ก นยาลดน ำหน กก นน ำด โด ได ม ย

ออมนิเซฟ (Omnicef®) ประกอบด้วยตัวยา เซฟดิเนียร์ (cefdinir) เป็นยาปฏิชีวนะชนิดผงสำหรับผสมเป็นยาน้ำแขวนตะกอน ใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งมีวิธีการผสมเป็นยาน้ำแขวนตะกอนสำหรับรับประทานดังนี้5

เผยแพร่: 17 พ.ค. 2559 16:33 ปรับปรุง: 17 พ.ค. 2559 21:40 โดย: MGR Online

นักโภชนาการ โรงพยาบาลรามา บอกเคล็ดลับการลดความอ้วน ใครทำได้สามารถลดน้ำหนัก 2-3 กิโลต่อเดือน พร้อมบอกคาถา 5 ข้อในการลดน้ำหนักแบบถาวร โดยไม่ต้องพึ่งยา ชี้จากการทำงานร่วมกับแพทย์ สะท้อนให้เห็นวิธีลดน้ำหนักด้วยยา ที่คนไข้แสวงหามาใช้เอง จะเกิด yoyo effect และถ้าอ้วนมากจนปรับสูตรการกินไม่ได้ แพทย์จะเลือกผ่าตัดกระเพาะเป็นหนทางสุดท้าย และคนไข้ผ่าตัดกระเพาะจะไม่มีความสุขกับการบริโภค ขณะที่คนอ้วน จะเกิดสารพัดโรคตามมา องค์การอนามัยโลก ให้คำนิยามน้ำหนักเกิน หรือ โรคอ้วน ว่าหมายถึงภาวะร่างกายที่สะสมไขมันในส่วนต่างๆ เกินปกติ และเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ที่อาจเป็นต้นเหตุของการเสียชีวิตได้ โดยการวัดจากดัชนีมวลกาย (Body mass index) หรือ BMI ซึ่งเป็นค่าความสัมพันธ์ระหว่างน้ำหนักตัวกับส่วนสูง ซึ่งจะเป็นตัววินิจฉัยว่า คุณเข้าสู่สภาวะโรคอ้วนหรือยัง !!!

โดย BMI ของคนปกติ จะอยู่ที่ 18.5-22.9 กก.ต่อตร.ม. และถ้าหากวัดค่า BMI เกิน 25 กก.ต่อตร.ม. ขึ้นไป เรียกว่า น้ำหนักเกิน แต่ถ้า BMI เกิน 35 กก.ต่อตร.ม. ขึ้นไป จะเป็นการก้าวเข้าสู่ภาวะความอ้วน ซึ่งคนอ้วนจะรู้สึก อึดอัด รำคาญ ไม่กระฉับกระเฉง แต่สิ่งที่น่ากลัวและเป็นอันตรายที่สุด ก็คือภาวะโรคภัยที่แฝงมากับความอ้วน จนนำไปสู่การเสียชีวิตได้เช่นกัน ดังคำเปรียบเปรยที่ว่า กินมากไขมันจุกอกตาย ซึ่งตามความเป็นจริง ที่ตายก็เพราะโรคที่มีผลจากไขมันสะสม จนก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดตามมา ไม่ว่าจะเป็นเส้นเลือดหัวใจตีบ หรืออุดตัน หรือ เส้นเลือดสมองตีบ ที่ส่งผลถึงการเป็นอัมพฤกษ์ หรือ อัมพาต โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคข้อกระดูกเข่าเสื่อม จากการที่ต้องรองรับน้ำหนักมากๆ ทำให้เดินลำบากและเจ็บปวด, โรคระบบทางเดินหายใจ, โรคนิ่วในถุงน้ำดี และโรคมะเร็งบางชนิด เป็นต้น อย่างไรก็ดีภาวะไขมันในเลือดสูง ถือเป็นโรคยอดฮิต และเป็นสาเหตุการตายและรัฐต้องใช้งบประมาณในการรักษาพยาบาลค่อนข้างสูง ซึ่งสถิติของกระทรวงสาธารณสุข คนไข้ที่เป็นโรคหลอดเลือดสูงจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นทุกปี (ดูตารางประกอบ)

แม้โรคเหล่านี้จะเป็นภาวะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง แต่เป็นโรควิถีชีวิต (lifestyle disease) ที่เกิดจากการบริโภคไม่สมดุล เกินความต้องการ ที่สำคัญส่งผลต่อการเกิดภาวะโรคอ้วนตามมา และเมื่อเรารู้สึกว่าตัวเองอ้วน ก็เริ่มดิ้นรนที่จะหาทางกำจัดความอ้วนให้หมดไปโดยเร็ว ที่ผ่านมาคนจึงนิยมใช้ยาลดความอ้วน ที่หาซื้อตามท้องตลาด และนำไปสู่ภาวะช็อกและเสียชีวิตในที่สุดได้เช่นกัน ยาลดความอ้วน หาซื้อง่าย แต่เสี่ยงต่อชีวิต ดังนั้นยาลดความอ้วน จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ขายดิบขายดีของคนอยากผอม อยากสวย และได้ผลเร็ว และคนเหล่านี้ก็มักจะซื้อยาลดความอ้วนมารับประทานเองตามช่องทางต่างๆ ทั้งจากคนแนะนำ บอกต่อ หรือ จากทางโลกโซเชียล ที่มีการโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณได้อย่างเต็มที่ และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากที่สุด หรือตามร้านหมอตี๋ โดยไม่ได้มีการปรึกษาแพทย์ และมองข้ามความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตได้ หากมีการรับประทานเกินขนาด ผู้หญิงที่ทำอาชีพละครรำ รายหนึ่ง เล่าให้ฟังว่า เธอเป็นคนหนึ่งที่ซื้อยาลดความอ้วนมารับประทาน เพราะด้วยอาชีพนางรำ จะปล่อยให้ตัวเองอ้วนไม่ได้ เวลาใส่ชุดรำจะรู้สึกอึดอัด อยากลดความอ้วนแบบเร็วๆ จึงไปสั่งซื้อยาทางออนไลน์ จำนวน 30 เม็ด ราคา 500 บาท และรับประทานตอนเช้าวันละเม็ด ในระยะแรกของการใช้ยา จะไม่รู้สึกหิว และน้ำหนักลดได้เร็ว แต่พอเลิกกินจะเกิดอาการโยโย่ทันที ซึ่งตัวเธอเห็นว่ามันน่ากลัว มาถึงตอนนี้เลยเลิกและหันมาใช้วิธีการคุมอาหารและเลือกกินบางประเภททดแทน

ส่วนอีกราย บอกว่า ตัวเองกินยาลดความอ้วนประเภทแคปซูล ซึ่งซื้อมาจากคนรู้จักในราคา 300 บาท จำนวน 30 เม็ด รับประทานไปได้เพียง 2 วัน ปรากฏว่าน่าจะเป็นผลจากการกินยาลดความอ้วน เพราะมีอาการเวียนหัว มีนงง บ้านหมุน จึงต้องไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษา “ให้กินฟรีๆ ก็ไม่เอา กลัวน็อก เข็ดจริงๆ ขอคุมอาหารดีกว่า เนี่ย หนูก็เห็นคนที่แนะนำให้หนูกินเมื่อก่อนหุ่นเค้าเช้งมาก แต่ตอนนี้เค้าอ้วนมาก บอกว่าเลิกกินยาลดความอ้วนแล้วเหมือนกัน แต่มันกลับมาอ้วนมากกว่าเดิมอีก” ขณะเดียวกันที่ปรากฏเป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ เกี่ยวกับคนใช้ยาลดความอ้วน ตัวอย่างเช่น กรณีพริตตี้สาวกระโดดตึกจากคอนโดชั้น 16 ย่านสุขุมวิทเมื่อช่วงปลายปี 58 คาดว่าน่าจะมาจากสาเหตุกินยาลดความอ้วนแล้วทำให้เกิดอาการประสาทหลอน นอกจากนี้ยังมีประเภทที่เลือกใช้ยาดีท็อกซ์เพื่อลดความอ้วน จนทำให้มีภาวะเลือดสีชมพู เนื่องจากภาวะเม็ดเลือดแดงแตก จนต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล เพราะมีอาการปวดท้อง และมีอาการแทรกซ้อนหลายอย่าง จนต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ

สิ่งที่ปรากฏให้เห็นซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดว่า คนไทยยังนิยมซื้อยาลดความอ้วนมารับประทานก็คือข่าวการเข้าบุกทลายแหล่งขายยาลดความอ้วนรายใหญ่ ที่ใช้การตลาดออนไลน์โฆษณาและเข้าถึงลูกค้าทั่วประเทศได้ง่าย กว่า 1.6 แสนเม็ด โดยมีมูลค่ากว่า 5 ล้านบาท ซึ่งยาลดความอ้วนจะอยู่ในรูปแคปซูลหลากสี เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา แม้ว่าหน่วยงานรัฐจะออกมาเตือนถึงภัยอันตรายของการซื้อยากินเองแล้วก็ตาม ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ระบุยาลดน้ำหนักแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ แยกตามตำแหน่งการออกฤทธิ์ของยา คือ 1. ยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบร่างกาย คือยาไซบูทรามิน (sibutramin) ซึ่งถูกระงับเพิกถอนทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยที่เพิกถอนทะเบียนตำรับยา และไม่อนุญาตให้จำหน่ายในประเทศไทย เพราะพบว่าเป็นอันตรายต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจ มีโอกาสจะหัวใจวายได้ 2. ยากลุ่มออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ซึ่งอยู่ในความดูแลของ อย. จำหน่ายได้เฉพาะในสถานพยาบาลที่มีใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะ และไม่มีจำหน่ายในร้านขายยาแต่ในความเป็นจริงแล้ว คนที่มีภาวะโรคอ้วน หรือ คนอ้วน ก็ต้องค้นหาสาเหตุก่อนว่าเกิดจากอะไร และควรจะต้องใช้ยาหรือไม่ หรือแค่การปรับพฤติกรรมการกินให้เหมาะกับตัวเองก็จะทำให้เรามีสรีระและสุขภาพที่ดีตามต้องการได้ เช่นกัน ลดความอ้วน ถูกวิธีง่ายนิดเดียว

ธัญวรินทร์ ตั้งเสริมวงศ์ หัวหน้าฝ่ายโภชนาการ โรงพยาบาลรามาธิบดี บอกเล่าถึงกระบวนการลดความอ้วน เพราะโดยหน้าที่แล้ว เมื่อคนไข้ไปทำการตรวจจากแพทย์และค้นพบสาเหตุก็จะส่งต่อมาที่ฝ่ายโภชนาการ ที่จะเป็นผู้ดูแลคนไข้ต่อไป ซึ่งเคล็ดลับการลดน้ำหนักไม่ได้มีอะไรซับซ้อน อยู่ที่ความอดทนของตัวคนไข้เองเป็นหลัก โดยโรคอ้วน ในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ จากปัจจัยหลายๆ อย่าง แต่ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้คนอ้วนคงหนีไม่พ้น เรื่องพฤติกรรมการกินที่ผิด หรือ การกินมากเกิน ไป การไม่ออกกำลังกาย หรือจากโรคบางโรค เช่นโรคไฮโปไทรอยด์ หรือ ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ ดังนั้น การลดความอ้วนตามหลักโภชนาการ ในขั้นตอนแรก คือ การปรับพฤติกรรมการกิน เริ่มจากการไม่กินของทอด น้ำผลไม้ ขนมจุกจิก ตามด้วยการควบคุมปริมาณการกิน การออกกำลังกาย และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต้องมีความตั้งใจที่จะทำตามขั้นตอนให้ได้ “การลดน้ำหนักที่ดีจะนำไปสู่ผลสำเร็จนั้น หัวใจสำคัญที่สุดคือ การปรับพฤติกรรมการกิน คือ ต้องไม่อด ไม่ลดและกินให้ครบ 3 มื้อ” หัวหน้าฝ่ายโภชนาการฯ ได้เผยเคล็ดลับการลด หรือวิธีการลดน้ำหนักด้วยตัวเอง ที่จะสามารถลดภายใน 1 อาทิตย์ จะลดน้ำหนักได้ครึ่งกิโลกรัม หรือ 500 แคลอรี ดังนี้ ควรกินข้าวไม่เกินมื้อละ 1 ทัพพี กับข้าวเน้นเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน เช่น หมู ไก่ ปลา ไข่ ต้องมากๆ ให้เพียงพอใน 1 มื้อ ซึ่งประมาณ 6 ช้อนโต๊ะ หรือ 1 ขีดต่อมื้อ โดยกับข้าว ควรนึ่ง ปิ้ง ย่าง ยกเว้นพวกทอด และตามด้วยผลไม้สดอะไรก็ได้ประมาณ 1 ผลเล็กๆ หรือ 6-8 คำ พอดีๆ ทั้งนี้ ของทอด ของมัน โดยเฉพาะน้ำอัดลม ต้องยกเว้นหมดซึ่งถ้าทำตามสูตรนี้และควบคุมปริมาณอย่างเคร่งครัด จะสามารถลดได้ 500 แคลอรี หรือครึ่งกิโล ภายใน 1 อาทิตย์ ตรงนี้เป็นการลดน้ำหนักตามธรรมชาติ คือ กินแบบถูกวิธีตามหลักโภชนาการ ซึ่งการกินลดน้ำหนักวิธีนี้ ต้องเน้นทางด้านเนื้อสัตว์ (ไม่มีไขมัน) เป็นหลัก ถือเป็นการกินเปลืองตังค์ เพราะต้องกินโปรตีนให้ได้ตามกำหนด เนื่องจากโปรตีนจะเข้าไปช่วยเสริมไม่ให้กล้ามเนื้อเหี่ยว และโปรตีนก็ต้องมาจากเนื้อสัตว์เป็นหลัก ส่วนพวกถั่ว ถึงแม้จะให้โปรตีน แต่จะมีแป้งซึ่งช่วยให้อ้วนได้เช่นกัน และถ้าต้องการลดน้ำหนัก หากทำตามสูตรที่กำหนดไว้ น้ำหนักตัวจะค่อยๆ ลดลง พร้อมการปรับตัวของสภาพร่างกายซึ่งถือว่าเป็นวิธีการธรรมชาติที่ดีที่สุด และไม่ส่งผลกระทบข้างเคียงแต่อย่างใด คาถา 5 ข้อห่างไกลความอ้วน

ธัญวรินทร์ ระบุว่า กรณีผู้ป่วยที่อ้วนมากๆ ที่มีพฤติกรรมการกินที่ไม่ดีมานานและค่อนข้างปรับด้านการกินได้ยาก และมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคสูง แพทย์ก็จะเลือกการผ่าตัดกระเพาะ แต่จะเป็นทางเลือกสุดท้ายของผู้ป่วยที่อ้วนมากๆ ซึ่งเป็นการเสียค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง และค่อนข้างทรมานเพราะทำให้กระเพาะเล็กลง ที่สำคัญคือ ผู้ที่ผ่าตัดจะไม่มีความสุขด้านการกินเลย ซึ่งคนไข้เพศหญิงจะมีมากกว่าเพศชาย ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะผู้หญิงให้ความสนใจในรูปร่างมากว่าและใช้วิธีการลดแบบผิดๆ ทำให้เกิดอาการโยโย่ เกิดภาวะความอ้วนเด้งกลับเป็นทวีคูณ

หลายๆ คนที่หาหนทางกำจัดความอ้วนไม่ว่าจะเป็นทางด้านอดอาหาร กินยา ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นการลดความอ้วนทางลัด ได้ผลเร็วผอมสมใจเพียงระยะหนึ่ง แต่หากไม่รักษาวินัยและมีพฤติกรรมการกินเหมือนเดิมความอ้วนก็กลับมา และจะส่งผลทำให้ความอ้วนเป็นสองเท่าจากเดิม โดยคนกลุ่มนี้จะมีจำนวนค่อนข้างมาก

ดังนั้นการลดน้ำหนักที่ถูกวิธีต้องค่อยๆ ลดลง และให้ร่างกายค่อยๆ เผาผลาญ แต่ถ้าเรากินยาลดน้ำหนัก จะส่งผลต่อระบบประสาททำให้เรากินอาหารน้อยลง ได้พลังงานน้อยลง ร่างกายจะไปดึงพลังงานจากไขมันที่สะสมในร่างกายมาใช้ น้ำหนักตัวจึงลดลง แต่ถ้าเราไม่ได้เสริมหรือกินโปรตีนให้มากๆ จะทำให้สูญเสียโปรตีน และทำให้กล้ามเนื้อเหี่ยว เรียกได้ว่า ยิ่งเราทานยาลดน้ำหนักนานเท่าไหร่ก็จะยิ่งเสียโปรตีน(กล้ามเนื้อ) ไปมากเท่านั้น พอสักพักหนึ่งร่างกายเริ่มปรับตัวให้เผาผลาญพลังงานน้อยลง “หากผู้บริโภคกลับมามีพฤติกรรมการกินเหมือนเดิม ประกอบกับ โปรตีน (กล้ามเนื้อ) น้อยลงก็จะส่งผลให้ร่างกายอ้วนเพิ่มไปอีกเท่าตัว ซึ่งเรียกว่า yoyo effect เป็นสิ่งที่ทุกคนไม่ปรารถนา” ในมุมมองของนักโภชนาการ “ธัญวรินทร์” ย้ำว่า การเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและรู้จักการกินแบบถูกวิธี น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด และเมื่อคนไข้มาพบหมอ หมอก็จะแนะนำให้ควบคุมทางด้านอาหารก่อน โดยส่งมาปรึกษากับทางนักโภชนาการให้คำแนะนำ

ส่วนคาถาหลีกเลี่ยงความอ้วน ที่หัวหน้าฝ่ายโภชนาการรามาฯ บอกให้คนที่ต้องการห่างไกลโรคอ้วนท่องให้ขึ้นใจและปฏิบัติให้ได้เพียง 5 ข้อก็จะทำให้เราห่างไกลความอ้วน โดยไม่ต้องพึ่งตัวช่วยใดๆ ประกอบด้วย 1.ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน 2. เน้นคุณค่าอาหาร 3. ควบคุมปริมาณ 4. ออกกำลังกาย 5. มีความตั้งใจที่จะลด เพราะการลดความอ้วนอยู่ที่ “ใจและปาก” หากมุ่งมั่น จะได้ผลถาวรที่สุด…. ส่วนผู้ที่อยากลดน้ำหนักแบบมั่นคงและปลอดภัย ปัจจุบันโรงพยาบาลรัฐหลายแห่งเปิดให้บริการด้านนี้เช่นคลินิกโรคอ้วนโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ศูนย์ป้องกันและบำบัดโรคอ้วนถาวร โรงพยาบาลรามาธิบดี ขณะที่โรงพยาบาลศิริราชใช้บริการได้ที่กลุ่มงานแพทย์อายุรศาสตร์ รวมไปถึงโรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลเอกชน โรงพยาบาลยันฮี โรงพยาบาลสมิติเวช เป็นต้น