มาตรา 51 นั้น เขียนดังนี้ หีบบัตรเลือกตั้งต้องมีลักษณะที่สามารถมองเห็นภายในได้ง่าย และมีวิธีการปิดผนึกเพื่อป้องกันการเปิดหีบบัตรโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือการนำบัตรใส่ในหีบบัตรหลังจากปิดการลงคะแนนแล้ว รวมทั้งต้องมีลักษณะพิเศษ เพื่อป้องกันการเปลี่ยนหีบบัตรด้วย ทีนี้มาพูดเรื่องบัตร นี่เรื่องหีบบัตร มาตรา 51 ยังพูดเรื่องบัตรเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบแบ่งเขตเลือกตั้งจะต้องมีหมายเลขครบถ้วนตามจำนวนผู้สมัครในเขตเลือกตั้งนั้น และมีช่องทำเครื่องหมายว่า ไม่ประสงค์จะลงคะแนน พี่น้องครับ ตอกย้ำ และมีช่องทำเครื่องหมายว่า ไม่ประสงค์ลงคะแนน ด้วย ส่วนบัตรเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ จะต้องมีหมายเลขของพรรคการเมืองและชื่อพรรคการเมือง ครบทุกพรรคที่ส่งสมัครเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ และมีช่องทำเครื่องหมายว่า ไม่ประสงค์ลงคะแนน ด้วย เห็นไหมครับพี่น้องครับ

ดังนี้แล้ว จึงเป็นที่ชัดเจนว่า การใช้สิทธิ์ไม่ประสงค์ลงคะแนนเลือกใคร เป็นการใช้สิทธิ์ของประชาชนตามกฎหมาย และตามรัฐธรรมนูญทุกประการ ไม่เป็นการกระทำผิดกฎหมายแต่อย่างใดครับ พี่น้องครับ พี่น้องประชาชนที่ไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจ หรือ ยังสงสัย หรือเพื่อนบ้านยังไม่เข้าใจ ก็เปิดมาตรา 51 ให้เขาอ่านดูอีกครั้ง อย่าโมโห มีวิวาทะ ให้ความรู้ ให้ปัญญาเขาดีกว่า การไม่ประสงค์ลงคะแนนเลือกใคร ไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย และไม่ใช่เป็นการทำคะแนนทิ้งด้วย เพราะเป็นการจงใจที่จะเดินเข้าคูหา และกาว่า ไม่เลือกใคร เป็นการบอกนักการเมืองทั้งหมดว่า "คุณไม่มีความเหมาะสมที่ฉันจะเลือก" แล้วการลงคะแนนโหวตโน จึงเป็นการใช้สิทธิ์อย่างชาญฉลาด อย่างมีเป้าหมายทางการเมือง อย่างมีนัยสำคัญทางการเมือง และอย่างมียุทธศาสตร์ในทางการเมือง เพื่อนำไปสู่การกระตุ้น สั่งสอน นักการเมือง และกระตุ้นสังคม ให้ลุกเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองพร้อมกัน นี่จึงเป็นการลงคะแนนเสียงอย่างชาญฉลาดของพี่น้องประชาชน ที่เมื่อศึกษา หาข้อมูล ทำความเข้าใจ และมีความรู้ดีพอแล้วว่า พรรคการเมืองทั้งหมดที่ผ่านมา และที่เสนอตัวให้ท่านเลือกไม่มีใครมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเลือก

เมื่อวานนี้ ผมกราบเรียนพี่น้องประชาชนแล้วว่า พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครเลือกตั้งขณะนี้ ไม่มีพรรคไหนพูดถึงปัญหาสำคัญ 5 ประการที่ผมกราบเรียนไปแล้ว ต่อประชาชนเลยว่า จะแก้ไขอย่างไร ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องใหญ่ และเป็นวาระแห่งชาติแท้ๆ แต่ไม่มีพรรคไหนสนใจแก้ไขปัญหาใหญ่ของชาติ บ้านเมืองเลย นี่เป็นเครื่องฟ้องอยู่แล้วว่า พรรคการเมืองเหล่านี้ สนใจเพียงเข้ามาสู่อำนาจ ได้อำนาจแล้ว ก็เอาอำนาจไปแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเองและพวกพ้องเท่านั้น ไม่มีใครคิดแก้ไขปัญหาสำคัยของชาติบ้านเมืองเลยแม้แต่พรรคเดียว อาจมีบางพรรค ก็เป็นพรรคเล็กที่ไม่สำคัญ และมีพลังเพียงพอ เช่น จะพูดเรื่องการต่อสู้กวาดล้างทุจริต คอร์รัปชั่น มันพูดเพียงเครื่องประกอบโฆษณาหาเสียงเท่านั้น แต่ไม่กำลัง และพลังที่จะทำได้จริง พรรคที่มีโอกาสจะเป็นรัฐบาล จัดตั้งรัฐบาล ไม่มีใครพูดถึงปัญหา 5 ประการ หัวใจสำคัญ ที่เป็นวาระแห่งชาติ แม้แต่พรรคเดียวครับ พี่น้องครับ

ตอกย้ำอีกครั้งคือ ปัญหาสำคัญ 5 ประการ คือ ปัญหาเรื่องดินแดน เอกราช อธิปไตยของเรา ไม่มีใครพูดถึง ปัญหาเรื่องความไม่สงบเรียบร้อยในภาคใต้ ปัญหาความขัดแย้งแตกแยก และความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมือง และทางการเมือง ปัญหาเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างมโหฬารในประเทศไทย และจะมีแต่เพิ่มทวีมากขึ้น ไม่มีใครคิดแก้ไขเอาจริง ปัญหาเศรษฐกิจ ไม่มีใครคิดแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของชาติ ปัญหาข้าวยากหมากแพง ปัญหาไม่เป็นธรรมในสังคม ปัญหาเหลื่อมล้ำ ต่ำสูงระหว่างคนในสังคม ความยากจน และร่ำรวยที่ห่างกันราวฟ้ากับดิน และจะห่างเรื่อยๆ เรื่องปัญหาเศรษฐกิจ และความเหลื่อมล้ำทางสังคม ไม่มีใครพูดถึง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผมจะเอาข้อมูลให้พี่น้องฟังว่า ขณะนี้ เฉพาะจำนวน ส.ส.ในสภาฯ เฉพาะพวกนี้ มีที่ดินรวมกันเป็นแสนๆ ไร่ จึงไม่มีใครสนใจจะแก้ไขปัญหากระจายการถือครองที่ดิน และออกกฎหมายเพื่อเก็บภาษีที่ดิน นี่ไม่นับรวมคนที่อยู่ข้างนอก ที่เป็นธุรกิจนายทุนนะครับ เอาเฉพาะค่ายเจริญ ค่ายซีพี 2 ค่ายนี้ รวมกันเป็นล้านๆ ไร่แล้วครับ ประเทศไทย มีนักการเมือง มีที่ดิน 5 หมื่นไร่ แสนไร่ หลายรายครับพี่น้อง ความเหลื่อมล้ำในสังคมมีแต่จะถอยห่างออกไปมากยิ่งขึ้น ไม่มีพรรคไหนแก้ไขปัญหานี้อย่างแท้จริง และมีคนถามผมว่า มีพรรคไหนจะแก้ไขปัญหาเรื่องข้าวยากหมากแพงได้ ผมบอกว่า ไม่มีพรรคใดเลยจะแก้ไขได้เพราะคนที่ควบคุมราคาสินค้าอุปโภค และบริโภค ผูกขาดรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เอาเฉพาะ 2 เจ้า คือกลุ่มซีพี กับสหพัฒนพิบูลย์ ก็ควบคุมเครื่องสินค้าอุปโภคบริโภคเกือบหมดทุกชนิดในประเทศไทย และเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ ให้กับพรรคการเมืองและนักการเมืองทุกยุคทุกสมัย ครับพี่น้อง

เพราะฉะนั้น การแก้ไขปัญหาข้าวยากหมากแพง และการแก้ปัญหาพลังงาน พลังงานน้ำมัน ไม่มีวันที่รัฐบาลไหนจะแก้ไขได้ เพราะนักการเมือง พรรคการเมืองทุกพรรคที่มา หาประโยชน์จากกระทรวงพลังงานทั้งนั้น และคนที่ถือหุ้นใหญ่ใน ปตท. ท่านก็รู้แล้วว่า เป็นคนในตระกูลชินวัตร ตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ และบรรดานายทุนนักการเมือง ของพรรคการเมือง ทั้งนั้น นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ก็เป็นคนหนึ่งที่หาประโยชน์จากกระทรวงพลังงานอย่างมหาศาล สิ่งที่เอามาค้ำจุนราคาน้ำมัน ก็กลายเป็นเอาจากกองทุนภาษีของประชาชนมาค้ำจุนราคาน้ำมันดีเซลให้เหลือ 30 บาทหน่อยๆ ซึ่งก็เป็นเงินภาษีของประชาชนนั่นเอง แทนที่ใครใช้มาก ต้องรับภาระมาก ใครใช้น้อยรับภาระน้อย ต้องเป็นไปตามความรับผิดชอบของแต่ละคนที่ต้องควบคุมการใช้จ่าย แต่รัฐบาลก็แก้ไขปัญหาโดยเอาเงินกองทุน ซึ่งมาจากเงินภาษีของพี่น้องประชาชน มาพยุงราคาน้ำมัน เพื่อแก้ผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ แต่ราคาพลังงานตัวอื่นๆ ก็แพงหมดไม่ว่าแก๊สและน้ำมันครับ ไม่มีพรรคไหนแก้ไขได้

เพราะฉะนั้น วันนี้ เมื่อเราดูละครการเมืองที่แสดงที่สนามไทยญี่ปุ่นดินแดงวันนี้ เราจะรู้สึกว่า ประชาชนไม่มีอนาคตและความหวังเลย คนที่มีความรู้ มีการศึกษา รู้เท่าทันการเมือง ก็จะดูด้วยความสมเพชเวทนา ว่านักการเมืองมันช่างหน้าด้าน มาแสดงละครตบตาประชาชนเหลือเกิน พยายามจะสร้างภาพ พรรคนี้เสนอนโยบายนั้น พรรคนั้นเสนอนโยบายนี้มาจัดฉากละครเวทีตบตาประชาชน ประหนึ่งเหมือนว่า เขาจะมาเป็นอนาคต เป็นทางเลือก และเป็นความหวังของประชาชน แต่พี่น้องเห็นแล้ว ถ้าฟังเวทีเสวนาวิชาการวันนี้ อาจารย์ปานเทพ และ พล.ร.ท.ประทีป จารไนไปหมดแล้วว่า ทุกพรรค ทุกคนที่เสนอตนวันนี้ เป็นการเมืองน้ำเน่า เป็นเหล้าเก่าในขวดเก่า เป็นน้ำเน่ากาละมังเดิม ไม่มีอะไรใหม่เลย

การยุบสภา และการเลือกตั้งที่จะมาถึง วันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ผมให้ชื่อว่า เป็นเพียงพิธีกรรมต้มตุ๋นประชาชนอีกครั้งเท่านั้นเอง ทำไมผมจึงเรียกว่า เป็นพิธีกรรมเพื่อการต้มตุ๋นประชาชน พี่น้องครับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตัดสินใจยุบสภาเพราะอะไร ยุบสภาเพราะต้องการหนีความผิดที่ตัวเองแก้ปัญหาประเทศชาติล้มเหลวทุกด้าน ปัญหาเรื่องเอกราช เรื่องดินแดน เรื่องอธิปไตยที่ยังเป็นปัญหาคาราคาซังขณะนี้ ปัญหา MOU43 เรื่องทะเบียนมรดกโลก เรื่องกัมพูชายึดครองแผ่นดินไทย เรื่องวีระ-ราตรี ถูกจองจำ จำคุกที่กัมพูชา อภิสิทธิ์ล้มเหลว และแก้ไม่ได้เลยใช่ไหมครับพี่น้อง เป็นลูกไล่และเสียท่ากัมพูชา มาตลอด ปัญหาความไม่สงบภาคใต้ ไม่ต้องพูดถึง ล้มเหลวหมด แก้ปัญหาไม่ได้ ปัญหาเศรษฐกิจก็แก้ไม่ได้ อยู่ไปคงจะโดนไล่ออกจากอำนาจแน่นอน จึงรีบยุบสภา และพยายามจะเอาละครจัดฉากเรื่อง การเลือกตั้ง กกต. จัดฉากเลือกตั้ง มากลบปัญหาที่ตัวเองล้มเหลวในการบริหารชาติ บ้านเมืองนั่นเองครับพี่น้องครับ ไม่มีเหตุผลอื่นเลย

คำถามคือ นายอภิสิทธิ์บอกว่ายุบสภา เลือกตั้งใหม่ เพื่อจะพาประเทศไทยเดินหน้า คำถามคือ เดินหน้าไปไหน เดินหน้ากลับไปลงนรกอย่างเดิมใช่ไหมครับพี่น้อง เดินหน้าไปไหน ขณะที่แกเป็นนายกฯ แกยังพาประเทศถอยหลังลงคลองไม่เคยเดินหน้าไปไหนเลย ย่ำอยู่กับที่ น้ำเน่าอยู่กับที่ไม่มีอะไรดีขึ้น ถ้ากลับมาเป็นนายกฯอีก มีอะไรจะเดินหน้า มีแต่เดินหน้าลงนรก หนักกว่าเดิม ใช่ไหมครับพี่น้อง เพราะฉะนั้น วันนี้ ผมถึงบอกว่า ไอ้ละครที่เราดู จับเบอร์ จัดลำดับ และจับเบอร์ แล้วมาเฮ ตีฆ้อง ตีกลอง ตีฉิ่ง ตีฉาบ แสดงละครนั้น ไอ้นี่เขาเรียกเป็นพิธีกรรม เพื่อตบตา และต้มตุ๋นคนไทยจำนวนหนึ่ง ที่ยังหลงงมงายและยังหลงเชื่อ และฝากความหวังไว้กับการเลือกตั้ง ประชาธิปไตยแบบกำมะลอ จอมปลอมนี้ ประชาธิปไตยแบบนี้ เป็นประชาธิปไตยแบบจอมปลอม และหลอกต้มประชาชนครับพี่น้องครับ ไม่ใช่ประชาธิปไตยแท้จริง พิธีกรรมแบบนี้ ทำมาจนเราจับทางได้แล้ว ว่าเป็นละครการเมืองต้มตุ๋นประชาชน

พี่น้องครับ ถ้าท่านศึกษา และติดตามการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง เดี๋ยววันนี้ ผมจะพูดให้ฟัง ถ้าท่านติดตามการเมือง การเลือกตั้งในประเทศไทยมาตลอดท่านจะเห็นว่า การเลือกตั้งในประเทศไทย มันเป็นการเลือกตั้งที่สามารถแบ่งยุค แบ่งสมัยได้ อยู่ 3 ยุค 3 สมัย ที่ใหญ่ๆ ที่สำคัญ เราเลือกตั้ง ตั้งแต่ปี 2476 จนถึงปัจจุบัน เราเลือกตั้งแล้วทั้งสิ้น 26 ครั้ง รวมครั้งนี้เป็น 26 ผ่านไปแล้ว 25 ครั้ง และครั้งนี้ เป็นที่ 26 ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ครับ พี่น้อง ครั้งที่ 1 เราเลือกตั้ง 15 พฤศจิกายน 2476 / ครั้งที่ 2 7 พฤศจิกายน 2480 /ครั้งที่ 3 12 พ.ย. 2481 / ครั้งที่ 4 6 ม.ค. 2489 / ครั้งที่ 5 5 ส.ค. 2489 / ครั้งที่ 6 29 ม.ค.2491 / ครั้งที่ 7 5 มิ.ย. 2492 / ครั้งที่ 8 26 ก.พ.2495 / ครั้งที่ 9 26 ก.พ.2500 / ครั้งที่ 10 15 ธ.ค.2500 / ครั้งที่ 11 10 ก.พ.2512 / ครั้งที่ 12 26 ม.ค.2518 / ครั้งที่ 13 14 เม.ย.2519 / ครั้งที่ 15 18 เม.ย.2526 / ครั้งที่ 16 27 ก.ค.2531 / ครั้งที่ 18 22 มี.ค.2535 และครั้งที่ 19 13 ก.ย.2535 / ครั้งที่ 20 2 ก.ค.2538 / 21 17 พ.ย.2539 / 22 6 ม.ค. 2544 / 23 6 ก.พ.2548 / ครั้งที่ 24 2 เม.ย.2549 การเลือกตั้งที่เป็นโมฆะ และ 25 ครั้งสุดท้าย คราวที่แล้ว 23 ธ.ค.2550 ภายหลังรัฐธรรมนูญ 2550 ฉบับที่ใช้อยู่ปัจจุบัน และวันนี้ ที่กำลังสมัคร และจะเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554 เป็นการเลือกตั้งครั้งที่ 26 ครับพี่น้อง

ปัญหาคือถ้าท่านติดตามการเลือกตั้งทั้ง 25 ครั้ง ที่ผ่านมา และรวมครั้งที่ 26 ที่กำลังจะเลือก พี่น้องจะเห็นว่า การเลือกตั้งนั้น มันแบ่งเป็น 3 ยุคใหญ่ๆ วันนี้จะมาให้ความรู้เพิ่มเติม คือ ถ้ายุคตั้งแต่ 2476 ครั้งที่ 1 จนถึง 10 นี้ เป็นการเลือกตั้งภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข นั่นคือเมื่อพระมหากษัตริย์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสละอำนาจที่มีมาแต่เดิม และสละอำนาจนั้นให้ กับประชาชนราษฎร อันเป็นการทั่วไป คณะราษฎรที่เป็นคณะที่นำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ก็มีการร่างรัฐธรรมนูญประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับแรก และมีการเลือกตั้งในปี 2476 การเลือกตั้งครั้งที่ 1 เรื่อยมา จนถึง 10 นี้ ผมสรุปให้ว่า มันเป็นการเลือกตั้ง ที่ภายหลังจากอำนาจจากพระมหากษัตริย์ตกอยู่ในมือประชาชน ตกในมือคณะราษฎร นั่นแหละ การต่อสู้ช่วงชิงเพื่อให้ได้อำนาจการปกครอง มันจึงเป็นการต่อสู้แข่งขันช่วงชิงกันระหว่างบรรดาขุนนาง อำมาตย์ และตัวแทนราษฎรจำนวนหนึ่ง เท่านั้น แต่ส่วนใหญ่ อำนาจการเมือง การปกครอง จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันอยู่ในกำมือของบรรดาขุนนางและอำมาตย์เท่านั้น ยังไม่ตกถึงมือพี่น้องประชาชนเลย ในช่วง 10 ปี แรก 10 ครั้งการเลือกตั้ง ถ้าท่านดูรายนามของนายกรัฐมนตรีช่วงแรกๆ ของการเลือกตั้ง 10 ครั้งนี้ จะเห็นรายชื่อนายกรัฐมนตรีแต่ละท่าน ส่วนใหญ่ เป็นบุคคลที่เป็นบรรดาขุนนาง และอำมาตย์ ที่เข้าร่วมขบวนการเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะราษฎรนั่นเอง ไม่ใช่มาจากนักการเมือง หรือนักเลือกตั้งอย่างทุกวันนี้ ครับ รายนามของนายกรัฐมนตรีไทยในยุคนั้น ถ้าท่านเห็นชื่อจะรู้เลยว่า ไม่เหมือนปัจจุบันแน่ เช่น พระยามโนปกรณ์นิติธาดา พระยาพหลพลพยุหเสนา นายทวี บุณยเกตุ นายควง อภัยวงศ์ และมีจอมพล ป. พิบูลสงคราม จอมพล ป. เป็นผู้หนึ่งที่อยู่ร่วมคณะปฏิวัติคณะราษฎรที่เปลี่ยนแปลงการปกครองนั่นเอง

เพราะฉะนั้น การต่อสู้กันช่วงแรกๆ จึงเป็นการเลือกตั้งแข่งขันเพื่อชิงอำนาจระหว่างขุนนางด้วยกันเท่านั้น มาเป็นนายกรัฐมนตรี การเลือกตั้งยุคนั้น จึงไม่ค่อยมีการโกงการทุจริต อย่างรุนแรงเหมือนสมัยปัจจุบัน นี่คือยุคแรกครับ เพราะนายกฯ คนที่ 1 จึงเป็น พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ซึ่งความจริงในสมัยรัชกาลที่ 7 เคยเป็นองคมนตรีด้วย คนที่ 2 คือ พระยาพหลพลพยุหเสนา นั้น เป็นบุคคลที่อยู่ร่วมคณะราษฎร คนที่ 3 คือจอมพล ป. พิบูลสงคราม คนที่ 4 คือ นายควง อภัยวงศ์ คนที่ 5 คือ นายทวี บุณยเกตุ คนที่ 6 คือ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นะครับ คนที่ 7 คือ นายปรีดี พนมยงค์ คนที่ 8 คือ พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ครับพี่น้อง เห็นไหมครับ เพราะฉะนั้น ถ้าดูชื่อนายกรัฐมนตรีจะรู้เลยว่า การเลือกตั้งสมัยนั้น การเมืองยังอยู่ในการแข่งขันและการเลือกตั้งระหว่างขุนนางที่เพิ่งได้อำนาจใหม่ๆ จากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 นั่นเองครับ นี่คือยุคแรก

ทีนี้ พอมายุคที่ 2 ครับ ยุคที่ 2 ตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งที่ 11 เรื่อยมาจนกระทั่งถึงครั้งที่ 19 จะเป็นการเลือกตั้งในยุคเผด็จการทหาร สลับสับเปลี่ยนกับยุคประชาธิปไตยเพิ่งแตกหน่อใหม่ๆ นั่นคือยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นะครับ จอมพล ป.เป็นยุคปลายต่อเนื่องมา จอมพลสฤษดิ์ จอมพลถนอม กิตติขจร สามยุคนี้นะครับ รวมกันแล้วประมาณ 16 ปี ครับ ตั้งแต่ปี 2500 ถึงปี 2516 ก่อนจะมีเหตุการณ์ 14 ตุลา จะเป็นยุคที่ทหารปกครองบ้านเมือง ถึงมีการเลือกตั้ง ก็เป็นการเลือกตั้งที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเผด็จการทหาร ประชาธิปไตยยังไม่เบิกบาน ยังไม่มีแตกหน่อ มาแตกหน่อชูช่อเอาในช่วง 14 ตุลา 2516 เมื่อมีการลุกขึ้นสู้ ของนักเรียน นิสิต นักศึกษา เพื่อเรียกร้องรัฐธรรมนูญ และโค่นล้มอำนาจเผด็จการทหารนั่นเอง ครับ พี่น้อง

ยุคประชาธิปไตยแตกหน่อนั้น นายกฯ คนแรกคือ ศ.สัญญา ธรรมศักดิ์ หลัง 14 ตุลา 2516 แล้ว คนที่เป็นนายกฯ คือ พณ ท่าน สัญญา ธรรมศักดิ์ หลังจาก 3 ยุคนั้น มีจอมพล ป. จอมพล สฤษดิ์ จอมพลถนอม ผลัดเปลี่ยนกันแล้ว มาถึงยุคประชาธิปไตย ก็มีนายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี และเมื่อมีการเลือกตั้ง ก็มี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี มี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช มาเป็นนายกรัฐมนตรี ช่วงปี 2519 และเกิดเหตุมีการปฏิวัติ ปฏิรูปการปกครอง นำโดย พลเรือเอก สงัด ชลออยู่ ในเหตุการณ์วันที่ 6 ตุลา 2519 คนที่มาเป็นนายกฯ คือ พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ และ นายธานินทร์ กรัยวิเชียร ก่อน และมา พลเอกเกรียงศักดิ์ แล้วจึงมาถึงยุค พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งมีการเลือกตั้งภายใต้ทหาร สลับการเมืองระบอบประชาธิปไตย สลับสับเปลี่ยนกันไปมา จนกระทั่งผ่านยุคที่ 2 มาถึงยุคที่ 3 หลังจาก ป๋าเปรมลงจากอำนาจ มาเป็นยุคประชาธิปไตย จะเรียกว่า เต็มใบ หรือมีการเลือกตั้งที่ปล่อยให้บรรดาพลเรือน นายทุน เข้าสู่การเลือกตั้งจริงๆ คือยุคที่ 3 หลังจากป๋าเปรมลงจากอำนาจแล้ว นี่เป็นยุคการเมืองยุคที่ 3

การเมืองยุคที่ 3 นี่แหละ ยุคแรกพี่น้องฟังแล้วใช่ไหม ว่า เป็นยุคระหว่างขุนนาง อำมาตย์ ชิงอำนาจกัน มายุคที่ 2 พวกเผด็จการทหารชิงอำนาจกัน และควบคุมกำกับอำนาจการเมือง การปกครองของประเทศ แต่มายุคที่ 3 เป็นยุคอะไร ยุคนายทุน ขุนนางผูกขาด และทุนสามานย์ ทุนขนาดใหญ่เข้ามาสู่อำนาจการเมืองเต็มตัวเลยทีนี้ การเมืองการเลือกตั้งยุคหลังที่มีกลุ่มทุนขนาดใหญ่เข้ามา จึงเป็นการเมืองโดยกลุ่มทุน ที่มีความสามานย์ ชั่วร้าย เลวร้าย และตกต่ำที่สุด มากกว่า 2 ยุคที่ผ่านมา และคนที่เป็นต้นแบบของการเป็นนายทุน และเอาทุนขนาดใหญ่เข้าสู่การเมือง และสู่การยึดกุมอำนาจทางการเมืองคือ ทักษิณ ชินวัตร ครับพี่น้อง

ทักษิณ ชินวัตร เป็นต้นแบบนายทุนขนาดใหญ่ นายทุนผูกขาดที่ร่ำรวยเป็นหมื่นแสนล้าน ซึ่งเป็นนายทุนคนแรกที่ตั้งพรรคการเมืองและลงสู่การเลือกตั้งทางการเมือง โดยอดีตที่ผ่านมา พวกมีทุนขนาดใหญ่ ไม่ว่าทุนโรงเหล้า ทุนซีพี ทุนสัมปทานโทรคมนาคม ทุนสัมปทานก่อสร้าง ทุนสัมปทานพลังงาน หรือป่าไม้ แหล่งแร่ แหล่งสัมปทาน ทุนสัมปทานผูกขาดสินค้าอุปโภคบริโภค และธุรกิจบริการก็ตามแต่ พวกนี้ จะอยู่เบื้องหลังพรรคการเมืองทั้งหลาย โดยไม่ลงมาเล่นการเมืองเอง แต่ทักษิณ เป็นคนแรก และบุกเบิกที่ตัวเองเป็นนายทุน ลงสู่การเมือง ตั้งพรรคการเมือง ลงเลือกตั้ง และเป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง ทักษิณ เป็นต้นแบบคนแรก ที่ทำให้การเมืองระบอบทุนเข้าประเทศไทยอย่างเต็มร้อยครับ

ถ้าเราเปรียบเทียบการเมืองยุคที่ 1 ยุคที่ 2 หรือการเลือกตั้งยุคที่ 1 หรือ 2 แล้ว ยุคที่ 1 และ 2 จะเห็นว่า 1 การโกงการทุจริตน้อย ถึงแม้จะมีการโกง จะอยู่วงเงินไม่เกิน 100 ล้าน ถ้าจะมีการซื้อเสียง โกงเลือกตั้ง ก็ยังมีอยู่ แต่ไม่ถึงขนาดใหญ่อำนาจการเงินทุ่มมหาศาลเหมือนยุคนี้ ไม่ได้ซื้อยกหน่อย ซื้อกรรมการหน่วยเลือกตั้ง ซื้อไปกระทั่งถึงองค์กรอิสระต่างๆ เพื่อจะเอาชนะกันทางการเมือง ไม่ถึงขนาดใหญ่กลไกการเลือกตั้งทุกองค์กรมาเข้าสู่การเลือกตั้ง เหมือนยุคสมัยนี้ครับ ยุคสมัยนี้ โกงมากที่สุด ทุจริตมากที่สุด และทุจริตในโครงการใหญ่ เป็นหมื่นๆ แสนๆ ล้านทั้งนั้น พี่น้องครับ เพราะฉะนั้น การเมืองการเลือกตั้ง นับตั้งแต่ยุค ทักษิณมา จึงเป็นยุคที่มีการใช้เงินทุ่มมหาศาลในการซื้อตัว ส.ส. ในการใช้จ่ายเลือกตั้ง ในการโฆษณารณรงค์หาเสียง ในการที่จะทุ่มเทสรรพกำลังให้ได้ชนะการเลือกตั้ง เพราะอะไร เพราะทักษิณได้ทำให้เป็นตัวอย่างแล้ว ทันทีที่ได้เป็นนายกฯ ทันทีที่กุมอำนาจทางการเมืองจากธุรกิจที่มีวงเงิน 2-3 หมื่นล้าน สามารถทำให้ธุรกิจตัวเองร่ำรวยเป็นแสนๆ ล้านครับ เมื่อหมดยุคทักษิณพ้นอำนาจ นักการเมืองยุคหลังเอาอย่างทักษิณหมดเลย

วันนี้ ถ้าจะถามว่า คนอย่างบรรหาร คนอย่างสุวัจน์ คนอย่างสุเทพ เนวิน เชาวรัตน์ นายวิชัย รักศรีอักษร และกลุ่มทุนการเมืองที่มากุมอำนางทางการเมืองนั้น ผมเชื่อแน่พี่น้อง ความร่ำรวยของนักการเมืองพวกนี้รวมกันอาจมากกว่าทักษิณ ไม่น้อยกว่า 2 หรือ 3 เท่า เป็นแต่เพียงว่า ยุคทักษิณ มันรวยกระจุกอยู่ที่ทักษิณ แต่ยุคนี้ มันรวยกระจายไปอยู่ที่นักการเมืองคนละ 5หมื่นล้าน คนละแสนล้าน คนละสองแสนล้าน จนนักการเมืองทุกคนอิ่มหมี มีสนามบินส่วนตัว มีเครื่องบินส่วนตัว มีทรัพย์สินมากมาย มีบ้านส่วนตัวทั้งในและต่างประเทศ มีทรัพย์สินเป็นหมื่นๆ ล้าน นายสุวัจน์ ไปสร้างโรงแรม 6 ดาว ที่หัวหิน มูลค่าหลายพันล้าน เกือบหมื่นล้าน ในช่วงเวลาที่ไม่ได้เป็นรัฐมนตรี แต่กำกับกระทรวงพลังงานกระทรวงเดียว ก็สร้างความร่ำรวยมหาศาล นายเชาวรัตน์ กับเนวิน ชิดชอบ วันนี้ ก็รวยมหาศาล สุเทพ เทือกสุบรรณ ผมคิดว่าวันนี้อยู่ลำดับแนวหน้า น้องๆ ทักษิณ แล้วครับ เพราะฉะนั้น วันนี้ ที่เราเห็นมาแข่งการเลือกตั้ง แข่งกันเพื่อสมัครเป็นผู้แทน และเข้าสู่การเลือกตั้งนั้น เพราะว่า อะไร เพราะว่าการลงทุนทางการเมือง ทำให้อะไรครับ มันไม่มีอาชีพไหน อย่างที่ อ.ปานเทพ บอก และผมบอกหลายครั้ง ไม่มีอาชีพไหน และการลงทุนเรื่องอะไร ที่จะทำให้รวยเร็วและได้กำไรเร็วเท่ากับการลงทุนทางการเมืองครับ

พี่น้องครับ ลงทุนการเมือง เพื่อให้ได้เสียงเป็นรัฐบาล เพื่อให้ได้เสียงเป็นรัฐบาล ผมเชื่อว่า ลงทุนไม่เกิน 2 หมื่นล้าน พรรคเพื่อไทยกล้าลงทุน หมื่นล้าน สองหมื่นล้าน เพื่อให้ได้เสียง 250 เสียงขึ้นไป เขาใช้ไม่เกินสองหมื่นล้านหรอกครับ หมื่นล้านเขาก็กล้าลงทุน สองหมื่นล้าน สร้างคอนโดสัก 3 แท่งก็พอแล้ว ใช่ไหมครับถ้าไปลงทุน ผมไปลงทุน สร้างโรงแรม สร้างคอนโด ขาย กว่าจะได้ทุนคืน สองหมื่นล้าน ลงทุนไป หรือลงทุนสร้างทางรถไฟ สร้างทางด่วนเส้นหนึ่งกว่าจะได้ทุนคืน ต้องใช้เวลา 15 ปี 20 ปี ลงทุนทำคอนโด ทำโรงแรม ก็ไม่ต่ำกว่า 10 ปี 15 ปี ได้ทุนคืน แต่ลงทุนการเมือง 2 หมื่นล้าน ในการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม จัดตั้งรัฐบาลเสร็จ ไม่เกิน 6 เดือน ได้ทุนและกำไรคืนหมด พี่น้องครับ ภาษาการลงทุนเขาบอกว่า ไอ้นี่มันมีเบรคอีเว่น สั้นมาก คือเงินตีกลับคืนมาเร็วมาก เพระฉะนั้นวันนี้ ท่านจึงเห็นว่า บรรดาลูกท่านหลานเธอ บรรดานักการเมือง พรรคการเมือง นายทุนทั้งหลาย จึงส่งลูกหลานตัวเองมาลงทุนทางการเมือง เพราะเป็นการลงทุนที่ได้กำไรงามที่สุดครับ พี่น้อง

ส.ส.คนหนึ่ง ทำไมกล้าลงทุน 50ล้าน 100 ล้าน เพื่อให้ได้เป็นผู้แทน เพราะว่า ไอ้พวกยกมือมันก็มีรายได้ และยังมีช่องทางที่จะไปหากินจากการรับจ็อบ รับงาน ต่อเนื่องจากกลุ่มทุนขนาดใหญ่ด้วย คนที่มีรับเหมาก่อสร้าง ก็ไปรับงานต่อจากบริษัทใหญ่ ใครมีธุรกิจสัมปทานเหมืองแร่ มีสัมปทานรถยนต์ มีสัมปทานก่อสร้าง มีธุรกิจค้าขายทางใด เขาสามารถอาศัยช่องทางและตำแหน่งการเมืองหาประโยชน์ได้ มันจึงมีการลงทุนการเมืองมหาศาลครับ พี่น้อง เพราะฉะนั้น ที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยบอกว่า เลือกตั้งคราวนี้เงินจะสะพัด 50,000- แสนล้านนั้น เป็นความจริงทุกประการครับพี่น้องครับ และยิ่งเลือกตั้ง เราก็ยิ่งใช้ทุนเพื่อการเลือกตั้งสูงขึ้นเรื่อยๆ เลือกตั้งคราวนี้ กกต.ใช้ 3,800 ล้าน เป็นการเลือกตั้งที่ใช้เงินมากที่สุด และจะมีการระดมใช้เงินเพื่อหาเสียงมากที่สุดประวัติศาสตร์ แต่ทำไมเขากล้าลงทุน เพราะเขาแน่ใจว่า ถ้าได้มาเป็นรัฐบาล ได้เงินทุนคืนทันทีครับ พี่น้อง และกำไรด้วย เพราะในคดีตัวอย่างที่ศาลตัดสินยึดทรัพย์ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ มันเป็นตัวอย่างที่เราเห็นอย่างชัดเจนที่สุดว่า นักการเมืองเขาทำมาหากินอย่างไร ทำไมเขากล้าลงทุน นี่เหมือนกัน พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทย โอ้โห รวมทั้งประชาธิปัตย์ กลุ่มทุนในประชาธิปัตย์ก็กระดี๊กระด๊า เพราะถ้าได้เป็นรัฐบาล เมกะโปรเจกต์ ทั้งหลายจะเดินหน้าต่อ ที่นายอภิสิทธิ์บอกว่า เดินหน้าต่อประเทศไทย คือเดินหน้าเมกะโปรเจกต์ ให้กลุ่มทุนของพรรคการเมืองเขาทำมาหารับประทานต่อไปนั่นเอง เดินหน้าต่อทันที ทำทันที เพราะมีโครงการรออยู่แล้ว

ผมพูดมาวันนี้ เป็นเพียงว่า อยากชี้ให้พี่น้องเห็นว่า ยุคการเลือกตั้งทางการเมืองวันนี้ มันเป็นยุคละครตบตาหลอกลวงประชาชนทั้งนั้น เวลานี้ ประชาชนในประเทศมีความคิดอยู่ 2 ส่วน 2 ทาง คนส่วนหนึ่งคือยอมจำนน ก้มหัว ยอมรับระบอบการเลือกตั้งที่เป็นอยู่ สื่อมวลชนก็กระดี๊กระด๊าเต้นแร้งเต้นกาไปกับเขา เพราะอะไร เพราะสื่อมวลชนมันสื่อขี้โกงและหาแดกกับนักการเมืองเหมือนกัน เวลานี้ ที่อาจารย์ปานเทพ บอกว่า ผลสำรวจทำไมคนไทยไม่รู้สึกรังเกียจนักการเมือง คนไทยส่วนหนึ่งนะครับ จึงไม่รังเกียจนักการเมืองที่โกง ทุจริต โกงก็ได้ ขอให้ทำงานและแบ่งกูบ้าง แจกกูบ้าง พอใจเพียงเศษเงินที่นักการเมืองหยิบยื่นให้ ทำไมคนไทยไม่ตื่นตัวที่จะลุกขึ้นมาโค่นล้มกำจัดนักการเมืองเลว โกง สาเหตุเพราะว่า สื่อมวลชนและนักวิชาการที่รับใช้นักการเมืองนี่แหละตัวดี คนพวกนี้ พยายามทำให้ประชาชนคล้อยตาม เห็นไหม พอมีการเลือกตั้งจับสลากที่สนามไทยญี่ปุ่นดินแดง ช่องนั้นก็มารายงานสด ช่องนั้นก็รายงานสด ข่าววิทยุก็รายงาน ทีวี หนังสือพิมพ์ก็เต้นแร้งเต้นกากับการรายงานข่าวการเลือกตั้ง ที่เป็นข่าวน้ำเน่า สกปรกทางการเมืองที่สุด ทั้งๆ ที่รู้ ผมว่าสื่อมวลชนเหล่านี้รู้ นักวิชาการรู้ ทำมาเป็นมาวิเคราะห์ ดอกเตอร์นั้น นี้ การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นอย่างนั้น คำตอบ ถุย การเมืองสกปรกทั้งนั้น ผมถึงบอกว่า นักรัฐศาสตร์ไทยก็ขายจิตวิญญาณตัวเอง เหมือนกัน เป็นนักรัฐศาสตร์จอมปลอม และดีแต่มาลอกตำราฝรั่ง มาอธิบายให้ประชาชนฟัง ว่า ระบอบการเลือกตั้งจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จะเป็นอนาคต เป็นคำตอบ การหาเสียง นโยบายต้องแข่งขันกัน มันมีห่าไร นอกจากต้มประชาชนเฉยๆ

ผมฟัง ดร.สุขุม ฟังคนนู้นนี้พูดแล้วผมเศร้าใจ ที่นักรัฐศาสตร์ไทยทำไม โง่งม เป็นเพียงเครื่องมือปากกระบอกเสียงชวนเชื่อให้นักการเมืองเท่านั้นเอง สื่อมวลชนก็ทำเป็นมารายงานจับตา เกาะติดการเลือกตั้งอย่างนั้นนี้ แล้วมึงจับตาเกาะติด แล้วมึงเคยเห็นไหมว่า เขาโกง ปล้นบ้านกินเมืองมาตลอด จับตาเกาะติด แล้วเอาอะไรบอกประชาชน นอกจากไปรองรับความชอบธรรม การโกง การทุจริตทางการเมืองของเขา ไม่มีไรเลย สื่อมวลชนไทย เพราะฉะนั้น เมื่อสื่อมวลชนไทยเห็นดีเห็นงามกับเขา และประชาชนที่เสพสื่อ ติดตามข่าว ก็คงคิดว่า นักการเมือง พอมันโกงได้ มันรวยได้ มันมีเงินตั้งทีมฟุตบอล หมอนี่ตั้งสมาคมเทนนิส ไอ้นี่ เป็นนายกสภามหาวิทยาลัย ไอ้นี่ซื้อตำแหน่งเป็นกรรมการนู้นนี่ เวลามีกิจกรรมถวายพระเกียรติ กิจกรรมสังคม นักการเมืองเลวๆ ที่โกงเงินประชาชนก็ไปมีกิจกรรมเพื่อสร้างภาพ ล้างความโสโครกตัวเอง หลอกตาประชาชนใช่ไหมครับพี่น้อง สื่อมวลชนก็เป็นพวกที่คอยพีอาร์ ประชาสัมพันธ์ ให้บรรดานักการเมืองโสโครกเหล่านี้ เมื่อเป็นแบบนี้ทำให้ค่านิยมสังคมเปลี่ยน ทำให้คน ความจริง คนไม่ได้ชอบการโกง แต่เมื่อสังคมส่วนใหญ่ ถูกสื่อ ถูกนักวิชาการ ลากดึงไปในทางนั้น คนมันก็เอ้า ยังดี มึงมาแบ่งกูเศษๆ ก็เอา มันเลยเป็นความคิดที่ยอมจำนนไปเท่านั้นเอง พี่น้องครับ

วันนี้ คนส่วนใหญ่อย่างพวกเรา ทำไม เขาจะเลือกตั้ง หาเสียงกัน สมัครจับเบอร์นี้ ทำเป็นดีใจ กลองยาวเชิดสิงโต เฮฮาสนุกสนาน เลือกตั้งเสร็จไปไหว้พระแก้ว ไปไหว้เจ้าพ่อหลักเมือง แหม สาธุ ขอให้พระแก้ว ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองหักคอตายทีวะ ไอ้พวกโกหกตอแหล มันตอแหล มึงจะไปไหว้ทำไม ในเมื่อมึงส่งเสริมคนชั่ว คนโกงคลองเมืองอยู่ใช่ไหมครับพี่น้อง แปดเปื้อนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คู่บ้านคู่เมือง แหม เอาฤกษ์ เอาชัยหาเสียง เพื่อเป็นกำลังใจ ไอ้นี่มันตอแหลทั้งนั้น ถ้ารักชาติบ้านเมือง ซื่อสัตย์จริง คุณต้องทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดิน สู้คนชั่วคนโกง ไม่ใช่พอจะหาเสียง ไปไหว้ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ไปไหว้พระแก้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ สาธุขอให้บรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์จงลงโทษคนชั่วที่ตอแหลสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยเถอะครับ

เพราะฉะนั้นเวลาที่เห็นพวกเรา มาบอกว่า การเลือกตั้ง นักการเมือง ไม่ดีอย่างนี้ ไอ้สื่อพวกนี้ หรือนักวิชาการพวกหนึ่ง ก็พยายามจะมองพวกเราเป็นตัวตลก แปลกประหลาด ตกลงประเทศไทย คนที่คิดดี มันกลายเป็นสิ่งแปลกประหลาด คนที่คิดต่อสู้ความไม่ถูกต้อง หาว่าเราบ้า สรุปแล้ว มันก็เชิญชวนพวกเราโกงทั้งประเทศ ปล้นทั้งประเทศ ทำชั่วทั้งประเทศหรืออย่างไร ถึงจะดี เพราะฉะนั้น พี่น้องครับ วันนี้ ไอ้พวกนี้ อาจมองเราเป็นตัวตลก แปลกประหลาด แต่อย่างน้อย พี่น้อง ประเทศไทยยังมีคนส่วนใหญ่อีกส่วนหนึ่งอย่างพวกเรา ที่ไม่ยอมก้มหัวให้การเมืองชั่ว และไม่ยอมให้พวกนี้มาเล่นละครตบตาใช่ไหมครับ พี่น้องครับ ประชาชนส่วนหนึ่ง วันหนึ่งเขาจะต้องเข้าใจว่า ถ้ามีพวกเราเป็นธงนำ เป็นธงต่อสู้อยู่ และไม่ยอมก้มหัวให้สิ่งโสโครกเหล่านี้ และการเมืองน้ำเน่า เมื่อบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงเขาจะต้องเข้าใจ เพราะไม่ว่าพรรคเพื่อไทยมา ไม่ว่าประชาธิปัตย์มา พวกเราก็บอกจนไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว มันเลวพอกันใช่ไหมครับพี่น้อง จะดูบัญชีรายชื่อปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคเพื่อไทย เห็นไหมครับ เผาบ้านเผาเมืองกี่รอบ มันก็ใส่ชื่อเข้าไป จะด่าโจมตีสถาบันพระมหากษตริย์ อย่างไง ล่วงละเมิด เบื้องสูงยังไง มันก็ไม่สนใจ ใส่ชื่อเข้าไป สนับสนุนเป็นผู้แทนหมด ใครทำดี ทำชั่วอะไร ต่อบ้านเมือง เขาก็ใส่ชื่อมาหมดให้ประชาชนเลือก ส่วนอีกพรรค ทำเป็นตัวเองดูดีกว่าคนอื่น ก็ไอ้พวกขี้โกงชุดเดิมอยู่ในนั้นครบหมด ไม่ต่างอะไรกัน

เพราะฉะนั้นวันนี้ ผมคงใช้เวลาพูดคุยกับพี่น้องโดยที่จะชี้ข้อมูลให้เห็นว่า การเลือกตั้งทั้งหมด ที่ผ่านมา และที่จะเลือกตั้งต่อไปนี้ ไม่มีการเลือกตั้งครั้งไหนจะอัปยศเท่าการเลือกตั้งยุคสมัยปัจจุบันนี้แล้วพี่น้องครับ และการพัฒนา ประชาธิปไตยของประเทศเรา 79 ปี ที่เดินทางมาจนถึงวันนี้ มันมีแต่เลวลง ต่ำลง และระบบการเลือกตั้งประเทศไทยไม่มีวัน ที่จะได้คนดี มีคุณภาพ ซื่อสัตย์ สุจริตเข้ามาปกครองบ้านเมืองเลย เพราะระบบและโครงสร้างของมันเลว มันไม่มีวันทำให้คนดีกลายเป็นคนดีได้ในระบบที่มันเลวครับ พี่น้องครับ นักการเมืองส่วนหนึ่ง พยายามจะบอกว่า นักการเมืองมันก็มีดี ไม่ได้เลวหมด ผมเป็นคนเสนอทฤษฎี บอกไปเองว่า ประเทศไทยเวลานี้ ใครที่บอกทุกวงการมีคนดี คนเลว อย่าไปเชื่อ มันพูดเพื่อแก้ตัวและปกปิดความชั่วความผิดขององค์กรตัวเองเท่านั้น

ความจริงวันนี้ องค์กรสำคัญในบ้านเมืองมีคนเลวมากกว่าคนดีทุกองค์กร ผมจะบอกให้ อย่ามาเสนอหน้าว่า ทุกองค์กรมีคนดี คนเลว ใช่ แต่องค์กรมึง มีคนชั่วมากกว่าคนดี และวาทกรรม อันที่ 2 มักบอกว่า ถ้ามีคนเลวมากกว่าคนดี มันก็อยู่ไม่ได้ บ้านเมืองอยู่ไม่ได้ ไม่จริง บ้านเมืองอยู่ได้ แต่อยู่แบบเลวๆ ไงครับพี่น้อง เพราะฉะนั้น มีทั้งคนชั่วคนดีในวงการเมือง แต่มันมีคนชั่วมากกว่าคนดี ถ้าการเมืองมีคนดีมากกว่า การเมืองไม่เป็นอย่างนี้ ใช่ไหมครับพี่น้อง สอง ถ้าบอกว่าการเมือง หรือสังคม มีคนเลวมากกว่าคนดี สังคมอยู่ไม่ได้ ก็อยู่ได้ไง ประเทศไทยมันถึงอยู่แบบเลวๆ ทรามๆ สามานย์อย่างทุกวันนี้ไง คนทำชั่วได้ดี คนโกงได้ดี คนทำเลวได้ดี คนทำดีถึงลำบากไง มันถึงอยู่แบบเลวๆ ทำไมอยู่ไม่ได้ มันถึงไม่เจริญไง มันอยู่แบบเลวๆ และเงินภาษีงบประมาณแผ่นดิน ถูกผลาญแบบเลวๆ บ้านเมืองอยู่แบบต่ำๆ และถอยหลังทุกวัน

เพราะฉะนั้น ใครก็ตามอ้างว่า การเมืองมีคนดีมากกว่า ไม่จริง การเมืองประเทศไทยมีคนเลวมากกว่าคนดีแน่นอน และ 2 คนเลวมีอำนาจครอบงำระบอบการเมืองทั้งระบบ มันจึงทำให้ เขาเรียกว่า คนดีก็กลายเป็นคนเลว จึงเข้ากับสุภาษิตว่า สังคมชั่ว ทำคนให้เป็นผี คือคนดีๆ เข้าไปอยู่ในสังคมชั่ว มันก็เป็นผี เป็นคนเลวไป แต่ถ้าสังคมดี มันจะทำผีให้เป็นคนครับ พี่น้องครับ งั้นเวลานี้ พวกเราที่เราโหวตโน เพราะเราต้องการสังคมดี ส่วนใหญ่การเมืองที่ดี ส่วนใหญ่ เพื่อทำให้คนเลวมันไม่มีที่เดินและต้องปรับตัวเป็นคนดี จึงอยู่ในระบอบได้ การโหวตโนของพวกเรา แม้จะมีส่วนหนึ่ง ยังไม่เข้าใจ หรือไม่มาร่วม หรือทำหูทวนลม หรือยังหลงระเริงอยู่กับการเมืองระบอบเก่า ก็ไม่เป็นไรครับ พี่น้อง อย่าวิตกกังวล เพราะเราต้องเชื่อมั่นว่า สิ่งที่เราทำถูกต้อง ความถูกต้อง สัจธรรม และความดีงาม หรือธรรมะ ยังไงต้องชนะอธรรม และความชั่วร้ายแน่นอน แม้จะยากลำบากในช่วงต้นๆ ก็ตาม แต่ท้ายที่สุด เราต้องชนะ ความจริงจะต้องเป็นเครื่องพิสูจน์ เมื่อวันหนึ่งสังคม โกงกันหมดทุกวงการ วันหนึ่งมันจะอยู่ไม่ได้ มันจะต้องทำลายและถึงจุดแตกหักจนได้ครับ พี่น้อง คนส่วนใหญ่จะต้องตื่นและลุกขึ้นมา

วันนี้ ก่อนจบ ผมขออ่านจดหมายของพี่น้อง ชาวหาดใหญ่ สงขลาหน่อย ท่านเขียนมาเป็นบทกลอน และบทกวีดีมาก เป็นการให้กำลังใจพี่น้อง และให้กำลังใจผมด้วย นะครับ ท่านเขียนมาให้ผมด้วย เขินเหมือนกัน จะอ่านด้วยตัวเอง เอาว่า เอาบทกลอนที่เขียนถึงและมอบให้พี่น้องประชาชนทั่วไปก่อนแล้วกันนะครับ มอบให้กับพี่น้องประชาชนเพื่อนพันธมิตรทั่วไป เขียนดีมาก กลอนสุภาพ ยินดีให้ประกาศชื่อด้วย เขียนอย่างนี้ว่า แด่พองเพื่อนพันธมิตรฯ

"กราบคนจริง แด่พองเพื่อน พันธมิตรฯ คือจิตวิญญาณ ของพองพันธมิตร ที่บูชิตรักชาติ ไม่คลาดเคลื่อน รักแผ่นดิน ถิ่นไทย ไม่รางเลือน หากใครเฉือน เขตขันธ์ ฉันสู้ตาย คือจิตวิญญาณ ของพองพันธมิตร ที่บูชิต ศาสนา ค่าเลิศหลาย ยึดมั่นใน ไตรรัตน์จริง ทั้งหญิงชาย บังอบายเบิกบุญ หนุนความดี คือจิตวิญญาณ ของพองพันธมิตร ที่บูชิต กษัตริย์เลิศ ประเสริฐศรี ขอน้อมเกล้า เป็นข้าฝ่าธุลี จิตมั่นมี ไม่คลาคลาด ราชวงศ์ คือจิตวิญญาณ ของพองพันธมิตร ที่ตั้งจิตหมายผดุง มุ่งประสงค์ คนฉ้อราษฎร์ บังหลวง ต้องล้างลง อย่าให้คงเชิดร่าง สร้างสมทุน ไม่เกรงอำนาจปืน จะยืนหยัด อำนาจรัฐ หากขาดเขลา เราไม่หนุน ใช้แนวธรรม นำทาง เสริมสร้างบุญ เกิดก่อคุณ ต่อราก ต่อชาติไทย ร้อยมาลัย อักษร เป็นกลอนแก้ว มากราบแก้ว พันธมิตร จิตเลื่อมใส ด้วยความรัก ด้วยหนักหน่วง ด้วยห่วงใย น้อมหัวใจ ศิโรราบ กราบคนจริง" ด้วยจิตคารวะ คนพันธมิตรหน้าจอ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลานะครับ

ทีนี้ ท่านเขียนมาและเขียนมาถึงผมด้วย บอกว่า ปล. ขอความกรุณาคุณประพันธ์ ช่วยอ่านบทร้อยกรองนี้ บนเวทีพันธมิตรที่มัฆวานด้วยครับ ผมประสงค์ให้บทร้อยกรองนี้ ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรต่อสายตาชาวพันธมิตรทุกคน ขอความกรุณาคุณประพันธ์ คูณมี ช่วยประสานงาน ให้ลงตีพิมพ์ใน ASTV สุดสัปดาห์ด้วยครับ กราบขอบพระคุณครับ ผมจะประสานส่งให้ลง และที่ผมพูดไปนี้ คงลงไปแล้ว ท่านเขียนมาดีหลายตอนครับ และอีกตอน ท่านเขียนจดหมายมาถึงผม ท่านบอกติดตามคำปราศรัยของคุณประพันธ์ ทาง ASTV ทุกคืน ประทับใจมาก เพราะประพันธ์ ปราศรัยด้วยน้ำเสียงและข้อมูลที่หนักแน่น การร้อยเรียงข้อความมีความต่อเนื่องอย่างดีเยี่ยม ณ วินาทีนี้ ผมคิดว่า คุณเป็นนักปราศรัยลำดับหนึ่งของเมืองไทย อันนี้ท่านก็ชมผมมากไป ขอบพระคุณ ข้อสำคัญ คือคุณประพันธ์ปราศรัยด้วยจิตวิญญาณ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อย่างจริงจัง และจริงใจ ผมเชื่ออย่างนั้นครับ

ฝากบทร้อยกรอง 2 สำนวน ให้คุณประพันธ์อ่านบนเวทีพันธมิตรที่มัฆวานด้วยครับ ฝากเบอร์โทรศัพท์มือถือมาด้วย เพราะผมประสงค์จะคุยข้อมูลกับคุณประพันธ์บางเรื่อง เพื่อให้นำมาปราศรัยขยายความบนเวที บทร้อยกรองนี้ ท่านเขียนมา อ่านไปแล้วตอนหนึ่ง ท่านบอกว่า บทร้อยกรองที่ 1 เขียนถึงผม เป็นที่ระลึกให้ผม ได้ยินบนเวที เขียนให้กำลังใจคุณประพันธ์ ท่านเลยอยากเขียนให้ผม ตั้งฉายาให้ผมว่า เป็นนักสู้กู้แผ่นดิน ว่างั้นนะครับ ก็ขอขอบคุณนะครับ

ทีนี้ บทกลอนที่ท่านเขียนถึงผม อ่านเลยนะครับ เพราะท่านขอร้องให้อ่าน และขอให้ตีพิมพ์ด้วย ท่านเขียนโครง 4 สุภาพ เป็นกระทู้ แด่ ประพันธ์ คูณมี นักรบเสื้อลายของประชาชน เขาบอกว่า คือ"นักรบเก่งกล้า ของชาวชนแล ประพันธ์พจน์ ดุจดาวเด่นแท้ คูณคำยิ่ง ยอดพราว ฟังท่านพูดนา มีหนึ่งเดียวหาญกล้า ทุกถ้อย ทุกระชน ใส่เสื้อลาย ขึ้นเวที ดูดีมาก" บังเอิญเลย ผมใส่เสื้อลายมาพอดี "พร้อมใช้ปาก เป็นอาวุธ สุดส่งผล ฉีกข้อมูล แน่นหนัก ใคร่จักทน เข้าผจญ ต่อยตี ราวีมาร ด้วยหัวใจ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ สู้ยืนหยัด สืบทอด สอดประสาน แผ่นดินไทย ใครขาย หมายประจาน พร้อมข่มพาล ที่คิดคด กบฏไทย คือประพันธ์ คูณมี ที่เรารัก แจ่มประจักษ์ ด้วยความดี ที่ยิ่งใหญ่ หากเวที เลิกลา พรากคราใด ย่อมหัวใจ ยังรำลึก นึกพระคุณ ขอพระไตรรัตน์ จำรัสเลิศ มาก่อเกิดกลางใจ เอื้อไออุ่น ขอความดี ที่กระทำ จงค้ำจุน เนื่องนำหนุน ให้สุขสรร นิรันดร์เทอญ" ด้วยจิตคารวะจากใจจริง ครูพันธมิตร หน้าจอ อ.หาดใหญ่

นี่ท่านเป็นครูนะครับ ท่านเขียนมา ผมก็คิดว่า ภาษาดีมาก กลอนบทนี้ ผมจะเก็บเอาไว้ และก็ขออนุญาตว่า คงจะนำไปใช้ หรือตีพิมพ์ในโอกาสต่อๆ ไป และเชื่อว่า ASTV ก็คงตีพิมพ์ เผยแพร่ให้กับพี่น้องประชาชน เพราะเป็นทั้งบทที่ให้กำลังใจพี่น้องประชาชน และตัวผมด้วย ทำให้เรามีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป ครับ พี่น้องครับ เอาละครับ วันนี้ ไม่ร้องเพลงนะครับ ขอพักเสียงหน่อย เอาไว้วันหลังค่อยหาเพลงมาร้องให้พี่น้องฟังนะครับ วันนี้ ขอขอบพระคุณพี่น้อง และขอให้กำลังใจพี่น้องทุกท่านครับ สู้ต่อไปครับ จนกว่าชัยชนะจะได้มา ขอบคุณมากครับ