กร งธนบ ร ล ม สลาย เพราะ สาเหต ใด

เผยแพร่: 6 ก.พ. 2558 20:05 ปรับปรุง: 7 ก.พ. 2558 11:00 โดย: MGR Online

“ชายจืด” งง!! ป.ป.ช. ฟื้นคดีฟ้องสลายชุมนุมพันธมิตรฯ ปี 51 หลัง ศาลฎีกาฯ เลือก 9 เปาฟันคดีสมชาย ปฏิบัติมิชอบ แม้คดีนี้คณะทำงานร่วมระหว่าง ป.ป.ช. และ อสส. ไม่สามารถหาข้อยุติในคดีได้ แต่ ป.ป.ช. ก็เป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาเอง

ต้องจับตาดูว่า ในวันที่ 24 ก.พ. เวลา 10.00 น. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำสั่งจะประทับรับฟ้องหรือไม่ ในคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องสั่งสลายการชุมนุมปี 51

ขณะที่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนรู้สึกงง นึกว่าจบไปแล้ว เพราะตอนนั้นอัยการสูงสุด (อสส.) สั่งไม่ฟ้อง และวุฒิสภามีมติไม่ถอดถอน และที่ผ่านมาไม่ได้ทำอะไรที่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม หวังว่าจะได้รับความเป็นธรรมจากศาล เพราะมั่นใจว่าบริสุทธิ ไม่ได้สั่งสลายการชุมนุม

“แต่ถ้าศาลมีคำสั่งรับฟ้องจริง ก็ต้องไปต่อสู้ วันนี้วิพากษ์วิจารณ์กันเยอะ ตั้งข้อสังเกตถึงความไม่ต้องการให้คนตระกูลชินวัตรกลับมาเล่นการเมือง แต่ตนอยากบอกว่า คนตระกูลชินวัตรผูกขาดการเมืองไม่ได้ เพราะล้วนแต่มาจากฉันทามติประชาชน ตามกติกาเลือกตั้ง เห็นว่าตนเป็นลูกเขยชินวัตรแล้วจะมาผูกขาดคงไม่ใช่” นายสมชายระบุ

รายงานระบุว่า เมื่อวันที่ 21 ม.ค. ที่ผ่านมา นายดิเรก อิงคนินันท์ ประธานศาลฎีกา ได้เป็นประธานที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา โดยเรียกประชุมผู้พิพากษาศาลฎีกาทั้งหมด 173 คน เพื่อเลือกผู้พิพากษา 9 คน เป็นองค์คณะพิจารณาคดีหมายเลขดำ อม.2/2558 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี, พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี, พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น. เป็นจำเลยที่ 1 - 4 ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 295 และ 302

โดย ป.ป.ช. ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 7 ม.ค. ที่ผ่านมา กรณีเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 51 รัฐบาลนายสมชาย ได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่ปิดล้อมทางเข้ารัฐสภา กระทั่งเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และมีผู้บาดเจ็บ 471 ราย

ทั้งนี้ ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้มีมติเลือก น.ส.เพลินจิต ตั้งพูลสกุล, นายวีระพล ตั้งสุวรรณ, นายศิริชัย วัฒนโยธิน และนายชีพ จุลมนต์ ทั้งหมดเป็นรองประธานศาลฎีกา, นายชาติชาย อัครวิบูลย์ ประธานแผนกคดีผู้บริโภคฯ, นางพฤษภา พนมยันตร์ ประธานแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวฯ, นายธนฤกษ์ นิติเศรณี ประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองฯ, นายนิยุต สุภัทรพาหิรผล ประธานแผนกคดีแรงงานฯ และนายธนสิทธิ์ นิลกำแหง ประธานแผนกคดีเลือกตั้ง เป็นองค์คณะ เพื่อพิจารณาคดีดังกล่าว โดยหลังจากนี้ผู้พิพากษาทั้ง 9 คน ซึ่งเป็นองค์คณะจะประชุมกันเป็นการภายใน เพื่อเลือกผู้พิพากษา 1 คน เป็นเจ้าของสำนวน ขณะที่ศาลฎีกาฯ นัดฟังคำสั่งว่าจะประทับรับฟ้องเป็นคดีหรือไม่ในวันที่ 24 ก.พ. นี้ เวลา 10.00 น.

สำหรับคดีดังกล่าว ป.ป.ช. ได้ยื่นฟ้องคดีเองต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยคำฟ้องบรรยายพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 6 - 7 ต.ค.51 ขณะจำเลยทั้ง 4 ดำรงตำแหน่ง ได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ดำเนินการสลายการชุมนุมของกลุ่ม พธม. เพื่อเปิดทางให้ ส.ส. ได้เข้าประชุมสภา ในวันที่ 7 ต.ค. 51 หลังจากที่กลุ่มผู้ชุมนุมได้ปิดล้อมทางเข้ารัฐสภา โดยนายสมชาย จำเลยที่ 1 ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีขณะนั้น ได้เรียกประชุม ครม.นัดพิเศษ และเรียก พล.ต.อ.พัชรวาท จำเลยที่ 3 ผบ.ตร. ขณะนั้น และ พล.ต.ท.สุชาติ จำเลยที่ 4 ผบช.น. ขณะนั้น พร้อมคณะเข้ารับฟังนโยบายของรัฐบาลต่อสถานการณ์ชุมนุม ซึ่ง นายสมชาย จำเลยที่ 1 มีคำสั่งให้ พล.ต.อ.พัชรวาท จำเลยที่ 3 ต้องดำเนินการให้สมาชิกรัฐสภาเข้าประชุมให้ได้

ต่อมาได้มีการใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าทำการสลายการชุมนุม โดยยิงและขวางแก๊สน้ำตาที่บรรจุด้วยวัตถุระเบิดแรงสูงเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุม โดยจำเลยทั้ง 4 เป็นเจ้าพนักงานที่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบดูแลการชุมนุมของประชาชนที่เป็นการใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตย แต่กลับใช้อำนาจสั่งสลายการชุมนุมโดยไม่ได้คำนึงถึงความเหมาะสม และไม่ได้ดำเนินการตามหลักสากลที่ใช้ในการสลายการชุมนุม กระทั่งเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย รวมทั้งได้รับบาดเจ็บ และได้รับบาดเจ็บสาหัส 471 ราย เหตุเกิดที่หน้ารัฐสภา ถ.อู่ทองใน, ถ.พิชัย และ ถ.สุโขทัย, บริเวณหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล ลานพระบรมรูปทรงม้า และบริเวณใกล้เคียงท้องที่เขตดุสิต กทม.

โดยโจทก์ขอให้ศาลฎีกาฯ พิจารณาพิพากษาลงโทษจำเลยทั้ง 4 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2550 มาตรา 70 และ 92 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 295 และ 302

คดีนี้นับเป็นคดีแรกที่ได้มีการยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่มิชอบจากการสั่งสลายการชุมนุม โดยคดีดังกล่าว ป.ป.ช. ได้มีคำสั่งชี้มูลความผิดจำเลยทั้งสี่เมื่อปี 52 และได้ส่งสำนวนให้ นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด ขณะนั้น กระทั่งเมื่อวันที่ 9 ต.ค. 55 อัยการได้มีคำสั่งไม่ฟ้อง และส่งเรื่องกลับไปที่ ป.ป.ช. โดย ป.ป.ช. ได้ทำคำฟ้องและรวบรวมสำนวนพยานหลักฐานทั้งหมดยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาฯ เองในเดือน ม.ค.58 นี้ ซึ่งนับเวลาตั้งแต่วันเกิดเหตุเมื่อปี 51 จนถึงวันฟ้อง ใช้เวลามากกว่า 6 ปีเศษ

สำหรับ นายสมชาย ถือเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ที่ถูกยื่นฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลฎีกาฯ นับจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกยื่นฟ้องเป็นคนแรกในคดีทุจริตโครงการต่างๆ หลายสำนวน

รายงานระบุด้วยว่า ก่อนหน้านั้น คดีนี้คณะทำงานร่วมระหว่าง ป.ป.ช. และ อสส. ไม่สามารถหาข้อยุติในคดีได้ ป.ป.ช. จึงเป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเอง แต่ขณะนี้ศาลได้รับคำฟ้องไว้แล้ว