รถท ม ความเร ว 242ไมล ต อช วโมง

คณะที่ปรึกษา นายแพทย์กฤษฎา หาญบรรเจิด แพทย์หญิงจุรีพร คงประเสริฐ ดร.กิตติพงษ์ เกิดฤทธิ์ กองบรรณาธิการ นางนิตยา พันธุเวทย์ นางสาวปิยนุช จันทร์อักษร นางสาวสุธาทิพย์ ภัทรกุลวณิชย์ นางสาวชนิดดา ตรีวุฒิ นางสาวเบญชญาพัชช์ อนันท์ธณานินท์ นางสาวภัชร์จิรัสม์ ธัชเมฆรัตน์ ISBN : 978-616-11-4834-8 หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader ผู้อําานวยการกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค รองผู้อําานวยการกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค ผู้อําานวยการกองสาธารณสุขท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กองสาธารณสุขท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น จัดพิมพ์โดย พิมพ์ที่ ปีที่พิมพ์ กองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข สําานักพิมพ์อักษรกราฟฟิคแอนด์ดีไซน์ กรุงเทพฯ มีนาคม 2565 จําานวน 50 เล่ม สำําาหรับอ้างอิง Nitaya Bhantuwate, Piyanut Chanakson, Suthathip Pattaragulwanit, Chanidda Triwut, Benchayaphat Ananthananin and Pachjirat Thachmakerat. NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader. Bangkok : Aksorn Graphic and Design Publishing House, 2565.

คําานําา โรคไม่ติดต่อเร้อรังเป็นปัญหาสําาคัญด้านสาธารณสุขอันดับต้น ๆ ในประเทศไทย ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกในยุคโลกาภิวัตน์ และสังคมไทย ที่เข้าสู่สังคมสูงวัย และในปัจจุบันมีการแพร่ระบาดของโรคติดเช้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทําาให้ประชาชนมีการดําารงชีวิตเปลี่ยนแปลงจากเดิมเป็นวิถีชีวิตปกติใหม่ (New Normal) นอกจากนยี งั มกี ารเปลย่ี นแปลงของสภาพแวดลอ้ มทเี่ กดิ จากการใชท้ รพั ยากรธรรมชาตอิ ยา่ งไมเ่ หมาะสม ทําาใหเ้ กดิ ปญั หาสงิ่ แวดลอ้ มทเี่ พมิ่ ขน้ ตามการขยายตวั ของเศรษฐกิจและความเป็นชุมชนเมอ้ ง ปัญหามลพิษทางอากาศและปริมาณฝุุ่นละออง (PM 2.5) ที่เกินค่ามาตรฐาน ปัจจัยเหล่านีส่งผลให้พฤติกรรมสุขภาพทปี่ รับเปลี่ยนไป ตอ่ สภาวะความเปน็ อยู่ เกดิ การเปลยี่ นแปลงระยะยาวทสี่ ง่ ผลตอ่ สขุ ภาพของคนไทยทงั ทางตรงและทางออ้ ม เพม่ิ ความเสยี่ งตอ่ การเกดิ โรคไมต่ ดิ ตอ่ มากขน้ รวมถง้ มภี าวะแทรกซอ้ น ที่มีความรุนแรงข้นกว่าเดิม ส่งผลกระทบต่อภาระค่าใช้จ่ายทางสุขภาพที่เพม่ิ ข้นตามไปด้วย เมอ้่ วเิ คราะหง์ านตามแผนปฏิริ ปู ประเทศ (ฉบบั ปรบั ปรงุ ) ดา้ นสาธารณสขุ ในกจิ กรรมที่ 2 โรคไมต่ ดิ ตอ่ เรอ้ รงั และการสง่ เสรมิ สขุ ภาพปอ้ งกนั โรค โดยมเี ปา้ หมายกจิ กรรม เพ้่อเพ่ิมประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการสร้างเสริมสุขภาพ ความรอบรู้ด้านสุขภาพ การป้องกันและดูแลรักษาโรคไม่ติดต่อสําาหรับประชาชนและผู้ปวยพบว่ามีช่องว่าง การทําางานด้านสาธารณสุขในท้องถนิ่ ของบุคลากรในองค์กรปกครองส่วนท้องถนิ่ (อปท.)ซ่้งเปน็ บุคลากรด่านหน้าในการดูแลประชาชนในพ้นที่และไมม่ ีหลักสูตรทเ่ีก่ียวขอ้ งกับ การป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสาํา หรับบุคลากรกรมส่งเสริมการปกครองท้องถนิ่ ในประเทศไทย ดังนันกองโรคไม่ติดต่อกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุขและกองสาธารณสุขท้องถิน่ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถน่ิ กระทรวงมหาดไทยจง้ได้ร่วมกันจัดทําา หลกั สตู รการปอ้ งกนั ควบคมุ โรคไมต่ ดิ ตอ่ สําาหรบั ผนู้ ําาทอ้ งถนิ่ ในครงั นขี น้ เพอ้่ ใชใ้ นการพฒั นาบคุ ลากรองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ ทเ่ี ปน็ ระดบั ผนู้ ําาใหเ้ กดิ ความตระหนกั เหน็ ความ สําาคัญและดําาเนินการบริหารจัดการป้องกันควบคุมโรคไมต่ ิดต่อของประชาชนในพ้นทไี่ ด้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยงิ่ ข้น กองบรรณาธิการ ธันวาคม 2564 หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น ก

สารบัญ เรื่อง หน้า คําานําา ก สำารบัญ ข ช่ือหลักสำูตร 1 หน่วยงานท่ีรับผิดชอบ 1 หลักการและเหตุผล 1 วัตถุประสำงค์ของหลักสำูตร 2 กลุ่มเป้าหมาย 2 ขอบเขตเนื้อหาและรายละเอียดหลักสำูตร 2 ระยะเวลาการฝึกอบรม 4 คณะท่ีปรึกษาหลักสำูตร 4 คณะทําางานหลักสำูตร 4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 4 โครงสำร้างหลักสำูตร 5 วิธีการจัดกระบวนการเรียนรู้ 5 ประมวลรายวิชาและเน้ือหารายวิชาหลักสำูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสำําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 6 หมวดวิชาที่1 พลวัตการเปลี่ยนแปลงของโลกท่ีมีความสัมพันธ์เช้่อมโยงกับโรคไม่ติดต่อ 7 1.1 ความสําาคัญของท้องถิ่นกับการจัดการโรคไม่ติดต่อ 17 หมวดวิชาท่ี2 โรคไม่ติดต่อและหลักการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ 22 หมวดวิชาท่ี3 ระบาดวิทยาและชุดข้อมูลท่ีใช้การวิเคราะห์สถานการณ์การป้องกันโรคไม่ติดต่อในชุมชน 30 หมวดวิชาที่4 การประเมินสถานการณ์ปัจจัยเสี่ยงและปัจจัยกําาหนดสุขภาพชุมชน 47 ข NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

เรื่อง หมวดวิชาที่ 5 หน้า การสร้างเสริมสุขภาพและลดความเสี่ยง ป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อในชุมชน 69 5.1 อาหารป้องกันโรคไม่ติดต่อ 78 5.2 การออกกําาลังกายและกิจกรรมเคล่้อนไหวทางกาย ลดความเสี่ยงและป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อในชุมชน 115 5.3 การลดการบริโภคผลิตภัณฑ์ยาสูบในชุมชน 154 5.4 กลยุทธ์์การควบคุมการบริโภคสุราในชุมชน 164 5.5 ฝุุ่นละออง (PM 2.5) และสารเคมีในสิ่งแวดล้อมกับโรคไม่ติดต่อและการป้องกัน 186 5.6 ความเครียดกับโรคไม่ติดต่อ และการจัดการลดความเครียด 198 5.7 การสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) กับการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อในชุมชน 214 5.8 เทคนิคการส้่อสารเพ้่อการสร้างเสริมสุขภาพในชุมชน 231 5.9 การจัดทําาข้อตกลงในชุมชนและบทบาทความสําาคัญต่อการพัฒนาท้องถ่ินด้านโรคไม่ติดต่อ 256 การจัดการส่ิงแวดล้อมเพ้่อป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อในชุมชน 270 การจัดทําาแผน ออกแบบโครงการ และกิจกรรมการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อในชุมชน 282 การติดตามประเมินผลโครงการ/กิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับประชาชนในพ้นที่ 311 กฎหมายส่งเสริมคุ้มครองสุขภาพและกฎหมาย กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ 318 9.1 งบประมาณ การเงิน และการจัดซ้อจัดจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การใช้และการพัฒนาส้่อเทคโนโลยีดิจิทัลในชุมชน หมวดวิชาท่ี 6 หมวดวิชาที่ 7 หมวดวิชาท่ี 8 หมวดวิชาที่ 9 หมวดวิชาท่ี 10 ภาคผนวก 327 357 369 370 370 374 • ภาคผนวก ก ตารางสำอน ตารางสอนภาคทฤษฎี ตารางสอนภาคปฏิิบัติ หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น ค

เร่ือง หน้า ง NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader • • • • • ภาคผนวก ข ใบงานภาคปฏิบัติ 375 ภาคผนวก ค แหล่งเรียนรู้เพ่ิมเติม 382 ภาคผนวก ง คณาจารย์และคณะทําางานหลักสำูตร 385 คณาจารย์หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น (ภาคทฤษฎี) 385 อาจารย์ท่ีปร้กษาของหลักสูตร (ภาคปฏิิบัติ) 386 คณะทําางานหลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 387 ภาคผนวก จ คําาสำ่ังคณะกรรมการและคณะทําางาน 388 คําาสั่งคณะกรรมการพิจารณากรอบเน้อหาหลักสูตรและชุดเคร้่องม้อในการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 388 คําาสั่งคณะทําางานจัดทําาหลักสูตรและชุดเคร้่องม้อในการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 390 คําาสั่งคณะทําางานจัดทําาหลักสูตรและชุดเคร่้องม้อในการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน (เพิ่มเติม) 393 ภาคผนวก ฉ ใบประกาศนียบัตร 394

หลัักสููตรการป้้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสูําาหรับผูู้นําาท้องถิ่ิน (หลัักสููตร พ.ศ. 2564) 1. ชื่่อหลัักสููตรภาษาไทย : หลัักสููตรการป้้องกันควบคุมโรคไมต่ ิดต่อสูําาหรับผูู้นําาท้องถิ่ิน ชื่่อหลัักสููตรภาษาอังกฤษ :NCDPreventionandControlCurriculumforLocalLeader 2. หน่่วยงาน่ท่รับผิิดชื่อบ : กองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระท้รวงสูาธารณสูุข แลัะกองสูาธารณสูุขท้อ งถิ่นิ กรมสู่งเสูริมการป้กครองท้องถิ่นิ กระท้รวงมหาดไท้ย 3. หลัักการแลัะเหตุผิลั ป้จั จบุ นั กระแสูความเป้ลัย่ นแป้ลังอยา่ งรวดเรว็ ของโลักแลัะสูงั คม เช่น่ การเกดิ โรคตดิ เช่อ้ ไวรสูั โคโรนา 2019 (COVID-19) ท้ม่ ผู้่ ตู ดิ เช่อ้ สูะสูม 26,370 คน แลัะมผู้่ เู สูย่ ช่ว่ ติ ถิ่ึง 85 คน (ขอ มูลัจากรายงานสูถิ่านการณ์โควิด-19 กรมควบคุมโรค วันท้่ 7 ม่นาคม 2564) แลัะท้ําาใหป้ระช่าช่นช่าวไท้ยตองใช่ช่่วิตแบบป้กติวิถิ่่ใหม่ (New Normal) ท้ําาให การดําารงช่่วิตเป้ลั่ยนแป้ลังไป้ การเริมเขาสูู่สูังคมผูู้สููงอายุของป้ระเท้ศไท้ย โดยสูัดสู่วนป้ระช่ากรกลัมุ่ ผูู้สููงอายุไดเพิ่ิมขึนอย่างรวดเร็วเป้็นรอยลัะ 16.5 ในป้ี 2559 แลัะม่แนวโนม จะเพิ่มิ สููงถิ่ึงรอยลัะ 32.2 ในป้ี 2575 นอกจากน่แนวโนมผู้สูู ูงอายุท้ต่ องอย่ตู ามลัาํา พิ่ังแลัะเจ็บป้่วยดวยโรคไม่ติดต่อเพิ่มิ มากขนึ สู่งผู้ลัต่อภาระค่าใช่จ่ายท้างสูุขภาพิ่ท้เ่ พิ่มิ ขนึ ตามไป้ดวย รวมถิ่ึงความเจริญกา วหนาท้างเท้คโนโลัย่แลัะการเขาถิ่ึงขอมูลัข่าวสูาร โดยอัตราการใช่เท้คโนโลัยข่ องคนไท้ยในป้ี 2558 พิ่บว่าม่การเขาถิ่ึงอินเท้อร์เน็ตรอยลัะ 39.3 คอมพิ่ิวเตอร์รอยลัะ 34.9 แลัะโท้รศัพิ่ท้์ม้อถิ่้อรอยลัะ 79.3 ป้ระช่าช่นสูามารถิ่ติดต่อสู้อสูาร แลัะเขาถิ่ึงขอมูลัต่าง ๆ เพิ่ิมมากขึน แลัะการเป้ลั่ยนแป้ลังของสูภาพิ่แวดลัอม ท้่เกิดจากการใช่ท้รัพิ่ยากรธรรมช่าติอย่างไม่เหมาะสูม ม่ป้ัญหาสูิงแวดลัอมท้่เพิ่ิมขึนตามการขยายตัวของเศรษฐกิจแลัะความเป้็นชุ่มช่นเม้อง ท้ําาใหเกิดป้ัญหามลัพิ่ิษท้างอากาศ แลัะป้ริมาณฝุุ่่นลัะอองท้่เกินค่ามาตรฐาน แลัะป้ริมาณขยะมูลัฝุ่อยท้่เพิ่ิมขึน ท้่สู่งผู้ลัระยะยาวต่อสูุขภาพิ่อนามัยของคนไท้ยท้ังท้างตรงแลัะท้างออม ซึ่ึงสูถิ่านการณ์ท้ังหมด ลัว นแลัว แตท้่ าํา ใหเ กดิ การเป้ลัย่ นแป้ลังท้างดา นสูขุ ภาพิ่ ท้าํา ใหม พิ่่ ฤตกิ รรมสูขุ ภาพิ่ท้ป้่ รบั เป้ลัย่ นไป้ อนั จะสูง่ ผู้ลัตอ่ สูภาวะความเป้น็ อยใู่ หป้ ระช่าช่นตอ งป้รบั ตวั ใหท้ นั ตอ่ การเป้ลัย่ นแป้ลัง การป้ระช่มุ สูง่ เสูรมิ สูขุ ภาพิ่โลักครงั ท้่ 1 ท้ก่ รงุ ออตตาวา วนั ท้่ 21 พิ่ฤศจกิ ายน 2529 การป้ระช่มุ ครงั นไ่ ดอ อกกฎบตั รสูกู่ ารป้ฏิบิ ตั เิ พิ่อ้ ใหบ รรลัเุ ป้า้ หมาย สูขุ ภาพิ่ดถิ่่ ว นหนา ในป้ี 2000 โดยม่ป้ฏิิบัติการในการสูรางเสูริมสูุขภาพิ่จําานวน 5 ขอ ไดแก่ การสูรางนโยบายท้่เอ้อต่อสูุขภาพิ่ การสูรางสูิงแวดลัอมท้่เอ้อต่อสูุขภาพิ่ การพิ่ัฒนาความเขมแข็ง ของป้ฏิบิ ตั กิ ารช่มุ ช่น การพิ่ฒั นาท้กั ษะสูว่ นบคุ คลั แลัะการป้รบั ระบบบรกิ ารสูขุ ภาพิ่ อก่ ท้งั แผู้นการป้อ้ งกนั แลัะควบคมุ โรคไมต่ ดิ ตอ่ 5 ป้ี (ป้ี พิ่.ศ. 2560 – 2564) ในยทุ้ ธศาสูตรท้์ ่ 3 การพิ่ัฒนาศักยภาพิ่ชุ่มช่น/ท้องถิ่ินแลัะภาค่เครอ้ข่ายป้ระกอบไป้ดวย2กลัยุท้ธ์์ไดแก่กลัยุท้ธ์์3.1พิ่ัฒนากลัไกใหป้ระช่าช่นองค์กรท้องถิ่นิ ภาค่เคร้อข่ายเขามาม่สู่วนร่วม ในการเฝุ่้าระวัง สู่งเสูริมสูุขภาพิ่ ป้้องกัน แลัะควบคุมโรค แลัะกลัยุท้ธ์์ 3.2 พิ่ัฒนาศักยภาพิ่แกนนาํา ดา นสูุขภาพิ่ (Health Leader) ในชุ่มช่นในดานเฝุ่้าระวัง สู่งเสูริมสูุขภาพิ่ ป้้องกัน ควบคุมโรคไม่ติดต่อ ซึ่ึงม่เป้้าป้ระสูงค์เพิ่อ้ ใหชุ่มช่นสูามารถิ่บริหารจัดการสู่งเสูริมสูุขภาพิ่ ป้้องกันแลัะควบคุมโรคไมต่ ิดต่ออย่างม่สู่วนร่วม นอกจากน่แผู้นป้ฏิิรูป้ป้ระเท้ศ (ฉบับป้รับป้รุง) ไดป้ระกาศในราช่กิจจานุเบกษา เม้อวันท้่ 25 กุมภาพิ่ันธ์ 2564 ซึ่ึงม่ความสูอดคลัองกับยุท้ธศาสูตร์ช่าติ โดยใน ดา นสูาธารณสูขุ กองโรคไมต่ ดิ ตอ่ เป้น็ ผู้รู บั ผู้ดิ ช่อบในกจิ กรรมท้่ 2 โรคไมต่ ดิ ตอ่ เรอ้ รงั แลัะการสูง่ เสูรมิ สูขุ ภาพิ่ป้อ้ งกนั โรค โดยมเ่ ป้า้ หมายกจิ กรรมป้ฏิริ ปู้ ท้่ 2 เพิ่อ้ เพิ่มิ ป้ระสูท้ิ ธภิ าพิ่ หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 1

แลัะป้ระสูิท้ธิผู้ลัของการสูรางเสูริมสูุขภาพิ่ ความรอบรูดานสูุขภาพิ่ การป้้องกันแลัะดูแลัรักษาโรคไม่ติดต่อสูําาหรับป้ระช่าช่นแลัะผูู้ป้่วย เพิ่้อใหผู้ ูป้่วยแลัะคนวัยท้ําางานท้่เสู่ยงกับ โรคไม่ติดต่อ โดยเฉพิ่าะเบาหวานแลัะความดันโลัหิตสููง ไดรับบริการท้างการแพิ่ท้ย์ แลัะการสูรางเสูริมสูุขภาพิ่แนวใหม่ท้่ม่ป้ระสูิท้ธิภาพิ่แลัะป้ระสูิท้ธิผู้ลัเพิ่ิมมากขึน ดวยการบูรณาการบริการสูรางเสูริมสูุขภาพิ่ ความรอบรูดานสูุขภาพิ่แลัะป้้องกันโรคเขากับการรักษาอย่างเป้็นระบบแลัะต่อเน้อง โดยกําาหนดตัวช่่วัดท้่ 1 นโยบายในท้่ท้ําางาน (Workplace Policy) แลัะมาตรการในการบรู ณาการการสูรา งเสูรมิ สูขุ ภาพิ่ ความรอบรดู า นสูขุ ภาพิ่ การป้อ้ งกนั โรค การตรวจ แลัะเขา สูกู่ ารรกั ษาท้บ่ รู ณาการเขา ในระบบบรหิ าร ท้รพิ่ั ยากรมนษุ ย์ แลัะสูวสูั ดกิ าร รวมถิ่งึ การมผู้่ ดู แู ลัสูขุ ภาพิ่หลักั (Chief Health Officer) ในสูถิ่านท้ท้่ ําางานภาครฐั แลัะเอกช่น เป้า้ หมายยอ่ ยท้่ 1.3 นําารอ่ งดําาเนนิ งานตามนโยบาย ในท้่ท้ําางาน (Workplace Policy) ดานสูรางเสูริมสูุขภาพิ่ ความรอบรู แลัะป้้องกันโรคไม่ติดต่อในท้่ท้ําางานในภาครัฐ องค์กรป้กครองสู่วนท้องถิ่ิน แลัะสูถิ่านป้ระกอบการ ภาคเอกช่นขนาดใหญ่ โดยระยะเวลัาดาํา เนินการระหว่างป้ี พิ่.ศ. 2564-2565 กองโรคไม่ติดต่อกรมควบคุมโรคกระท้รวงสูาธารณสูุขแลัะกองสูาธารณสูุขท้องถิ่ินกรมสู่งเสูริมการป้กครองท้องถิ่นิ กระท้รวงมหาดไท้ยจึงไดร่วมกันจัดท้าําโครงการ พิ่ัฒนาหลัักสููตรแลัะชุ่ดเคร้องม้อในการป้้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสูําาหรับผูู้นําาท้องถิ่ิน ในครังน่ขึน โดยการรวบรวมความรูแลัะระดมสูมองจากผูู้เช่่ยวช่าญแลัะผูู้ท้่เก่ยวของ รว่ มกนั พิ่ฒั นาหลักั สูตู รแลัะช่ดุ เครอ้ งมอ้ การป้อ้ งกนั ควบคมุ โรคไมต่ ดิ ตอ่ สูาํา หรบั ผู้นู าํา ท้อ งถิ่นิ เพิ่อ้ ใหผู้ นู าํา ท้อ งถิ่นิ มศ่ กั ยภาพิ่ เป้น็ ตน แบบในการดแู ลัสูขุ ภาพิ่ของตนเอง พิ่รอ มมช่่ ดุ เครอ้ งมอ้ บูรณาการงานสูาธารณสูุขท้่เก่ยวของกับการป้้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ ช่่วยอําานวยความสูะดวกในการดําาเนินงานของผูู้นําาท้องถิ่ินใหสูามารถิ่บริหารจัดการสู่งเสูริมสูุขภาพิ่ ป้้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อท้่เป้็นป้ัญหาสูาํา คัญของพิ่้นท้่อย่างม่สู่วนร่วมในระดับท้อ งถิ่ินไดอย่างม่ป้ระสูท้ิ ธิภาพิ่แลัะป้ระสูท้ิ ธผู้ิ ลัยงิ ขึน 4. วัตถุุประสูงค์์ของหลัักสููตรเพิ่้อใหผูู้เขาอบรมตลัอดหลัักสููตรท้ังภาคท้ฤษฎ่แลัะภาคป้ฏิิบัติสูามารถิ่ 4.1 เขาใจสูถิ่านการณป้์ ัญหาแลัะการป้้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อภาพิ่รวมป้ระเท้ศแลัะพิ่้นท้่ 4.2 ริเริมออกแบบโครงการ/กิจกรรมสู่งเสูริมสูุขภาพิ่ ป้้องกัน แลัะควบคุมโรคไมต่ ิดต่อในพิ่้นท้่ 5. กลัุ่มเป้าหมาย กลัุ่มเป้้าหมายผูู้เขาอบรม:ผูู้อําานวยการกองสูาธารณสูุขแลัะสูงิแวดลัอมหร้อผูู้แท้นกรมสู่งเสูริมการป้กครองท้องถิ่นิ กระท้รวงมหาดไท้ย 6. ขอบเขตเน่่อหาแลัะรายลัะเอย่ ดหลัักสููตร หลัักสููตรการป้้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสูําาหรับผูู้นําาท้องถิ่ิน ป้ระกอบดว ยการจัดการเร่ยนการสูอนท้งั ภาคท้ฤษฎ่ แลัะภาคป้ฏิิบัติ โดยม่ขอบเขตเน้อหา 10 หมวดวช่ิ า (Module) ดังน่ หมวดวิช่าท้่ 1 พิ่ลัวัตการเป้ลั่ยนแป้ลังของโลักท้ม่ ่ความสูัมพิ่ันธ์เช่้อมโยงกับโรคไมต่ ิดต่อ 1.1 ความสูําาคัญของท้องถิ่ินกับการจัดการโรคไมต่ ิดต่อ หมวดวิช่าท้่ 2 โรคไม่ติดต่อแลัะหลัักการป้้องกันควบคุมโรคไมต่ ิดต่อ หมวดวิช่าท้่ 3 ระบาดวิท้ยาแลัะชุ่ดขอ มูลัท้่ใช่การวิเคราะหสู์ ถิ่านการณ์การป้้องกันโรคไมต่ ิดต่อในชุ่มช่น หมวดวิช่าท้่ 4 การป้ระเมินสูถิ่านการณป้์ ัจจัยเสู่ยงแลัะป้ัจจัยกําาหนดของสูุขภาพิ่ชุ่มช่น 2 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หมวดวิช่าท้่ 5 การสูรางเสูริมสูุขภาพิ่แลัะลัดความเสู่ยง ป้้องกันควบคุมโรคไมต่ ิดต่อในชุ่มช่น 5.1 อาหารป้้องกันโรคไมต่ ิดต่อ 5.2 การออกกาํา ลัังกายแลัะกิจกรรมเคลัอ้ นไหวท้างกาย ลัดความเสู่ยงแลัะป้้องกันควบคุมโรคไมต่ ิดต่อในชุ่มช่น 5.3 การลัดการบริโภคผู้ลัิตภัณฑ์์ยาสููบในชุ่มช่น 5.4 กลัยุท้ธ์์การควบคุมการบริโภคสูุราในชุ่มช่น 5.5 ฝุุ่่นลัะออง (PM 2.5) แลัะสูารเคมใ่ นสูิงแวดลัอมกับโรคไมต่ ิดต่อแลัะการป้้องกัน 5.6 ความเครย่ ดกับโรคไมต่ ิดต่อ แลัะการจัดการลัดความเครย่ ด 5.7 การสูรางความรอบรดู านสูุขภาพิ่ (Health Literacy) กับการป้้องกันควบคุมโรคไมต่ ิดต่อในชุ่มช่น 5.8 เท้คนิคการสูอ้ สูารเพิ่อ้ การสูรา งเสูริมสูุขภาพิ่ในชุ่มช่น 5.9 การจัดท้ําาขอตกลังในชุ่มช่นแลัะบท้บาท้ความสูาํา คัญต่อการพิ่ัฒนาท้อ งถิ่นิ ดานโรคไม่ติดต่อ หมวดวิช่าท้่ 6 การจัดการสูงิ แวดลัอมเพิ่อ้ ป้้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อในชุ่มช่น หมวดวิช่าท้่ 7 การจัดท้ําาแผู้น ออกแบบโครงการ แลัะกิจกรรมการป้้องกันควบคุมโรคไมต่ ิดต่อในชุ่มช่น หมวดวิช่าท้่ 8 การติดตามป้ระเมินผู้ลัโครงการ/กิจกรรมสู่งเสูริมสูุขภาพิ่ ป้้องกันแลัะควบคุมโรคไมต่ ิดต่อสูาํา หรับป้ระช่าช่นในพิ่้นท้่ หมวดวิช่าท้่ 9 กฎหมายสู่งเสูริมคุมครองสูุขภาพิ่แลัะกฎหมาย กฎระเบย่ บท้่เก่ยวของกับการป้้องกันควบคุมโรคไมต่ ิดต่อ 9.1 งบป้ระมาณ การเงิน แลัะการจัดซึ่้อจัดจา งขององค์กรป้กครองสู่วนท้องถิ่นิ หมวดวิช่าท้่ 10 การใช่แลัะการพิ่ัฒนาสูอ้ เท้คโนโลัย่ดิจิท้ัลัในชุ่มช่น รายลัะเอ่ยดการจััดการเร่ยน่การสูอน่ ภาค์ทฤษฎี่ อบรมผู้่านช่่องท้างออนไลัน์ (Zoom Meeting) แลัะถิ่่ายท้อดผู้่าน Facebook live, Youtube ของกองโรคไม่ติดต่อ ระหว่างวันท้่ 3 - 6 สูิงหาคม 2564 โดยผูู้ท้รงคุณวุฒิในแต่ลัะหมวดวช่ิ า ม่ขอบเขตเน้อหา 10 หมวดวิช่า (Module) แบ่งเป้็นรายวิช่าในหลัักสููตรจาํา นวน 21 รายวิช่า จําานวน 23 ช่ัวโมง ภาค์ปฏิิบัติ หลัังจากผู้่านการอบรมภาคท้ฤษฎ่ ไดแบ่งผูู้เขาอบรมเป้็น 4 ท้่ม โดยแต่ลัะท้่มม่อาจารย์ท้่ป้รึกษา 2 ท้่าน ใหคําาป้รึกษา คําาแนะนําาแลัะขอเสูนอแนะ การดาํา เนนิ งานในพิ่น้ ท้่ ท้งั ท้เ่ ป้น็ ท้างการโดยผู้า่ นช่อ่ งท้างออนไลัน์ (Zoom Meeting) แลัะแบบไมเ่ ป้น็ ท้างการผู้า่ นท้างไลันก์ ลัมุ่ ท้่มแตลั่ ะท้ม่ ซึ่ึง มใ่ บงานเพิ่อ้ ป้ระกอบการท้าํา งาน ของหลัักสููตรในภาคป้ฏิิบัติจําานวน 4 ใบงาน ไดแก่ ใบงานท้่ 1 การวิเคราะห์สูถิ่านการณ์ป้ัญหาพิ่้นท้่ ใบงานท้่ 2 การจัดท้ําาโครงการป้้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อในพิ่้นท้่ (ระยะสูัน) ใบงานท้่ 3 รายงานความกาวหนาในการดาํา เนินกิจกรรม แลัะใบงานท้่ 4 สูรปุ้ ผู้ลัการดาํา เนินงานโครงการ หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 3

7. ระยะเวลัาการฝึกอบรม ภาคท้ฤษฎ่ 3 - 6 สูิงหาคม 2564 ภาคป้ฏิิบัติ 16 สูิงหาคม - 25 พิ่ฤศจิกายน 2564 8. ค์ณะท่ปรึกษาหลัักสููตร นายแพิ่ท้ย์กฤษฎา หาญบรรเจิด แพิ่ท้ย์หญิงจุร่พิ่ร คงป้ระเสูริฐ ดร.กิตติพิ่งษ์ เกิดฤท้ธ์ิ 9. ค์ณะทําางาน่หลัักสููตร นางนิตยา พิ่ันธุเวท้ย์ นางสูาวภัช่ร์จิรัสูม์ ธัช่เมฆรัตน์ นางสูาวป้ิยนุช่ จันท้ร์อักษร นางสูาวสูุธาท้ิพิ่ย์ ภัท้รกุลัวณิช่ย์ นางสูาวช่นิดดา ตร่วุฒิ นางสูาวเบญช่ญาพิ่ัช่ช่์ อนันท้์ธณานินท้์ 10. ประโยชื่น่์ท่ค์าดว่าจัะได้รับ ผูู้อําานวยการกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค รองผูู้อําานวยการกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค ผูู้อําานวยการกองสูาธารณสูุขท้องถิ่ิน กรมสู่งเสูริมการป้กครองท้องถิ่ิน กองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กองสูาธารณสูุขท้องถิ่ิน กรมสู่งเสูริมการป้กครองท้องถิ่ิน กองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค 10.1 องค์กรป้กครองสู่วนท้องถิ่ินจัดท้ําาแผู้นป้ฏิิบัติการขับเคลั้อนงานป้้องกันแลัะควบคุมโรคไม่ติดต่อในท้องถิ่ินบนพิ่้นฐานของขอมูลัในพิ่้นท้่ 10.2 กรมสู่งเสูริมการป้กครองท้องถิ่ิน หร้อหน่วยงานท้่เก่ยวของของกระท้รวงมหาดไท้ย นําาหลัักสููตรไป้ขยายผู้ลัทุ้กองค์กรป้กครองสู่วนท้องถิ่ินของป้ระเท้ศ 10.3 บุคลัากรองค์กรป้กครองสู่วนท้องถิ่ินม่การเป้ลั่ยนแป้ลังพิ่ฤติกรรมแลัะเป้็นตนแบบในการป้้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อในท้องถิ่ินท้่รับผู้ิดช่อบ 10.4 ป้ระช่าช่นลัดเสู่ยงลัดป้่วยลัดการเสู่ยช่่วิตก่อนวัยอันควรจากโรคไม่ติดต่อ 4 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

โค์รงสูร้างหลัักสููตร หลักั สูตู รการป้อ้ งกนั ควบคมุ โรคไมต่ ดิ ตอ่ สูาํา หรบั ผู้นู าํา ท้อ งถิ่นิ ป้ระกอบดว ยการเรย่ นการสูอนภาคท้ฤษฎ่ โดยมข่ อบเขตเนอ้ หา 10 หมวดวช่ิ า (Module) แบง่ เป้น็ รายวช่ิ า ในหลัักสููตรจําานวน 21 รายวิช่า จําานวน 23 ช่ัวโมง ดังน่ หมวดวิช่าท้่ 1 หมวดวิช่าท้่ 2 หมวดวิช่าท้่ 3 หมวดวิช่าท้่ 4 หมวดวิช่าท้่ 5 หมวดวชื่ิ า พิ่ลัวัตการเป้ลั่ยนแป้ลังของโลักท้ม่ ่ความสูัมพิ่ันธ์เช่้อมโยงกับโรคไมต่ ิดต่อ 1.1ความสูําาคัญของท้องถิ่ินกับการจัดการโรคไมต่ิดต่อ โรคไม่ติดต่อแลัะหลัักการป้้องกันควบคุมโรคไมต่ ิดต่อ ระบาดวิท้ยาแลัะชุ่ดขอ มูลัท้่ใช่การวิเคราะหสู์ ถิ่านการณ์การป้้องกันโรคไมต่ ิดต่อในชุ่มช่น การป้ระเมินสูถิ่านการณ์ป้ัจจัยเสู่ยงแลัะป้ัจจัยกําาหนดของสูุขภาพิ่ชุ่มช่น การสูรางเสูริมสูุขภาพิ่แลัะลัดความเสู่ยง ป้้องกันควบคุมโรคไมต่ ิดต่อในชุ่มช่น 5.1 อาหารป้้องกันโรคไม่ติดต่อ 5.2 การออกกําาลัังกายแลัะกิจกรรมเคลัอ้ นไหวท้างกาย ลัดความเสู่ยงแลัะป้้องกันควบคุมโรคไมต่ ิดต่อในชุ่มช่น 5.3 การลัดการบริโภคผู้ลัิตภัณฑ์์ยาสููบในชุ่มช่น 5.4 กลัยุท้ธ์์การควบคุมการบริโภคสูุราในชุ่มช่น 5.5 ฝุุ่่นลัะออง (PM 2.5) แลัะสูารเคมใ่ นสูิงแวดลัอมกับโรคไมต่ ิดต่อแลัะการป้้องกัน 5.6 ความเคร่ยดกับโรคไม่ติดต่อ แลัะการจัดการลัดความเครย่ ด 5.7 การสูรางความรอบรูดานสูุขภาพิ่ (Health Literacy) กับการป้้องกันควบคุมโรคไมต่ ิดต่อในชุ่มช่น 5.8 เท้คนิคการสู้อสูารเพิ่อ้ การสูรา งเสูริมสูุขภาพิ่ในชุ่มช่น 5.9 การจัดท้ําาขอตกลังในชุ่มช่นแลัะบท้บาท้ความสูาํา คัญต่อการพิ่ัฒนาท้อ งถิ่ิน ดานโรคไมต่ ิดต่อ การจัดการสูิงแวดลัอมเพิ่อ้ ป้้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อในชุ่มช่น การจัดท้ําาแผู้น ออกแบบโครงการ แลัะกิจกรรมการป้้องกันควบคุมโรคไมต่ ิดต่อในชุ่มช่น การติดตามป้ระเมินผู้ลัโครงการ/กิจกรรมสู่งเสูริมสูุขภาพิ่ ป้้องกันแลัะควบคุมโรคไมต่ ิดต่อ สูาํา หรับป้ระช่าช่นในพิ่้นท้่ กฎหมายสู่งเสูริมคุมครองสูุขภาพิ่แลัะกฎหมาย กฎระเบย่ บท้่เก่ยวของกับการป้้องกันควบคุมโรคไมต่ ิดต่อ 9.1 งบป้ระมาณ การเงิน แลัะการจัดซึ่้อจัดจา งขององค์กรป้กครองสู่วนท้องถิ่ิน เวลัา (ชื่วั โมง) 1 1 1 1 1 1 1 1 1 2 1 1 1 1 1 1 1 1 1 2 1 หมวดวิช่าท้่ 6 หมวดวิช่าท้่ 7 หมวดวิช่าท้่ 8 หมวดวิช่าท้่ 9 หมวดวิช่าท้่ 10 การใช่แลัะการพิ่ัฒนาสู้อเท้คโนโลัย่ดิจิท้ัลัในชุ่มช่น หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 5

ประมวลรายวชาและเน้ือหารายวชา หลักสูตรการป‡องกันควบคุมโรคไม‹ติดต‹อสําหรับผŒูนําทŒองถิน 6 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

ประมวลรายวิชา (Course Syllabus) 1. ชื่อหลัักสููตร หลัักสููตรการป้้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ สูําาหรับผูู้นําาท้องถิ่ิน 2. คณะ/สูถิ่าบัน/องค์กร 3. รหัสูรายวิชา 4. ช่ือรายวิชา 5. ผูู้รับผู้ิดชอบรายวิชา 6. คําาอธิบายรายวิชา 7. วัตถิุ่ป้ระสูงค์รายวิชา กรมควบคุมโรค กระท้รวงสูาธารณสูุข แลัะกรมสู่งเสูริมการป้กครองท้องถิ่ิน กระท้รวงมหาดไท้ย Module 1 พิ่ลัวัตการเป้ลั่ยนแป้ลังของโลักท้่ม่ความสูัมพิ่ันธ์เช่้อมโยงกับโรคไม่ติดต่อ นายแพิ่ท้ย์กฤษฎา หาญบรรเจิด พิ่ลัวตั การเป้ลัย่ นแป้ลังของโลักท้สู่ ง่ ผู้ลัตอ่ สูถิ่านการณก์ ารเกดิ โรคไมต่ ดิ ตอ่ ท้ม่ แ่ นวโนม เพิ่มิ ขนึ แลัะมค่ วามรนุ แรงขนึ สูง่ ผู้ลักระท้บตอ่ เศรษฐกจิ ของครอบครวั สูงั คม ช่มุ ช่น ท้ศิ ท้างแลัะนโยบายการขบั เคลัอ้ นงานระดบั นานาช่าตเิ พิ่อ้ ใหเ กดิ การพิ่ฒั นาอยา่ งยัง ยน้ ในดา นเศรษฐกจิ สูงั คม แลัะสูิงแวดลัอม เป้้าหมายการพิ่ัฒนาท้่ยังย้น (SDGs) ท้่ม่ความสูัมพิ่ันธ์เช่้อมโยงกับโรคไม่ติดต่อ เม้อสูินสูุดการฝุ่ึกอบรมแลัวผูู้เขารับการฝุ่ึกอบรมสูามารถิ่ 1) ตระหนักถิ่ึงป้ัญหาของโรคไม่ติดต่อ 2) คําานึงถิ่ึงความสูําาคัญของโรคไม่ติดต่อท้่ม่แนวโนมเพิ่ิมขึน 3) แกป้ัญหาของโรคไม่ติดต่อแลัะเกิดการพิ่ัฒนาท้่ยังย้นในดานเศรษฐกิจ สูังคม แลัะสูิงแวดลัอม เป้้าหมายการพิ่ัฒนาท้่ยังย้น หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 7

8. สูังเขป้เน้ือหา Module 9. การจัดการเรียนการสูอน 10. อุป้กรณ์สูื่อการสูอน 11. การวัดแลัะป้ระเมินผู้ลั 12. การป้ระเมินผู้ลัการสูอน 13. เอกสูารอางอิง หัวขอ จําานวนเวลัา 1 พิ่ลัวัตการเป้ลั่ยนแป้ลังของโลักท้่ม่ความสูัมพิ่ันธ์เช่้อมโยงกับโรคไม่ติดต่อ • ท้ิศท้างการป้้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อของป้ระเท้ศไท้ย 1 ช่ัวโมง บรรยายอภิป้ราย 1) เอกสูารป้ระกอบการบรรยาย 2) PowerPoint 3) วิด่ท้ัศน์ 1) การม่สู่วนร่วมในช่ันเร่ยน 80% 2) เวลัาเร่ยน 20% ป้ระเมินผู้ลัสูัมฤท้ธ์ิในการเร่ยน (ขอ 11) สูําานักงานสูภาพิ่ัฒนาเศรษฐกิจแลัะสูังคมแห่งช่าติ. แผู้นการป้ฏิิรูป้ป้ระเท้ศ. สู้บคน 5 กรกฎาคม 2564, จาก http://nscr.nesdc.go.th/แผู้นการป้ฏิิรูป้ป้ระเท้ศ อรรถิ่เกย่ รติกาญจนพิ่บิ ลัู วงศ,์ ภาณวุ ฒั น์คาํา วงั สูงา่ แลัะสูธุ ดิ าแกว ท้า(บรรณาธกิ าร).รายงานสูถิ่านการณโ์ รคNCDพิ่.ศ.2562เบาหวานความดนั โลัหติ สูงู แลัะป้จั จยั เสูย่ งท้เ่ กย่ วขอ ง. สู้บคน 4 กรกฎาคม 2564, จาก http://www.thaincd.com/2016/media-detail.php?id=13865&tid=&gid=1-015-005 global-ncds-surveillance-monitoring-framework. Retrieved July 3, 2021, from https://cdn.who.int/media/docs/default-source/ncds/ncd-surveillance/ global-ncds-surveillance-monitoring-framework24c84b44-7924-412d-ab83-2dfb88a45169.pdf?sfvrsn=f0d5925_3&download=true Rachel Nugent. 2019 UCL Lancet Lecture by Dr Rachel Nugent: NCDs as a global emergency. Retrieved July 2, 2021, from https://www.youtube.com/watch?v= DIYUUu2R0S4 World Health Organization. Noncommunicable diseases. Retrieved July 2, 2021, from https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/ noncommunicable-diseases 8 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

พลัวัตการเป้ลัี่ยนแป้ลังของโลักท้ี่มีความสูัมพันธ์เช่ือมโยงกับโรคไม่ติดต่อ นายแพท้ย์กฤษฎา หาญบรรเจิด พิ่ลัวัตการเป้ลั่ยนแป้ลังของโลักในดานต่าง ๆ อาท้ิ ความเป้็นเม้อง ก่อใหเกิดวิถิ่่ช่่วิตใหม่ท้่อาจจะไม่เหมาะสูมต่อสูุขภาพิ่ท้่ด่ เช่่น อาหารท้่หวาน มัน เค็ม มากเกินไป้ การขยายตัวของอุตสูาหกรรมต่าง ๆ รวมถิ่ึงการคมนาคมขนสู่ง การเดินท้างท้่สูะดวกมากยิงขึน ท้ําาใหผูู้คนในโลักม่กิจกรรมท้างกายท้่ลัดลัง มลัพิ่ิษท้างอากาศท้่เพิ่ิมสููงขึน รวมถิ่ึงภาวะสููงวัยท้่ป้ระเท้ศต่าง ๆ ท้ัวโลักกําาลัังเผู้ช่ิญ เป้็นเหตุใหป้ัญหาจากโรคไม่ติดต่อท้ว่ความรุนแรงขึน เกิดค่าใช่จ่ายท้่สููงในการดูแลัรักษา รวมถิ่ึงค่าเสู่ยโอกาสูท้าง ดา นผู้ลัผู้ลัติ ท้ห่ ายไป้จากการเสูย่ ช่ว่ ติ กอ่ นวยั อนั ควรในผู้ปู้ ว่ ยกลัมุ่ น่ ป้ระเท้ศไท้ยจงึ ไดจ ดั ท้าํา แผู้นการป้ฏิริ ปู้ ดา นสูาธารณสูขุ โดยมก่ จิ กรรมป้ฏิริ ปู้ ดา นท้สู่ อง (Big Rock 2) ดาํา เนนิ การ โครงการต่างๆเพิ่้อลัดผู้ลักระท้บเหลั่าน่นอกจากน่ป้ัจจุบันการดาําเนินการตามพิ่ระราช่บัญญตัิกําาหนดแผู้นแลัะกระจายอําานาจใหแก่องค์กรป้กครองสู่วนท้องถิ่นิ ป้ีพิ่.ศ.2542 กาํา หนดใหห นว่ ยงานบรกิ ารสูขุ ภาพิ่ใกลับ า นใกลัใ จ เช่น่ โรงพิ่ยาบาลัสูง่ เสูรมิ สูขุ ภาพิ่ตาํา บลั (รพิ่.สูต.) เขา มาเป้น็ สูว่ นหนงึ ขององคก์ รป้กครองสูว่ นท้อ งถิ่นิ มากขนึ องคก์ ารอนามยั โลัก เห็นความสูําาคัญของชุ่มช่นในการม่สู่วนร่วมในการดําาเนินการดานป้้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ อันเกิดจากพิ่ฤติกรรมสูุขภาพิ่ท้่ไม่เหมาะสูมต่าง ๆ จึงไดร่วมกับ กระท้รวงสูาธารณสูขุ ในการดําาเนนิ การความรว่ มมอ้ หลัายภาคสูว่ น (Multisectoral Collaboration) กบั หนว่ ยงานท้เ่ กย่ วขอ งนอกเหนอ้ ภาคสูาธารณสูขุ เพิ่อ้ รว่ มกนั ดําาเนนิ การ ป้้องกันควบคุมโรค การรักษา การป้้องกันภาวะแท้รกซึ่อน โดยเนนยําาใหป้ระช่าช่นม่ความรอบรูท้างสูุขภาพิ่ รูตัวเลัขสูําาคัญท้่บ่งช่่สูุขภาพิ่แลัะระดับความเสู่ยงต่อการเกิด โรคไม่ติดต่อ หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 9

เอกสูารป้ระกอบการบรรยายรายวิชา พลัวัตการเป้ลัี่ยนแป้ลังของโลักท้ี่มีความสูัมพันธ์เชื่อมโยงกับโรคไม่ติดต่อ 10 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 11

12 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 13

14 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 15

16 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

ประมวลรายวิชา (Course Syllabus) 1. ช่ือหลัักสููตร หลัักสููตรการป้้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ สูําาหรับผูู้นําาท้องถิ่ิน 2. คณะ/สูถิ่าบัน/องค์กร 3. รหัสูรายวิชา 4. ช่ือรายวิชา 5.ผูู้รับผู้ิดชอบรายวิชา 6. คําาอธิบายรายวิชา 7. วัตถิุ่ป้ระสูงค์รายวิชา กรมควบคุมโรค กระท้รวงสูาธารณสูุข แลัะกรมสู่งเสูริมการป้กครองท้องถิ่ิน กระท้รวงมหาดไท้ย Module 1.1 ความสูําาคัญของท้องถิ่ินกับการจัดการโรคไม่ติดต่อ ดร.กิตติพิ่งษ์ เกิดฤท้ธิ์ องค์กรป้กครองสู่วนท้องถิ่ิน (อป้ท้.) เป้็นตัวแท้นของป้ระช่าช่นในพิ่้นท้่ม่ความใกลัช่ิดแลัะม่หนาท้่ในการบําาบัดทุ้กข์ บําารุงสูุข ขจัดป้ัญหา ของชุ่มช่น ท้ังน่ องค์กรป้กครองสู่วนท้องถิ่ิน ม่ศักยภาพิ่ท้ังท้างดานงบป้ระมาณ ดานกฎหมาย แลัะอําานาจหนาท้่ท้ําาใหม่บท้บาท้สูําาคัญ ในการสูรางสูรรค์ท้องถิ่ินใหเจริญกาวหนา สูมดังเจตนารมณ์ขององค์กรแลัะความตองการของป้ระช่าช่นในชุ่มช่น กระบวนการดังกลั่าว จะเกดิ ขนึ ไดอ ยา่ งมป้่ ระสูท้ิ ธภิ าพิ่ ตอ งมก่ ารเสูรมิ สูรา งความรคู วามเขา ใจในดา นตา่ ง ๆ เพิ่อ้ ใหป้ ระสูบผู้ลัสูาํา เรจ็ ในการดาํา เนนิ งานการป้อ้ งกนั โรคติดต่อในชุ่มช่น เม้อสูินสูุดการฝุ่ึกอบรมแลัวผูู้เขารับการฝุ่ึกอบรมสูามารถิ่ 1) ม่ความรูความเขาใจแลัะตระหนักถิ่ึงป้ัญหาแลัะใหความสูําาคัญของการป้้องกันโรคไม่ติดต่อในชุ่มช่น 2) กําาหนดนโยบายแนวท้างการดําาเนินงานการป้้องกันโรคไม่ติดต่อไวในแผู้นพิ่ัฒนาท้องถิ่ินดานสูาธารณสูุข หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 17

8. สูังเขป้เน้ือหา Module 9. การจัดการเรียนการสูอน 10. อุป้กรณ์สู่ือการสูอน 11. การวัดแลัะป้ระเมินผู้ลั 12. การป้ระเมินผู้ลัการสูอน 13. เอกสูารอางอิง หัวขอ จําานวนเวลัา 1.1 ความสูําาคัญของท้องถิ่ินกับการจัดการโรคไม่ติดต่อ l บท้บาท้ขององค์กรป้กครองสู่วนท้องถิ่ินในการดําาเนินงานดานการป้้องกันโรคไม่ติดต่อ ตามอําานาจหนาท้่ ตามพิ่ระราช่บัญญัติจัดตังหน่วยงานองค์กรป้กครองสู่วนท้องถิ่ิน 1 ช่ัวโมง บรรยาย ตอบขอซึ่ักถิ่าม เอกสูารป้ระกอบการบรรยาย PowerPoint ความรู ความเขาใจในบท้บาท้หนาท้่ของผูู้เขารับการฝุ่ึกอบรม ป้ระเมินโดยใช่แบบป้ระเมินการจัดการเร่ยนการสูอน นนั ท้กรท้องแตง.(2562).โรคไมต่ ดิ ตอ่ เรอ้ รงั (โรคNCDs)คณะแพิ่ท้ยศาสูตรศ์ ริ ริ าช่พิ่ยาบาลั สูบ้ คน จาก https://www.si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=1 พิ่ระราช่กฤษฎก่ าวา่ ดว ยหลักั เกณฑ์แ์ ลัะวธิ ก่ ารบรหิ ารกจิ การบา นเมอ้ งท้ด่ ่ พิ่.ศ. 2546 พิ่ระราช่บัญญัติการสูาธารณสูุข พิ่.ศ. 2535 พิ่ระราช่บญั ญตั กิ าํา หนดแผู้นแลัะขนั ตอนการกระจายอาํา นาจใหแ กอ่ งคก์ รป้กครอง สู่วนท้องถิ่ิน พิ่.ศ. 2554 พิ่ระราช่บัญญัติเท้ศบาลั พิ่.ศ. 2496 แลัะท้่แกไขเพิ่ิมเติม พิ่ระราช่บัญญัติระเบ่ยบบริหารราช่การ กรุงเท้พิ่มหานคร พิ่.ศ. 2528 พิ่ระราช่บัญญัติระเบ่ยบบริหารราช่การเม้องพิ่ัท้ยา พิ่.ศ. 2542 พิ่ระราช่บัญญัติรักษาความสูะอาดแลัะความเป้็นระเบ่ยบเร่ยบรอยของบานเม้อง พิ่.ศ. 2535 พิ่ระราช่บัญญัติสูภาตําาบลัแลัะองค์การบริหารสู่วนตําาบลั พิ่.ศ. 2537 พิ่ระราช่บัญญัติสูภาตําาบลัแลัะองค์การบริหารสู่วนตําาบลั พิ่.ศ. 2537 แลัะท้่แกไข เพิ่ิมเติม พิ่ระราช่บัญญัติองค์การบริหารสู่วนจังหวัด พิ่.ศ. 2540 แลัะท้่แกไขเพิ่ิมเติม ระเบ่ยบกระท้รวงมหาดไท้ยว่าดวยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การฝุ่ากเงิน การเกบ็ รกั ษาเงนิ แลัะการตรวจเงนิ ขององคก์ รป้กครองสูว่ นท้อ งถิ่นิ พิ่.ศ.2547 ระเบ่ยบกระท้รวงมหาดไท้ยว่าดวยการจัดท้ําาแผู้นพิ่ัฒนาองค์กรป้กครอง สูว่ นท้อ งถิ่นิ พิ่.ศ. 2548 Salutogenesis. was last edited on 10 October 2021, at 19:15 (UTC). Wikipedia, the free encyclopedia. Form https://en.wikipedia. org/wiki/Salutogenesis 18 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

ความสูําาคัญของท้องถิ่ินกับการจัดการโรคไม่ติดต่อ บทบาทขององค์์กรปกค์รองสู่วน่ท้องถุน่ิ กับการป้องกน่ั โรค์ไมต่ ิดต่อ หัวเร่อง 1. หนาท้่แลัะอําานาจดานการจัดการสูุขภาพิ่ของท้อ งถิ่ิน 2. แนวคิดการจัดการสูุขภาพิ่ในยุคช่่วิตวิถิ่่ใหม่ (New Normal) 3. ความท้าท้ายในการขับเคลั้อนงานดานสูุขภาพิ่ของท้องถิ่ิน 1. หน่้าท่แลัะอาํา น่าจัด้าน่การจััดการสูุขภาพของท้องถุน่ิ ดร.กิตติพงษ์ เกิดฤท้ธ์ิ - หนาท้่แลัะอําานาจตามกฎหมายจัดตัง ไดแก่ พิ่รบ. อบจ.ฯ พิ่รบ. เท้ศบาลั ฯ พิ่รบ. อบต.ฯ พิ่รบ. กรุงเท้พิ่ ฯ แลัะ พิ่รบ.ระเบย่ บบริหารราช่การเม้องพิ่ัท้ยา ฯ - หนา ท้แ่ ลัะอาํา นาจตามกฎหมายกระจายอาํา นาจ เช่น่ ภารกจิ ตา่ ง ๆ บางสูว่ นของกรมอนามยั ภารกจิ สูง่ เสูรมิ สูขุ ภาพิ่แลัะป้อ้ งกนั โรคของโรงพิ่ยาบาลัสูง่ เสูรมิ สูขุ ภาพิ่ตาํา บลั (รพิ่.สูต.) แลัะสูถิ่านอ่ นามัยเฉลัิมพิ่ระเก่ยรติ 60 พิ่รรษา นวมินท้ราช่นิ ่ (สูอน.) ท้่ไดรับการถิ่่ายโอนตามแผู้นการกระจายอําานาจฯ แลัะแผู้นป้ฏิิบัติการ ฯ - หนาท้่แลัะอําานาจตามกฎหมายเฉพิ่าะเช่่นพิ่รบ.สูาธารณสูุขฯเป้็นตน - อาํา นาจแลัะหนาท้่ตามนโยบายแห่งรัฐ หร้อตามท้่ไดรับมอบหมาย 2. แน่วค์ิดการจััดการสูุขภาพใน่ยค์ุ ชื่่วิตวิถุ่ใหม่ (New Normal) - การสูาธารณสูขุ แลัะสูรา งเสูรมิ สูขุ ภาพิ่ในท้กุ มติ ิ (กาย จติ ใจ สูงั คม) Salutogenesis (เป้น็ ตน กําาเนดิ ของสูขุ ภาพิ่แลัะมงุ่ เนน ไป้ท้ป้่ จั จยั ท้สู่ นบั สูนนุ สูขุ ภาพิ่ของมนษุ ย์ แลัะความเป้็นอยู่ท้่ด่ มากกว่าป้ัจจัยท้่ก่อใหเกิดโรค) “สูุขภาวะกาํา เนิด” ท้่เนน การสูรา งสูุขภาวะใหเกิดขนึ ดวยตัวผู้นู ันเอง - การรักษาโรค Pathogenesis (เป้็นศัพิ่ท้์ท้างการแพิ่ท้ย์ หมายถิ่ึง ขันตอนเหตุการณท้์ ่นําาไป้สูู่การเกิดโรค) “พิ่ยาธิกําาเนิด” หมายถิ่ึง ขันตอน กระบวนการ กลัไก ท้่ท้ําาใหเกิดโรค โดยเริมตงั แต่สูาเหตุ ไป้จนถิ่ึงการเกิดโรค อาการ แลัะ/หรอ้ ภาวะผู้ิดป้กตติ ่าง ๆ ท้่รวมไป้ถิ่ึงการดําาเนินโรค - สูุขภาพิ่ในองค์รวม(Total/HolisticHealth) - โรคไม่ติดต่อ (NCDs) (รวมท้ังโรคติดต่อท้่เป้็นโรคอบุ ัติใหม่) ม่รากเหงามาจาก “วถิ่ิ ่ช่่วิต (Lifestyle)” หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 19

- ดงั นนั มมุ มองตอ่ “สูขุ ภาพิ่” จงึ ควรเป้น็ เสูน ท้างช่ว่ ติ ของป้ระช่าช่น (Life Course) รวมท้งั “วถิ่ิ ช่่ ว่ ติ (Lifestyle)” ท้ต่ อ งเนน การพิ่ฒั นาคณุ ภาพิ่ช่ว่ ติ นนั หมายถิ่งึ ตองมองสูุขภาพิ่ในองค์รวม - สูุขภาพิ่องค์รวม (Total/Holistic Health) หมายถิ่ึง สูุขภาพิ่กาย ใจ แลัะสูังคมของคนท้สู่ มบูรณ์ แลัะสูามารถิ่อยู่ร่วมกับสูัตว์แลัะสูงิ แวดลัอมไดอ ย่างสูันติ - การสูรางความรอบรูในเร้องสูุขภาพิ่สูรางสูุขภาวะท้่สูมบูรณ์แลัะสูมดลัุ 3. ค์วามท้าทายใน่การขับเค์ลั่อน่งาน่ด้าน่สูุขภาพของท้องถุน่ิ การสูร้างค์วามเปน่็ เจั้าของ (Ownership) - กลัไกการกําาหนดนโยบายแลัะขับเคลัอ้ นนโยบายสูาธารณะเพิ่อ้ สูุขภาพิ่ในระดับพิ่้นท้่ใหเ ป้็นของป้ระช่าช่นอย่างแท้จริง (Bottom-up Approach) - การใช่ public hearing เป้็นองค์ป้ระกอบเพิ่อ้ สูรางนโยบายดานสูาธารณสูุข - การใช่แผู้น(ท้่มาจากป้ระช่าช่น)เป้็นตัวขับเคลั้อนงานดานสูุขภาพิ่ - การสูรางการม่สู่วนร่วม รองรับป้ัญหาแลัะความตอ งการของป้ระช่าช่นในพิ่้นท้่อย่างแท้จริง ศัักยภาพของ อปท. (Capacity) - องค์กรป้กครองสู่วนท้องถิ่ินสูามารถิ่ใช่งบป้ระมาณ บุคลัากร เพิ่อ้ ดําาเนินการรักษาพิ่ยาบาลัแลัะงานดา นสู่งเสูริมสูุขภาพิ่ ซึ่ึงเป้็นอําานาจหนาท้่ตามกฎหมาย - ความแตกต่างตามป้ระเภท้ ขนาด รายได พิ่้นท้่ขององค์กรป้กครองสู่วนท้อ งถิ่ินท้่อาจก่อใหเกิดอปุ้ สูรรคในการรองรับภารกิจดานการสูาธารณสูุข - อป้ท้. หลัายแห่งตองรับผู้ิดช่อบท้ังงานรักษาพิ่ยาบาลัแลัะงานดา นสู่งเสูริมสูุขภาพิ่ อาจจะม่ป้ัญหาคอขวดดา นบุคลัากร - อาจจะตองพิ่ิจารณาการบริหารท้องถิ่ินรปู้ แบบใหม่ ท้ม่ ่ลัักษณะเฉพิ่าะหนา ท้่ (Function-specific) แลัะเช่้อมโยงกับป้ระช่าช่นในพิ่้นท้่อย่างแท้จริง บทบาทของ Gatekeeper Agencies - กาํา หนดแนวท้างกําากับติดตามแลัะป้ระเมินผู้ลั (M&E) อน้ ท้่แตกต่างจากในป้ัจจบุ ันท้่เนนการใช่ตัวช่่วัด - ป้ระยุกต์ใช่เท้คโนโลัยใ่ หม่ ๆ ในการอภิบาลัระบบสูุขภาพิ่ เช่่น วท้ิ ยาการขอ มูลั ป้ัญญาป้ระดิษฐ์ เป้็นตน - ป้ฏิริ ูป้ระบบการบริหารงบป้ระมาณดานสูุขภาพิ่ใหสูอดคลัองกับบริบท้ป้ัจจุบัน แลัะความยงั ย้นท้างการเงินการคลัังภาครัฐ - ป้รับป้รุงกฎหมาย ระเบย่ บ ขอบังคับ ขอกําาหนด ใหเอ้อต่อการป้ฏิบิ ัติหนาท้่ขององค์กรป้กครองสู่วนท้องถิ่นิ - ผู้บู รหิ าร แลัะเจา หนา ท้ข่ ององคก์ รป้กครองสูว่ นท้อ งถิ่นิ ตอ งใหค วามสูาํา คญั ในการใหบ รกิ ารสูาธารณดา นสูขุ ภาพิ่แกป้่ ระช่าช่นในพิ่น้ ท้ข่ ององคก์ รป้กครองสูว่ นท้อ งถิ่นิ 20 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

เอกสูารป้ระกอบการบรรยายรายวิชา ความสูําาคัญของท้องถิ่ินกับการจัดการโรคไม่ติดต่อ หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 21

ประมวลรายวิชา (Course Syllabus) 1. ชื่อหลักสูตร หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ สําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 2. คณะ/สถาบัน/องค์กร 3. รหัสรายวิชา 4. ชื่อรายวิชา 5. ผู้รับผิดชอบรายวิชา 6. คําาอธิบายรายวิชา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย Module 2 โรคไม่ติดต่อและหลักการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ แพทย์หญิงจุรีพร คงประเสริฐ โรคไม่ติดต่อ (NCDs) มีความสําาคัญหลักทางด้านสาธารณสุขท่ัวโลกรวมทังประเทศไทยพบว่าการเสียชีีวิตในชี่วงหลายทศวรรษท่ีผ่่านมา มสีาเหตจุากโรคไมต่ดิตอ่ (NCDs)ถงึรอ้ยละ73มากกวา่สาเหตจุากโรคตดิตอ่และการบาดเจบ็รวมกนั โรคไมต่ดิตอ่ซึ่ง่ึสว่นใหญข่องกลมุ่โรคนี เป็นโรคเร้อรังยังส่งผ่ลให้มีการเจ็บป่วยระยะยาว มีความพิการ และการเสียชีวี ิตก่อนวัยอันควร (ชี่วงอายุ 30-70 ปี) ทําาให้เกิดความสูญเสีย ทางเศรษฐกิจทังในระดับครัวเร้อน และระดับประเทศ การดาํา เนินงานป้องกันควบคุมโรคไมต่ ิดต่อ (NCDs) มีวัตถุประสงค์เพอ้่ ลดความเสยี่ ง ต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อ ลดการป่วย ลดภาวะแทรกซึ่้อนและลดการเสียชีีวิตก่อนวัยอันควรจากโรคไม่ติดต่อ บนพ้นฐานขององค์ความรู้ ด้านระบาดวิทยา ธรรมชีาตขิ องโรค และการดาํา เนินตามระยะของโรค ผ่่านการจัดการโรคและปจั จยั เสยี่ งทังในกลุ่มประชีากร (population approach) และรายบุคคล (individual/high risk approach) เม้่อสินสุดการฝึกอบรมแล้วผู่้เข้ารับการฝึกอบรมสามารถ 1) รู้จักโรค สาเหตุและรากเหง้าของปัญหา ธรรมชีาติของโรค และการดาํา เนินโรคไมต่ ิดต่อ (NCDs) 2) ทราบถึงเป้าหมาย และหลักการป้องกันควบคุมโรคไมต่ ิดต่อ (NCDs) 3) ตระหนักถึงความสําาคัญของการขับเคลอ่้ นการดาํา เนินงานป้องกันควบคุมโรคไมต่ ิดต่อโดยชีุมชีนและท้องถ่ิน 22 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader 7. วัตถุประสงค์รายวิชา

8. สังเขปเนื้อหา Module หัวข้อ 2 โรคไม่ติดต่อและหลักการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ จําานวนเวลา 1 ชี่ัวโมง 9. การจัดการเรียนการสอน 10. อุปกรณ์สื่อการสอน 11. การวัดและประเมินผล 12. การประเมินผลการสอน 13. เอกสารอ้างอิง บรรยายอภิปราย 1. เอกสารประกอบการบรรยาย 2. PowerPoint 3. วิดีทัศน์ 1) การมีส่วนร่วมในชีันเรียน 2) เวลาเรียน 80 % 20 % 1) ประเมินผ่ลสัมฤทธ์ิในการเรียน (ข้อ 11) 2) ประเมินโดยใชี้แบบประเมินการสอน กลมุ่ ยทุ ธศาสตร์ และแผ่นงาน (บรรณาธกิ าร). (2560). แผ่นยทุ ธศาสตรก์ ารปอ้ งกนั และควบคมุ โรคไมต่ ดิ ตอ่ ระดบั ชีาติ 5 ปี (พ.ศ. 2560 - 2564). กรงุ เทพฯ: อโิ มชีนั่ อารต์ . ทักษพล ธรรมรังษี (บรรณาธิการ). (2557). รายงานสถานการณ์โรค NCDs วิกฤตสุขภาพ วิกฤตสังคม. พิมพ์ครังที่ 2. ม.ป.ท. World Health Organization. (2013). Global action plan for the prevention and control of noncommunicable diseases 2013-2020. from https://apps.who.int/iris/handle/10665/94384. หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 23

โรคไม่ติดต่อและหลักการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ โรคไม่ติดต่อ (NCDs) หมายถึง กลุ่มของโรคท่ีมีปัจจัยสาเหตุการนําาสู่การเกิดโรค จากปัจจัยเสี่ยงหนึ่งปัจจัยหร้อมากกว่า ได้แก่ ปัจจัยเสี่ยงประเด็นการบริโภคยาสูบ การบริโภคอาหารที่เกิน ไม่ถูกสัดส่วนและเหมาะสมทางโภชีนาการ การเคล้่อนไหวร่างกายน้อย การบริโภคเคร่้องด้่มแอลกอฮอล์ มลพิษในอากาศและความเครียด ฯลฯ โดยมีรากเหง้าสําาคัญมาจากวิถีชีีวิตและสิ่งแวดล้อมท่ีส่งเสริมให้มีพฤติกรรมสุขภาพ/ปัจจัยเสี่ยงได้ง่าย (Unhealthy lifestyles and environment) ความเป็นสังคมเม้อง นโยบายการค้า การตลาดและกระแสโลกาภวิ ัตน์ ฯลฯ นบัตงัแตป่ีพ.ศ.2553องคก์ารอนามยัโลกไดเ้สนอนานาชีาติใชีแ้นวคดิ กรอบโมเดล“4x4x4”ในการจดัการปญัหาNCDsในยทุธศาสตรโ์ลกการปอ้งกนัและควบคมุโรค NCDs มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมดําาเนินการจากทุกภาคส่วน (multisectoral cooperation) และการสร้างนโยบายเพ่้อสุขภาพ (Health in all policies) ในทุกองค์กร เป้าหมายการดาํา เนินงาน 4x4x4 ได้แก่ - 4 กลุ่มโรค NCDs หลัก ได้แก่ โรคหัวใจและหลอดเล้อด (รวมโรคหลอดเล้อดหัวใจ โรคหลอดเล้อดสมอง) เบาหวาน มะเร็ง และทางเดินหายใจเร้อรัง ทังนีกลุ่มโรค NCDs หลักจะมปี ัจจัยเส่ียงร่วมทีเ่ หมอ้ น ๆ กัน - 4ปัจจัยเสี่ยงท่ีสามารถปรับเปล่ียนได้(Modifiablesharedriskfactor)ได้แก่ยาสูบอาหารเส่ียงต่อสุขภาพการเคล้่อนไหวร่างกายน้อย/เน้อยน่ิงการด้่มเคร่้องด่้ม ท่ีมีแอลกอฮอล์ ซึ่ง่ึ เม้่อพฤติกรรมเสี่ยงสะสม พบว่าจะมีการเปลย่ี นแปลงทางสรีรวิทยาก่อนนาํา ไปสู่โรค NCDs - 4 การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา ได้แก่ ภาวะนาํา หนักเกินและอ้วน ภาวะความดันโลหิตสูง ภาวะนาํา ตาลในเล้อดสูงและภาวะไขมันในเลอ้ ดสูง ในปี 2561 องค์การอนามัยโลกไดก้ ําาหนดเป้าหมายภาวะทางสุขภาพจิตในกลมุ่ โรค และประเด็นมลพิษในอากาศเป็นปัจจัยเสย่ี งเพ่ิมเติม เป้าหมายระดับโลกและประเทศไทยในการป้องกันและควบคุมโรค NCDs ประกอบด้วย 1. ลดอัตราตายก่อนวัยอันควรจากโรค NCDs ลง 25% ภายใน 15 ปี (พ.ศ.2553-2568) 1/3 ภายใน 20 ปี (พ.ศ. 2553-2573) 2. ลดปัจจัยเส่ียงลง 6 ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การบริโภคยาสูบ การบริโภคเคร้่องด้่มท่ีมีแอลกอฮอล์ การเคล้่อนไหวร่างกายน้อย บริโภคเกล้อ/โซึ่เดียมเกิน ภาวะอ้วนและ เบาหวาน ภาวะความดันโลหิตสูง 3. เพิ่มการเข้าถึงและความครอบคลุมของระบบบริการ 2 ประเด็น ได้แก่ การมียาและเทคโนโลยีที่จําาเป็นในการดูแลรักษาโรค NCDs, ผู่้ท่ีเสี่ยงสูงต่อการเกิด CVD ใน 10 ปีข้างหน้า ไดร้ ับยาและคําาปรึกษาปรับเปล่ียนพฤติกรรม 24 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader แพทย์หญิงจุรีพร คงประเสริฐ

ปัจจุบันนีประเทศไทยมีแนวโน้มบรรลุเป้าหมาย ความเสี่ยงของการเสียชีีวิตก่อนวัยอันควรจากโรค NCDs, การบริโภคเคร้่องด้่มที่มีแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ลดลง แตม่ แี นวโนม้ ไมบ่ รรลเุ ปา้ หมายในประเดน็ การปว่ ยดว้ ยโรคเบาหวาน โรคความดนั โลหติ สงู ภาวะนาํา หนกั เกนิ /อว้ น ทเ่ี พม่ิ ขนึ ๆ การเคลอ่้ นไหวรา่ งกายนอ้ ย การบรโิ ภคเกลอ้ /โซึ่เดยี มเกนิ การดําาเนินงานป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ (NCDs) มีวัตถุประสงค์เพ้่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อ ลดการป่วย ลดภาวะแทรกซึ่้อนและลดการเสียชีีวิตก่อน วัยอันควรจากโรคไม่ติดต่อ หลักการดําาเนินงานจําาแนกตามกลมุ่ เป้าหมายได้เป็น 2 มาตรการหลัก ได้แก่ การจัดการลดปัจจัยเสี่ยงในกลุ่มประชีากร (population approach) และการจัดการโรค/ปัจจัยเส่ียงรายบุคคล (individual/high risk approach) ซึ่ึ่งจากข้อมูลหลักฐานด้านวิชีาการพบว่าการลดการเสียชีีวิตก่อนวัยอันควรจากโรค NCDs เป็นผ่ลลัพธ์จากการดําาเนินงานในมาตรการกลุ่มประชีากร 2/3 และการดําาเนินงานในมาตรการรายบุคคล 1/3 สอดคล้องกับธรรมชีาติและการดําาเนินโรคของโรค NCDs ซึ่่ึงประชีาชีนจะเริ่มจากการสะสมปัจจัยเสี่ยง มีความเสยี่ งระดับต่าํา ความเส่ียงระดับปานกลาง ความเส่ียงระดับสูงต่อการเกิดโรค จนเริ่มมีสัญญาณผ่ิดปกติ ป่วยเป็นโรคท่ีอาจ จะยังไม่มีอาการ มีอาการ มีโรคแทรกซึ่้อน มีความพิการ และเสียชีีวิตในที่สุด การดาํา เนินงานป้องกันควบคุมโรคไมต่ ิดต่อ (NCDs) ให้บรรลุเป้าหมาย จึงให้ความสาํา คัญมุ่งเน้น การจัดการลดปัจจัยเสี่ยงเพ่้อลดการเกิดโรคซึ่ึ่งเปรียบเสมอ้ นต้นนําา มากกว่าการรักษาโรคซึ่งึ่ เปรียบเสมอ้ นปลายนําา มาตรการจัดการลดปัจจัยเสย่ี งในกลุ่มประชีากร (population approach) ประกอบด้วย 2 มาตรการย่อย ได้แก่ 1. การขับเคล้่อนและผ่ลักดันให้เกิดนโยบายสาธารณะ ทเ่ี กยี่ วข้องกับปัจจัยเสยี่ งต่าง ๆ (Health policy and advocacy) 2. การสร้างเสริมสุขภาพ รณรงคส์ ้่อสารสาธารณะ ลดความเสยี่ งในประชีากร (Health promotion and risk communication) ตัวอย่างมาตรการจัดการลดปัจจัยเสี่ยง ในกลมุ่ ประชีากร เชีน่ การออกกฎหมาย การเพมิ่ ภาษสี นิ คา้ เสยี่ งสขุ ภาพ การรณรงคก์ ารออกกําาลงั กาย การจดั สงิ่ แวดลอ้ มปลอดภยั ในการสง่ เสรมิ การออกกําาลงั กาย การรณรงค์ ลดการบริโภคเกล้อโซึ่เดียม การส่งเสริมการปรับสูตรอาหารลดเกลอ้ โซึ่เดียมในชีุมชีน มาตรการการจดั การโรค/ปจั จยั เสย่ี งรายบคุ คล (individual/high risk approach) เปน็ มาตรการเนน้ กลมุ่ เปา้ หมายประชีาชีนทเี่ ร่ิมมสี ญั ญาณผ่ดิ ปกติ ปว่ ยเปน็ โรคทอ่ี าจ จะยังไม่มีอาการ มีอาการ มีโรคแทรกซึ่้อน มีความพิการ ให้ได้รับการคัดกรองโรค/ปัจจัยเสยี่ ง ดูแลรักษาตามมาตรฐาน พร้อมทังปรับเพิ่มคุณภาพ เพิ่มความเข้มแข็งของระบบ บริการสุขภาพ (Strengthen Health System) ในการดูแล รักษาและป้องกันโรค NCDs การขบั เคลอ้่ นการดําาเนนิ งานปอ้ งกนั ควบคมุ โรคไมต่ ดิ ตอ่ โดยชีมุ ชีน ทอ้ งถน่ิ มคี วามสําาคญั อยา่ งยง่ิ ในการดําาเนนิ งานปอ้ งกนั ควบคมุ โรคไมต่ ดิ ตอ่ (NCDs) เนอ่้ งจากการเพม่ิ ขึนของปัจจัยเส่ียง พฤติกรรมเส่ียงของคนในชีุมชีน ท้องถ่ิน ได้รับอิทธิพลมาจากบริบทของสังคม/ชีุมชีน ค่านิยม ความเชี้่อ บรรทัดฐาน ของสังคมชีุมชีนนัน ๆ ที่หล่อหลอม ตามกาลเวลา ทําาให้เกิดโรคไม่ติดต่อเพิ่มขึนเร่้อย ๆ ในแต่ละปี การจัดการลดปัจจัยเส่ียงในกลุ่มประชีากรในแต่ละท้องถิ่นก็มีความหลากหลาย แตกต่างกันในแต่ละท้องถิ่น ตามสภาพปัญหาและบริบทที่มีความจําาเพาะ จึงจาํา เป็นต้องใชี้ความร่วมม้อพลังชีุมชีนและการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ ในท้องถิ่นนัน ๆ ในการขับเคล้่อนการดําาเนินงาน ป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อรวมทงัสร้างนโยบายสาธารณะ/พันธะสัญญา/พลังประชีาคมเพอ้่จัดการลดปัจจัยเสยี่งและเพิม่ส่ิงแวดล้อมทเี่ป็นมิตรต่อสุขภาพให้มากขนึ ส่งผ่ลให้ คนในท้องถ่ิน ชีุมชีน มีสุขภาพดี ลดการเจ็บป่วยจากโรคไมต่ ิดต่อและเพม่ิ คุณภาพชีวี ิตที่ดี หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 25

เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชา โรคไม่ติดต่อและหลักการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ 26 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 27

28 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 29

2. คณะ/สถาบัน/องค์กร 3. รหัสรายวิชา 4. ช่ือรายวิชา 5. ผู้รับผิดชอบรายวิชา 6. คําาอธิบายรายวิชา 7. วัตถุประสงค์รายวิชา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถ่ิน กระทรวงมหาดไทย Module 3 ระบาดวิทยาและชุดข้อมูลท่ีใช้การวิเคราะห์สถานการณ์การป้องกันโรคไม่ติดต่อในชุมชน ผศ. ดร.ศุภวรรณ มโนสุนทร ความหมายระบาดวทิ ยา ขอ้ มลู และการวดั ทางระบาดวทิ ยา คณุ ลกั ษณะสาํา คญั ของโรคไมต่ ดิ ตอ่ การนาํา เสนอขอ้ มลู เพอื่ บอกเลา่ สถานการณ์ โรคไม่ติดต่อและการป้องกันควบคุมโรค เมื่อสิ้นสุดการฝึกอบรมแล้วผู้เข้ารับการฝึกอบรมสามารถ 1) อธิบายข้อมูลท่ีใช้ในการบอกเล่าสถานการณ์โรคไม่ติดต่อสําาคัญ 2) เข้าใจการวัดเพื่อการเปรียบเทียบสถานการณ์โรคไม่ติดต่อระหว่างพ้ืนที่ 3) เข้าใจแหล่งข้อมูลท่ีจะนําามาใช้ในการบอกเล่าสถานการณ์โรคไม่ติดต่อ 4) นําาระบาดวิทยามาใช้ในการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ 1. ช่ือหลักสูตร หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ สําาหรับผู้นําาท้องถิ่น ประมวลรายวิชา (Course Syllabus) 30 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

8. สังเขปเนื้อหา Module หัวข้อ จําานวนเวลา 1.1 ระบาดวิทยาและชุดข้อมูลที่ใช้การวิเคราะห์สถานการณ์การป้องกันโรคไม่ติดต่อในชุมชน l ระบาดวิทยาคืออะไร l ระบาดวิทยาบอกสถานการณ์โรคไม่ติดต่อได้อย่างไร l ชุดข้อมูลสําาคัญที่จะนําาใช้บอกเล่าสถานการณ์โรคไม่ติดต่อ l จะวัดเพื่อเปรียบเทียบสถานการณ์โรคไม่ติดต่อระหว่างพื้นที่ได้อย่างไร l แหล่งข้อมูลสําาคัญที่จะนําาใช้บอกเล่าสถานการณ์โรคไม่ติดต่อ l การนําาเสนอข้อมูลเพื่อบอกเล่าสถานการณ์โรคไม่ติดต่อและการป้องกันควบคุมโรค 1 ชั่วโมง 9. การจัดการเรียนการสอน 10. อุปกรณ์สื่อการสอน 11. การวัดและประเมินผล 12. การประเมินผลการสอน 13. เอกสารอ้างอิง บรรยายอภิปราย 1) เอกสารประกอบการบรรยาย 2) PowerPoint 3) แบบสําารวจแหล่งข้อมูลที่ใช้ในการบอกเล่าสถานการณ์โรคไม่ติดต่อสําาคัญในระดับพื้นที่ 1) การมีส่วนร่วมในชั้นเรียน 80 % 2) เวลาเรียน 20 % 1) ประเมินผลระหว่างการสอน โดยการถามตอบ เพื่อดูผลสัมฤทธ์ิในการเรียน 2) ประเมินโดยใช้แบบประเมินการจัดการเรียนการสอน พนั ธช์ ยั รตั นสวุ รรณ. ตาํา ราระบาดวทิ ยาสาํา หรบั นกั ศกึ ษาแพทยแ์ ละนกั ศกึ ษาวทิ ยาศาสตรส์ ขุ ภาพ. สบื คน้ 2 กรกฎาคม 2564, จาก https://smd.wu.ac.th/wp-content/ uploads/2017/12/ตําาราระบาดวิทยา.pdf สมาคมนักระบาดวิทยาภาคสนาม. (2559). พ้ืนฐานระบาดวิทยา. พิมพ์คร้ังท่ี 2. กรุงเทพมหานคร: สมาคมระบาดวิทยา (ประเทศไทย). หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 31

ระบาดวิทยาและชุดข้อมูลที่ใช้การวิเคราะห์สถานการณ์การป้องกัน โรคไม่ติดต่อในชุมชน ผศ. ดร.ศุภวรรณ มโนสุนทร ความหมายระบาดวิทยา การศกึ ษาเกย่ี วกบั “การกระจาย”และ“ปจั จยั หรอื องคป์ ระกอบทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ การกระจายภาวะสขุ ภาพ(โรคหรอื ปญั หาสขุ ภาพ)ในประชากรทสี่ นใจ”เพอื่ นําาไปประยกุ ต์ ใช้ในการป้องกันควบคุมโรคหรือปัญหาสุขภาพ วัตถุุประสงค์ของระบาดวิทยา 1. เพื่อศึกษาสถานการณ์ของการเกิดโรคและสาเหตุของการเกิดโรค 2. เพ่ือศึกษาการดําาเนินของโรคและธรรมชาติวิทยาของการเกิดโรค 3. เพื่อเฝ้าระวังสถานการณ์ของการเกิดโรคและสาเหตุของการเกิดโรค 4. เพ่ือเป็นข้อมูลสารสนเทศสําาคัญ  ในการสนับสนุนการวางแผนงานโครงการ  ในการสนับสนุนมาตรการในการป้องกันควบคุมโรคและสาเหตุของการเกิดโรค ธรรมชาติของการเกิดโรค หมายถงึ กระบวนการเกดิ โรคในคน โดยทไ่ี มม่ กี ารแทรกแซงใด ๆ ระหวา่ งชว่ งระยะเวลาทม่ี กี ารเกดิ โรค เชน่ ไมม่ กี ารรกั ษาหรอื ทาํา หตั ถการใด ๆ เพอ่ื ยตุ หิ รอื ชะลอการเกดิ โรค ซึ่งผลลัพธ์สุดท้ายของการปล่อยให้โรคเกิดขนึ้ เอง คือ หายป่วยจากโรค พิการ หรือตาย โดยธรรมชาติของการเกิดโรคแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ระยะท่ี 1: ระยะที่มีความไวต่อการเกิดโรค (Stage of susceptible to disease) เป็นระยะที่คนสัมผัสหรืออยใู่ นสิ่งแวดล้อมทส่ี นับสนุนหรือก่อให้เกิดโรค ระยะน้ียังไม่มี การเปลยี่ นแปลงของพยาธสิ ภาพในรา่ งกาย เชน่ สมั ผสั เชอ้ื โควดิ จากการไปจา่ ยตลาด อยใู่ นบา้ นรว่ มกบั ผปู้ ว่ ยวณั โรคและในบา้ นไมม่ กี ารถา่ ยเทของอากาศ เชน่ เดก็ /วยั รนุ่ ทอี่ ว้ น ชอบเล่นเกมส์ ชอบกินนํา้าหวานและขนมขบเค้ียว ไม่ชอบออกกําาลังกาย เป็นต้น 32 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

ระยะที่ 2: ระยะทมี่ พี ยาธสิ ภาพเกดิ ขนึ้ ในรา่ งกายแตร่ า่ งกายไมแ่ สดงอาการของโรค (Stage of Subclinical Disease, Preclinical stage) เปน็ ระยะทรี่ า่ งกายมกี ารตอบโต้ ต่อส่ิงแปลกปลอมท่ีเข้าไปสู่ร่างกายหรือมีการเปลี่ยนแปลงพยาธิสภาพภายในร่างกาย แต่ร่างกายยังไม่แสดงอาการป่วยออกมาให้สามารถตรวจจับได้หรือยังไม่แสดงอาการ ทางคลนิ ิก เช่น เป็นผู้ใหญ่วัยทําางานที่อ้วนมาตั้งแต่เด็ก ยังคงชอบกินน้ําาหวานและของขบเค้ียว ไม่ออกกําาลังกาย เจาะนํา้าตาลในเลือดปลายนิ้ว พบว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน ระยะที่ 3: ระยะป่วย (Stage of Clinical Disease) เป็นระยะท่ีร่างกายแสดงอาการ สามารถตรวจจับได้โดยการตรวจวินิจฉััยโรคและการตรวจทางห้องปฏิิบัติการ เปน็ ระยะทผ่ี ปู้ ว่ ยมาพบแพทยเ์ พ่ือทําาการรกั ษาอาการปว่ ยจากโรค เชน่ อาการแสดงทที่ าํา ให้ผปู้ ว่ ยเบาหวานมาพบแพทย์ เชน่ หวิ บอ่ ย/กนิ จ/ุ แตน่ ํา้าหนกั ลด ปสั สาวะบอ่ ยคอแหง้ / หิวนํา้า เป็นแผลแล้วหายยาก เป็นต้น ระยะที่ 4: ระยะหายจากโรค พิการจากโรค หรือตายจากโรค (Stage of Recovery, Disability or Death) เป็นระยะทแี่ สดงผลจากการป่วย ซ่ึงจะมีความเป็นไปได้ 3 ทาง คอื หายจากโรค พกิ ารจากโรค หรอื ตายจากโรค เชน่ ผปู้ ว่ ยโรคความดนั โลหติ สงู และคมุ ความดนั โลหติ ไมไ่ ด้ สง่ ผลใหเ้ สน้ เลอื ดในสมองแตก เขา้ รบั การรกั ษาในโรงพยาบาล หลังจากออกจากโรงพยาบาลพบว่า ผู้ป่วยยังมอี ัมพาตครงึ่ ซีกด้านซ้าย ต้องทําากายภาพบาํา บัด เพอื่ ให้ร่างกายกลับมาทาํา งานได้ตามปกติให้ได้มากที่สุด ธรรมชาติของการเกิดโรคร่วมกับข้อมูลสารสนเทศทางระบาดวิทยา จะสนับสนุนในเร่ืองของการวางแผนงาน/โครงการ และสนับสนุนมาตรการในการป้องกันควบคุมโรค และสาเหตุของการเกิดโรค ระบาดวิทยาเชิงพรรณนา เป็นการศึกษาขนาดของปัญหา แนวโน้มของปัญหา และเปรียบเทียบขนาดของปัญหา (โรคหรือภาวะสุขภาพ) โดยอธิบายหรือพรรณนาขนาดของปัญหา ในรูปแบบ ของการกระจายของปัญหาตามบุคคล เวลา และสถานท่ี การกระจายของปัญหาตามบุคคล เช่น โรคเบาหวาน เกิดกับเพศ อายุ เชื้อชาติ สถานภาพการแต่งงาน อาชีพ ระดับการศึกษา รายได้ เป็นต้น การกระจายของปัญหาตามเวลา เช่น โรคเบาหวานมีแนวโน้มการเปลยี่ นแปลงเพม่ิ ขึ้นหรือลดลงในระยะเวลา 5 ปี เป็นต้น การกระจายของปัญหาตามสถานที่ เช่น โรคเบาหวานมีความแตกต่างกันอย่างไรระหว่างเขตเมืองและเขตชนบท เป็นต้น การวัดทางระบาดวิทยาเชิงพรรณนา 1. การนับ (Count) เพ่ือบอกขนาดของปัญหา โดยการนับจาํา นวนปัญหาหรือจําานวนเหตุการณ์ของปัญหา เช่น จําานวนคนตายโรคหัวใจ จําานวนคนป่วยโรคหัวใจ จําานวน กลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน จําานวนคนอ้วน จําานวนคนไม่ออกกาํา ลังกาย จาํา นวนคนดมื่ เหล้า จําานวนคนสูบบุหรี่  ข้อตกลงในการนับ คือ ต้องนับเหตุการณ์หรือนับปัญหา ด้วยข้อตกลงหรือคําาจําากัดความทเี่ ป็นมาตรฐานเดียวกัน  ข้อดี คือ ทําาได้เร็ว ไม่ส้ินเปลืองงบประมาณ  ข้อจําากัด คือ ไม่สามารถเปรียบเทียบปัญหาได้ เช่น จําานวนโรคเบาหวานในตาํา บล ก มากกว่าหรือน้อยกว่าตาํา บล ข หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 33

2.อัตรา(Rate)เพอื่บอกขนาดปัญหาโดยการนําาจําานวนเหตุการณ์มาหารด้วยจําานวนประชากรในช่วงเวลาทสี่นใจศึกษาเช่นอัตราตายโรคหัวใจอัตราป่วยโรคหัวใจ อัตรากลุม่ เสี่ยงโรคเบาหวาน ความชุกภาวะอ้วน ความชุกการไม่ออกกาํา ลังกาย ความชุกการดมื่ เหล้า ความชุกการสูบบุหร่ี  สูตรอัตราที่ใช้บ่อยในระบาดวิทยาเชิงพรรณนา คือ อัตราตาย อัตราป่วย ความชุกการเกิดโรค อบุ ัติการณ์การเกิดโรค  ข้อดี คือ เปรียบเทียบปัญหาได้ เช่น อัตราป่วยโรคเบาหวานพบร้อยละ 20 ในเพศชาย และพบร้อยละ 30 ในเพศหญิง  ข้อจําากัด การหาตัวหาร คือ ประชากรในช่วงเวลาของการเกิดเหตุการณ์สนใจ อัตราตายอย่างหยาบ = อัตราป่วย = อัตราอุบัติการณ์ = อัตราความชุก = จําานวนผู้ท่ีเสียชีวิตจากโรค/เหตุการณ์ ในระยะเวลาที่ศึกษา ประชากรกลางปีในระยะเวลาท่ีศึกษา จําานวนผู้ท่ีป่วยจากโรค/เหตุการณ์ ในระยะเวลาท่ีศึกษา ประชากรกลางปีในระยะเวลาที่ศึกษา จําานวนรายใหม่ของโรค/เหตุการณ์ ในระยะเวลาที่ศึกษา ประชากรกลมุ่ เส่ียง (Population at risk) จําานวนรายใหม่และเก่าของโรค/เหตุการณ์ ในระยะเวลาที่ศึกษา ประชากรในช่วงระยะเวลาที่ทาํา การศึกษา 34 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

อุบัติการณ์ (Incidence) และความชุก (Prevalence) อุบัติการณ์ของโรค (incidence) หมายถึง จําานวนผู้ป่วยใหม่ที่เกิดขนึ้ ในกลุ่มประชากรทเี่ ฝ้าสังเกตในช่วงระยะเวลาท่ีกาํา หนด ความชุกของโรค (prevalence) หมายถึง จําานวนผู้ป่วยทั้งหมดท่ีมีอยู่ทั้งเก่าและใหม่ในประชากรท่ีจุดเวลาที่กาํา หนด (point) หรือช่วงระยะเวลาท่ี่กาํา หนด (period) ความแตกต่างระหว่าง โรคติดต่อ/โรคไม่ติดต่อ โรคติดต่อ โรคไม่ติดต่อ การเกิดโรค รวดเร็ว สะสม เป็นไปอย่างช้า ๆ เรื้อรัง ระยะเวลาการเกิดโรค แน่นอน ไม่ชัดเจน ไม่สามารถบอกระยะเวลาได้ สาเหตุ โดยมากเกิดจาก 1 ปัจจัย โดยมากเกิดจากหลายปัจจัยและปัจจัยจะเปลี่ยนแปลงตามเวลา การวินิจฉััยโรค ชัดเจน บอกความชัดเจนยาก การรักษา ได้ผล ผลไม่แน่นอน มีผลข้างเคียงร่วม ผลลัพธ์การรักษา รักษาหาย รักษาไม่หาย รักษาตามอาการ ประคอง ความรู้/การมีส่วนร่วมในการรักษา ใช้ความรู้เฉัพาะทางผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการรักษาน้อย ใช้ความรู้สหสาขาวิชาชีพ ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการรักษา มีความรู้ ตระหนัก และสามารถจัดการดูแลตนเอง ลักษณะข้อมูลและการรายงาน ป่วยได้หลายครั้ง รายงานเป็นวัน เดือน ปี ป่วยได้ครั้งเดียว รายงานเป็นรายปี ข้อมูลทางระบาดวิทยาท่ใช้ในการดาํา เนินงานโรคไมต่ ิดต่อ 1. ข้อมูลตาย-ป่วย เพือ่ บอกสถานะทางสุขภาพของประชาชน (ขนาดปัญหา) เช่น อัตราการตาย-ป่วย ความชุก อบุ ัติการณ์ ที่เกิดจากโรคไม่ติดต่อ 2. ข้อมูลพฤติกรรมสุขภาพ เพื่อบอกปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคไม่ติดต่อ เช่น ปัจจัยทางพฤติกรรมสุขภาพ เช่น การสูบบุหรี่ การด่ืมเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์ การไม่ออกกําาลังกาย เป็นต้น 3. ปัจจัยกําาหนดทางสังคม เพ่ือบอกปัจจัยสนับสนุนการเกิดโรค เช่น เพศ อายุ การศึกษา รายได้ อาชีพ ศาสนา ความเช่ือ วัฒนธรรม เป็นต้น 4. ข้อมูลส่ิงแวดล้อม เพ่ือบอกปัจจัยที่เอื้อ-สนับสนุนการเกิดโรค เช่น นโยบายสาธารณะทเี่ กย่ี วข้องกับการออกกาํา ลังกาย สถานทอ่ี อกกําาลังกาย เป็นต้น 5. ข้อมูลการใช้/ให้บริการสุขภาพ เพอื่ ดูการเข้าสู่ระบบการบริการสุขภาพและการให้บริการสุขภาพ เช่น คลนิ ิกเบาหวาน การให้บริการในคลนิ ิกเบาหวาน จําานวนผู้ป่วย เบาหวานต่อวัน เป็นต้น 6. ข้อมูลโครงการ/ผลการดําาเนินงาน เพอ่ื ดูมาตรการ กลมุ่ เป้าหมาย ผลลัพธ์จากการทาํา งาน เป็นต้น 7. ข้อมูลทรัพยากรสาธารณสุขที่ใช้ในการทําางาน ท้ังในเรื่องของ คน งบประมาณ เครอื่ งมือที่ใช้ในการทาํา งาน เป็นต้น หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 35

ใบงานสาํา รวจแหล่งข้อมูลท่ใช้ในงานโรคไมต่ ิดต่อ ในจังหวัดของท่าน การวัด แหล่งข้อมูล รายละเอ่ยดข้อมูล ปีท่พบ 1 ข้อมูลตาย อัตรา รายงาน..... จําานวนคนตายจากโรคหัวใจขาดเลือด ปี 2560 - 2563 จําานวน หน้าเว็บ..... อัตราตายจากโรคหัวใจขาดเลือด ปี 2560 - 2563 2 ข้อมูลป่วย 3 ข้อมูลพฤติกรรมสุขภาพ 4 ข้อมูลปัจจัยกําาหนดทางสังคม 5 ข้อมูลส่ิงแวดล้อม 6 ข้อมูลการใช้/ให้บริการสุขภาพ 7 ข้อมูลโครงการ/ผลการดําาเนินงาน 8 ข้อมูลทรัพยากรสาธารณสุขที่ใช้ในการทําางาน 36 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชา ระบาดวิทยาและชุดข้อมูลที่ใช้การวิเคราะห์สถานการณ์การป้องกัน โรคไม่ติดต่อในชุมชน หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 37

38 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 39

40 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 41

42 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 43

44 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 45

46 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

2. คณะ/สถาบัน/องค์กร 3. รหัสรายวิชา 4. ช่ือรายวิชา 5. ผู้รับผิดชอบรายวิชา 6. คําาอธิบายรายวิชา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย Module 4 การประเมินสถานการณ์ปัจจัยเสี่ยงและปัจจัยกําาหนดของสุขภาพชุมชน นายแพทย์พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดเป็นปฏิปักษ์ต่อสุขภาพของคนไทยในยุคปัจจุบัน ก็คือโรคไม่ติดต่อเร้ือรัง ซึ่งส่งผลให้อายุคาดเฉล่ียลดลง สุขภาพกาย เสื่อมโทรม ปัญหาความพิการ ติดเตียง ตามมาด้วยปัญหาสุขภาพจิต และสุดท้ายที่สําาคัญปัญหาสังคมทุกด้านจะตามมา ทั้งด้านเศรษฐกิจ ผลผลิตมวลรวม และนําาไปสู่ปัญหาการดําารงชีวิตของทุกคนในสังคม การทราบถึงปัจจัยเสี่ยง และปัจจัยกําาหนด ที่ส่งผลให้เกิดโรคไม่ติดต่อ เรื้อรังก่อนท่ีโรคจะเกิดข้ึน หรือโรคลุกลามบานปลายเป็นส่วนสําาคัญที่จะทําาให้ทุกคนตระหนักและร่วมมือกันในการวางแผนแก้ไขปัญหา ก่อนเกิดสุขภาพแย่ลงจนเกิดความพิการและเสียชีวิตในที่สุด การแก้ปัญหาโรคไม่ติดต่อเร้ือรัง ไม่สามารถทําาให้สําาเร็จได้โดยการดําาเนินการ ของปัจเจกชนอย่างเดียว แต่ความร่วมมือของคนในสังคม ชุมชนจะช่วยให้สามารถชนะใจในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของบุคคลได้ ดังนั้น การประเมนิ ปจั จยั เสยี่ ง และปจั จยั กาํา หนดของคนในชมุ ชนจะชว่ ยใหช้ มุ ชนเหน็ ความสาํา คญั ของปญั หาโรคไมต่ ดิ ตอ่ เรอื้ รงั และรว่ มมอื รว่ มใจใน การสรา้ งสงิ่ แวดลอ้ มทเี่ ออื้ ตอ่ การสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพและชนะปจั จยั เสยี่ งทงั้ หลายทเี่ กดิ ขนึ้ ทงั้ ในระดบั ปจั เจกชนและชมุ ชนดว้ ยไปพรอ้ ม ๆ กนั เม่ือสิ้นสุดการฝึกอบรมแล้วผู้เข้ารับการฝึกอบรมสามารถ 1) ตระหนักถึงความสําาคัญปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง 2) ทราบถึงสถานการณ์ของปัจจัยเส่ียงและปัจจัยกําาหนดของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง 3) เข้าใจถึงความสําาคัญและวิธีการใช้ข้อมูลในการวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยง ปัจจัยท่ีมีผลต่อสุขภาพของคนในชุมชน 1. ช่ือหลักสูตร หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ สําาหรับผู้นําาท้องถิ่น ประมวลรายวิชา (Course Syllabus) 7. วัตถุประสงค์รายวิชา หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 47

8. สังเขปเน้ือหา Module หัวข้อ จําานวนเวลา 4 การประเมินสถานการณ์ปัจจัยเสี่ยงและปัจจัยกําาหนดของสุขภาพชุมชน l ทําาไมทุกคนจึงต้องร่วมมือกันชนะปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังให้ได้ 20 นาที l ปัจจัยเสี่ยง ปัจจัยกําาหนด และตัวช้ีวัดที่ส่งผลต่อสุขภาพของประชาชนไทย 20 นาที l การใช้ข้อมูลปัจจัยเสี่ยงและตัวชี้วัดที่ส่งผลต่อสุขภาพของคนในชุมชน เพื่อการขับเคลื่อนในการแก้ปัญหา ของชุมชน 20 นาที รวม 1 ชั่วโมง 9. การจัดการเรียนการสอน 10. อุปกรณ์สื่อการสอน 11. การวัดและประเมินผล 12. การประเมินผลการสอน 13. เอกสารอ้างอิง บรรยายอภิปราย และยกตัวอย่างประกอบ 1) เอกสารประกอบการบรรยาย 2) PowerPoint 3) วิดีทัศน์ 1) การมีส่วนร่วมในช้ันเรียน 80 % 2) เวลาเรียน 20 % 1) ประเมินผลสัมฤทธิ์ในการเรียน (ข้อ 11) 2) ประเมินโดยใช้แบบประเมินการจัดการเรียนการสอน Center for disease control and prevention. (2021). Social determinants of health : Know what affects health. from https://www.cdc.gov/ socialdeterminants/about.html 2019 ACC/AHA Guideline on the Primary Prevention of Cardiovascular Disease. (2019). from http://www.wongkarnpat.com/viewpat.php?id=2730 48 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

การประเมินสถานการณ์ปัจจัยเสี่ยงและปัจจัยกําาหนดของสุขภาพชุมชน นายแพทย์พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ การประเมนิ ปจั จยั เสย่ี ง (Risk factor) และปจั จยั กาํา หนดของสขุ ภาพชมุ ชน (Social determinants of health) ในการศกึ ษาวชิ าระบาดวทิ ยานน้ั การเกดิ โรคจะประกอบดว้ ย 3 ปัจจัย คือ Host (บุคคล) Agents (สงิ่ ก่อโรค) Environment (ส่ิงแวดล้อม) ซึ่งสําาหรับกรณีโรคไมต่ ิดต่อ Agent อาจจะหมายถึง ปัจจัยเสี่ยง (Risk factor) และ Environment อาจจะหมายถึง ปัจจัยกําาหนดทางสังคม (Social determinant of health) ปัจจัยเส่ียงคืออะไร ปัจจัยเส่ียง คือตัวแปรหรือปัจจัยท่ีเพมิ่ ความเสยี่ งต่อการเกิดโรค โดยอาจจะไม่ใช่สาเหตุของโรค แต่เมื่อปัจจัยน้ีมีเพิม่ ข้ึน โอกาสหรือความน่าจะเป็น ในการเกิดโรคก็จะเพมิ่ ขนึ้ ปจั จยั กาํา หนดทางสงั คม หมายถงึ กรอบ กตกิ า คา่ นยิ ม มาตรการทส่ี งั คมสรา้ งขน้ึ ซง่ึ สง่ ผลตอ่ สขุ ภาพทง้ั ในดา้ นดหี รอื ไมด่ ี ไดแ้ ก่ การศกึ ษา สภาพชมุ ชนทอ่ี ยอู่ าศยั เศรษฐานะ ค่านิยมด้านสุขภาพ การเข้าถึงบริการสุขภาพ ความผูกพันและอยู่ร่วมกันของสังคม ซงึ่ อาจจะหมายถึงความเข้มแข็งของชุมชนก็ได้ แน่นอนว่าไม่จําาเป็นว่าสังคมกําาหนดอย่างไรและคนจะต้องทาํา ตามอย่างน้ัน แตก่ ็เป็นจริงที่ว่า เมอื่ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม การอยู่ร่วมกัน กฎ กติกา ค่านิยม ย่อมส่งผลต่อ วิธีคิดและการตัดสินใจของแต่ละบุคคล ส่งผลให้เกิดการกระทําาท้ังที่เป็นผลดีและไม่ดีต่อสุขภาพ ท้ังที่รู้และไม่รู้ ย่อมส่งผลให้เกิดปัจจัยเส่ียงร่วมที่ปฏิบัติซํา้า ๆ อย่างต่อเน่ือง เปน็ ประจําา และยง่ิ ประกอบกบั บคุ คลนนั้ อาจจะมคี วามออ่ นแอทงั้ ทางดา้ นอายทุ มี่ ากขนึ้ พนั ธกุ รรมดา้ นโรคไมต่ ดิ ตอ่ เรอ้ื รงั ทอี่ าจจะซอ่ นอยซู่ งึ่ บคุ คลนนั้ อาจจะทราบหรอื ไมท่ ราบ หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 49

สง่ ผลใหเ้ กดิ ปจั จยั เสย่ี งทางชวี ภาพ เชน่ นํา้าหนกั เกนิ ไขมนั ในเลอื ดเริ่มสงู ภาวะน้าํา ตาลในเลอื ด หรอื ความดนั โลหติ สงู ขนึ้ ตามมา จนเกดิ เสยี สมดลุ ของรา่ งกาย รา่ งกายไมส่ ามารถ ต้านทานทง้ั สารเคมี สารอาหาร สารพิษทถ่ี าโถมเข้ามาอย่างต่อเนอื่ งในช่วงเวลาที่นานพอ จนทําาให้เกิดโรคหัวใจ อัมพาต ไตวาย ตามมา ความยากของการจดั การปญั หาโรคไมต่ ดิ ตอ่ เรอ้ื รงั คอื ระยะเวลาของการเกดิ โรคทย่ี าวนาน จนทาํา ใหบ้ คุ คลทม่ี ปี จั จยั เสย่ี ง ไมเ่ ชอ่ื วา่ โรคนน้ั ๆ จะเกดิ ขน้ึ กบั ตนเอง ประกอบกบั ไม่ใช่ว่าทุกคนท่ีมีความเสี่ยงจะต้องเจ็บป่วย ต่างจากโรคติดเชื้อซ่ึงเห็นเช้ือก่อโรคไดช้ ัดเจน พสิ ูจน์ได้ และมองเห็นผลลัพธ์ไม่นานในระยะฟัักตัวทเี่ ป็นวันหรือสัปดาห์ ประกอบกบั ปจั จยั เสย่ี งตา่ ง ๆ ของโรคไมต่ ดิ ตอ่ เรอ้ื รงั มกั จะเปน็ ปจั จยั ทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ ความสขุ แกบ่ คุ คลตา่ ง ๆ เชน่ การรบั ประทานอาหารอรอ่ ย การผอ่ นคลาย พฤตกิ รรมเนอื ยนง่ิ สง่ ผลใหเ้ กดิ การหลง่ั สารแหง่ ความสขุ รวมถงึ สารเสพตดิ ตา่ ง ๆ ทง้ั สรุ าและบหุ ร่ี นอกจากจะทาํา ใหห้ ลง่ั สารแหง่ ความสขุ แลว้ เมอ่ื พยายามลดละเลกิ ยงั มผี ลขา้ งเคยี งของการถอนยา (withdrawal symptom) ซ่ึงเปรียบเสมือนการลงโทษเมื่อเริ่มพยายามห่างจากปัจจัยเสยี่ งอีกด้วย นอกจากความสุขของบุคคลท่ีสัมผัสกับปัจจัยเสยี่ งแล้ว ปัจจัยกําาหนดของสังคม ยังก่อให้เกิดความสุขร่วม ในการเข้าสังคม ความเป็นพรรคพวก เช่น การดมื่ สุราสังสรรค์ ปาร์ตี้กนั เป็นกลุ่ม การรวมกลมุ่ กนั สบู บหุ รี่หลงั ดื่มสรุ า ทั้งบหุ รี่เวียนกนั สบู แก้วเหล้าเวยี นกันด่ืม การเชื่อมโยงผ่านโซเชยี ลในการตระเวนรับประทานอาหารในร้านอาหารบฟัุ เฟั่ต์ หรือร้านอาหารดัง ทําาให้เพื่อน ๆ เลียนแบบได้ง่าย ท้ังหมดนี้แสดงให้เห็นว่าปัจจัยกําาหนดส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรมของบุคคล โดยมอบรางวัลให้เมื่อบุคคลมีปฏิสัมพันธ์กัน ในทิศทางเดียวกัน แม้ว่าจะเป็นปัจจัยที่เป็นเชิงลบต่อชีวิตและสุขภาพก็ตาม อย่างไรก็ดีส่วนนี้แสดงให้เห็นว่าปัจจัยกําาหนดเอง ก็สามารถขับเคลื่อนให้เป็นปัจจัยเชิงบวกต่อสุขภาพได้ เช่น การก่อเกิดเครือข่ายชมรมออกกําาลังกายด้านต่าง ๆ และ ประชาสัมพันธ์ผ่านโซเชียล การที่ชุมชนรวมกลมุ่ กันออกกาํา ลังกาย ชุมชนลดเค็ม ชุมชนปลอดควัน เทศกาลปลอดเหล้าเบียร์ เป็นต้น ส่ิงเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ถ้านักขับเคลื่อน เพื่อสุขภาพจําาเป็นต้องเข้าใจปัจจัยกําาหนดทางสังคมต่อสุขภาพ และผลักดันให้เกิดการขับเคลื่อนมาตรการทางสังคม มาตรการชุมชน ย่อมจะส่งผลในการเปล่ียนแปลงสภาวะ สุขภาพที่มีลงทุนน้อยและมีประสิทธิภาพ (Cost effectiveness) มากกวา่ การปรับเปลยี่ นพฤติกรรมรายบุคคล การประเมิินปัจจัยเสี่่ยง การประเมินปัจจัยเสี่ยงท่ีเป็นรูปธรรม ที่สามารถทําาให้บุคคลสามารถประเมินตนเองว่ามีโอกาส เกิดโรคได้แค่ไหนนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ง่าย ต้องอาศัยงานวิจัยที่มีการติดตามอย่างยาวนานพอ จึงขอ ยกตัวอย่างการประเมินปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะหัวใจและหลอดเลือด ซ่ึงเป็นการประเมินที่ทําาได้ไม่ยากนัก มที งั้ การใชผ้ ลเลอื ด และไมใ่ ชผ้ ลเลอื ด โดยผวู้ จิ ยั ในประเทศไทยซงึ่ ประกอบดว้ ยอาจารยแ์ พทยห์ ลายทา่ น ได้พัฒนาจนเป็น Application Thai CV risk score ที่สามารถติดตง้ั ในโทรศัพทม์ ือถือได้ โดยคําานวณ ให้เห็นว่า ปัจจัยเสี่ยงที่มีอยู่นั้นจะส่งผลต่อโอกาสการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดใน 10 ปีข้างหน้า เท่าไหร่และเป็นกเี่ท่าของคนปกติท่ีอายุและเพศเดียวกัน ปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ได้แก่ อายุ เพศ การสูบบุหรี่ ระดับความดัน Systolic มปี ระวตั เิ ปน็ เบาหวานหรอื ไม่ กรณที มี่ กี ารตรวจเลอื ดจะใชร้ ะดบั Cholesteral, HDL-Chol, LDL-Chol หรือถ้าไม่มีการตรวจเลือดจะใช้ความยาวรอบเอว และส่วนสูง โดยค่าความเส่ียงท่ีคําานวณมาจะมี 50 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

ประโยชนใ์ หแ้ ตล่ ะบคุ คลเหน็ ความสาํา คญั ของปจั จยั เสยี่ งของตนเอง และพยายามปรบั ปรงุ เปลยี่ นแปลงทงั้ พฤตกิ รรม และคา่ ระดบั ไขมนั ในเลอื ด หรอื รอบเอวของตนเอง เพอ่ื ให้ ลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ซง่ึ อาจจะทําาให้เสียชีวิตอย่างเฉียบพลันได้ การจะกระตุ้นให้ประชาชนเกิดความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health literacy) ถ้าสามารถทําาให้ประชาชนสามารถรับทราบความเสี่ยงของตนเอง ท่ีเป็นตัวเลขท่ียืนยันได้ ในเชงิ วชิ าการ อาจจะกลายมาเปน็ ความตระหนกั และพรอ้ มจะเปลยี่ นแปลงพฤตกิ รรมของตนเองได้ การนําาปจั จยั เสยี่ งและแปลงมาเปน็ คา่ ความเสยี่ งเพอื่ นําามาสกู่ ารปรบั เปลย่ี น พฤติกรรมในการป้องกันโรคจึงน่าจะเป็นกุญแจสาํา คัญในการป้องกันโรคไมต่ ิดต่อเรื้อรัง (NCD) ได้ในที่สุด หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 51

เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชา การประเมินสถานการณ์ปัจจัยเส่ียงและปัจจัยกําาหนดของสุขภาพชุมชน 52 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 53

54 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 55

56 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 57

58 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 59

60 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 61

62 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 63

64 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 65

66 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 67

68 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

2. คณะ/สถาบัน/องค์กร 3. รหัสรายวิชา 4. ช่ือรายวิชา 5. ผู้รับผิดชอบรายวิชา 6. คําาอธิบายรายวิชา 7. วัตถุประสงค์รายวิชา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย Module 5 การสร้างเสริมสุขภาพและลดความเสี่ยง ป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อในชุมชน รศ.ดร.มณฑา เก่งการพานิช การส่งเสริมสุขภาพเพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อในชุมชนให้เกิดการเปล่ียนแปลงที่ย่ังยืน (SDGs) ด้วยกระบวนการ วเิ คราะหป์ ญั หาและปจั จยั สาเหตดุ ว้ ยแนวคดิ เชงิ นเิ วศ โมเดลสขุ ภาพและอรยิ สจั ส่ี เพอื่ เขา้ ใจสหปจั จยั ทเี่ กยี่ วขอ้ งและออกแบบกระบวนการ แก้ปัญหาด้วยแนวคิดอริยสัจสี่ PDCA และด้วยกลยุทธ์์ที่เหมาะสม ได้แก่ กฎบัตรออตตาวา (Ottawa Charter) และกฎบัตรกรุงเทพ (กล ยุทธ์์ PIRAB) เมื่อสิ้นสุดการฝึกอบรมแล้วผู้เข้ารับการฝึกอบรมสามารถ 1) เข้าใจกฎบัตรออตตาวาและกฎบัตรกรุงเทพ (กลยุทธ์์ PIRAB) 2) นําากฎบัตรออตตาวาและกฎบัตรกรุงเทพ (กลยุทธ์์ PIRAB) ในการวางแผนกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพได้ 1. ช่ือหลักสูตร หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ สําาหรับผู้นําาท้องถิ่น ประมวลรายวิชา (Course Syllabus) หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 69

8. สังเขปเน้ือหา Module 9. การจัดการเรียนการสอน 10. อุปกรณ์สื่อการสอน 11. การวัดและประเมินผล 12. การประเมินผลการสอน 13. เอกสารอ้างอิง หัวข้อ จําานวนเวลา 5 การสร้างเสริมสุขภาพและลดความเสี่ยง ป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อในชุมชน l กฎบัตรออตตาวา 30 นาที l กฎบัตรกรุงเทพ (กลยุทธ์์ PIRAB) 30 นาที รวม 1 ชั่วโมง 1) บรรยาย 2) ศึกษาจากยูทูปและอภิปราย 1) เอกสารประกอบการบรรยาย 2 PowerPoint 3) วิดีทัศน์ เรื่องรู้จักกฎบัตรออตตาวา https://www.youtube.com/watch?v=w7jhG8gxjDc 1) การมีส่วนร่วมในช้ันเรียน 2) การประยุกต์ใช้กลยุทธ์์ในการวางแผน 1) ประเมินโดยใช้แบบประเมินการจัดการเรียนการสอน 2) แผนส่งเสริมสุขภาพเพื่อลดความเส่ียงและป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อในชุมชน เขตสุขภาพที่ 9 “นครชัยบุรินทร์”. (2560). แผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคสู่ความเป็นเลิศ พ.ศ.2560-2579 เขตสุขภาพท่ี 9. คณะกรรมการจัดทําา แผนยุทธศาสตร์ฯ เขตสุขภาพท่ี 9 และกลุ่มพัฒนาและขับเคล่ือนยุทธศาสตร์ฯ ศูนย์อนามัยที่ 9. มณฑา เก่งการพานิช และ ธราดล เก่งการพานิช. กลยุทธ์์การสร้างเสริมสุขภาพกับการควบคุมยาสูบโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน. วารสารสุขศึกษา 2559, 33; 133: 1 - 10. สําานักงานสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). (ม.ป.ป.) การสร้างเสริมสุขภาพแนวใหม่. สืบค้น 7 กรกฎาคม 2564, จาก https://www.youtube.com/watch? v=w7jhG8gxjDc 70 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

การสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพและลดความเสย่ี ง ปอ้ งกนั ควบคมุ โรคไมต่ ดิ ตอ่ ในชมุ ชน รศ. ดร.มณฑา เก่งการพานิช เนอ้ื หาประกอบดว้ ย 2 หวั ขอ้ หลกั คอื 1) กรอบแนวคดิ การสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพและลดความเสย่ี งในการเกดิ โรคไมต่ ดิ ตอ่ ในชมุ ชน และ 2) 2 กลยทุ ธใ์์ นการขบั เคลอ่ื น ประกอบดว้ ย 2.1) กฎบัตรออตตาวา (Ottawa Charter) และ 2.2) กฎบัตรกรุงเทพ (Bangkok Charter) กรอบในการมองสถานการณ์ คือ การมองแบบองค์รวมทคี่ รอบคลุมทุกมติ ิที่สัมพันธ์ กันระหว่างคนกับสิ่งแวดล้อมทางสังคมและกายภาพที่จะบรรลุเป้าหมายการส่งเสริมสุขภาพเพื่อการมีสุขภาพดีท้ังของบุคคลและชุมชน การส่งเสริมสุขภาพเพื่อลดปัจจัยเส่ียง ของโรคเรอ้ื รงั เปน็ แนวทางหนง่ึ ทจ่ี ะสรา้ งชมุ ชนสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ ซึ่ง่ึ มสี หปจั จยั ทเ่ี ปน็ สาเหตทุ ต่ี อ้ งเปลย่ี นแปลงแกไ้ ข ดงั ปรากฏในเนอ้ื หาของ Module 5.1) อาหาร 5.2) ออกกาํา ลงั กาย 5.3) บุหรี่/ยาสูบ 5.4) สุรา/เครื่องด่ืมแอลกอฮอล์ 5.5) ฝุนละออง PM2.5 5.6) ความเครียด 5.7) ความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) ซึ่ึ่งจะใช้เคร่ืองมือและ มาตรการตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ Module 5.7) สรา้ งความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ 6) การจดั การสงิ่ แวดลอ้ ม 7) การวางแผน/โครงการ/กจิ กรรม (กลยทุ ธ)์์ 8) การส่ือสาร 9) การผลกั ดนั นโยบาย/ วาระแห่งชาติ และกฎหมาย และ 10) สอื่ ดิจิทัล กระบวนการแก้ปัญหาพฤติกรรมและปัจจัยเสย่ี งน้ัน ใช้หลักคิดของพุทธศาสนา ได้แก่ อริยสัจสี่ (ทุกข์ สมทุ ัย นิโรธ มรรค) เพ่ือหาทางพ้นทุกข์ (ปัญหาโรคเร้ือรัง) โดย การเข้าใจทุกข์/ปัญหานนั้ ใช้แนวคิดเชิงนิเวศท่ีเชื่อมโยงอิทธิพลของระดับสังคมชุมชนองค์กร/สถาบันและนโยบายสาธารณะที่มตี่อบุคคลซึ่งึ่ล้วนเป็นส่ิงแวดล้อมทางกายภาพ และทางสังคมท่ีส่งผลต่อพฤติกรรมและสุขภาพของบุคคล มีการผสมผสานกับแนวคิด PDCA (Plan-Do-Check-Act) เพ่ือใหม้ ีการทําางานอย่างต่อเน่ืองเป็นระบบและเป็นพลวัต ในการพัฒนาอย่างต่อเน่ืองในการกําาหนดวิถีทางหรือมรรคทเี่ป็นแนวทางแห่งการพ้นทุกข์จะใช้2กลยุทธ์์ในการขับเคล่ือนคือ1)กฎบัตรออตตาวา(OttawaCharter)ซึ่่ึงเป็น แนวทางการสร้างเสริมสุขภาพในระดับโลกทอี่ งค์การอนามัยโลกร่วมกับประเทศสมาชิกประกาศในปี พ.ศ. 2529 ซึ่งึ่ ให้ไว้ 5 มาตรการด้วยกันคือ 1) การสร้างนโยบายสาธารณะ 2) การสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อ/สนับสนุน 3) การปฏิบัติการเพื่อสร้างชุมชนเข้มแข็ง 4) การพัฒนาทักษะส่วนบุคคล 5) การพัฒนาบริการสุขภาพ โดยใช้ 3 กลยุทธ์์หลักคือ การเอ้ือ/เสริม (Enable) สื่อกลาง (Mediate) และชี้แนะ (Advocate) และ 2) กฎบัตรกรุงเทพ (Bangkok Charter) ซึ่งึ่ ถูกนําามากําาหนดเป็นกลยุทธ์ใ์ นการส่งเสริมสุขภาพและ ป้องกันโรคสคู่ วามเป็นเลิศ(PromotionandPreventionExcellence:PPExcellence)PIRABของกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุขประกอบด้วยP:Partnerชักชวน พันธมิตรทุกภาคส่วนทุกระดับI:Investกระตนุ้ ให้เกิดการลงทุนด้านสุขภาพR:RegulateandLegislateใช้การตรากฎและออกกฎหมายA:Advocateช้ีนําาชูประเด็นและ สนับสนุน และ B: Build Capacity พัฒนาศักยภาพบุคลากรทุกภาคส่วน ในการขบั เคลอื่ นเพอื่ สง่ เสรมิ สขุ ภาพและปอ้ งกนั โรคเรอ้ื รงั ของไทยใหป้ ระสบความสําาเรจ็ เปน็ การผสมผสาน 2 แนวคดิ ดงั กลา่ วและเสรมิ พลงั ดว้ ยการสรา้ งความรอบรดู้ า้ น สุขภาพ (health literacy) เพ่ือบรรลุเป้าหมายในการป้องกันควบคุมโรคเรื้อรังอย่างมีประสิทธิภาพ หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 71

เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชา การสร้างเสริมสุขภาพและลดความเสี่ยง ป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อในชุมชน 72 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 73

74 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 75

76 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 77

2. คณะ/สถาบัน/องค์กร 3. รหัสรายวิชา 4. ชื่อรายวิชา 5. ผู้รับผิดชอบรายวิชา 6. คําาอธิบายรายวิชา 7. วัตถุประสงค์รายวิชา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย Module 5.1 อาหารป้องกันโรคไม่ติดต่อ ผศ. ดร.ชนิดา ปโชติการ และ ดร.ปรารถนา ตปนีย์ ความสาํา คญั ของอาหารและโภชนาการกบั การเกดิ โรคไมต่ ดิ ตอ่ เรอื้ รงั การนาํา พชื ผกั และเครอื่ งเทศตา่ ง ๆ ประจาํา ทอ้ งถนิ่ ของไทยทมี่ ปี ระโยชน์ มาประกอบอาหาร การจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการจัดอาหารจานสุขภาพและอาหารว่างเพ่ือสุขภาพ การอ่านฉลากโภชนาการ เครือข่าย อาหารและโภชนาการประจําาท้องถิ่น ชุดเครื่องมือในการประเมินและการดัดแปลงสูตรอาหารเพ่ือสุขภาพ เมื่อสิ้นสุดการฝึกอบรมแล้วผู้เข้ารับการฝึกอบรมสามารถ 1) ตระหนักถึงการนําาอาหารท้องถิ่นมาใช้ในการป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง 2) ได้รับความรู้ในการจัดกิจกรรมการใช้อาหารในการป้องกันโรคไม่ติดต่อเร้ือรังตามบริบทของท้องถ่ิน 3) ตระหนักถึงความสําาคัญในการสร้างเครือข่ายประจําาท้องถิ่นในการติดตามและประเมินด้านอาหารและโภชนากร 1. ชื่อหลักสูตร หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ สําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน ประมวลรายวิชา (Course Syllabus) 78 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

8. สังเขปเนื้อหา Module 5.1 อาหารป้องกันโรคไม่ติดต่อ หัวข้อ จําานวนเวลา 1 ช่ัวโมง 9. การจัดการเรียนการสอน 10. อุปกรณ์ส่ือการสอน 11. การวัดและประเมินผล 12. การประเมินผลการสอน 13. เอกสารอ้างอิง บรรยาย อภิปราย 1) เอกสารประกอบการบรรยาย 2) PowerPoint 3) วิดีทัศน์ 1) การมีส่วนร่วมในชั้นเรียน 70% 2) เวลาเรียน 30% 1) ประเมินผลสัมฤทธิ์ในการเรียน (ข้อ 11) 2) ประเมินโดยใช้แบบประเมินการจัดการเรียนการสอน ชนิดา ปโชติการ และคณะ. (2560). รูปแบบการบริการป้องกันควบคุมโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง สําาหรับสนับสนุนการดําาเนินงาน NCD Clinic Plus. นนทบุรี: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. นติ ยา กจิ ชอบ. (2563). เอกสารเผยแพรส่ อ่ื ความรดู้ า้ นโภชนาการ เลอื กสขุ ภาพ เลอื ก Healthy Break โรงพยาบาลยง่ิ เฉลมิ พระเกยี รติ 80 พรรษา. สบื คน้ 5 กรกฏาคม 2564, จากhttps://nutrition2.anamai.moph.go.th/th/book ปรารถนา ตปนยี ์ และจฑุ ามาส โพธฐิ์ ติ ริ ตั น.์ (2557). สอื่ การสอนเพอื่ เสรมิ สรา้ งสมดลุ สขุ ภาพทเี่ หมาะสมกบั วธิ กี ารเรยี นรแู้ ละความพรอ้ มในการเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรม สุขภาพ. สมาคมนักกําาหนดอาหารแห่งประเทศไทย. หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 79

อาหารปอ้ งกนั โรคไมต่ ดิ ตอ่ เรอ้ื รงั อาหารและโภชนาการเป็นหนงึ่ ปัจจัยในการลดความเสีย่ งในการเกิดโรคไมต่ ิดต่อเร้ือรัง การคัดเลือกวัตถุดิบอาหาร ผัก ผลไม้ท้องถนิ่ 4 ภาค โดยมีความเข้าใจในคุณค่า ทางโภชนาการ และประโยชน์ต่อสุขภาพ และคําานึงถึงวิถีวัฒนธรรมชุมชน และสังคมประจําาท้องถิ่น การส่งเสริมเกษตรกรรมท้องถ่ิน ตลอดจนความร่วมมือของคนในชุมชน เช่น เกษตรกร เกษตรจังหวัด ผู้นาํา ท้องถิ่น ขนส่ง ร้านค้า โรงพยาบาล เพ่ือสร้างความมนั่ คงทางอาหารให้คนในชุมชนในท้องถิ่นของตนสามารถเข้าถึงอาหารที่ดีต่อสุขภาพอย่าง ยั่งยืน นอกจากน้ีการเลือกกินอาหารให้เหมาะสมก็เป็นปัจจัยสําาคัญ ตัวอย่างการแนะนําาการกินอาหารจากทางกรมอนามัยได้แนะนําา “กินถูกส่วน 2 2 1 ไร้พุง ลดโรค” คือ การกินอาหารใหถ้ ูกส่วน ใน 1 จาน ประกอบด้วย ผัก 2 ส่วน ข้าวแป้ง 2 ส่วน และเนอื้ สัตว์ 1 ส่วน โดยในการนาํา ความรูท้ างอาหารและโภชนาการดังกล่าวไปสคู่ นในชุมชน อาจจะตอ้ งมกี ารจดั หาเครอื่ งมอื และกจิ กรรมตา่ ง ๆ ใหค้ นในชมุ ชนไดร้ บั ความรแู้ ละมสี ว่ นรว่ ม เกดิ ความรคู้ วามเขา้ ใจนําาไปสกู่ ารเปลยี่ นแปลงทางพฤตกิ รรม ทงั้ นก้ี ารจดั กจิ กรรม ดังกล่าวจําาเป็นต้องสร้างเครือข่ายด้านอาหารและโภชนาการ ที่ประกอบไปด้วย ผู้นาํา ชุมชน นักกําาหนดอาหาร/นักโภชนาการ/โภชนากร/อสม./บุคลากรทางการแพทย์/สสอ./ สสจ. เพือ่ ร่วมมือแก้ไขปัญหา และส่งเสริมโภชนาการที่ดีในการลดความเสยี่ งต่อการเกิดโรคไมต่ ิดต่อเรื้อรังในท้องถนิ่ ความสําาคัญของอาหารและโภชนาการกับการเกิดโรคไม่ติดต่อเร้ือรัง การนําาพืชผักและเคร่ืองเทศต่าง ๆ ประจําาท้องถ่ินของไทยท่ีมีประโยชน์มาประกอบอาหาร การจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการจัดอาหารจานสุขภาพและอาหารว่างเพื่อสุขภาพ การอ่านฉลากโภชนาการ เครือข่ายอาหารและโภชนาการประจําาท้องถิ่น ชุดเคร่ืองมือใน การประเมินและการดัดแปลงสูตรอาหารเพื่อสุขภาพ 80 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader ผศ. ดร.ชนิดา ปโชติการ และ ดร.ปรารถนา ตปนีย์

เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชา การสร้างเสริมสุขภาพและลดความเสี่ยง ป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อในชุมชน หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 81

82 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 83

84 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 85

86 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 87

88 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 89

90 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 91

92 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 93

94 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 95

96 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 97

98 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 99

100 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 101

102 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 103

104 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 105

106 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 107

108 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 109

110 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 111

112 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 113

114 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

2. คณะ/สถาบัน/องค์กร 3. รหัสรายวิชา 4. ช่ือรายวิชา 5. ผู้รับผิดชอบรายวิชา 6. คําาอธิบายรายวิชา 7. วัตถุประสงค์รายวิชา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย Module 5.2 การออกกําาลังกายและกิจกรรมเคลื่อนไหวทางกายลดความเสี่ยงและป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อในชุมชน ผศ.มนต์ชัย โชติดาว หลักการสร้างเสริมสุขภาพ ที่ส่งผลต่อการลดลงของโรคไม่ติดต่อ (NCDs) การใช้การออกกาํา ลังกายเป็นเครื่องมือในการสร้างเสริมสุขภาพ และสมรรถภาพทางกายเพื่อการป้องกันโรค การทดสอบสมรรถภาพทางกายแบบง่ายกับตนเอง การกําาหนดความหนัก ความบ่อย การเลอื กโปรแกรมหรอื รปู แบบการออกกาํา ลงั กายทเี่ หมาะสมกบั ตนเอง และสอดคลอ้ งกบั สภาพแวดลอ้ มของชมุ ชน สงั คม อนั สง่ ผลตอ่ สขุ ภาพ ทางกายและจิตใจอย่างย่ังยืน เมื่อสิ้นสุดการฝึกอบรมแล้วผู้เข้ารับการฝึกอบรมสามารถ 1) เข้าใจกรอบแนวคิด ความสําาคัญของการออกกําาลังกายและกิจกรรมการเคลื่อนไหวทางกาย 2) ประเมินสมรรถภาพทางกายของประชาชนในชุมชน และต่อยอดให้ประชาชนสามารถทดสอบตนเองได้ในที่บ้าน 3) เป็นผู้นําาในการออกกําาลังกาย และให้คําาแนะนําาในการเลือกรูปแบบการออกกําาลังกายหรือกิจกรรมทางกายที่เหมาะสมและปลอดภัย กับกลุ่มประชากร ภายใต้ข้อจําากัดด้านร่างกายและโรคที่เป็น 1. ชื่อหลักสูตร หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ สําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน ประมวลรายวิชา (Course Syllabus) หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 115

8. สังเขปเน้ือหา Module หัวข้อ จําานวนเวลา 5.2 การออกกําาลังกาย (Exercise) และกิจกรรมเคลื่อนไหวทางกาย (Physical Activity) ที่ส่งผลต่อการลดลงของ โรคไม่ติดต่อ l บทนําา การออกกําาลังกายและกิจกรรมทางกาย 5 นาที l การทดสอบสมรรถภาพทางกายแบบง่ายที่ทําาได้ในชุมชนและที่บ้าน (บรรยายและปฏิบัติ) 15 นาที l การกําาหนดแนวทางวิธีดําาเนินการในการออกกําาลังกาย 5 นาที l ประเภทของการออกกําาลังกาย 5 นาที l การกําาหนดแนวทางในการออกกําาลังกาย (FITT) (บรรยายและปฏิบัติ) 25 นาที l การออกแบบและให้โปรแกรมการออกกําาลังกาย 5 นาที รวม 1 ชั่วโมง 9. การจัดการเรียนการสอน 10. อุปกรณ์ส่ือการสอน 11. การวัดและประเมินผล 12. การประเมินผลการสอน บรรยาย สาธิต และปฏิบัติการ 1) เอกสารประกอบการบรรยาย 2) PowerPoint 3) วิดีทัศน์ 116 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader 1) การเข้าเรียนไม่น้อยกว่า 75% 2) มอบหมายงานบุคคล 15% 3) การประเมินเพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ (Formative Assessment) • มีการทดสอบความรู้ก่อนเรียนและหลังเรียน • มีการอภิปราย และตอบคําาถาม 10% 1) ประเมินผลสัมฤทธิ์ในการเรียน (ข้อ 11) 2) ประเมินโดยใช้แบบประเมินการจัดการเรียนการสอน

13. เอกสารอ้างอิง Collaboration between the health and transport sectors in promoting physical activity: Examples from European countries. (2006). Stabilimenti Tipografici Carlo Colombo SPA, Rome, Italy Deborah Riebe, Jonathan K Ehrman, Gary Liguori, Meir Magal. Chapter 6 General Principles of Exercise Prescription. In: ACSM’s Guidelines for Exercise Testing and Prescription. 10th Ed. Wolters Kluwer/Lippincott Williams & Wilkins, Philadelphia, PA: 2018, 143 - 179. Davis A, Convertino V. A comparison of heart rate methods for predicting endurance training intensity. (1957). Med Sci Sports. 7. 295 - 298. Karvonen MJ, Kentala E, Mustala O. (1957). The effects of training on heart rate; a longitudinal study. Ann Med Exp Bil Fenn. 35. 307-315. Kenney WL, Wilmore J, Costill D. Physiology of Sport and Exercise, 6th Edition eBook With Web Study Guide, Human Kinetics, 2016. McArdle WD, Katch FL and Katch VL. Exercise Physiology, 8 th Edition,: Lippincott Williams& Wil-kins, Philadelphia, 2015. Michael L. Pollock and Jack H, Wilmore. (1990). Exercise in health and disease: Evaluation and prescription for prevention and rehabilitation. W.B. Saunders, Philadelphia. O’Connor, Francis G., Deuster, Patricia A., Davis, Jennifer., Pappas, Chris G., Knapik, Joseph J. (2011). Information Functional movement screening: predicting injuries in officer candidates. Medicine & Science in Sports & Exercise.43(12). 2224 - 2230. Pescatello LS, American College of Sports Medicine. ACSM’s guidelines for exercise testing and prescription. 9th ed. Phil-adephia: Wolters Kluwer/ Lippincott Williams & Wilkins Health; 2014. Powers SK, Howley ET. Exercise Physiology : Theory and Application to Fitness and Perfor-mance, 9th Edition, McGraw-Hill, Boston, 2015. Physical Activity Guidelines Advisory Committee. Physical Activity Guidelines Advisory Committee Report, 2008. Washington, DC: U.S. Dept of Health and Human Services. Russell R. Pate., Michael Pratt., Steven N. Blair. (1995). Physical activity and public health. A recommendation from the Centers for Disease Control and Prevention and the American College of Sports Medicine. JAMA. 273(5):402 - 407. Thomas, S., Reading, J., & Shephard, R. J. (1992). Revision of the Physical Activity Readiness Questionnaire (PAR-Q). Canadian Journal of Sport Sciences, 17(4), 338 - 345. หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 117

การออกกําาลังกายและกิจกรรมเคลื่อนไหวทางกายลดความเส่ียงและป้องกัน ควบคุมโรคไม่ติดต่อในชุมชน ผศ.มนต์ชัย โชติดาว แนวทางการประเมินผู้ป่วยต่อการมีกิจกรรมทางกายโดยใช้ Physical Activity Readiness Questionnaire (PAR-Q) PAR-Q หรือแบบสอบถามความพร้อมในการออกกําาลังกายเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการตรวจคัดกรองที่เรียบง่าย และเป็นขั้นตอนท่ีสําาคัญเพื่อตรวจสอบสมรรถนะทางกาย ในปจั จบุ นั วา่ เราพรอ้ มทจี่ ะทําากจิ กรรม หรอื การออกกําาลงั กายทม่ี คี วามหนกั เพมิ่ ขน้ึ ไดห้ รอื ไม่ PAR-Q ใชเ้ ปน็ เครอื่ งมอื ในการวางแผนการเพมิ่ กจิ กรรมทางกาย และสรา้ งโปรแกรม การออกกาําลงักายใหก้บัตนเองโดยปกตจิะเปน็แบบคดักรองความเสย่ีงของครฝูกึออกกาําลงักายหรอืโคช้ ในเรอ่ืงความปลอดภยั หรอืความเสย่ีงทเ่ีปน็ไปไดข้องการออกกาําลงักาย สําาหรับแต่ละบุคคล ซึ่ึ่งขึ้นอยู่กับประวัติสุขภาพ และอาการปัจจุบัน รวมถึงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ นอกจากน้ียังสามารถช่วยให้เทรนเนอร์ออกแบบโปรแกรมกิจกรรมหรือ การออกกําาลังกายท่ีสมบูรณ์แบบสําาหรับผู้สนใจกิจกรรมต่าง ๆ เกยี่ วกับการออกกาํา ลังกายได้ การมกี จิ กรรมทางกายสามารถทําาไดท้ กุ คน แตใ่ นบางรายทจ่ี ะมกี จิ กรรมทางกายทหี่ นกั กวา่ ปกติ เพม่ิ ขน้ึ กวา่ ในชวี ติ ประจําาวนั ทที่ ําาอยู่ หรอื ผทู้ มี่ โี รคประจําาตวั บางอยา่ ง เชน่ โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคของระบบหัวใจและหลอดเลือด โรคของระบบทางเดินหายใจ โรคความดนั โลหิตสูง หรือโรคทางเมตาบอลิก เช่น เบาหวาน หรือ โรคอ้วนลงพุง (Metabolic Syndrome) โรคกระดูกและข้อ จาํา เป็นต้องได้รับคําาแนะนาํา จากแพทย์ก่อนท่ีจะไปมีกิจกรรมทางกายที่มีการเพิ่มความหนัก (Intensity) ในปี 2007 Collaboration of International Authorities and Regional Health and Fitness Organization จึงได้พัฒนาเคร่ืองมือคัดกรองผู้ท่ีมีความเสี่ยง ในการมีกิจกรรมทางกายที่หนักขนึ้ กว่าเดิม เพอื่ ให้แพทย์ หรือผเู้ ชี่ยวชาญด้านกิจกรรมทางกายได้ใหค้ ําาแนะนาํา ในด้านการมีกิจกรรมทางกาย และเป็นการลดค่าใช้จ่ายที่ทุกราย จะต้องไปขอ Medical Clearance จากแพทย์ โดยให้ผู้สมัครใจจะมีกิจกรรมทางกายที่หนักขึ้นกว่าเดิม ทําาแบบสอบถามเพื่อประเมินความพร้อมต่อการมีกิจกรรมทางกาย ( P h y s i c a l A c t i v i t y R e a d i n e s s Q u e s t i o n n a i r e ) ห ร อื ใ ช ค้ ํา า ย อ่ ว า่ P A R - Q ซึ่ งึ ่ ม กี า ร พ ฒั น า แ บ บ ส อ บ ถ า ม ม า เ ป น็ ร ะ ย ะ ๆ จ งึ เ ร ยี ก ว า่ P A R - Q + โ ด ย V e r s i o n ล า่ ส ดุ ค อื 2 0 1 9 P A R - Q + โดยแบบสอบถามแบ่งเป็น 4 หน้า ดังนี้ หน้าแรก เป็นแบบสอบถาม 7 ข้อ ถ้าผตู้ อบตอบว่าไม่มีภาวะทั้ง 7 ข้อ จะสามารถมีกิจกรรมทางกายความหนักระดับปานกลาง หรือ รุนแรงได้ โดยมีแบบฟอร์มให้ลงนาม ท่ีเรียกว่า Participants Declaration ซึ่งึ่ เป็นเสมือน Medical Clearance ที่ไม่ได้ออกโดยแพทย์ แตถ่ ้ามีข้อใดข้อหน่ึงตอบว่าใช่ จะต้องทาํา แบบสอบถามเพิ่มอีก 10 ข้อใน หน้า2และ3 118 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

สามารถเข้าไปสแกน QR Code เพอื่ ตอบแบบสอบถามเพ่ือประเมินความพร้อมต่อการมกี ิจกรรมทางกาย PAR-Q หน้า 2 และ 3 จะเป็นแบบสอบถามท่ีจะถามเงอื่ นไขทางสุขภาพ เม่ือตอบเสร็จจะให้ไปอ่านคาํา แนะนาํา ในหน้า 4 (หน้า 4 จะเป็นส่วนของคาํา แนะนําา) โดย ถ้าตอบว่าไม่ใช่ทั้ง 10 ข้อ แบบสอบถามจะแนะนําาให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกิจกรรมทางกายเพ่ือแนะนําาวิธีการมีกิจกรรมทางกายที่เหมาะสมกับภาวะสุขภาพ ของท่าน และถ้ามีอายุต้ังแต่ 45 ปีขึ้นไป และต้องการมีกิจกรรมทางกายที่ความหนักระดับรุนแรง แนะนําาให้ปรึกษาผู้เช่ียวชาญด้านกิจกรรมทางกาย และให้ลงรายมือช่ือใน Participant Declaration เพ่ือใช้เป็นหลักฐานในการเข้าร่วมกิจกรรมทางกายได้ ถ้ามีข้อใดข้อหน่ึงตอบว่าใช่ แนะนาํา ให้ให้ปรึกษาผู้เช่ียวชาญด้านกิจกรรมทางกายเพอื่ ทําา Electrical Physical Activity Readiness Examination หรือ ePARMed-X จาก www.eparmedx.com ซึ่งึ่ การทําามีความยงุ่ ยาก ตอนทําาแบบสอบถาม online ต้องปรึกษาผเู้ ช่ียวชาญด้านกิจกรรมทางกายเพอื่ ทาํา แบบสอบถาม กลุ่มนี้น่าจะเป็นกลุ่มที่ ต้องให้แพทย์ออก Medical Clearance ให้ การใช้ PAR-Q+ จึงสามารถลดค่าใช้จ่ายโดยกลมุ่ ไม่เส่ียงไม่จําาเป็นต้องไปให้แพทย์ออก Medical Clearance ให้ แนวทางการประเมินผู้ป่วยต่อการมีกิจกรรมทางกายโดยใช้ Functional movement screening (FMS) เป็นการทดสอบที่ง่ายและรวดเร็ว ในการแยกแยะการเคลอื่ นไหวทไี่ ม่เหมาะสมซึ่งึ่ สามารถตรวจ แนะนําา และแก้ไขท่าออกกําาลังกายท่ีถูกต้อง เพื่อให้แน่ใจว่าคุณสามารถออกกําาลังกายได้อย่างมี ประสิทธิภาพ และไม่มีอาการบาดเจ็บ FMS จะประกอบไปด้วย 7 การทดสอบ เป็นการทดสอบ ทั้งข้างซึ่้ายและข้างขวา การให้คะแนนมี 4 ระดับ คือ 0 ถึง 3 ในการทดสอบแต่ละครงั้ ให้ผู้รับการทดสอบทาํา การทดสอบ ได้ 3 ครงั้ หากเป็นการทดสอบข้างซึ่้ายและข้างขวา ใหบ้ ันทึกคะแนนของแต่ละข้าง ในการคิดคะแนน รวมใหเ้ ลอื กคา่ คะแนนของขา้ งทไี่ ดค้ ะแนนต่ําากวา่ เปน็ คา่ ของการทดสอบนนั้ ในการแปลผลผทู้ ไี่ ดค้ ะแนน ตํา่ากว่า 14 คะแนน ถือว่าได้คะแนนตํา่ากว่าค่าเฉลี่ย และมีความเส่ียงต่อการเกิดการบาดเจ็บของกระดูก และกล้ามเนอื้ สูง ท่าการทดสอบประกอบด้วย the squat, hurdle step, lunge, shoulder mobility, active leg raise, pushup, and rotary stability. หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 119

เกณฑ์การให้คะแนนในแต่ละการทดสอบ 1. Deep Squat 2. Hurdel Step 3. Inline Lunge 4. Shoulder Mobility 120 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

5. Active Straight Leg Raise 6. Trunk Stability Pushup 7. Rotary Stability ข้้อดีีข้องการทดีสอบดี้วย FMS มีดีี ังนี้ี 1. Communication หรอื การสอ่ื สาร โดยทก่ี ารทดสอบน้ี จะใชภ้ าษาทเ่ี ขา้ ใจงา่ ย เพื่อให้ผู้ทดสอบ เทรนเนอร์ และผู้เข้ารับการทดสอบ สามารถเข้าใจได้ชัดเจนใน การทดสอบและวัดพัฒนาการ การออกกําาลังกายในแต่ละบุคคลได้ 2. Evaluation การทดสอบน้ีเป็นการทดสอบท่ีง่ายในการแยกแยะความ ไม่สมมาตรและการจาํา กัดการเคลื่อนไหวของร่างกาย 3. Standardization การทดสอบนสี้ รา้ งขนึ้ เพอื่ หาฐานในการวดั พฒั นาการ และ หาค่ากลางในการวัดประสิทธิภาพของการเคลอื่ นไหวของร่างกาย 4. Safety เปน็ การทดสอบทงี่ า่ ยในการแยกแยะ การเคลอื่ นไหว ทเี่ ปน็ อนั ตราย เพ่ือให้ผู้ทดสอบรู้และสามารถนําาไปแก้ไขการออกกําาลังกายได้ นอกจากนี้ยังแสดง ให้เห็นความสามารถหรือระดับในการออกกําาลังกายเพ่ือนําาไปตั้งเป้าหมายในการ ออกกําาลังกายไดอ้ ีกด้วย หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 121

5. Corrective Strategies เปน็ การทดสอบทสี่ ามารถนําาไปประยกุ ตใ์ ชก้ บั การออกกําาลงั กาย ในทกุ ๆ ระดบั และสามารถนําามาแยกแยะการออกกําาลงั กายทเี่ ฉพาะเจาะจง โดยวัดคะแนนที่ได้จากการทดสอบ FMS เพือ่ ใช้ในการวางแผนการรักษา การกําาหนดแนวทางวิธีดําาเนินการในการออกกําาลังกาย และการทดสอบสําาหรับแต่ละบุคคล (Exercise Prescription for Individual) Exercise Prescription หมายถึง การกําาหนดแนวทาง หรือวิธีดําาเนินการออกกําาลังกาย ที่จะแนะนําาให้แก่บุคคลท่ีเข้าร่วมกิจกรรมการออกกําาลังกายได้ปฏิบัติอย่าง ถกู ตอ้ งเหมาะสม โดยมหี ลกั เกณฑใ์ นการแนะนําาอยา่ งเปน็ ระบบ ทงั้ นจี้ ะขน้ึ อยกู่ บั สภาวะรา่ งกายของแตล่ ะบคุ คล และมกี ารกําาหนด หรอื ระบชุ นดิ ของกจิ กรรมการออกกําาลงั กาย ความหนักของงาน ระยะเวลา ความบ่อยหรือความถ่ี และความก้าวหน้าของกิจกรรมการออกกาํา ลังกาย จุดีุ มีุงหมีายข้อง Exercise Prescription การกําาหนดแนวทาง หรือวิธีการดําาเนินการออกกําาลังกายน้ัน จะต้องคําานึงถึงความสนใจ ความต้องการ และพื้นฐานทางสภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคลโดยมี จุดมุ่งหมายเพอื่ 1. เพิ่มพูน หรือเสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย 2. สร้างเสริมสุขภาพ และลดอัตราการเสี่ยงต่อโรคที่จะเกิดขนึ้ ในอนาคตหรือป้องกันการกลับคืนมาของโรค 3. ประกันความปลอดภัยแก่บุคคลนั้นในขณะทีอ่ อกกําาลังกาย (American College of Sports Medicine, 1995) Exercise Prescription คือ การกําาหนดแนวทาง หรือวิธีการดาํา เนินการออกกาํา ลังกาย จะถูกกําาหนดเป็นโปรแกรมการออกกําาลังกายที่ชัดเจน สามารถที่ปฏิบัติได้ง่าย และโปรแกรมการออกกําาลังกายที่ดีน้ัน ควรจะเป็นลักษณะทเี่ รียกว่า Well - rounded exercise program ซึ่งึ่ จะประกอบด้วย 1. กิจกรรมการออกกําาลังกายที่เป็นแบบแอโรบิค ทั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายเพ่ือพัฒนา และรักษาสภาพของสมรรถภาพทางกายด้านระบบไหลเวียนเลือด และการหายใจ (Cardiorespriatory fitness) 2. ควรจะมีการกาํา หนดแนวทางการออกกําาลังกาย สาํา หรับการควบคุมน้าํา หนัก (Weight control) ท่ีเหมาะสม 3. จะต้องมีกิจกรรมท่ีฝึกความแข็งแรง และความอดทนของกล้ามเนอ้ื (Strength and muscular endurance activity) 4. ควรจะต้องมีกิจกรรมที่ฝึกความอ่อนตัว (Flexibility) การออกกําาลังกายที่เป็นลักษณะเฉพาะเจาะจง (Specificity) เป็นส่ิงสําาคัญที่จะต้องพิจารณาสําาหรับการกําาหนดแนวทาง วิธีการดําาเนินการในการออกกําาลังกาย เช่น การฝึกความแข็งแรง และความอดทนของกล้ามเนื้อ จะเป็นการช่วยพัฒนา และรักษาสภาพความสมบูรณ์ของกล้ามเนื้อและกระดูก อีกท้ังยังเป็นการป้องกันการบาดเจ็บ ที่จะเกิดขึ้น เช่น การบาดเจ็บบริเวณหลังส่วนล่าง เป็นต้น สําาหรับการฝึกการอ่อนตัวน้ัน เป็นการมุ่งท่ีพัฒนา และรักษาสภาพเกี่ยวกับช่วงการเคลื่อนไหวของข้อต่อที่มี การเคลอื่ นไหวเป็นประจาํา ให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น และการที่มีความอ่อนตัวลดลงนาํา ไปสู่การมรี ูปร่างทรวดทรงทไี่ ม่ดี เกิดความเมอื่ ยล้าและบาดเจ็บได้ง่ายอีกด้วย 122 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

โพลล็อค และวิลมอร์ (Pollock and Wilmore, 1990) ได้ใหข้ ้อเสนอแนะเกยี่ วกับ แนวทางในการกาํา หนดขบวนการ วิธีการดําาเนินการในการออกกําาลังกายไว้ ดังนี้ ข้อเสนอแนะเบื้องต้น 1. จะต้องมีข้อมูลทางการแพทย์ (Medical information) อย่างเพียงพอ และเหมาะสม สําาหรับที่จะใช้ในการประเมินสภาวะทางสุขภาพ ซึ่งึ่ จะต้องประกอบด้วยประวตั ิ ทางการแพทย์ การวิเคราะห์องค์ประกอบต่าง ๆ ที่มีผลต่ออัตราเส่ียงการตรวจร่างกายและการทดสอบในห้องปฏบิ ัติการ ท้ังนี้รายละเอียดเหล่านี้จะต้องไดร้ ับการประเมินก่อน ท่ีจะเริ่มฝึกตามโปรแกรมการออกกําาลังกายที่ได้กําาหนดไว้ 2. จะต้องทราบถึงสภาวะปัจจุบันของแต่ละบุคคลทางด้านสมรรถภาพทางกาย และอุปนสิ ัยในการออกกําาลังกาย 3. จะต้องทราบความต้องการ ความสนใจ และจุดมงุ่ หมายในการออกกาํา ลังกายของแต่ละบุคคล 4. จะต้องกําาหนดเป้าหมายที่สามารถจะปฏิบัติ และเป็นจริงได้ ทั้งในระยะสนั้ และระยะยาว 5. จะต้องจัดหาเครอื่ งแต่งกาย เคร่ืองมือ อุปกรณส์ ําาหรับการออกกาํา ลังกายตามโปรแกรมการออกกาํา ลังกายท่ีได้กําาหนดไว้อย่างเหมาะสม ประเภทของการออกกําาลังกาย การออกกําาลงั กายสามารถจําาแนกประเภทไดห้ ลายลกั ษณะ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ การจําาแนกประเภทการออกกําาลงั กายตามลกั ษณะของการฝกึ เพอ่ื การเสรมิ สรา้ งสมรรถภาพ ของร่างกาย โดยคําานึงถึงองค์ประกอบของสมรรถภาพทางกายเป็นสาํา คัญ ซึ่่ึงสามารถจาํา แนกไดด้ ังนี้ l การออกกําาลังกายแบบไม่ใช้ออกซึ่ิเจน (Anaerobic exercise) เป็นการใช้พลังงานจากสารพลังงานหรือ Adenosine Triphosphate (ATP) ที่สะสมอยู่ในเซึ่ลล์ กล้ามเนอื้ ได้แก่การทาํางานเบาๆการวงิ่ระยะสน้ั ๆการยกน้าําหนักเป็นต้นร่างกายไม่ใช้ออกซึ่ิเจนเลยนักกีฬาเหล่านี้ได้รับการฝึกจนภาวะร่างกายมีความสามารถ เป็นหนี้ออกซึ่ิเจนได้ดี l การออกกําาลังกายแบบใช้ออกซึ่ิเจน (Aerobic exercise) มักเรียกทับศัพท์ว่า การออกกําาลังกายแบบแอโรบิค ศาสตราจารย์นายแพทย์อวย เกตุสิงห์ นักวิทยาศาสตร์ การกีฬาของไทยได้ใช้คําาว่า “อากาศนิยม” เป็นการออกกําาลังกายที่ทําาให้ร่างกายเพิ่มพูนความสามารถสูงสุดในการรับออกซึ่ิเจน ทําาให้ได้การทําางานของหัวใจ และปอดเป็นเวลานานพอทจี่ ะก่อให้เกิดความเปลยี่ นแปลงที่เป็นประโยชน์ขึ้นภายในร่างกาย เป็นการออกกําาลังกายที่มีการเคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกายด้วย ความเรว็ ระดบั ปานกลาง ในระยะเวลาอยา่ งนอ้ ย 10 นาทขี น้ึ ไป รา่ งกายจะหายใจเอาออกซึ่เิ จนเขา้ ไปใชใ้ นการสรา้ งพลงั งานเพม่ิ ขน้ึ กวา่ ระดบั ปกตมิ าก ทาํา ใหร้ ะบบหายใจ และระบบไหลเวียนของเลือดทําางานมากชั่วระยะหนึ่ง ก่อให้เกิดความทนทานของระบบดังกล่าว การออกกําาลังกายแบบแอโรบิค ได้แก่ ว่ายนํา้า วิ่ง ถีบจักรยาน เดินเร็ว ๆ เต้นรําาแอโรบิค กรรเชียงเรือ ยกน้ําาหนักแบบแอโรบิค กระโดดเชือก วิ่งอยู่กับท่ี เป็นต้น ในปัจจุบันถือว่าการออกกําาลังกายแบบแอโรบิคเป็นประโยชน์ ต่อสุขภาพมากที่สุด lการออกกาําลงักายแบบไอโซึ่เมตกิ (Isometricexercise)เปน็การออกกาําลงักายโดยการเกรง็กลา้มเนอ้ืโดยไมม่กีารเคลอ่ืนไหวสว่นใดๆของรา่งกายไดแ้ก่การเกรง็กลา้มเนอ้ื มัดใดมัดหนึ่ง หรือกลุ่มหนึ่งสักครู่แล้วคลาย และเกร็งใหม่ ทําาสลับกัน หรือการออกแรงดึงดันวัตถุที่ไม่เคล่ือนไหว เช่น ดันกําาแพง วงกบบานประตู หรือพยายาม ยกเก้าอ้ีท่ีเรานั่งอยู่ เป็นต้น อันจะทําาให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรงขึ้น จากการศึกษาวิจัยเก่ียวกับความแข็งแรง พบว่า การเกร็งกล้ามเน้ือด้วยกําาลัง 2 ใน 3 ของ กําาลังสูงสุดเป็นเวลา 6 วินาที โดยทําาเพียงวันละครง้ั จะช่วยให้กล้ามเนอื้ แข็งแรงได้ หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 123

• การออกกําาลังกายแบบไอโซึ่โทนิก (Isotonic exercise) เป็นการออกกําาลังกายต่อสู้กับแรงต้านทานโดยกล้ามเนื้อมีการหดตัว หรือคลายตัวด้วย ซึ่่ึงหมายถึงมี การเคลือ่ นไหวข้อต่อ หรือแขนขาด้วย ได้แก่ การยกสงิ่ ของขึ้น หรือวางลง การออกกาํา ลังกายแบบนเ้ี ป็นการบริหารกล้ามเนือ้ มัดต่าง ๆ โดยตรง ทําาให้กล้ามเนอ้ื โตข้ึน แข็งแรงขึน้ • การออกกําาลังกายแบบไอโซึ่คิเนติก (Isokinetic exercise) เป็นการออกกําาลังกายโดยให้ร่างกายต่อสู้กับแรงต้านทานด้วยความเร็วคงที่ นับเป็นการออกกําาลังกาย แบบใหม่ ด้วยการประดิษฐ์เครื่องมือออกกําาลังกายที่ทันสมัย ผนวกกับเคร่ืองคอมพิวเตอร์คล้ายกับการออกกําาลังแบบไอโซึ่โทนิก แต่เป็นการออกแรงต่อเครื่องมือ ที่สร้างขึ้นมา ไม่ว่าดึงออกหรือเข้า ยกขึน้ หรือวางลงก็ต้องออกแรงเท่ากัน และด้วยความเร็วเท่ากันเสมอ การออกกําาลังกายแบบแอโรบิค การออกกําาลังกายท่ีถูกต้อง และเหมาะสม เป็นวิธีหนึ่งที่จะสามารถทาํา ให้ชีวิตมนุษย์มีสุขภาพดีข้ึนการออกกําาลังกายท่ีดีนั้นจะต้องออกกําาลังกายอย่างมีระบบ มีระเบียบ แบบแผนโดยมีการเสีย่ งอันตรายในการปฏิบัติน้อยท่ีสุด ในปัจจุบันนี้ เป็นท่ียอมรับว่า การออกกําาลังกายที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุดหรือสมบูรณ์แบบท่ีสุดทาํา ให้ร่างกาย แข็งแรงได้อย่างแท้จริงนั้น คือ การออกกําาลังกายแบบแอโรบิค เพราะเป็นการออกกําาลังกายที่ทําาให้ปอด หัวใจ หลอดเลือด ตลอดจนระบบไหลเวียนของเลือดท่ัวร่างกาย แข็งแรง ทนทาน และทาํา หน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด คาํา วา่ “แอโรบคิ ” (Aerobic) นเ้ี ปน็ ภาษาลาตนิ หมายถงึ อากาศ (Air) หรอื กา๊ ซึ่ (Gas) เปน็ คาํา ทใ่ี ชก้ นั ทว่ั ไปทางวทิ ยาศาสตรค์ าํา วา่ แอโรบคิ ไดถ้ กู นาํา มาใชก้ บั การออกกาํา ลงั กาย นั้นเป็นคําาท่ีค่อนข้างใหม่ ผู้ที่นําาคําานี้มาเก่ียวข้องกับการออกกําาลังกาย คือ อาร์เธอร์ ไลดิอาร์ด (Arthur Lydiard) บิล โบเวอร์แมน (Bill Bowerman) และนายแพทย์ เคนเน็ช คูเปอร์ (Dr. Kenneth Cooper) หลักการของการออกกําาลังกายแบบแอโรบิค ตามความหมายของ คูเปอร์ คือ จะต้องเป็นการออกกาํา ลังกายที่ร่างกายต้องใช้ออกซึ่ิเจนจาํา นวนมาก และต้องทาํา ติดต่อกัน เป็นเวลาคอ่ นขา้ งนาน ซึ่งึ่ จะมผี ลทําาใหร้ ะบบการทาํา งานของหวั ใจ ปอด หลอดเลือด และการไหลเวยี นของเลือดทวั่ ร่างกายแขง็ แรงขึ้น และมีประสทิ ธิภาพในการทาํา งานดีขึ้นกวา่ เดิมอย่างชัดเจน ซึ่่ึง คูเปอร์ เรียกผลดที ี่เกิดขนึ้ ว่า “ผลจากการฝึก” (Training effect) คูเปอร์ (Cooper) ได้ให้คําาจําากัดความของการออกกําาลังกายแบบแอโรบิค หมายถึง การออกกําาลังกายชนิดใดก็ได้ ที่จะกระตุ้นให้หัวใจและปอดต้องทําางานมากขึ้น ถึงจุด ๆ หนึ่ง และด้วยระยะเวลาหนง่ึ ซึ่่ึงนานเพียงพอทจี่ ะทําาให้เกิดการเปลยี่ นแปลงทีจ่ ะเป็นประโยชนต์ ่อร่างกายได้ จุดมุ่งหมายสําาคัญของการออกกําาลังกายแบบแอโรบิค คือ ทําาให้ร่างกายได้ใช้ออกซึ่ิเจนให้มากท่ีสุดเท่าที่ร่างกายจะใช้ได้ ในเวลาท่ีกําาหนด (ซึ่ึ่งแต่ละคนจะไม่เท่ากัน) และร่างกายจะเกิดการปรับตัวกับการทําางานของร่างกาย คือ ระบบการหายใจจะต้องเร็ว และแรงขึ้น เพื่อที่จะนําาเอาออกซึ่ิเจนเข้าสู่ร่างกายให้มากข้ึน หัวใจก็ต้องเต้นเร็ว และแรงขึ้นเพื่อที่จะสูบฉีดเลือดออกจากหัวใจได้มากขึ้นทําาให้เลือดไปเล้ียงส่วนต่างๆของร่างกายโดยเฉพาะกล้ามเนอ้ืได้มากขน้ึ และหลอดเลือดขยายตัวมีความยืดหยุ่นดีขึ้น สามารถนําาเลือดไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ 124 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

จะเห็นว่าการออกกําาลังกายแบบแอโรบิคนนั้ จะต้องทําาให้หนักพอคือหัวใจต้องเต้นเร็วจนถึงอัตราที่เป็นเป้าหมาย(TargetHeartRate)หรือบางทีเรียกว่าTraining Heart Rate เวลาที่กระทําานั้นให้นานอยู่ระหว่าง 15 - 45 นาที แต่ไม่เกิน 1 ช่ัวโมง ดังน้ัน ถ้างานหนักมากใช้เวลาน้อย ถ้าทําางานน้อยใช้เวลามาก และต้องทาํา บ่อย ๆ ระยะเวลา จะต้องกระทําาอย่างน้อยที่สุดสัปดาห์ละ 3 ครงั้ ถ้าเป็นไปได้ควรทําาทุกวันอย่างสมํา่าเสมอและการออกกาํา ลังกายใด ๆ ที่ไม่หนักพอ ไม่นานพอ และไมบ่ ่อยพอก็จะไม่เกิดผลจาก การฝึก จึงไม่ถือว่าเป็นการออกกําาลังกายแบบแอโรบิคทแี่ ท้จริง ถึงแม้ว่าการออกกาํา ลังกายน้ันจะมีการใช้ออกซึ่ิเจนออกไปไมน่ ้อยก็ตาม สิ่งสําาคัญท่ีเราจะต้องระวัง คือ ต้องออกกําาลังกายให้หนักพอ แต่ไม่หนักเกินไป และสงิ่ ที่จะกําาหนดให้เราทราบว่าหนักพอหรือไม่ จะทําาได้ คือ อัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่ึ่งจะต้องทําาให้หัวใจเต้นเร็วจนถึงอัตราที่เป็นเป้าหมาย ท้ังนี้แต่ละบุคคลจะแตกต่างกันตามอายุและความแข็งแรงของแต่ละบุคคล หลักการที่สาํา คัญท่ีสุดของการออกกาํา ลังกาย แบบแอโรบคิ กค็ อื จะตอ้ งออกกาํา ลงั กายใหเ้ หนอ่ื ยพอ และทาํา ใหห้ นกั มากจนหวั ใจเตน้ เรว็ ถงึ อตั ราเปา้ หมาย ในปจั จบุ นั นท้ี น่ี ยิ มใชก้ นั มากคอื ขณะทอ่ี อกกาํา ลงั กายแบบแอโรบคิ นน้ั ถ้าจะให้ได้ผลดีจะต้องให้หัวใจเต้นอยู่ในระหว่าง 60 - 90% ของอัตราเต้นสูงสุดของหัวใจ (Maximum Heart Rate) หรือ 50 - 85% ของอัตราการเต้นหัวใจสําารองสูงสุด (Maximum Heart Rate Reserve) อัตราเต้นี้สูงสุดีข้องหัวใจุ (Maximum Heart Rate: MHR) สูตร American College of Sport Medicine อัตราเต้นสูงสุดของหัวใจ = 220-อายุ MHR : HR max = 220 - Age วิธีีหาอัตราเตนี้้ ข้องหัวใจุทีเป็นี้็ เป็้าหมีาย (Target Heart Rate or Training Heart Rate: THR) วิธีท่ี 1 Cooper method THR = MHR x %HR วิธีที่ 2 Karvonen method THR = HRmax reserve x %HR + HR rest HR max reserve = (HR max - HR rest) วิธีท่ี 3 สูตรของ ดร. พี. โอ. ออสตรานด์ (Dr. P.O. Astrand) อัตราเต้นของหัวใจที่เป็นเป้าหมายสูงสุด = 200 – อายุ ตํา่าสุด = 170 – อายุ แตไ่ มว่ า่ เราจะใชส้ ตู รใดกต็ าม และอตั ราการเตน้ ของหวั ใจทเ่ี ปน็ เปา้ หมายจะออกมามคี า่ เทา่ ใดกต็ าม สง่ิ ทส่ี าํา คญั คอื ตอ้ งคอยสงั เกตปฏกิ ริ ยิ าของรา่ งกาย ในขณะออกกาํา ลงั กาย ว่ามีส่ิงผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่ เช่น อาการเจ็บแน่นหน้าอก หน้าเขียว หรือซึ่ีดขาว หายใจขัด ๆ หรือหายใจไมท่ ัน คลน่ื ไส้ เวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม การมีอาการเช่นน้ีจะต้องรีบ หยุดทันที หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 125

โซนของหัวใจ อัตราการเต้นของหัวใจเป็นตัวบ่งบอกว่าผู้ออกกําาลังกายมีความเหนื่อยในระดับใด ทั้งยังช่วย กําาหนดขอบเขตความเข้มข้นของการออกกําาลังกาย เพื่อให้ได้ตามเป้าหมายของแต่ละคน ถ้าเรารู้จัก แต่ละโซึ่นของหัวใจ ในขณะออกกําาลังกาย ก็จะช่วยให้หัวใจแข็งแรงขึ้น และยังช่วยเผาผลาญไขมัน ส่วนเกินอย่างมีประสิทธิภาพด้วย Zone 1 basic หวั ใจเตน้ ในอตั รา 50 - 60% ของ maximum heart rate ออกกาํา ลงั กายตอ่ เนอ่ื ง เป็นเวลา 20 - 40 นาที การออกกําาลังกายแบบพื้นฐานเบา ๆ เช่น วิ่ง เดินเร็ว ปันจักรยาน หรือ เดินลู่ในฟิตเนสให้หัวใจได้ออกกําาลังกายสูบฉีดเลือดไปเล้ียงร่างกายมากขึ้น แต่สําาหรับผู้ที่ต้องการ ลดนํา้าหนัก zone 1 อาจยังไม่เพียงพอทจี่ ะเผาผลาญไขมันส่วนเกินได้ Zone 2 endurance training หัวใจเต้นในอัตรา 60 - 70% ของ maximum heart rate ออกกําาลงั กายตอ่ เนอื่ งเปน็ เวลา 20 – 40 นาที ไตบ่ นั ไดความเหนอื่ ยขนึ้ มาสขู่ นั้ burn fat หรอื เผาผลาญ ไขมนั ไดอ้ ยา่ งดี ผเู้ ลน่ จะรสู้ กึ เหนอ่ื ย มกี ารเพม่ิ ระดบั การเตน้ ของหวั ใจ ใหเ้ ลอื ดไปสบู ฉดี กลา้ มเนอ้ื มากขน้ึ เม่ืออยู่ใน zone 2 เป็นประจําา จนร่างกายเร่ิมชินแล้ว มักต้องการความท้าทายมากขึ้น เช่น การว่ิง มินิมาราธอน ฮาฟมาราธอน หรือแม้กระทั่งการเวทเทรนน่ิงเพอ่ื สร้างกล้ามเนอื้ Zone 3 aerobic exercise หัวใจเต้นในอัตรา 70 - 80% ของ maximum heart rate ออกกําาลังกายต่อเน่ืองเป็นเวลา 10 - 40 นาที นอกจากช่วยในการเผาผลาญไขมันไดด้ ีแล้ว ยังช่วยให้ กล้ามเนือ้ แข็งแรงขึน้ สร้างความแข็งแกร่งและอดทนให้ร่างกายไดด้ ี เป็นระดับกลาง ๆ ที่เหมาะสาํา หรับผู้ออกกําาลังกายเพอื่ การมีสุขภาพท่ีดี แต่หากต้องการก้าวข้ามไปสู่สนาม มินิมาราธอน 10 กิโลเมตร ด้วยเวลาต่าํา กว่า 60 นาที ยังต้องไปต่อยัง zone 4 Zone 4 tempo exercise หัวใจเต้นในอัตรา 80 - 90% ของ maximum heart rate ออกกําาลังกายต่อเนื่องเป็นเวลา 2 - 10 นาที การออกกาํา ลังมากข้ึนจนสามารถ พูดคุยได้เพียงเล็กน้อย เป็นช่วงที่ต้องใช้แรงของหัวใจและกล้ามเนอื้ มากกว่าปกติ Zone 5 sprint หัวใจเต้นในอัตรา 90 - 100 % ของ maximum heart rate ส่วนใหญ่ใช้ในกลมุ่ ของนักกีฬาอาชีพ หรือกลุ่มของผู้ที่ต้องการความเร็วมาก ๆ เช่น แข่งวง่ิ 100- 400 เมตร ต้องซึ่้อมให้อัตราเต้นของหัวใจสูงถึง zone 5 แต่สําาหรับคนท่ีร่างกายยังไม่แข็งแรงพอ อาจทําาให้หน้ามืด เป็นลม ความดันข้ึน รวมถึงอาจทําาให้หัวใจวาย และหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ 126 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

แม้การออกกําาลังกายใน zone 1 - 2 จะทําาให้เหน่ือยน้อย และเผาผลาญไขมันไม่มาก แต่หลังออกกําาลังกายแล้วจะรู้สึกสดชื่น แจ่มใส และนอนหลับได้ดีข้ึน สําาหรับ ผู้ออกกําาลังกายปกติ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง หรือต้องการลดนํา้าหนัก ออกกําาลังกายใน zone 3 ถึง zone 4 ก็เพียงพอแล้ว การออกกําาลังกายใน zone 3 - 4 เป็น การออกกาํา ลงั กายแบบแอโรบคิ โดยควรทาํา ใหไ้ ดส้ ปั ดาหล์ ะ 3 - 5 วนั ชว่ ยใหร้ า่ งกายแขง็ แรง สามารถลดนา้ํา หนกั ไดอ้ ยา่ งดี รวมถงึ ทาํา ใหก้ ลา้ มเนอ้ื แขง็ แรง และเลอื ดไปเลย้ี งสมองดขี น้ึ ผทู้ ต่ี อ้ งการออกกาํา ลงั กายจนมอี ตั ราเตน้ ของหวั ใจสงู สดุ ใน zone 5 ควรอยใู่ นการดแู ลของแพทยห์ รอื โคช้ อยา่ งใกลช้ ดิ และเหมาะสาํา หรบั กลมุ่ นกั กฬี าอาชพี หรอื ผทู้ อ่ี อกกาํา ลงั กาย เป็นประจําา เมอ่ื ทาํา ความรจู้ กั กบั Heart rate zone แลว้ เลอื กระดบั อตั ราการเตน้ ของหวั ใจใหเ้ หมาะกบั วตั ถปุ ระสงคใ์ นการออกกาํา ลงั กาย เพอ่ื ประโยชนส์ งู สดุ และสามารถบรรลเุ ปา้ หมาย ไม่ว่าจะเป็นโซึ่นผอมหรือโซึ่นแข็งแกร่งก็อยู่ไม่ไกลเกินเออื้ ม หลักการท่ีควรถือปฏิิบัติก่อนออกกําาลังกายแบบแอโรบิค 1. ถ้าเป็นหนุ่มสาวที่มีอายุต่ําากว่า 30 ปี ถือว่าเป็นวัยที่สมบูรณ์แข็งแรงมาก หากไม่มีส่ิงใดที่รู้สึกว่าผิดปกติ และเคยตรวจร่างกายท่ัว ๆ ไป เป็นประจาํา แล้วว่าแข็งแรงดี ก็ออกกําาลังกายแบบแอโรบิคได้เลย 2. ผู้ท่ีมีอายุระหว่าง 30 - 39 ปี บุคคลเหล่าน้ีจะต้องผ่านการตรวจร่างกายแล้วว่าปกติไม่เกิน 3 เดือน และการตรวจนั้นควรจะรวมถึงการตรวจหัวใจด้วยเครื่อง Electrocardiogram (EKG หรือ ECG) เพือ่ ตรวจสอบคล่ืนหัวใจว่าเป็นปกติหรือไม่ เป็นการตรวจขณะพัก หากทุกอย่างปกติก็ออกกําาลังกายแบบแอโรบิคได้เลย 3. ผู้ที่มีอายุ 40 ปีข้ึนไป จะต้องผ่านการตรวจร่างกายแล้วว่าปกติดีไม่เกิน 3 เดือนเหมือนกัน แต่การตรวจหัวใจด้วยเครื่อง EKG หรือ ECG นั้น จะต้องทําาในขณะที่ ออกกําาลังกาย (Exercise Testing) หากเป็นปกตดิ ีก็ให้ออกกําาลังกายแบบแอโรบิคได้ กิจกรรมที่นิยม และเหมาะสมสําาหรับการออกกําาลังกายแบบแอโรบิค 1. วา ยนี้าํา (Swimming) เปน็ การออกกาํา ลงั กายแบบแอโรบคิ ทด่ี ที ส่ี ดุ อยา่ งหนง่ึ เพราะวา่ ยนา้ํา เปน็ การออกกาํา ลงั กายทใ่ี ชก้ ลา้ มเนอ้ื ทว่ั รา่ งกาย โอกาสทจ่ี ะเกดิ การบาดเจบ็ ก็น้อย เพราะนํา้าจะช่วยพยุงร่างกายของเราไว้เร่ืองที่ขาจะรับแรงกระแทกมาก ๆ จึงไม่มี คนท่ีอ้วนและนํา้าหนักร่างกายมากเลือกออกกําาลังกายด้วยการว่ายน้ําาเป็นกิจกรรม การออกกําาลังกายท่ีดีที่สุด การว่ายนํา้าถ้าจะให้ได้ผลดี จะต้องว่ายติดต่อกันให้นานอย่างน้อยประมาณ 20 นาที อย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ และปฏบิ ัติอย่างสม่ําาเสมอ ข้อเสียของการว่ายนํา้า คือ หาสถานท่ีว่ายนํา้าได้ยาก เสียค่าใช้จ่ายมาก นอกจากนั้นต้องระมัดระวังการเกิดโรคบางอย่างได้ง่าย เช่น โรคตาแดง หูนํา้าหนวก เป็นต้น การว่ายนํา้าต้องคําานึงถึงความปลอดภัยเป็นอย่างมาก จะต้องว่ายนํา้าให้เป็นด้วย ถ้ามีโรคประจาํา ตัวบางอย่าง เช่น โรคลมบ้าหมู ห้ามว่ายนํา้าคนเดียวเป็นอันขาด และผู้ที่มีอาการ ปวดหลังหรือปวดคอ ต้องพยายามหลีกเลี่ยงท่าที่ต้องแอ่นหลังหรือแหงนคอมาก ๆ ถ้าเปลยี่ นมาเป็นท่ากรรเชียงในท่านอนหงายจะดีกว่า ความหนักของงาน (Intensity) สําาหรับการว่ายนํา้าที่เหมาะสมสาํา หรับบุคคลทั่วไปควรอยู่ทปี่ ระมาณ 70% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด เมื่อคาํา นวณได้เท่าไรแล้วให้เอา 17 คร้ัง/นาที ลบออก จึงจะเป็นความหนักของงานที่เหมาะสม ทง้ั นี้เพราะการออกกาํา ลังกายในน้าํา จะมีแรงต้านทานแรงนํา้าเพ่ิมมากข้ึนทําาให้ร่างกายทําางานหนักมากขึ้น 2. วิง (Jogging) การวงิ่ ในท่ีนี้ หมายถึง การวง่ิ เหยาะ ๆ (Jogging) คือ การวงิ่ อย่างช้า ๆ ด้วยความเร็วที่ตนจะรู้สึกสบายว่าจะสามารถวงิ่ ด้วยความเร็วขนาดนั้นไปได้ นาน ๆ และได้ระยะทางไกล ๆ การวิ่งเป็นการออกกาํา ลังกายแบบแอโรบิคท่ีทาํา ได้ง่ายที่สุด ประหยัดที่สุด และไดร้ ับความนิยมมาก หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 127

ตามหลักของชีวกลศาสตร์นั้น สามารถแยกการเดิน และการวิ่ง ดังนี้ การเดินจะต่างจากการวงิ่ ตรงที่การเดินจะต้องมีเท้าข้างใดข้างหนง่ึ สัมผัสพนื้ อยู่ และจะต้องมชี ่วงใด ช่วงหน่ึงทเี่ท้าทงั้สองข้างสัมผัสพื้นด้วยคือช่วงท่ีเท้าข้างหนึ่งลงมาแตะพนื้แล้วแต่เท้าอีกข้างหนึ่งยกไม่พ้นพนื้ ซึ่ึ่งช่วงน้ีจะยาวหรือสั้นขึ้นอยู่กับความเร็วของการเดินถ้าเดินช้า ช่วงนี้จะยาวถ้าเดินเร็วมาก ในช่วงที่เท้าสัมผัสพื้นก็จะสั้นลงเม่ือใดที่ปฏิบัติเร็วมากจนระยะนี้หายไป คือเท้าทั้งสองข้างลอยจากพื้นไปด้วยกัน นั่นหมายความว่าหมดสภาพ ของการเดิน และได้เข้าสสู่ ภาพของการวิ่งแล้ว การวง่ิ นน้ั จะเกดิ แรงกระแทกมากกวา่ การเดนิ กลา่ วคอื ขณะทว่ี ง่ิ นน้ั จะมนี า้ํา หนกั ตวั กดกระแทกลงบนเทา้ ประมาณ 3 - 4 เทา่ ของนา้ํา หนกั ตวั ของผวู้ ง่ิ แตถ่ า้ เปน็ การเดนิ แลว้ จะมีแรงกระแทกเพียง1-1.5เท่าของนํา้าหนักตัวเท่านนั้ เพราะมีเท้าข้างหนง่ึที่ยันพนื้อยู่เสมอ คูเปอร์ (Cooper) กล่าวว่า “การวงิ่ เพ่ือสุขภาพนนั้ ไม่ควรวิ่งเกินวันละ 3 ไมล์ (4.8 กิโลเมตร) ใครก็ตามท่ีวงิ่ มากกว่านี้ ถือว่าไม่ใช่การว่ิงเพื่อสุขภาพแล้ว แต่เป็นการวงิ่ เพื่อ จดุ ประสงคอ์ น่ื ทน่ี อกเหนอื ไป เชน่ เพอ่ื วง่ิ แขง่ ขนั วง่ิ ลา่ ถว้ ยรางวลั หรอื เพอ่ื ทาํา สถติ ใิ หต้ วั เองหรอื มฉิ ะนน้ั กว็ ง่ิ เพอ่ื อาชพี ” การวง่ิ เหยาะ ๆ คอื การวง่ิ ทม่ี คี วามเรว็ ประมาณ 9 - 12 นาที ต่อระยะทาง 1 ไมล์ หรือมีความเร็วระหว่าง 8 - 10.6 กิโลเมตรต่อชวั่ โมง ป็ัจุจุัย 3 ป็ระการทีเป็นี้็ สาเหตทุ ีทําาให้เกดีิ การบาดีเจุ็บจุากการวิง 1. ความผดิ ปกตขิ องโครงสรา้ งของรา่ งกาย เชน่ มอี งุ้ เทา้ สงู หรอื ตา่ํา เกนิ ไป ขอ้ เทา้ ตะแคงหรอื มขี าสองขา้ งยาวไมเ่ ทา่ กนั หรอื มขี อ้ เขา่ โกง่ เปน็ ตน้ นอกจากนน้ี า้ํา หนกั ตวั ท่ีมากเกินไปก็เป็นปัญหา เพราะขาและเท้าท้ังสองรับน้าํา หนักมากเกินไป 2. แรงกระแทก แรงนจี้ ะมาก หรือน้อยขึ้นอยู่กับความแข็งของพื้น ความนมุ่ นวล พื้นของเท้าตลอดจนเทคนิคในการวิ่ง เช่น เอาส่วนไหนของเท้าลงสัมผัสพน้ื ก่อน หรือการลอยตัวในขณะท่ีวิ่งมีมากน้อยเพียงใด 3. ระยะทางในการว่ิง ถ้าระยะทางว่ิงมากกว่า ย่อมมีโอกาสบาดเจ็บมากกว่า ถ้าเกิดอาการบาดเจ็บต้องหยุดพักรักษาอาการบาดเจ็บให้หายขาดเสียก่อน การวงิ่ เพื่อ สุขภาพที่ดนี ั้นไม่ควรวิ่งเกินวันละ 3 ไมล์ หรือ 4.8 กิโลเมตร ด้วยความเร็วประมาณ 9 - 12 นาทีต่อระยะทาง 1 ไมล์ หรือ 8 - 10.6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถ้าความเร็วมากกว่านี้ ถือว่าเป็นการวิ่งทั่วไปแล้วหรือบางทีเรียกว่า Running 3. เดีินี้เร็ว (Walking) ฮิปโปเครติส (Hippocrates) กล่าวไว้ว่า “Walking is man’s best medicine” หรือ “การเดินนั้นเป็นโอสถขนานวิเศษที่สุดของมนุษยชาติ” การเดินท่ีดีนั้นจะต้องมีการเคล่ือนไหว ลําาตัวแกว่งแขนให้แรงด้วย จากการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างการเดินกับการวิ่งพบว่า “การเดินน้ันจะมีการเคลื่อนไหวลําาตัวส่วนบน (รวมท้ังแขนด้วย) มากกว่าการวงิ่ ” ข้้อไดี้เป็รียบข้องการเดีนี้ิ เมี่อเป็รียบเทียบกับการวงิ คือ่ 1. การเดินจะเกิดความชอกชํา้าหรือการบาดเจ็บต่อกล้ามเนอื้ กระดูก เอ็น และข้อต่อน้อยกว่าการวงิ่ และการเดินทําาได้ง่ายกว่าการวิ่ง 2. การเดินมีความปลอดภัยมากกว่าการวิ่ง ทั้งในแง่ของการเกิดอบุ ัติเหตุ และสุขภาพทว่ั ๆ ไป 3. สถานที่สําาหรับออกกําาลังกายด้วยการเดินนน้ั สามารถเลือกไดง้ ่ายกว่าการวงิ่ 128 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

ข้้อเสียเป็รียบข้องการเดีินี้เมี่อเป็รียบเทียบกับการวงิ คือ่ 1. การเดินจะใช้ระยะเวลาในการปฏบิ ัติที่ยาวนานกว่าการวงิ่ 2. การจัดการแข่งขันการเดินจะทําาได้ยากกว่าการวง่ิ เพราะกติกาการเดินควบคุมลาํา บาก หลัักป็ฏิิบัติในี้การเดีนี้ิ ออกกาํา ลัังกายแบบแอโรบิคื คืวรยดีึ หลัักสําาคืัญ ๆ ดีังนี้ี 1. การเดินจะต้องเดินให้เร็ว ก้าวขายาว แกว่งแขนให้แรง เพอื่ ให้ร่างกายได้ใช้พลังงานให้มาก หัวใจจะได้เต้นเร็วขนึ้ จนถึงอัตราทเี่ ป็นเป้าหมาย 2. ต้องเดินติดต่อกันไปเร่ือย ๆ อย่างน้อย 30 นาทีข้ึนไป 3. ต้องเดินให้ได้สัปดาห์ละ 3 - 5 ครั้ง การเดินออกกําาลังกายนี้ เหมาะสาํา หรับบุคคลวัยสูงอายุหรือคนอ้วน เพราะเป็นการออกกาํา ลังกายที่ไม่หนัก ไมห่ ักโหมจนเกินไป และสามารถลดแรงกระแทกของน้าํา หนัก ร่างกายสําาหรับผู้สูงอายุ และคนอ้วนได้เป็นอย่างดีทั้งนี้เป็นการลดการเสยี่ งต่อการบาดเจ็บได้อีกด้วย “Walking is the road to a healthier, happier and longer life” “การเดินเป็นหนทางท่ีนําาไปสู่สุขภาพดีขึ้นมีความสุขมากขนึ้ และมชีีวิตท่ียืนยาวข้ึน” 4.กระโดีดีเชือ่ก(Ripping)การกระโดดเชือกถือให้เป็นการออกกาําลังกายแบบแอโรบิคนนั้ ค่อนข้างทาําได้ยากเพราะต้องกระโดดติดต่อกันเป็นเวลานานหากไม่ใช่คนที่ ร่างกายแข็งแรงแล้ว จะทําาไม่ได้ หรือทําาไปแล้วอาจเกิดอันตรายได้ บุคคลที่อายุเกิน 60 ปีขึ้นไป ออกกําาลังกายด้วยการกระโดดเชือก เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นผู้เคยกระโดดเชือก มานานแล้ว วธิกีารกระโดดเชอืกนน้ัไมจ่าําเปน็ตอ้งกระโดดใหส้งูมากนกั กระโดดแคใ่หเ้ทา้สงูพน้เชอืกกพ็อแลว้ และจะกระโดดดว้ยเทา้ทลีะขา้งหรอืพรอ้มกนัทง้ัสองขา้งกไ็ด้เวลากระโดดเชอืก ต้นแขนและข้อศอกควรแนบลําาตัว แกว่งเพียงแขนส่วนปลาย และข้อมือเท่านั้น ควรเลือกกระโดดเชือกบนพื้นที่ไม่แข็งมากนัก สวมรองเท้าที่มีพื้นนุ่ม ๆ และให้กระโดดด้วย ปลายเทา้ ตรงโคนนว้ิ ทกุ ครง้ั ทเ่ี ทา้ กลบั ลงมากระทบพน้ื ใหย้ อ่ เขา่ ลงเลก็ นอ้ ย เพอ่ื ชว่ ยในการผอ่ นแรงกระแทกทจ่ี ะเกดิ กบั ขอ้ เทา้ ขอ้ เขา่ สะโพก เปน็ การลดการเสย่ี งตอ่ การบาดเจบ็ ได้ การกระโดดเชือกควรจะเริ่มด้วยความเร็วประมาณ 70 - 80 ครั้งต่อนาที เมอื่ คล่องดีแล้วให้เพม่ิ ความเร็วเป็น 100 - 140 คร้ังต่อนาที หากรู้สึกเหนอื่ ยมากต้องหยุดพัก ในระยะแรก ๆ ควรกระโดดเพียง 20 วินาที แล้วพักสัก 10 - 15 วินาที ทาํา สลับกันไปเรื่อย ๆ หลังจากนนั้ จึงค่อย ๆ เพม่ิ เวลาและความเร็วให้มากขึ้นตามลําาดับ 5.การเต้นี้รําาแอโรบคืิ (AerobicDance)เป็นการออกกาําลังกายที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางวิธีการออกกําาลังกายแบบนี้เป็นการนําาเอาหลักการออกกําาลังกาย แบบแอโรบิค (Aerobic Exercise) และท่าการบริหารกายต่าง ๆ ประกอบกับเสียงดนตรีที่จังหวะเร้าใจ เพอื่ ความสนุกสนาน ซึ่งึ่ เป็นการออกกําาลังกายที่สนุก อาจจะทาํา เป็นกลุ่ม หรอื ทําาคนเดยี วกไ็ ด้ จงั หวะดนตรชี ว่ ยใหล้ มื ความเหนด็ เหนอื่ ย และความเบอื่ หนา่ ยได้ หลกั การทส่ี ําาคญั ของการเตน้ รําาแอโรบคิ คอื จะตอ้ งเคลอ่ื นไหวรา่ งกายใหม้ าก และพยายาม ทําาให้หัวใจทําางานหนักข้ึนโดยทําาให้อัตราการเต้นของหัวใจถึงอัตราทเี่ป็นเป้าหมายให้ได้คือให้อยู่ระหว่าง60-90%ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด การเต้นรําาแอโรบิค นั้น ถ้าเต้นไมถ่ ูกวิธีการ เช่น ขาดการอบอนุ่ ร่างกายท่ีถูกต้อง ไม่ไดม้ ีการยืดกล้ามเนื้อและเอ็น หรือยืดไม่เพียงพอ เต้นบนพนื้ ที่แข็งมากเกินไป รองเท้า ทใ่ี สไ่ มน่ มุ่ พอ การถา่ ยเทอากาศไมด่ ี ทาํา ใหเ้ วยี นศรี ษะ และขาดสมาธิ หรอื นา้ํา หนกั ตวั มากเกนิ ไป เหลา่ นล้ี ว้ นเปน็ สาเหตขุ องการบาดเจบ็ ไดท้ ง้ั สน้ิ เพอ่ื หลกี เลย่ี งการบาดเจบ็ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ไม่ควรกระโดดหรือเต้นให้ตัวลอย แต่จะต้องเต้นใหม้ ีเท้าหรือขาข้างใดข้างหนึ่งแตะพนื้ เสมอ ทั้งนี้เพอื่ ไม่ให้มีการกระแทกระหว่างเท้าและพนื้ ซึ่งึ่ เราเรียกการเต้นรําาแอโรบิคนี้ว่า หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 129

แบบโลวอ์ มิ แพกต์ (Low impact aerobic dance) หรอื บางทเี รยี กวา่ Soft aerobic นอกจากเปลย่ี นทา่ การเตน้ ไมก่ ระโดดแลว้ ยงั มกี ารเตน้ กนั ในน้ําา ซึ่ง่ึ เรยี กวา่ “ไฮโดรแอโรบคิ ” (hydroaerobic) หรือเรียกว่า Hydrogymnastic ท้ังนี้การเต้นในน้าํา สามารถทาํา ให้เกิดแรงต้านทานมากกว่าปกตถิ ึง 12 เท่า 6. การป็ันี้จุักรยานี้ ถือเป็นการออกกําาลังกายแบบพื้นฐานที่ทําาได้ง่าย ทําาได้บ่อย แค่มีจักรยานสักคันแบบไหนก็ได้ ก็ออกกําาลังได้แล้ว ช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกิน ช่วยให้กล้ามเน้ือแข็งแรง ทําาให้นอนหลับได้สนิท และช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคอ่ืน ๆ มากมาย การปันจักรยานสามารถทําาได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งการปันจักรยานเพื่อ การแขง่ ขนั การปนั จกั รยานเพอ่ื การออกกาํา ลงั กาย และการปนั จกั รยานเพอ่ื การลดนา้ํา หนกั ซึ่ง่ึ แนน่ อนในทกุ รปู แบบของการปนั จกั รยานเราจะไดเ้ ผาผลาญพลงั งาน นา้ํา กลา้ มเนอ้ื และ ไขมันออกไป โดยปริมาณการเผาผลาญนั้นจะมากหรือน้อยจะข้ึนอยู่กับความเร็วในการปนั จักรยาน น้าํา หนักตัว เพศ อายุ และระยะทางการปนั จักรยานนั่นเอง มีข้อแนะนําาสําาหรับผู้เร่ิมปันจักรยานใหม่ ๆ และคนทไี่ ม่ได้ออกกําาลังเป็นประจาํา ว่า ควรเริ่มปันจักรยานอย่างช้า ๆ แล้วเพมิ่ ความเร็วข้ึน (ทงั้ นี้ข้ึนอยู่กับความฟิตของแต่ละ บุคคลด้วย) และเมอ่ื ร่างกายฟิตขน้ึ จึงค่อย ๆ เพิ่มความเร็วขึ้น อย่างไรกด็ ีเพอื่ เป็นการป้องกันอาการบาดเจ็บของกล้ามเน้ือ ควรเริ่มด้วยการปันจักรยานแบบช้า ๆ ทุกครั้ง เพอื่ เป็นการอบอุ่นร่างกาย และเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนการใช้งาน การเผาผลาญพลังงานของร่างกายไม่ได้ใช้การเผาผลาญพลังงานจากแป้งในกล้ามเนอื้ (ไกลโคเจน)หรือไขมันอย่างใดอย่างหน่ึงเพียงอย่างเดียวแตร่่างกายจะใช้พลังงาน จากทง้ั สองแหลง่ ในปรมิ าณทต่ี า่ งกนั ขน้ึ อยกู่ บั ระยะเวลาและกจิ กรรมการออกกาํา ลงั กาย ตอนเรม่ิ ปนั จกั รยานรา่ งกายจะใชพ้ ลงั งานจากแปง้ ในกลา้ มเนอ้ื (ไกลโคเจน) เปน็ พลงั งานตน้ จากนั้นเมื่อการหายใจเป็นปรกติและมีออกซึ่ิเจนเพียงพอ (การปันจักรยานแบบช้า ๆ จะหายใจได้เป็นปรกติหายใจได้เต็มที่) หรือท่ีเรียกว่า การออกกําาลังกายแบบใช้ออกซึ่ิเจน (AerobicExercise)ร่างกายจะค่อยๆใช้พลังงานจากไขมันในปริมาณทมี่ากขนึ้ ซึ่งึ่กลไกนี้อาจใช้เวลาไมน่้อยกว่า30นาทีในขณะทกี่ารปันจักรยานเร็วๆจะทาําให้เราหายใจ เอาออกซึ่เิ จนเขา้ สกู่ ระแสเลอื ดตํา่ากวา่ ชว่ งหายใจสนั้ กวา่ หรอื เรยี กวา่ การออกกําาลงั กายโดยไมใ่ ชอ้ อกซึ่เิ จน (Anaerobic Exercise) เมอ่ื ออกซึ่เิ จนไมเ่ พยี งพอทจี่ ะทําาใหก้ ระบวนการ เผาผลาญไขมันทําาได้ทันการใช้งานร่างกายจึงใช้พลังงานจากกล้ามเนอื้ (ไกลโคเจน)สูงกว่า เป้าหมายของผู้ปนั จักรยานต้องการส่ิงไหนมากกว่ากัน หากต้องการลดไขมันในร่างกายก็ควรปันจักรยานช้า ๆ เพอื่ ใหร้ ่างกายได้เผาผลาญเอาไขมันมาใช้ได้มากกว่า (แต่ ต้องใช้เวลาให้มากพอ) แตถ่ ้ามองถึงเรื่องกล้ามเน้ือและความฟิตของร่างกาย การปนั จักรยานเร็ว ๆ ก็จะตอบโจทย์ได้มากกว่า จากเหตุผลดังกล่าวผู้รู้ส่วนใหญจ่ ึงนําาเอาข้อดีของ ทงั้ สองการปนั จกั รยานมาแนะนําา คอื การฝกึ แบบปนั จกั รยานชา้ สลบั เรว็ (Interval training) เพอื่ ใหร้ า่ งกายไดท้ งั้ การเผาผลาญไขมนั และไดค้ วามฟติ ของรา่ งกายไปพรอ้ ม ๆ กนั ถ้าหากต้องการให้การลดนํา้าหนักและลดไขมันได้ผล การปันจักรยาน หรือการออกกําาลังกายแบบ Aerobic ถือเป็นสิ่งท่ีจําาเป็นและขาดไม่ได้ หากเลือกการปันจักรยานมาใช้ เผาผลาญไขมัน ควรเลือกความเร็วที่เราทําาได้อย่างต่อเนื่องและสม่ําาเสมอ ทําาอย่างน้อย 40 นาที 3 - 4 คร้ังต่อสัปดาห์ และหมั่นปรับแผนการปันจักรยานทุก ๆ 4 สัปดาห์ โดยเพ่ิมที่ความหนัก เพมิ่ ความถี่ หรือเพิ่มระยะเวลา ตามความแข็งแรงของร่างกายที่เพมิ่ ขึ้น 130 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

การกําาหนดแนวทางวิธีดําาเนินการในการออกกําาลังกาย สําาหรับการพัฒนาและรักษาสภาพสมรรถภาพทางกายด้านระบบไหลเวียนโลหิต และหายใจ (Exercise prescription for cardio respiratory fitness) สิ่งท่ีสาํา คัญที่จะ ต้องคําานึงถึง และเป็นหลักการในการกําาหนดแนวทาง วิธีดําาเนินการในการออกกําาลังกาย สําาหรับการพัฒนา และรักษาสภาพสมรรถภาพทางกายด้านระบบไหลเวียนเลือด และหายใจ ดังนี้ 1. ความหนักของงาน (Intensity) 2. ระยะเวลา (Duration) 3. ความบ่อย (Frequency) 4. ชนิดของกิจกรรมการออกกําาลังกาย (Mode of physical activity) 5. ความก้าวหน้าของกิจกรรมการออกกําาลังกาย (Progression of physical activity) ความหนักของงาน (Intensity) การกําาหนี้ดีหร่อป็ระมีาณคืวามีหนี้ักข้องงานี้ สําาหรับการออกกาํา ลังกายวิธีการที่นิยมและเป็นทยี่ อมรับกันโดยท่ัวไป สามารถกาํา หนดได้ 4 วธิ ีคือ 1. กําาหนดความหนักของงานจากปริมาณการใช้ออกซึ่ิเจนของร่างกาย (Oxygen consumption: VO2 หรือ metabolic equivalent: METs) มีหน่วยการวัดเป็น มิลลิลิตรต่อกิโลกรัมต่อนาที METs หมายถึง อัตราความสามารถในการใช้ออกซึ่ิเจนในสภาวะพัก (Resting metabolic rate) 1 METs มีค่าเท่ากับ 3.5 มิลลลิ ิตรต่อกิโลกรัม ต่อนาที 2. กําาหนดความหนักของงานจากอัตราการเต้นของหัวใจ (Heart rate) มีหน่วยการวัดเป็นจาํา นวนครัง้ ต่อนาที 3. กําาหนดความหนักของงานจากอัตราการรับรู้ ที่เราเรียกว่า Rating of Perceived Exertion: RPE หรือเรียกอีกอย่างหน่ึงว่า Borg Scale 4. การใช้ Talk Test คือ ในขณะออกกําาลังกาย หากท่านสามารถร้องเพลงได้ ถือเป็นการออกกําาลังกายระดับเบา ในขณะออกกําาลังกาย หากท่านสามารถพูดได้ แต่ร้องเพลงไม่ได้ ถือเป็นการออกกาํา ลังกายระดับปานกลาง และในขณะออกกาํา ลังกาย หากท่านไม่สามารถพูดได้ ถือเป็นการออกกาํา ลังกายระดับหนัก การกําาหนี้ดีคืวามีหนี้ักข้องงานี้จุากป็ริมีาณการใชื้ออกซิิเจุนี้ โดยท่ัวไปแล้วบุคคลท่ีมีความสามารถในการใช้ออกซึ่ิเจนไดด้ ีมีประสิทธิภาพ หรือไมน่ ้ัน ข้ึนอยู่กับขบวนการทางสรีรวิทยาของแต่ละบุคคล ดังน้ี 1. ความสามารถในการระบายอากาศ 2. การฟุ้งกระจายของออกซึ่ิเจนจากถุงลมปอดเข้าไปสู่หลอดเลือด 3. ความสามารถในการทําางานของหัวใจ 4. การไหลเวียนของเลือดไปสู่กล้ามเนอื้ 5. ความสามารถของกล้ามเนือ้ ในการทจี่ ะนําาเอาออกซึ่ิเจนจากเลือดไปใช้ให้เป็นประโยชน์ หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 131

ดังนั้น บุคคลที่มีความสามารถในการใช้ออกซึ่ิเจนได้ดีนั้น จะมีการใช้ออกซึ่ิเจนในปริมาณที่สูง และจะมีความสามารถในการใช้ออกซึ่ิเจนสูงสุด (Maximal oxygen consumption: VO2 max) สูงด้วย การกาํา หนดความหนกั ของงานทเ่ี หมาะสม โดยทว่ั ไปจะมคี า่ ระหวา่ ง 50 - 85 เปอรเ์ ซึ่น็ ต์ ของความสามารถในการใชอ้ อกซึ่เิ จนสงู สดุ ของแตล่ ะบคุ คล (50 - 85% VO2 max) ในการกําาหนดความหนักของงานสําาหรับแต่ละบุคคล โดยทั่วไปแล้วสําาหรับวัยผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดีจะกาํา หนดความหนักของงานประมาณ 60 - 70 เปอร์เซึ่็นต์ของความสามารถ ในการใช้ออกซึ่ิเจนสูงสุด (60 - 70% VO2 max) และบุคคลที่มีความสามารถของร่างกายต่ําา (low functional capacity) จะกาํา หนดความหนักของงานประมาณ 40 - 60 เปอร์เซึ่็นต์ของความสามารถในการใช้ออกซึ่ิเจนสูงสุด (<40 - 60% VO2 max) สําาหรับบุคคลที่มีความผิดปกติ เช่น บุคคลที่มปี ัญหาเกี่ยวกับกระดูก ความอ้วน ควรเลือกความ หนักของงานในระดับต่ําา (ต่าํา กว่า 40% VO2 max) และสาํา หรับบุคคลท่ัวไปที่ไม่ใช่นักกีฬาควรจะเลือกความหนักของงานโดยเฉลยี่ ประมาณ 70 เปอร์เซึ่็นต์ของความสามารถใน การใช้ออกซึ่ิเจนสูงสุด (70% VO2 max) การแบ่งระดับความหนักของงาน สามารถแบ่งได้เป็น 3 ระดับ คือ ระดับท่ี1ระดับความหนักของงานต่าํา (Lowexerciseintensity)จะมีระดับความหนักของงานตํา่ากว่า40เปอร์เซึ่็นต์ของความสามารถในการใช้ออกซึ่ิเจนสูงสุด (<40% VO2 max) ระดบั ท่ี 2 ระดบั ความหนกั ของงานปานกลาง (Moderate exercise intensity) จะมรี ะดบั ความหนกั ของงานระหวา่ ง 40 - 60 เปอรเ์ ซึ่น็ ตข์ องความสามารถในการใช้ ออกซึ่ิเจนสูงสุด (40 - 60% VO2 max) ระดับที่ 3 ระดับความหนักของงานสูง (Vigorous or High exercise intensity) จะมีระดับความหนักของงานมากกว่า 60 เปอร์เซึ่็นต์ของความสามารถในการใช้ ออกซึ่ิเจนสูงสุด (>60% VO2 max) การกําาหนี้ดีคืวามีหนี้ักข้องงานี้จุากอัตราการเตนี้้ ข้องหัวใจุ การกําาหนดความหนักของงานจากอัตราการเต้นของหัวใจ ก่อนอ่ืนจะต้องทราบอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุดของแต่ละบุคคลเสียก่อน การหาอัตราการเต้นของหัวใจ สูงสุด (Maximal heart rate) สามารถหาได้หลายวิธี คือ 1. จากการทดสอบด้วยวิธีการออกกําาลังกาย (Graded Exercise Testing: GXT) 2. จากการวิง่ 12 นาที หรือ 1.5 ไมล์ 3. จากสูตร 220 - อายุ 4. จากตารางที่กําาหนดให้ โดยแบ่งแยกตามเพศและอายุ ในการหาอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุดในแต่ละวธิ ีที่กล่าวมานี้ วิธีท่ีง่ายสะดวกและเป็นที่นิยมใช้กัน คือ วิธีที่ 3 จากสูตร 220 - อายุ และในวิธีที่ 2 จากการวงิ่ 12 นาที หรือ 1.5 ไมล์ ไม่ควรจะนําาไปใช้กับผู้ท่ีเร่ิมต้นออกกําาลังกาย หรือผู้ท่ีมีอัตราเส่ียงต่อการเป็นโรคหัวใจโคโรนาร่ีสูง ส่วนวิธีที่ 1 จากการทดสอบด้วยวิธีการออกกําาลังกายนั้น ค่อนข้างยุ่งยากซึ่ับซึ่้อนแต่ก็ให้ค่าท่ีแม่นยําากว่าทุกๆวิธีและวิธีที่4เป็นวธิีโดยประมาณเท่านน้ั ความแม่นยําาในการวัดน้อยกว่าวธิีอ่ืนๆ 132 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

เมื่อทราบอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุดแล้วเราก็สามารถที่จะคําานวณหาอัตราการเต้นของหัวใจทเี่ป็นเป้าหมาย(Targetheartrate)ของแต่ละบุคคลได้ซึ่่ึงมีวิธีการ คําานวณดังนี้ วิธีีที 1 Karvonen method อัตราการเต้นของหัวใจที่เป็นเป้าหมาย เท่ากับ \\\\\\\\\\\\\\\{อัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด-อัตราการเต้นของหัวใจขณะพัก\\\\\\\\\\\\\\\} x เปอร์เซึ่็นต์ความหนักของงาน + อัตรา การเต้นของหัวใจขณะพัก THR = \\\\\\\\\\\\\\\{HRmax - HRrest \\\\\\\\\\\\\\\} x % HR + HRrest อัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด (Maximal heart rate: HRmax ) เท่ากับ 220 - อายุ HRmax = 220-อายุ อตั ราการเตน้ ของหวั ใจสาํา รองสงู สดุ (Maximal heart rate reserve: HRmax reserve) เทา่ กบั อตั ราการเตน้ ของหวั ใจสงู สดุ - อตั ราการเตน้ ของหวั ใจขณะพกั HRmax reserve (HRR) = HRmax - HRrest วิธีีที 2 Cooper อัตราการเต้นของหัวใจที่เป็นเป้าหมายเท่ากับอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด x เปอร์เซึ่็นต์ความหนักของงาน THR = HRmax x % HR วิธีการคําานวณของความหนักของงานโดยวิธีที่ 1 Karvonen method จะให้ความแม่นยําาและมีความสัมพันธก์ ับความสามารถในการใช้ออกซึ่ิเจน (VO2) มากกว่าวิธี ท่ี 2 ของ Cooper และวิธีที่ 2 น้ีมีแนวโน้มในการประเมินความสามารถในการใช้ออกซึ่ิเจนไดต้ ่ําากว่าค่าความเป็นจริง แต่ก็มีวิธีการคําานวณท่ีง่าย สะดวกไมซึ่่ ับซึ่้อน จากการศึกษาของ เดวิด และ คอนเวอร์ติโน (Davis and Convertino, 1975, quoted in pollock and Wilmore, 1990) ไดท้ ําาการศึกษาเปรียบเทียบวิธีการหา อัตราการเต้นของหัวใจ สาํา หรับการพยากรณ์ความหนักของงานในการฝึกความทนทานของร่างกาย พบว่า การหาอัตราการเต้นของหัวใจท่ีเป็นเป้าหมายของบุคคลวัยผู้ใหญ่ ทม่ี สี ขุ ภาพดี ที่ระดับความหนักของงาน 70 และ 85 เปอร์เซึ่็นต์ ของความสามารถสูงสุดที่คาํา นวณโดยวิธีที่ 2 Cooper จะไดค้ ่าตํา่ากว่าวิธีที่ 1 Karvonen method ประมาณ 25 ครง้ั ต่อนาที และ 13 ครง้ั ต่อนาที ส่วนบุคคลที่เป็นโรคหัวใจนนั้ มีความแตกต่างกัน 20 ครงั้ ต่อนาที และ 11 ครงั้ ต่อนาที ตามลาํา ดับ การกาํา หนดความหนักของงาน โดยใช้ อัตราการเต้นของหัวใจสําารองสูงสุด (HR max reserve) มีความสัมพันธ์กันอย่างมากกับ ค่าอัตราความสามารถในการใช้ออกซึ่ิเจนที่เป็นจริง เม่ือทําาการทดสอบด้วยวิธี การออกกําาลังกาย (Graded exercise test: GXT) การประเมินหรือการวัดอัตราการเต้นของหัวใจขณะพัก ช่วงเวลาที่ดีที่สุด คือ ภายหลังตนื่ นอนตอนเช้าก่อนท่ีจะลุกขนึ้ ไปปฏิบัติภารกิจประจําาวัน การเปลยี่ นอิริยาบถ หรือทา่ ทางตา่ ง ๆ จะทาํา ใหอ้ ตั ราการเตน้ ของหวั ใจขณะพกั เปลย่ี นแปลงไปไดง้ า่ ย และการวดั อตั ราการเตน้ ของหวั ใจขณะพกั ควรจะใหอ้ ยใู่ นทา่ นอนทส่ี บาย หรอื ทา่ นง่ั และควรจะ สงบเงยี บ ท้ังนี้จะทําาการนับอัตราการเต้นของหัวใจเป็นเวลา 30 วินาที แล้วคูณด้วยสอง เป็นเวลาหนงึ่ นาที การวัดอัตราการเต้นของหัวใจขณะพัก ท่ีแม่นยําาควรจะวัดในเวลา ตอนเช้าติดต่อกันประมาณ 2 - 3 วัน แล้วหาค่าเฉลยี่ อัตราการเต้นของหัวใจขณะพักทเี่ หมาะสม หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 133

การกําาหนี้ดีคืวามีหนี้ักข้องงานี้จุากอัตราการรับรู้ วิธีการนี้เป็นการหาอัตราการรับรูข้ องความหนักของงานได้รับการพัฒนาโดย กันเนอร์ บอร์ก (Gunnar Borg) ซึ่งึ่ เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัย ของกรุงสต๊อกโฮมประเทศสวีเดนโดยค้นพบว่าความหนักของงานในการออกกําาลังกายซึ่่ึงสามารถจะบอกไดด้ ้วยอัตราการเต้นของหัวใจนัน้ สามารถท่ีจะบันทึกได้โดยบ่งบอก ถงึ ความรสู้ กึ หรอื บอกถงึ การรบั รขู้ องความหนกั งาน หรอื สามารถตอบสนองกบั การรบั รคู้ วามหนกั ของงานทก่ี ระทาํา อยนู่ น้ั ได้ ซึ่ง่ึ เรยี กวธิ นี ว้ี า่ Ratings of Perceived Exertion: RPE) บอร์ก (Borg) ได้กําาหนดระดับความหนักของงานตามอัตราการรับรไู้ ว้ครั้งแรกมี 15 ระดับ และมชี ่วงของคะแนนจาก 6 ถึง 20 ต่อมาได้เปลยี่ นแปลงอัตราการรับรู้เป็น 0 - 10 ความสัมพันธ์ของอัตราการรับรู้ (RPE scale) นี้มีความสัมพันธก์ ับความเมอื่ ยล้า นอกจากน้ีกย็ ังมีความสัมพันธ์กับองค์ประกอบทางสรีรวิทยา คือ อัตราการเต้นของ หัวใจ ระดับของกรดแลคติคในเลือด ความสามารถในการใช้ออกซึ่ิเจน และความสามารถในการระบายอากาศ การใช้อัตราการรับรู้ในการกําาหนดความหนักของงานน้ี จะนิยม ใชค้ วบคกู่ บั วธิ กี ารกาํา หนดความหนกั ของงานจากอตั ราการเตน้ ของหวั ใจ และจากปรมิ าณการใชอ้ อกซึ่เิ จน นอกจากน้ี พบวา่ วยั หนมุ่ สาวทม่ี สี ขุ ภาพดี อตั ราการรบั รสู้ งู สดุ จะเปน็ 19 วัยกลางคนที่มีสุขภาพดีจะเป็น 18 และผู้ท่ีเป็นโรคหัวใจจะเป็น 17 ส่วนอัตราการรับรจู้ ากการใช้การกาํา หนดระดับความหนักงานเป็น 15 ระดับ น้ันพบว่า อัตราการรับรู้ที่ระดับ 12 - 13 จะมีความสัมพันธ์กับอัตราการเต้นของหัวใจท่ี 60 เปอร์เซึ่็นต์ และอัตราการรับรู้ทรี่ ะดับ 16 จะมีความสัมพันธก์ ับอัตราการเต้นของหัวใจที่ 85 เปอร์เซึ่็นต์ ของอัตรา การเต้นหัวใจสูงสุด (American College of Sports Medicine, 1991) นอกจากนี้ American College of Sports Medicine (ACSM) แนะนําาให้ผู้ใหญ่ออกกําาลังกายในระดับความเข้มข้นปานกลางแบบแอโรบิคเป็นเวลา 150 นาทีต่อ สัปดาห์ อาจแบ่งย่อยเป็นออกกําาลังกายวันละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ก็ได้ วิธีวัดระดับความเข้มข้นง่าย ๆ ที่สามารถทําาได้ คือการทําา Talk Test ระดับความเข้มข้นทพี่ อดีกับ ร่างกาย คือระดับทเี่ รายังสามารถพูดคุยกับคนอ่ืนไปด้วยได้ในขณะกาํา ลังออกกําาลังกาย ระยะเวลา (Duration) ระยะเวลาของการออกกาํา ลงั กาย ควรจะใชร้ ะยะเวลาประมาณ 15 - 60 นาที ทง้ั น้ี จะไมร่ วมระยะเวลาสาํา หรบั ชว่ งการอบอนุ่ รา่ งกาย และชว่ งผอ่ นคลาย แตโ่ ดยทว่ั ๆ ไปแลว้ จะใชร้ ะยะเวลาของการออกกาํา ลงั กายประมาณ 20 - 30 นาที และการออกกาํา ลงั กายจะเปน็ ลกั ษณะทต่ี อ่ เนอื่ งกนั หรอื ไมต่ อ่ เนอ่ื งกไ็ ด้ ท้ังนกี้ จิ กรรมทอี่ อกกาํา ลงั กายนี้จะตอ้ งเปน็ กจิ กรรมการออกกาํา ลงั กายแบบแอโรบคิ กลา่ วคอื จะตอ้ งเปน็ การออกกาํา ลงั กายทร่ี า่ งกายมกี ารใชพ้ ลงั งานในการทาํา งานของรา่ งกายแบบใชอ้ อกซึ่เิ จน นอกจากนก้ี ารออกกาํา ลงั กาย ทใ่ี ชเ้ วลาเพยี ง 5 - 10 นาที นน้ั จะตอ้ งใชค้ วามหนกั ของงานสงู มากกวา่ 90% VO2 max จงึ จะเกดิ การพฒั นาไดอ้ ยา่ งมนี ยั สาํา คญั แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม การใชค้ วามหนกั ของงานสงู และใช้ระยะเวลาสั้นนั้น บางครั้งอาจจะไม่เหมาะสมสําาหรับบุคคลทั่ว ๆ ไป และอาจจะทําาให้เกิดการบาดเจ็บของกระดูก กล้ามเนื้อ และข้อต่อได้ง่ายกว่าการใช้ความหนัก ของงานที่ต่าํา หรือปานกลาง แต่ใช้ระยะเวลาในการออกกาํา ลังกายนานมากขนึ้ สําาหรบั บคุ คลทมี่ ขี ดี จําากดั ของรา่ งกาย คอื มอี าการแสดงออกทบี่ ง่ บอกถงึ อาการของโรค (Symptomatic) และบคุ คลทไี่ มป่ รากฏอาการ (Asymptomatic) แตม่ อี ตั ราเสยี่ ง ต่อการเกิดโรค การออกกาํา ลังกายเป็นระยะเวลาประมาณ 20 - 30 นาที และมีความหนักของงานระดับปานกลาง คือ ประมาณ 40 - 60 เปอร์เซึ่็นต์ ของความสามารถในการ ใช้ออกซึ่ิเจนสูงสุด (40 - 60% VO2 max) จะมีความเหมาะสมมากโดยเฉพาะในระหว่างสัปดาห์แรกของการออกกาํา ลังกาย นอกจากนกี้ ารปรับปรุงเปล่ียนแปลงระยะเวลา และ ระดบั ความหนกั ของงานนนั้ จะตอ้ งคําานงึ ถงึ พนื้ ฐานความสามารถในการทําางานของรา่ งกาย (Function capacity) ของแตล่ ะคน ตลอดจนสภาวะสขุ ภาพเปา้ หมาย เชน่ ตอ้ งการ 134 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

ลดนํา้าหนัก และผลของการตอบสนองทเี่ ฉพาะเจาะจง ของกิจกรรมการออกกาํา ลังกายน้ัน ๆ โดยปกติแล้วระยะเวลาในการออกกาํา ลังกาย อาจจะเพมิ่ ข้ึนทีละน้อยจาก 20 นาที ถึง 45 นาที ได้ในระหว่างระยะเร่ิมต้น (The initial stage) ของโปรแกรมการออกกาํา ลังกาย อย่างไรก็ตามควรจะเพมิ่ ระยะเวลาก่อนที่จะเพ่ิมความหนักของงาน ความบ่อย (Frequency) ความบอ่ ยหรอื ความถข่ี องการออกกาํา ลงั กายข้ึนอยกู่ บั ความหนกั ของงานและระยะเวลาของการออกกาํา ลงั กายดว้ ย ความบอ่ ยของการออกกาํา ลงั กายที่เหมาะสมประมาณ 3 - 5 ครั้งต่อสัปดาห์ ท้ังน้ีก็ต้องขึ้นอยู่กับความต้องการ ความสนใจ และความสามารถในการทาํา งานของร่างกาย สําาหรับบุคคลท่ีมีความสามารถในการใช้ออกซึ่ิเจน (VO2) มากกว่า 5 METs (มากกว่า 17.5 มิลลิลิตรต่อกิโลกรัมต่อนาที) ก็สามารถที่จะออกกําาลังกายได้ไม่น้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ชนิดของกิจกรรมการออกกําาลังกาย (Mode of physical activity) กจิ กรรมทเี่ หมาะสมสําาหรบั การออกกําาลงั กาย ตอ้ งเปน็ กจิ กรรมทมี่ กี ารใชก้ ลมุ่ กลา้ มเนอื้ มดั ใหญ่ (Large muscle group) และเปน็ กจิ กรรมการออกกําาลงั กายทเี่ ปน็ ลกั ษณะ แบบแอโรบิคเช่นการเดินการวิ่งเหยาะๆว่ายนํา้ากระโดดเชือกกรรเชียงเรือปันจักรยานเต้นราํา แอโรบิคเป็นต้นท้ังนี้ต้องใช้เวลาในการประกอบกิจกรรมนานๆจึงจะเกิด ประโยชน์ โพลล็อค และ วิลมอร์ (Pollock and Wilmore, 1990) ได้แบ่งแยกกิจกรรม การออกกาํา ลังกายที่ใช้แรงกระแทกสูงและแรงกระแทกตํา่า สําาหรับการออกกําาลังกายเพอื่ พัฒนา และรักษาสมรรถภาพของร่างกายทางด้านระบบไหลเวียนเลือดและหายใจ โดยเน้นกิจกรรมการออกกาํา ลังกายที่เป็นลักษณะแบบแอโรบิค การออกกาํา ลัังกายแบบแอนี้แอโรบคืิ Anaerobic (แอนแอโรบิค) คือ การออกกําาลังกายแบบไม่ใช้ออกซึ่ิเจนมาช่วยในการเผาผลาญพลังงาน ซึ่ึ่งพลังงานท่ีถูกเผาผลาญด้วย Anaerobic จะเป็นพลังงาน สะสมที่ร่างกายเก็บไว้ที่กล้ามเนอื้ (Glycogen)เป็นการออกกาําลังกายในช่วงเวลาสนั้ ๆเช่นการเล่นเวท(weighttraining)หรือStrengthtraining การออกกาําลงักายแบบแอโรบคิ และแอนแอโรบคิ ทง้ัสองประเภทชว่ยลดไขมนัไดท้ง้ัคู่แตจ่ดุทแ่ีตกตา่งกนัคอื ระดบัความเขม้ขน้ (intensitylevel)การออกกาําลงักาย ประเภทแอโรบิคมีระดับความเข้มข้นปานกลาง ส่วนการออกกําาลังกายแบบแอนแอโรบิคเน้นไปท่ีความแข็งแรงมากกว่า และร่างกายไม่สามารถอดทนทําาได้เป็นเวลานาน ๆ ดังนั้น แอนแอโรบิคจึงมักถูกนาํา ไปใช้ในช่วงที่เป็นวันพักของการฝึกซึ่้อม (rest day) การออกกาําลงักายแบบแอนแอโรบคิจะมรีะดบัความเขม้ขน้ทส่ีงูขน้ึกวา่แบบแอโรบคิ ทาําใหใ้นขณะออกกาําลงักายเราจะไมส่ามารถพดูคยุกบัผอู้น่ืได้หรอืพดูไดเ้พยีงไมก่ค่ีาํา ระยะเวลาในการออกกําาลังกายก็จะสั้นกว่าแบบแอโรบิค เพราะเราต้องใช้พละกาํา ลังมากการเผาผลาญพลังงานของการออกกําาลังกายแบบแอโรบิค (Aerobic) นั้นแตกต่างจาก แบบแอนแอโรบิค (Anaerobic) การออกกําาลังกายแบบแอโรบิค (Aerobic) จะใช้คาร์โบไฮเดรต (เก็บเป็นไกลโคเจนในกล้ามเนื้อและตับ) และไขมัน การออกกําาลังกายแบบ แอนแอโรบคิ (Anaerobic) จะใชค้ ารโ์ บไฮเดรตเปน็ หลกั และสรา้ งกรดแลคตคิ เปน็ ผลพลอยได้ กรดแลคตคิ (Lactic) สามารถนําากลบั มาใชเ้ ปน็ พลงั งานในกลา้ มเนอื้ ได้ แตถ่ า้ มาก เกินไปจะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการออกกาํา ลังกายลดลงได้ หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 135

นกั วจิ ยั บางทา่ นแนะนาํา วา่ การออกกาํา ลงั กายแบบแอนแอโรบคิ (Anaerobic) ไมม่ ปี ระโยชนใ์ นเชงิ การชว่ ยสลายไขมนั ในรา่ งกาย เนอ่ื งจากใชค้ ารโ์ บไฮเดรตเปน็ เชอ้ื เพลงิ หลักในกระบวนการเผาผลาญ แต่อย่างไรก็ตามการออกกําาลังกายแบบ Interval Training หรือที่รู้จักกันในชื่อ High Intensity Interval Training (HIIT) กําาลังได้รับความนิยม ในหมู่ผู้คนที่ต้องการลดนํา้าหนักมีข้อมูลการวิจัยล่าสุดหลายแห่งแสดงให้เห็นว่า Interval Training สามารถเพิ่มปฏิกิริยาออกซึ่ิเดชั่น (oxidation) ของไขมันและสามารถเพิ่ม อัตราการเผาผลาญต่อช่ัวโมงไดด้ ้วย การออกกําาลังกาย HIIT สามารถทาํา ได้ในระยะเวลาท่ีสนั้ กว่าการออกกาํา ลังกายแบบแอโรบิค จึงทาํา ให้ใครหลาย ๆ คนหันมาใช้วิธีกันมาก กิจุกรรมีทนี้ี ิยมี แลัะเหมีาะสมีสาํา หรับการออกกาํา ลัังกายแบบแอนี้แอโรบิคื เวท เทรนนง่ิ (Weight Training) คอื เปน็ การออกกาํา ลงั กายแบบฝกึ กลา้ มเนอ้ื ชนดิ หนง่ึ ทอ่ี าศยั การใชน้ า้ํา หนกั เพอ่ื ใหเ้ กดิ แรงตา้ นทาน โดยอาจใชอ้ ปุ กรณฟ์ รเี วท (Free Weight) ซึ่ง่ึเคลอ่ืนทไ่ีดอ้ยา่งอสิระเชน่ บารเ์บลดมัเบลหรอืใชอ้ปุกรณข์นาดใหญ่(WeightMachine)ยางยดืออกกาําลงักายหรอืจะใชน้า้ําหนกัรา่งกายตนเองกไ็ด้โดยการฝกึเวทเทรนนง่ิน้ี จะให้ผลเป็นแรงตึงต่อกล้ามเน้ือ ส่งผลให้กล้ามเนื้อเกิดการปรับตัวและแข็งแรงขึน้ ในที่สุด ข้้อดีีข้องการออกกาํา ลัังกายแบบเวทเทรนี้นี้ิง การฝกึ กลา้ มเนอื้ ชนดิ เวทเทรนนงิ่ สามารถทําาไดท้ กุ เพศทกุ วยั โดยไมเ่ พยี งลดมวลไขมนั ทําาใหร้ ปู รา่ งและสดั สว่ นดดู ขี นึ้ แตย่ งั สง่ ผลอยา่ งมากตอ่ ความแขง็ แรงของรา่ งกาย ในช่วงอายุที่มากขนึ้ เนอื่ งจากมวลกล้ามเนื้อท่ีไร้ไขมันน้ันจะค่อย ๆ ลดลงตามอายุที่เพม่ิ ข้ึน หากไมม่ ีการออกกาํา ลังกายเพมิ่ กล้ามเน้ือทดแทนส่วนท่ีสูญเสียไป สิ่งที่จะมาทดแทน ก็คือไขมันนั่นเอง ผลของการมมี วลกลา้ มเนอ้ื เพม่ิ มากกวา่ เดมิ ยงั ทาํา ใหส้ ามารถยกสง่ิ ของตา่ ง ๆ ไดง้ า่ ยและเปน็ เวลานาน สาํา หรบั ผหู้ ญงิ ทเ่ี สย่ี งมปี ญั หาความหนาแนน่ ของกระดกู ลดนอ้ ยลง เมอื่ มอี ายุ การเวทเทรนนงิ่ จะชว่ ยเพมิ่ ความหนาแนน่ ของมวลกระดกู เชน่ กนั นอกจากนี้ ยงั เปน็ รปู แบบการออกกําาลงั กายทชี่ ว่ ยเผาผลาญแคลอร่ีไดแ้ มก้ ระทงั่ ในระหวา่ งทรี่ า่ งกาย เกิดกระบวนการซึ่่อมแซึ่ม ซึ่ึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากหยุดการเวทเทรนนิ่งไปแล้วเป็นเวลาหลายชั่วโมง เพ่ิมกระบวนการเผาผลาญตลอดวัน ต่างกับการออกกําาลังกายชนิดอื่นที่จะ ทําาให้เกิดการเผาผลาญเฉพาะขณะออกกําาลังกายเท่านนั้ การออกกาํา ลงั กายแบบเวทเทรนนง่ิ จะสง่ ผลดตี อ่ สขุ ภาพอยา่ งมาก หากทาํา อยา่ งถกู ตอ้ งและเหมาะสม ทวา่ หากทาํา แบบผดิ ๆ กส็ ามารถนาํา ไปสกู่ ารบาดเจบ็ เชน่ อาการเคลด็ กล้ามเนือ้ ฉีก หรือเกิดอบุ ัติเหตทุ ี่ทําาให้กระดูกหักได้เช่นกัน เพอื่ ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดควรทําาตามขน้ั พน้ื ฐานสําาหรับการเร่ิมเวทเทรนน่ิง ดังน้ี สาํา หรบั ผทู้ ไ่ี มเ่ คยมปี ระสบการณอ์ อกกาํา ลงั กายแบบเวทเทรนนง่ิ มากอ่ น ควรไดร้ บั คาํา แนะนาํา จากเทรนเนอรห์ รอื ผเู้ ชย่ี วชาญเกย่ี วกบั รปู แบบการเลน่ ทถ่ี กู ตอ้ งและเหมาะสม กอ่ นจะลองฝกึ ดว้ ยตนเองลําาพงั เพอื่ ปอ้ งกนั การออกกําาลงั กายผดิ ทา่ ซึ่งึ่ จะทําาใหเ้ กดิ การบาดเจบ็ ตามมา และแมจ้ ะคนุ้ ชนิ กบั การออกกําาลงั กายแบบเวทเทรนนงิ่ มาสกั พกั แลว้ กย็ งั ควรต้องสอบถามผู้เช่ียวชาญเป็นระยะ เพอื่ ให้แน่ใจว่าตนเองใช้เทคนิคถูกต้อง หรือทราบว่าควรเปลยี่ นแปลงจุดไหน แม้กระทงั่ นักกีฬาท่ีเคยมีประสบการณ์การฝึกมาก่อนแล้วก็ ยังต้องทบทวนทักษะเวทเทรนนิ่งเป็นบางครั้งบางคราวเช่นกัน สาํา หรับผู้ทเ่ี พิ่งเริ่มต้นอาจยังยกนํา้าหนักได้ไม่มากนัก ซึ่ึง่ ก็ไม่ควรฝืนยก ควรเริ่มจากน้าํา หนักเบา ๆ ก่อนใน 3 - 4 สัปดาห์แรก เม่ือฝึกไปเรื่อย ๆ กล้ามเน้ือ เอ็นกล้ามเน้ือ และเสน้ เอน็ จะเรม่ิ คนุ้ ชนิ และปรบั ตวั จนยกนา้ํา หนกั ไดม้ ากขน้ึ เอง การเรม่ิ ยกนา้ํา หนกั ระดบั หนง่ึ ไดง้ า่ ยขน้ึ เปน็ สญั ญาณบง่ บอกความพรอ้ มสาํา หรบั การเพม่ิ นา้ํา หนกั ในระดบั ตอ่ ไปไดแ้ ลว้ โดยการเพิ่มนํา้าหนักของอุปกรณ์ที่ใช้น้ันจะเป็นการเพมิ่ ความแข็งแรงของกล้ามเนอื้ ไปอีกข้ัน แต่หากไม่เพมิ่ น้ําาหนัก กล้ามเนอื้ ก็จะมีความแข็งแรงอยใู่ นระดับคงเดิม ตราบใดท่ียัง 136 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

มีการเวทเทรนนง่ิ เป็นประจําา เลือกใช้ประเภทนํา้าหนักที่เหมาะสมกับตนเอง ควรเริ่มต้นด้วยอุปกรณน์ ํา้าหนักทสี่ ามารถยกได้อย่างสบาย ๆ 12 - 15 ครง้ั แต่ก็ควรหนักพอท่ีจะ ทําาให้กล้ามเนอ้ื เริ่มล้าหลังจากยกซึ่ํา้า ๆ ไปแล้วประมาณ 12 - 15 ครง้ั ด้วย อบอนุ่ รา่ งกายกอ่ นเสมอ การไมเ่ ตรยี มรา่ งกายใหพ้ รอ้ มกอ่ นอาจทาํา ใหเ้ สย่ี งตอ่ การไดร้ บั บาดเจบ็ มากยง่ิ ขน้ึ ทางทด่ี กี อ่ นเรม่ิ ยกเวทหรอื ฝกึ ใชน้ า้ํา หนกั ชนดิ อน่ื ๆ ควรอบอนุ่ กล้ามเนือ้ ด้วยการเดินเร็ว ๆ หรือออกกําาลังกายแบบแอโรบิคก่อนสัก 5 - 10 นาที ใชท้า่ทางทถ่ีกูตอ้งผเู้ลน่ควรศกึษาการฝกึกลา้มเนอ้ืโดยใชน้า้ําหนกัอยา่งถกูวธิจีากผรูู้้เพราะยง่ิทา่ทางเหมาะสมเทา่ไรกย็ง่ิสง่ผลลพัธท์ด่ีขีน้ึ และเสย่ีงตอ่การบาดเจบ็นอ้ยลง ซึ่ึ่งท่าทางการเวทเทรนนิ่งท่ีถูกต้องนั้นควรจะเคลื่อนไหวข้อได้จนสุด ทั้งนี้ หากไม่สามารถคงท่าทางที่ถูกต้องตลอดจนเสร็จสิ้นการออกกําาลังได้ แนะนําาให้ลดน้ําาหนักที่ใช้หรือ ลดจําานวนครัง้ ท่ีทําาลงมา หายใจอยา่งผอ่นคลายผเู้ลน่บางรายอาจเผลอกลน้ัหายใจในขณะทย่ีกอปุกรณน์า้ําหนกั แตแ่ทจ้รงิแลว้การเวทเทรนนง่ิทถ่ีกูตอ้งควรจะหายใจออกขณะออกแรงยกนา้ําหนกั และหายใจเข้าในระหว่างท่ีผ่อนแรงกล้ามเน้ือลง เร่ิมด้วยการทําาซึ่ํา้าเพียง 1 เซึ่ตก็อาจเพียงพอ แม้จะมีความเชื่อว่าการเวทเทรนนงิ่ ท่ีดีที่สุดก็คือการทาํา ซึ่ํา้าหลาย ๆ ครง้ั เป็นเวลานาน แตก่ ็มีการวิจัยช้ีว่าการทําาซึ่ํา้าเพียง 1 เซึ่ต เซึ่ตละ 12 ครงั้ โดยใช้น้ําาหนักทีเ่ หมาะสมกับตนเองในการเวทเทรนนง่ิ แต่ละครงั้ น้ันอาจมีประสิทธิภาพในการสร้างกล้ามเน้ือพอ ๆ กับการทําาท้ังหมด 3 เซึ่ต เมอื่ กล้ามเนื้อ เริ่มแข็งแรงขึน้แล้วจึงค่อยๆเพ่ิมน้าําหนักขึน้ นอกจากน้ีหลังการเวทเทรนนง่ิแต่ละส่วนยังควรหยุดพักกล้ามเนอ้ืสักครู่อย่าเร่งรีบทําาติดต่อกันจนเกินไป รักษาสมดุลในการฝึก โดยพยายามฝึกการใช้กล้ามเนอื้ หลักอย่างเท่า ๆ กันทุกส่วน ได้แก่ กล้ามเนอื้ ท้อง หน้าอก สะโพก หลัง หัวไหล่ แขน และขา พยายามฝึก ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อท่ีอยู่ตรงข้ามกันอย่างเท่าเทียม เช่น กล้ามเนื้อด้านหน้าและด้านหลังของแขน เป็นต้น เนื่องจากการให้ความสําาคัญกับส่วนใดส่วนหนึ่งมากกว่า ส่วนอื่น ๆ อาจทําาให้เกิดความไม่สมดุลและมีปัญหาเกยี่ วกับท่าทางตามมาได้ รู้จักแบ่งเวลาพัก เพื่อให้กล้ามเนื้อได้ฟืนตัว ควรหาเวลาพักสัก 1 วันเต็มระหว่างการฝึกกล้ามเนอื้ ในแต่ละส่วน การฝึกทเ่ี หมาะสมควรเลือกฝึกกล้ามเนอื้ หลักทงั้ หมด ดว้ยกนัในครง้ัเดยีว2-3ครง้ัตอ่สปัดาห์หรอืวางแผนฝกึกลมุ่กลา้มเนอ้ืเฉพาะสว่นในแตล่ะวนั เชน่ วนัจนัทรฝ์กึกลา้มเนอ้ืแขนและหวัไหล่วนัองัคารฝกึกลา้มเนอ้ืขาวนัตอ่ ๆมา กฝ็กึกลา้มเนอ้ืสว่นอน่ื ๆสลบักนัไปแตค่วรหลกีเลย่ีงการฝกึกลา้มเนอ้ืสว่นเดยีว2วนัตดิตอ่กนั อยา่คดิวา่อาการเจบ็ไมส่าําคญั การออกกาําลงักายชนดิใดกต็ามหากทาําแลว้รสู้กึเจบ็ ควรหยุดพักสัก 2 - 3 วัน เพอื่ รอให้กล้ามเนื้อท่ีบาดเจ็บได้พักฟนื หรือลองลดน้าํา หนักของอุปกรณท์ ่ีใช้ลง สวมใส่รองเท้ากีฬา รองเท้าออกกําาลังกายเป็นอีกหนงึ่ อุปกรณ์สําาคัญ ที่จะช่วยปกป้องเท้า ช่วยลดแรงลาก ป้องกันการลนื่ ล้มหรือบาดเจ็บขณะฝึกเวทเทรนนง่ิ ได้ การฝึกกล้ามเนื้อด้วยการใช้นํา้าหนักอย่างเวทเทรนน่ิงไม่จําาเป็นต้องใช้เวลาในห้องออกกําาลังกายทุกวันเป็นเวลานาน ๆ จึงจะเห็นผลลัพธ์ โดยสําาหรับคนส่วนใหญ่ การเวทเทรนนิ่งเพียงช่วงระยะสนั้ ๆเพียงสัปดาห์ละ2-3ครงั้ ครั้งละ20-30นาทีให้ผลดีอย่างเห็นได้ชัดเจนซึ่ึ่งก็ถือเป็นระยะเวลาในการออกกําาลังกายแบบเวทเทรนนงิ่ท่ี เพียงพอสําาหรับผู้ใหญ่สุขภาพดีโดยท่ัวไป โดยกิจกรรมออกกาํา ลังกายในแต่ละสัปดาหน์ ั้นแนะนาํา ให้มีการฝึกกล้ามเน้ือหลักทุกส่วนของร่างกายอย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาหด์ ้วย หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 137

กิจุกรรมีการฝึึกอนี้่ ๆ ทีคืวรจุะต้องพััฒนี้าเพัมีิ เติมี การฝกึ สมดลุ รา่ งกาย Balance Training หรอื กลวธิ ฝี กึ การทรงตวั มคี วามสาํา คญั โดยเปน็ พน้ื ฐานทส่ี าํา คญั ของนกั กฬี า และบคุ คลทว่ั ไปทกุ ชว่ งวยั และโดยเฉพาะผสู้ งู วยั ท้ังนี้เน่ืองจากเราจําาเป็นต้องมีการทรงตัวอย่างสมดุล ในการใช้ชีวิตประจําาวัน เพราะการทรงตัวเป็นหลักสําาคัญของการดําาเนินชีวิต ไม่ว่าจะลุก จะนงั่ จะเดิน จะนอน นั่นเอง ในทางสรีรวิทยา การทรงตัวคือการประสานการทําางานระหว่างสมอง โครงข่ายหูชั้นใน การมองเห็น และระบบรับรขู้ องกล้ามเน้ือ กระดูก และข้อต่อ สายตา เปน็ องคป์ ระกอบหลกั ตามมาดว้ ยประสาทสมั ผสั ตอ่ มาเปน็ ระบบการทรงตวั ของหชู น้ั ใน ทจ่ี ะถา่ ยทอดขอ้ มลู ของทว่ งทา่ ความเคลอ่ื นไหวของรา่ งกาย โดยเฉพาะ บริเวณศีรษะ ว่ามีความสอดคล้องต้องกันกับสภาวะแวดล้อม และสัมพันธ์กับระบบประสาท กล้ามเนื้อ กระดูก และข้อต่อ ที่จะร่วมกันเอื้อให้เกิดการเคลื่อนไหวตอบสนอง ต่อระบบรับความรู้สึกของร่างกายและการเปลี่ยนท่วงท่าต่าง ๆ ได้มากน้อยเพียงใด ในการทาํา กิจวัตรประจาํา วันต่าง ๆ ของคนเรา ไม่ว่าจะอยใู่ นท่านั่ง นอน ยืน หรือเดิน จําาเป็น ต้องอาศัยการทรงตัว เพื่อไม่ให้ตัวเราเสียหลักหรือล้มลง การท่ีคนเราสามารถทรงตัวอยู่ได้ เนื่องจากมีการประสานงานระหว่างสมอง อวัยวะทรงตัวในหู การมองเห็น และ การตอบสนองแบบเฉยี บพลนั ของขอ้ ตอ่ และกลา้ มเนอื้ การออกกําาลงั กายเพอ่ื การทรงตวั มสี ว่ นชว่ ยเพมิ่ พละกําาลงั ของกลา้ มเนอ้ื รกั ษากริ ยิ าทา่ ทางอริ ยิ าบถ และเพมิ่ ความวอ่ งไว ในการเปลี่ยนท่าทาง การฝึกประเภทนี้จําาเป็นต้องให้เวลากับมันพอสมควร และต้องกระทาํา อย่างสม่ําาเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ในการฝึก บริเวณออกกําาลังต้องเป็นพื้นที่ราบเรียบ ไม่ตะปุมตะปําา และไม่ควรยืนบนเก้าอ้ีหรือบนโต๊ะอย่างเด็ดขาด เพราะจะทาํา ให้เสียหลักและหกล้มได้ 138 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชา การออกกําาลังกายและกิจกรรมเคลื่อนไหวทางกายลดความเสี่ยง และป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อในชุมชน หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 139

140 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 141

142 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 143

144 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 145

146 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 147

148 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 149

150 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 151

152 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 153

2. คณะ/สถาบัน/องค์กร 3. รหัสรายวิชา 4. ช่ือรายวิชา 5. ผู้รับผิดชอบรายวิชา 6. คําาอธิบายรายวิชา 7. วัตถุประสงค์รายวิชา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย Module 5.3 การลดการบริโภคผลิตภัณฑ์ยาสูบในชุมชน รศ. ดร.มณฑา เก่งการพานิช กลยทุ ธก์์ ารควบคมุ การบรโิ ภคยาสบู ในชมุ ชนใหเ้ กดิ ประสทิ ธผิ ลดว้ ยการเขา้ ใจปญั หาและสาเหตดุ ว้ ยแนวคดิ เชงิ นเิ วศและสหปจั จยั แนวทาง การจดั การปญั หาดว้ ยหลกั อรยิ สจั สี่ PDCA และ 5 กลยทุ ธต์์ ามกฎบตั รออตตาวา การประยกุ ตใ์ ชใ้ นการดาํา เนนิ งานควบคมุ ยาสบู โดยใชช้ มุ ชน เป็นฐาน โดยการออกแบบขั้นตอนการดําาเนินงานครอบคลุมการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมของบุคคล ส่ิงแวดล้อมทางสังคมและกายภาพ เมื่อสิ้นสุดการฝึกอบรมแล้วผู้เข้ารับการฝึกอบรมสามารถประยุกต์กลยุทธ์์การส่งเสริมสุขภาพด้วยกฎบัตรออตตาวาในการวางแผนกิจกรรม ควบคุมยาสูบในชุมชนได้ 1. ช่ือหลักสูตร หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ สําาหรับผู้นําาท้องถิ่น ประมวลรายวิชา (Course Syllabus) 154 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

8. สังเขปเน้ือหา Module หัวข้อ จําานวนเวลา 5.3 การลดการบริโภคผลิตภัณฑ์ยาสูบในชุมชน l กฎบัตรออตตาวากับการควบคุมยาสูบในชุมชน 30 นาที l ขั้นตอนการควบคุมยาสูบโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน 30 นาที รวม 1 ชั่วโมง 9. การจัดการเรียนการสอน 10. อุปกรณ์ส่ือการสอน 11. การวัดและประเมินผล 12. การประเมินผลการสอน 13. เอกสารอ้างอิง 1) บรรยายด้วย PowerPoint 2) ดูวิดีทัศน์ และอภิปราย 1) เอกสารประกอบการบรรยาย 2) PowerPoint 3) วิดีทัศน์ คลิป/แนวทางการควบคุมยาสูบโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน https://www.youtube.com/watch?v=YUlDBRgt6Ws 4) ตัวอย่างแบบฟอร์มต่าง ๆ 1) การมีส่วนร่วมในช้ันเรียน 2) กิจกรรมใบงาน 1) ประเมินโดยใช้แบบประเมินการจัดการเรียนการสอน (ชุดเครื่องมือ) 2) การออกแบบกิจกรรมและขั้นตอนการดําาเนินงานได้ คณะสาธารณสขุ ศาสตร์มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล.คลปิ /ยทู ปู แนวทางการควบคมุ ยาสบู โดยใชช้ มุ ชนเปน็ ฐาน.จากhttps://www.youtube.com/watch?v=YUlDBRgt6Ws มณฑา เก่งการพานิช, ธราดล เก่งการพานิช, อธิปัตย์ หลักคําา และกัญญาณัฐ เทวงษา (บรรณาธิการ). (2562). แนวทางการควบคุมยาสูบและสุราโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน. พิมพ์ครั้งที่ 3 กรุงเทพ: เจริญดีม่ันคงการพิมพ์. มณฑา เก่งการพานิช และ ธราดล เก่งการพานิช. (2559). กลยุทธ์์การสร้างเสริมสุขภาพกับการควบคุมยาสูบโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน. วารสารสุขศึกษา, 33; 133: 1 - 10. หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 155

การลดการบริโภคผลิตภัณฑ์ยาสูบในชุมชน ประเด็นพฤติกรรมการสูบบุหรี่แม้เป็นปัจจัยเส่ียง หากแต่ประชาชนโดยเฉพาะผู้สูบไม่ตระหนักในปัญหา ดังน้ันในการทําางานป้องกันและควบคุมต้องมีการเช่ือมโยงกับ ประเด็นที่น่าสนใจหรือก่อให้เกิดความตืน่ ตัว เช่น การระบาดของโควิด 19 การฉีดวัคซึ่ีนกับการสูบบุหรี่และการใช้บริบทของชุมชน เช่น เทศกาลเข้าพรรษา สถานการณ์การสูบ บหุ รข่ี องไทยลดลงชา้ มากดว้ ยเพราะประชาชนขาดความตระหนกั และมาตรการควบคมุ ไมม่ ปี ระสทิ ธผิ ลเทา่ ทค่ี วร ซึ่งึ่ ประเทศไทยตงั้ เปา้ หมายจะลดอตั ราสบู บหุ รใี่ หเ้ หลอื 15% ในปี พ.ศ. 2568 โดยมีแผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1) เสริมสร้างความเข้มแข็งและพัฒนาขีดความสามารถในการควบคุมยาสูบ ของประเทศ 2) ป้องกันมิให้เกิดผู้เสพรายใหม่และเฝ้าระวังควบคุมอุตสาหกรรมยาสูบ 3) ช่วยผู้เสพให้เลิกใช้ยาสูบ 4) ควบคุมและเปิดเผยส่วนประกอบผลิตภัณฑ์ยาสูบ 5) ทําาสิ่งแวดล้อมให้ปลอดควันบุหรี่ และ 6) ใช้มาตรการภาษีและปราบปรามเพื่อควบคุมยาสูบ ดังนั้นการป้องกันและควบคุมยาสูบในชุมชนที่ส่งผลต่ออัตราการสูบที่ลดลง จะตอ้ งใหค้ วามสําาคญั กบั การชว่ ยเลกิ บหุ รใี่ นกลมุ่ ผสู้ บู และปอ้ งกนั นกั สบู หนา้ ใหม่ เพอ่ื บรรลเุ ปา้ ประสงคด์ งั กลา่ ว การใชก้ ลยทุ ธก์์ ารสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ กฎบตั รออตตาวา (Ottawa Charter) เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนท่ีมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้เพราะมีการปรับเปลยี่ นทั้งในส่วนของบุคคล สิ่งแวดล้อมและระบบบริการ การประยุกต์กลยุทธ์์การสร้างเสริมสุขภาพกฎบัตรออตตาวาในการควบคุมยาสูบในชุมชนทาํา ได้ดังนี้ 1) การสร้างนโยบายสาธารณสุขเพ่ือสุขภาพ : โดยผลักดันให้ชุมชนร่วมกันกําาหนดนโยบายและมาตรการทค่ี วบคุมการสูบบุหรี่ เช่น การมีกฎระเบียบห้ามสูบบุหร่ีในท่ี สาธารณะ มาตรการชุมชนต่าง ๆ 2) สร้างส่ิงแวดล้อมท่ีเอื้อต่อการส่งเสริมสุขภาพ และไม่เออ้ื ต่อการสูบบุหรี่ 3) ปฏิบัติการเพ่ือสร้างแกนนําาเชี่ยวชาญ/ขับเคลื่อนด้านการควบคุมยาสูบในชุมชน ด้วยการอบรมและพัฒนาศักยภาพ 4) พัฒนาทักษะส่วนบุคคลโดยการเข้าถึงผู้สูบและจัดกระบวนการช่วยเลิก และเข้าถึงเด็กและเยาวชนเพอื่ สร้างภูมิคุ้มกันไม่สูบบุหรี่ 5) พัฒนาบริการสุขภาพให้มีระบบบริการช่วยเลิกบุหรใ่ี นสถานบริการ และมกี ิจกรรมเชิงรุกเพอื่ ค้นหา ผู้สูบที่ไม่ปวยเพื่อช่วยเลิกบุหรี่ การดาํา เนนิ การเนน้ การมีสว่ นรว่ มของชมุ ชน การพฒั นาศกั ยภาพ/เสรมิ พลงั ชมุ ชน การตดิ ตามอยา่ งตอ่ เนอื่ งเพอื่ ใหเ้ กดิ การปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมถาวร และการบรู ณาการ กับงานประจําา/ระบบบริการเพื่อให้เกิดความต่อเน่ืองและย่ังยืน ซึ่ึ่งแนวทางน้ีได้พัฒนามาจากโครงการควบคุมยาสูบโดยใช้ชุมชนเป็นฐานที่ก่อให้เกิดผลต่อการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมและส่งผลต่อการลดความรุนแรงและความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังได้จริง 156 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader รศ. ดร.มณฑา เก่งการพานิช

เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชา การลดการบริโภคผลิตภัณฑ์ยาสูบในชุมชน หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 157

158 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 159

160 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 161

162 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 163

2. คณะ/สถาบัน/องค์กร 3. รหัสรายวิชา 4. ช่ือรายวิชา 5. ผู้รับผิดชอบรายวิชา 6. คําาอธิบายรายวิชา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถ่ิน กระทรวงมหาดไทย Module 5.4 กลยุทธ์์การควบคุมการบริโภคสุราในชุมชน นายแพทย์พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ปัญหาการด่ืมสุราส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ทั้งโรคอุบัติเหตุทางถนน ตับแข็ง มะเร็งตับ ส่งผลให้อายุคาดเฉล่ียลดลง และก่อให้เกิดปัญหา สุขภาพจิต และสังคมตามมาอีกด้วย แนวทางในการแก้ไขปัญหา จะต้องระดมสรรพกําาลังจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นและผู้นําาชุมชน มาร่วมมือกันในการแก้ปัญหาดังกล่าว จังหวัดน่าน เป็นแบบอย่างในความร่วมมือระหว่างภาคองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ เทศบาลเมืองน่าน ผู้นําาชุมชน อสม. ร่วมกับ ภาคราชการ และโรงพยาบาลน่าน ดําาเนินการควบคุมการบริโภคสุราอย่างต่อเน่ือง โดยใช้กลยุทธ์ตามแนวทาง Ottawa charter ซึ่ึ่งได้แก่ นโยบายสาธารณะ สรา้ งสง่ิ แวดลอ้ มทเ่ี ออ้ื ตอ่ สขุ ภาพ กจิ กรรมชมุ ชน สรา้ งทกั ษะสว่ นบคุ คล และปรบั ระบบบรกิ ารสขุ ภาพ ตวั อยา่ งทเ่ี ปน็ รปู ธรรม ได้แก่ งานแข่งเรือปลอดเหล้า งานศพ งานประเพณีปลอดเหล้า การสร้างความตระหนักและรับรู้ถึงโทษภัยของสุราผ่านส่ือสาธารณะ ในวงกว้าง การปรับทัศนคติของกลุ่มผู้ถูกคุมประพฤติจากการดื่มแล้วขับ ส่งผลให้อายุคาดเฉลี่ยของคนในเขตเทศบาลเมืองน่านสูงขึ้น และเทศบาลเมืองน่านได้รับการรับรองเป็นชุมชนปลอดภัยระดับโลกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 เป็นต้นมา 1. ช่ือหลักสูตร หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ สําาหรับผู้นําาท้องถิ่น ประมวลรายวิชา (Course Syllabus) 164 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

7. วัตถุประสงค์รายวิชา 8. สังเขปเน้ือหา Module เม่ือส้ินสุดการฝึกอบรมแล้วผู้เข้ารับการฝึกอบรมสามารถ 1) เพื่อให้ผู้เข้าอบรมได้ตระหนักถึงความสําาคัญปัญหาการบริโภคสุรา 2) เพ่ือให้ผู้เข้าอบรม ทราบถึงเทคนิคแนวทางในการทําางานร่วมกันกับภาคส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินและชุมชน ในการขับเคลื่อนให้เกิดชุมชนที่เข้มแข็งในการร่วมกันแก้ปัญหาสุรา 3) เพ่ือให้ผู้เข้าอบรม เข้าใจถึงความสําาคัญของการใช้ข้อมูลในการขับเคล่ือนให้ทุกภาคส่วนเห็นความสําาคัญของปัญหาสุราในชุมชน หัวข้อ จําานวนเวลา 5.4 กลยุทธ์การควบคุมการบริโภคสุราในชุมชน l ถอดบทเรียนการทําางานของเทศบาลเมืองน่าน 1 ชั่วโมง l การขับเคลื่อนเพื่อแก้ปัญหาสุราโดยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน 30 นาที l การใช้ข้อมูลในการขับเคลื่อนเพื่อสร้างความตระหนักถึงพิษภัยของสุราของชุมชน 30 นาที รวม 2 ชั่วโมง 9. การจัดการเรียนการสอน 10. อุปกรณ์ส่ือการสอน 11. การวัดและประเมินผล 12. การประเมินผลการสอน 13. เอกสารอ้างอิง 1) บรรยายอภิปราย 2) ถอดบทเรียนการควบคุมการบริโภคสุราในชุมชน และเปิดโอกาสให้ซึ่ักถามถึงแนวทางและเทคนิควิธีการในการทําาให้เกิดชุมชน เข้มแข็งในการดูแลสุขภาพโดยบุคคลที่ปฏิบัติงานจริงในพื้นที่ 1) เอกสารประกอบการบรรยาย 3) วิดีทัศน์ 1) การมีส่วนร่วมในชั้นเรียน 80% 1) ประเมินผลสัมฤทธิ์ในการเรียน (ข้อ 11) 2) PowerPoint 2) เวลาเรียน 20% 2) ประเมินโดยใช้แบบประเมินการจัดการเรียนการสอน World health organization. (1987). Ottawa Charter for Health Promotion. https://www.who.int/publications/i/item/ottawa-charter-for-health- promotion หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 165

กลยุทธ์์การควบคุมสุราในชุมชน: ถอดบทเรียน รพ.น่านและภาคีเครือข่าย นายแพทย์พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ หลักคิด สง่ิ แรกกอ่ นทค่ี ดิ กลยทุ ธใ์์ ด ๆ ตอ้ งคดิ ถงึ หลกั คดิ กอ่ น และหลกั คดิ ทส่ี าํา คญั ทส่ี ดุ สาํา หรบั การควบคมุ สรุ าในชมุ ชน คอื เราไมส่ ามารถทาํา ใหค้ นในชมุ ชนมสี ขุ ภาพดี ปลอดจากสรุ า อบายมขุ ตา่ ง ๆ ไดด้ ว้ ยตวั คนเดยี วหรอื องคก์ รเดยี ว จาํา เปน็ ตอ้ งรวบรวมสรรพกาํา ลงั จากทกุ ภาคสว่ น ทง้ั หนว่ ยงานบรหิ ารสว่ นภมู ภิ าค ทว่ี า่ การอาํา เภอ องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ โรงพยาบาล ผู้นําาชุมชน อสม. ภาคเอกชน และประชาชนทุกภาคส่วน เพราะปัญหาจากสุราเป็นปัญหาที่ยากและซึ่ับซึ่้อน ไม่ใช่เพียงปัญหาสุขภาพส่วนบุคคล แต่เป็นปัญหา ที่เกิดจากพยาธิสภาพทางสังคม หรือสังคมปวย (Social pathology) เพราะสังคมนั่นเองเป็นผู้สร้างค่านิยมในการดื่มสุรา ภาครัฐอนุญาตและยอมรับการดื่มอย่างเป็นทางการ ดว้ ยการมรี ะบบจดั เกบ็ ภาษสี รรพสามติ ดงั นนั้ การแกไ้ ขจงึ ไมใ่ ชก่ ารบําาบดั เยยี วยา ผตู้ ดิ สรุ าเรอ้ื รงั โดยทมี แพทยแ์ ละพยาบาล แตจ่ ําาเปน็ ทสี่ งั คมทกุ ภาคสว่ นตอ้ งรว่ มกนั เปน็ ผแู้ กไ้ ข ปัญหา แผนยุทธศาสตร์ตามกฎบัตรออตตาวา OTTAWA CHARTER การประชมุ ทเ่ี มอื งออตตาวา ปี ค.ศ. 1986 ไดม้ กี ารเสนอกฎบตั รออตตาวา Ottawa charter เพอ่ื การบรรลสุ ขุ ภาพดถี ว้ นหนา้ ปี ค.ศ. 2000 มแี ผนยทุ ธศาสตรก์ ารสรา้ งเสรมิ สุขภาพ 5 ด้าน ได้แก่ 1. การสร้างนโยบายสาธารณะ 2. การสร้างสิ่งแวดล้อมท่ีเอื้อต่อการส่งเสริมสุขภาพ 3. การพัฒนากิจกรรมชุมชน 4. การพัฒนาทักษะส่วนบุคคลเพื่อปรับเปล่ียนพฤติกรรมสุขภาพ 5. การปรับเปลี่ยนบริการสาธารณสุขเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ การจัดทําาแผนกลยุทธ์จําาแนกตามกลุ่มต่าง ๆ โดยจากแผนยุทธศาสตร์ออตตาวา สามารถแปลงเป็นแผนกลยุทธ์์หรือแผนปฏิบัติการ แยกตามประเภทการดมื่ เคร่ืองดื่มแอลกอฮอลด์ ังภาพ โดยแยกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ผู้ที่ไม่เคยดื่ม หรือกําาลังหัดด่ืมสุรา เช่น กลุ่มนักศึกษา เยาวชน ควรมีการบังคับใช้กฎหมายควบคุมโฆษณา ผ่าน พรบ.ควบคุมเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์ และ พรบ.คมุ้ครองเดก็ สว่นนถ้ีอืเปน็การสรา้งสง่ิแวดลอ้มทเ่ีออ้ืตอ่สขุภาพโดยจดัใหส้ง่ิแวดลอ้มรอบตวัเดก็และคนในชมุชนปลอดจากสง่ิยว่ัยวนใจใหห้ลงไปดม่ืหรอืเสพสารเสพตดิต่างๆ 166 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

สําาหรับเด็กวัยปฐมวัย ควรมีการจัดโครงการสร้างจิตสําานึกสร้างภูมิคุ้มกันปัจจัย เสี่ยงจากสุราหรือยาเสพติดอื่น ๆ เช่น บุหรี่ ยาบ้า เปรียบเสมือนการฉีดวัคซึ่ีน ซึ่งึ่ ต้อง มีเข็มแรกในช่วงปฐมวัยและกระตุ้นอีกในช่วงชนั้ ประถมศึกษาและมัธยมศึกษาเพอื่ ให้ ความคิดในการระวังไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับ ยาเสพติดฝังอยู่ในจิตใต้สําานึก ซึ่ึ่งการจะปลูกฝัง เข้าไปในจิตใต้สําานึกได้นั้น มักจะทําาได้ก่อนอายุ 6 ปี ซึ่ึ่งคือในช่วงเด็กปฐมวัย กลุ่มที่ 2 ผู้ที่ดื่มตามเทศกาล ควรมีการจัดกิจกรรมชุมชนปลอดสุรา และ กําาหนดนโยบายสาธารณะของชุมชน ท้องถิ่น ตําาบล อําาเภอ ในการงดดื่มสุราใน งานประเพณีต่าง ๆ ของชุมชน โดยอาจจะกําาหนดเป็นมาตรการชุมชน มติหมู่บ้าน หรอื ธรรมนญู สขุ ภาพของตําาบลและอําาเภอ เพอ่ื เปน็ แบบอยา่ งอนั ดใี หก้ บั เดก็ และเยาวชน ในชุมชน กลุ่มที่ 3 ผทู้ ดี่ ื่มหนกั และดมื่ ประจําา สว่ นนี้ควรจะมกี ารตรวจคดั กรองเอนไซึ่ม์ตบั เพ่ือให้เป็นข้อมูลสําาหรับบุคคลที่ดื่มสุราให้ทราบและตระหนักถึงภาวะสุขภาพของ ตนเองก่อนทจี่ ะมีภาวะตับอักเสบ จนไปถึงภาวะตับแข็งในที่สุด ส่วนนี้ถือเป็นการปรับ เปล่ียนพฤติกรรมหรือปรับเปลีย่ นทักษะรายบุคคล กลุ่มท่ี 4 ผู้ที่ติดสุราเร้ือรัง ส่วนนี้ครอบครัว ชุมชนรวมถึงสถานประกอบการ เมื่อได้รับทราบรับรู้ว่าบุคคลในครอบครัวชุมชน หรือในที่ทําางานของตนมีภาวะติดสุรา เรื้อรัง ควรท่ีจะดําาเนินการช่วยเหลือ ประสานงานให้มีการส่งต่อเพื่อเข้ารับการบําาบัด รักษากับจิตแพทย์ ให้รอดพ้นจากภาวะการติดสารเสพติด การจําาแนกกลุ่มผู้ดื่มสุรา โดยใช้แบบประเมิน AUDIT สําาหรับการจําาแนกประเภทของการด่ืมสุรา ถือว่าเป็น สว่ นสําาคญั ซึ่งึ่ คนในชมุ ชน หรอื องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ และหนว่ ยงานตา่ ง ๆ สามารถ นําาแบบคดั กรองคะแนนAUDITscore(AlcoholUseDisorderIdentificationTest) เพ่ือจําาแนกแยกแยะผู้ท่ีด่ืมสุราเป็นกลมุ่ ต่าง ๆ และสามารถกําาหนดแนวทางให้ตรงกับ แต่ละกลุม่ ประเภท กลัยุทธี์ แบงตามีป็ระเภทข้องผูู้้ดี่มีสุรา หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 167

ถอดบทเรียนการปฏิิบัติงานจริง สาํา หรบั ตวั อยา่ งในการทาํา งานจรงิ ในพน้ื ทอ่ี าํา เภอเมอื ง จงั หวดั นา่ น โรงพยาบาลนา่ น ได้ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ได้แก่ ท่ีว่าการอําาเภอเมืองน่าน เทศบาลเมืองน่าน สําานักงานคุมประพฤติจังหวัดน่าน เครือข่ายโครงการปลูกจิตสําานึกพลังบวกสร้าง ภูมิคุ้มกันต่อปัจจัยเส่ียงเหล้าบุหรี่ สสส. ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในชุมชนต่าง ๆ สถานี ตําารวจภูธรอําาเภอเมืองน่าน เครือข่ายเมาไม่ขับจังหวัดน่าน สถานีวิทยุกระจายเสียง แห่งประเทศไทย ในการทําาโครงการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 1. งานเทศกาลแข่งเรือปลอดเหล้า เขตเทศบาลเมืองน่าน ด้วยความมงุ่ ม่ันของ เทศบาลเมอื งนา่ น รว่ มมอื กบั รพ. นา่ น เครอื ขา่ ยองคก์ รงดเหลา้ สสส. เครอื ขา่ ยเยาวชน และภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ทําาให้สามารถจัดงานแข่งเรือปลอดเหล้าต้ังแต่ปี พ.ศ. 2550 รวมเป็นเวลานาน 14 ปี และทาํา ให้จําานวนผปู้ ระสบอุบัติเหตุในช่วงงานพธิ ีเปิดและปิด เทศกาลแข่งเรือลดลงจากเฉล่ียละ 100 คน เหลือจาํา นวน 10 คนต่องานพิธีเปิด - ปิด 2 วัน 2. โครงการปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมของผู้ถูกคุมประพฤติจากการดื่มสุราแล้วขับ โดยสําานักงานคุมประพฤติจังหวัดน่านร่วมกับ รพ. น่าน ในการนําาผู้ถูกคุม ประพฤตอิ อกไปเยย่ี มบา้ นผพู้ กิ ารจากดม่ื แลว้ ขบั และสมั ภาษณค์ วามทกุ ขย์ าก เรยี นรใู้ นตกึ ผปู้ ว ยศลั ยกรรม เรยี นรกู้ บั วทิ ยากรผพู้ กิ ารเครอื ขา่ ยเมาไมข่ บั เพอ่ื เรยี นรปู้ ระสบการณจ์ รงิ แลกเปล่ียนความคิดเห็น ถอดบทเรียนและนําาไปสู่การประยุกต์ไปใช้ในชวี ิตจริง 168 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

3. โครงการสรา้ งจติ สําานกึ พลงั บวกสรา้ งภมู คิ มุ้ กนั ปจั จยั เสยี่ งจากสรุ า หรอื ยาเสพตดิ อนื่ ๆ โดยรว่ มกบั ภาคเี ครอื ขา่ ย ของ สสส. องค์กรปกครองส่วนท้องถนิ่ ครูปฐมวัย มีกิจกรรมในการเล่นเกมส์ ฟังนิทาน เพอ่ื ให้เด็กปฐมวัยได้รับซึ่ึมซึ่ับถึง พิษภัยของสารเสพติด ให้ฝังอยู่ในจิตใต้สําานึกเพอื่ สามารถปฏิเสธสารเสพติดได้เมอื่ ถึงช่วงวัยรุ่น 4. การตรวจการปฏบิ ตั ติ าม พรบ.ควบคมุ เครอ่ื งดม่ื แอลกอฮอล์ โดย รพ. นา่ น รว่ มกบั สถานตี าํา รวจภธู รอาํา เภอเมอื งนา่ น สําานักงานสาธารณสุขจังหวัดน่าน สําานักงานสาธารณสุขอําาเภอเมืองน่าน ออกตรวจการโฆษณาที่ไม่ถูกกฎหมายและ ตรวจเตือน แนะนาํา ร้านค้าต่าง ๆ 5. โครงการมาตรการชุมชนเพือ่ การลดอุบัติเหตุเทศบาลสงกรานต์และปีใหม่ โดย รพ. น่าน ร่วมกับที่ว่าการอําาเภอ เมืองน่าน กําานันผู้ใหญ่บ้าน ร่วมกันเตือนสมาชิกในชุมชนงดการด่ืมแล้วขับ โดยถ้า รพ.น่าน พบว่ามีผู้ประสบอุบัติเหตุ จากดื่มแล้วขับจะแจ้งให้กําานันผู้ใหญ่บ้านออกเยี่ยมผู้ท่ีประสบอุบัติเหตุจากการด่ืมแล้วขับร่วมกัน โดยจะมีมาตรการ ขึ้นกับแต่ละชุมชน ทง้ั การปรับ หรือการสัญญาว่าจะเลิกดมื่ สุราตลอดไป 6. การสื่อสารสาธารณะเป็นกลยุทธ์์ที่สําาคัญมากในการนําาเรื่องราวเรื่องเล่า เหตุการณ์ท่ีเกิดในพื้นท่ี ต้ังแต่เยาวชน เมาแลว้ ขบั อบุ ตั เิ หตเุ สยี ชวี ติ ความพกิ าร การใชค้ วามรนุ แรงตา่ ง ๆ มาเลา่ ผา่ นสอ่ื มวลชนในพนื้ ทเี่ พอื่ การสรา้ งความตระหนกั และความเข้าใจให้กับคนในชุมชน โดยมีทีมงานสอบสวนการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุโดยเฉพาะการดื่มแล้วขับในเยาวชน แล้วนําามาเผยแพร่เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ท้ังในโรงเรียนและสอื่ สาธารณะ สดุ ทา้ ย กลยทุ ธท์์ ส่ี าํา คญั ทส่ี ดุ คอื การรว่ มแรงรว่ มใจระหวา่ งหนว่ ยงานตา่ ง ๆ ขจดั ซึ่ง่ึ ความรสู้ กึ แบง่ เขาแบง่ เรา เปน็ แบง่ ปนั ความสุขในผลลัพธท์ ่ีเกิดข้ึนในภาวะสุขภาพที่ดีขึ้นของคนในชุมชน การทาํา งานรว่ มกนั จะเปน็ ทมี เดยี วกนั ได้ ตอ้ งมกี ารใหเ้ กยี รตซึ่ิ ง่ึ กนั และกนั การใหเ้ กยี รตคิ อื การเหน็ คณุ คา่ ของอกี ฝา ยหนง่ึ เห็นว่าเราไม่ได้เก่งคนเดียว และเราจะไม่สามารถทําางานประสบความสําาเร็จได้เลยถ้าขาดเครือข่ายอื่น ๆ ท่ีจะมา รว่ มกนั เมอื่ ทําางานรว่ มกนั หลายครงั้ จะกอ่ เกดิ เปน็ ความไวว้ างใจ และกลายเปน็ ความผกู พนั ซึ่งึ่ จะทาํา ใหก้ ารทาํา งานตอ่ ๆ ไป ประสบความสําาเร็จตลอดไป หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 169

เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชา กลยุทธ์์การควบคุมการบริโภคสุราในชุมชน 170 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 171

172 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 173

174 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 175

176 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 177

178 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 179

180 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 181

182 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 183

184 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 185

2. คณะ/สถาบัน/องค์กร 3. รหัสรายวิชา 4. ชื่อรายวิชา 5. ผู้รับผิดชอบรายวิชา 6. คําาอธิบายรายวิชา 7. วัตถุประสงค์รายวิชา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถ่ิน กระทรวงมหาดไทย Module 5.5 ฝุนละออง (PM 2.5) และสารเคมีในส่ิงแวดล้อมกับโรคไม่ติดต่อและการป้องกัน ผศ. ดร.บันลือ เอมะรุจิ การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมส่งผลต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อ และมีแนวโน้มที่จะเพ่ิมขึ้นและมีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะอย่างย่ิงฝุนละออง ขนาดเลก็ PM 2.5 และสารเคมอี นั ตรายทอี่ ยใู่ นอากาศ จะสง่ ผลกระทบโดยตรงตอ่ สขุ ภาพของประชาชน จงึ มคี วามจาํา เปน็ อยา่ งยง่ิ ทปี่ ระชาชน ทุกคนได้ตระหนักถึงอันตรายจากฝุนละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และวิธีการป้องกันตนเอง เมื่อสิ้นสุดการฝึกอบรมแล้วผู้เข้ารับการฝึกอบรมสามารถ 1) ได้รับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับฝุนละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และสารเคมีอันตรายที่สําาคัญกระจายอยู่ในอากาศ 2) ป้องกันตนเองจากฝุนละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และสารเคมีอันตรายท่ีสําาคัญกระจายอยู่ในอากาศ 3) ใช้เคร่ืองมือตรวจวัดฝุนละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ได้อย่างถูกต้อง 1. ช่ือหลักสูตร หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ สําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน ประมวลรายวิชา (Course Syllabus) 186 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

8. สังเขปเนื้อหา Module หัวข้อ จําานวนเวลา 5.5 ฝุนละออง (PM 2.5) และสารเคมีในสิ่งแวดล้อมกับโรคไม่ติดต่อและการป้องกัน l อันตรายจากฝุนละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และสารเคมีที่สําาคัญกระจายอยู่ในอากาศ 15 นาที l มาตรฐานปริมาณฝุนละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และสารเคมีที่สําาคัญกระจายอยู่ในอากาศ 15 นาที l การวัดปริมาณ ฝุนละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ด้วยเครื่องมืออย่างง่าย 30 นาที รวม 1 ชั่วโมง 9. การจัดการเรียนการสอน 10. อุปกรณ์สื่อการสอน 11. การวัดและประเมินผล 12. การประเมินผลการสอน 13. เอกสารอ้างอิง บรรยายและสาธิตการตรวจวัดค่าฝุนละอองขนาดเล็ก PM 2.5 1) PowerPoint 2) เคร่ืองวัดฝุนละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ราคาประหยัด 1) การมีส่วนร่วมในช้ันเรียน 80% 2) เวลาเรียน 20% ประเมินผลสัมฤทธ์ิในการเรียน (ข้อ 11) กรมควบคุมมลพิษ. (2535). มาตรฐานคุณภาพอากาศในประเทศไทย. สืบค้น 12 กรกฎาคม 2564 จาก http://pcd.go.th/Info_serv/reg_std_airsnd01.html

s1 กระทรวงสาธารณสุข. (2553). มลพิษและแหล่งกําาเนิดมลพิษท่ีส่งผลต่อสุขภาพ. สืบค้น 12 กรกฎาคม 2564 จาก http://advisor.anamai.moph.go.th/ main.php?filename=env202 World Health Organization. (2005). WHO Air quality guidelines for particulate matter, ozone, nitrogen dioxide and sulfur dioxide. หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 187

ฝุ่นละออง (PM 2.5) และสารเคมีในส่ิงแวดล้อมกับโรคไม่ติดต่อและการป้องกัน ผศ. ดร.บันลือ เอมะรุจิ กรมควบคุมมลพิษได้กําาหนดมาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศโดยท่ัวไปดังตารางต่อไปนี้ (กรมควบคุมมลพิษ 2535) มาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศโดยท่ัวไป สารมลพิษ ค่าเฉล่ียความเข้มข้นในเวลา ค่ามาตรฐาน ที่มา 1. ก๊าซึ่คาร์บอนมอนอกไซึ่ด์ (CO) 1 ชม. ไม่เกิน 30 ppm. (34.2 มก./ลบ.ม.) 1 8 ชม. ไม่เกิน 9 ppm. (10.26 มก./ลบ.ม) 2. ก๊าซึ่ไนโตรเจนไดออกไซึ่ด์ (NO2) 1 ชม. ไม่เกิน 0.17 ppm. (0.32 มก./ลบ.ม.) 1, 3, 4 1 ปี ไม่เกิน 0.03 ppm. (0.057 มก./ลบ.ม.) 3. ก๊าซึ่โอโซึ่น (O3) 1 ชม. ไม่เกิน 0.10 ppm. (0.20 มก./ลบ.ม.) 1, 3 8 ชม. ไม่เกิน 0.07 ppm. (0.14 มก./ลบ.ม.) 4. ก๊าซึ่ซึ่ัลเฟอร์ไดออกไซึ่ด์ (SO2) 1 ปี ไม่เกิน 0.04 ppm. (0.10 มก./ลบ.ม) 1, 2 24 ชม. ไม่เกิน 0.12 ppm. (0.30 มก./ลบ.ม) 1 ชม. ไม่เกิน 0.3 ppm. (780 มคก./ลบ.ม) 5. ฝุนละอองขนาดไม่เกิน 100 ไมครอน 24 ชม. ไม่เกิน 0.33 มก./ลบ.ม. 1, 2 1 ปี ไม่เกิน 0.10 มก./ลบ.ม. 188 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

มาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศโดยท่ัวไป (ต่อ) สารมลพิษ ค่าเฉล่ียความเข้มข้นในเวลา ค่ามาตรฐาน ท่ีมา 6. ฝุนละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน 24 ชม. ไม่เกิน 0.12 มก./ลบ.ม 1, 2 1 ปี ไม่เกิน 0.05 มก./ลบ.ม 7. ฝุนละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน 24 ชม. ไม่เกิน 0.05 มก./ลบ.ม. 5 1 ปี ไม่เกิน 0.025 มก./ลบ.ม. ที่มา : http://pcd.go.th/Info_serv/reg_std_airsnd01.html

s1 หมีายเหตุ: 1. มาตรฐานค่าเฉล่ียระยะสั้น (1, 8 และ 24 ชม.) กําาหนดข้ึนเพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยอย่างเฉียบพลัน (acute effect) 2. มาตรฐานค่าเฉลี่ยระยะยาว (1 เดือน และ 1 ปี) กําาหนดข้ึนเพื่อป้องกันผลกระทบยาวหรือผลกระทบเรื้อรัง ท่ีอาจเกิดขึ้นต่อสุขภาพอนามัย (chronic effect) ท่ีมา: ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2538) เร่ือง กําาหนดมาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศโดยทั่วไป ออกตามความในพระราชบัญญัติ ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 112 ตอนท่ี 52ง. วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2538 ประกาศคณะกรรมการส่ิงแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 24 (พ.ศ. 2547) เรื่อง กําาหนดมาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศโดยทั่วไป ออกตามความในพระราชบัญญัติส่งเสริม และรักษาคุณภาพส่ิงแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 121 ตอนพิเศษ 104 ง. วันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2547 ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 28 (พ.ศ. 2550) เร่ือง กําาหนดมาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศโดยท่ัวไป ออกตามความในพระราชบัญญัติส่งเสริม และรักษาคุณภาพส่ิงแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 124 ตอนพิเศษ 58ง วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ประกาศคณะกรรมการสงิ่ แวดลอ้ มแหง่ ชาติ ฉบบั ที่ 33 (พ.ศ. 2552) เรอื่ ง กาํา หนดมาตรฐานคา่ กา๊ ซึ่ไนโตรเจนไดออกไซึ่ดใ์ นบรรยากาศโดยทว่ั ไป ออกตามความในพระราชบญั ญตั ิ ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 126 ตอนพิเศษ 114ง วันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 36 (พ.ศ. 2553) เรื่อง กําาหนดมาตรฐานฝุนละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ในบรรยากาศโดยท่ัวไป ออกตามความใน พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพส่ิงแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 127 ตอนพิเศษ 37ง วันท่ี 24 มีนาคม พ.ศ. 2553 หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 189

มลพิษและแหล่งกําาเนิดมลพิษที่ส่งผลต่อสุขภาพมีดังนี้ (กระทรวงสาธารณสุข 2553) สารมลพิษ แหล่งกําาเนิด ผลต่อสุขภาพ 1. ก๊าซึ่คาร์บอนมอนอกไซึ่ด์ (CO) เกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของเคร่ืองยนต์ สันดาปภายใน และการเผาไหมท้ ั่วไป ก๊าซึ่สามารถจับได้ดีกับฮีโมโกลบิน (Hb) ในเลือดเกิดคาร์บอกซึ่ีฮีโมโกลบิน (Carboxy- hemoglobin) ส่งผลให้เม็ดเลือดแดงไม่สามารถส่งออกซึ่ิเจนไปทั่วร่างกายได้อย่างทั่วถึง ทําาใหอ้ วยั วะและเนอื้ เยอื่ ขาดออกซึ่เิ จน หากเกดิ ขนึ้ ทเี่ ซึ่ลลส์ มองและกลา้ มเนอื้ หวั ใจ จะเกดิ อาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย ง่วงซึ่ึม สับสน อาการรุนแรงอาจชัก และหมดสติได้ หากเกิดการสัมผัสทดี่ วงตา จะเกิดการระคายเคือง และเยื่อตาอักเสบ 2. ก๊าซึ่ไนโตรเจนไดออกไซึ่ด์ (NO2) เกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติแต่เกิดในปริมาณ ไม่มากนัก เช่น จากฟ้าผ่า ฟ้าแลบ ภูเขาไฟระเบิด ปฏิกิริยาทางจุลินทรีย์ในดิน หรืออาจเกิดจาก การกระทําาของมนุษย์ เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิง ชนดิ ตา่ ง ๆ ในอณุ หภมู สิ งู เชน่ การเผาไหมเ้ ชอ้ื เพลงิ เครอ่ื งยนตข์ องรถยนต์ โรงไฟฟา้ อตุ สาหกรรมตา่ ง ๆ การเผาไหม้เชื้อเพลิงในครัวเรือน โดยสัดส่วน การเกิดจากรถยนต์มีสูงถึง ร้อยละ 55 ของการ เกิดทั้งหมด ส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจของมนุษย์เป็นสําาคัญ โดยจะทําาให้รูปร่าง ลักษณะ และการทําาหน้าท่ีของปอดเปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ยังทําาให้เการเจริญเติบโตช้าลงและ ยังส่งผลต่อภาวะภูมิคุ้มกัน 3. ก๊าซึ่ซึ่ัลเฟอร์ไดออกไซึ่ด์ (SO2) เกดิ จากการเผาไหมข้ องเชอ้ื เพลงิ ทใ่ี นภาคการขนสง่ อุตสาหกรรม ครัวเรือน และจากธรรมชาติ มกี าํา มะถนั (S) เปน็ องคป์ ระกอบ เชน่ ถา่ นหนิ นา้ํา มนั ดเีซึ่ลนา้ํามนัเบนซึ่นิ เตาเผาขยะเตาเผาศพเปน็ตน้ ทําาให้เกิดการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อ เกิดสภาวะเป็นกรดในเลือด อาการแบบเฉียบพลัน การสมั ผสั ผวิ หนงั ทาํา ใหเ้ กดิ ระคายเคอื ง กดั กรอ่ นผวิ หนงั ผวิ หนงั ไหม้ การสมั ผสั ตา ทาํา ใหเ้ กดิ ร ะ ค า ย เ ค อื ง ต า อ า จ ก ดั ก ร อ่ น เ ย อื ่ บ ตุ า จ น ท ํา า ใ ห เ้ ก ดิ แ ผ ล แ ล ะ เ ป น็ ผ ล ใ ห ก้ า ร ม อ ง เ ห น็ ผ ดิ ป ก ต ไิ ด ้ การหายใจ เนอ่ื งจากกา๊ ซึ่ละลายนา้ํา ไดด้ ี จะทาํา ใหถ้ กู ดดู ซึ่มึ ทร่ี ะบบทางเดนิ หายใจสว่ นบน สง่ ผล ใหเ้ กดิ กระตนุ้ ใหห้ ลอดลมหดตวั และมกี ารหลงั่ นํา้าเมอื ก เกดิ การระคายเคอื งตอ่ จมกู และคอ ไอหายใจลําาบากหลอดลมตบี แคบระดบั ของออกซึ่เิจนในเลอื ดตํา่าจนเกดิ การขาดออกซึ่เิจน ในเลือด อาจเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจได้ อาการแบบเรื้อรัง การสัมผัสเป็นระยะ เวลานานทําาให้การดมกลิ่นเสียไป เกิดการทําาลายหลอดลมและเนื้อเยื่อปอด เกิดอาการ หลอดลมอักเสบและปอดอักเสบอย่างเรื้อรัง 190 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

มลพิษและแหล่งกําาเนิดมลพิษที่ส่งผลต่อสุขภาพมีดังน้ี (กระทรวงสาธารณสุข 2553) (ต่อ) สารมลพิษ แหล่งกําาเนิด ผลต่อสุขภาพ 4. ฝนุ ละอองขนาดไมเ่ กนิ 2.5 ไมครอน เกิดจากกระบวนการเผาไหม้เชื้อเพลิงปิโตรเลียม เชอ้ื เพลงิ ชวี มวล และของเสยี จากชมุ ชน อตุ สาหกรรม และการเกษตรกรรมการเผาในเตาเผา การเผาไหม้ ในห้องสันดาปของรถยนต์เบนซึ่ินและรถบรรทุก ดเี ซึ่ล และการเผาในทโี่ ล่ง ผลกระทบของ PM 2.5 ต่อร่างกาย ทําาให้สามารถผ่านเข้าสู่ร่างกายและกระแสเลือด ไปกอ่ ใหเ้ กดิ การอกั เสบของอวยั วะตา่ ง ๆ ภายในของรา่ งกายได้ จนกอ่ ใหเ้ กดิ อาการทผี่ ดิ ปกติ ได้หลายระบบ ตั้งแต่ระบบทางเดินหายใจ แสบจมูก คัดจมูก นํา้ามูกไหล ไอ แน่นหน้าอก ภูมิแพก้ ําาเริบ ระบบผิวหนัง ตุ่ม ผื่น นูนแดง ระบบดวงตา แสบเคืองตา ตาแดง นํา้าตาไหล นอกจากนี้ การที่ร่างกายได้รับ PM 2.5 เข้าไปติดต่อกันเป็นระยะเวลานานจะทําาให้เกิด การอักเสบของเซึ่ลล์ในร่างกาย เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว และถือเป็น สารก่อมะเร็ง ก่อให้เกิดโรคมะเร็งปอดได้ ในที่น้ี จะเน้นถึงมลพิษที่เป็นฝนุ ขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน เพราะเกิดข้ึนท่ัวไปแทบทุกพ้ืนที่ โดยเฉพาะในฤดูแล้งท่ีมีการเผาปา และการตรวจวัดสามารถทําาได้ง่าย เครื่องมือที่ใช้วัดราคาไม่แพง สามารถจัดหาได้ง่าย การป้องกัน การป้องกันทําาง่ายและสะดวกที่สุดคือการป้องกันจากแหล่งกําาเนิด โดยที่ PM 2.5 น้ันเกิดขึ้นจากการเผาไหม้ หรือสันดาปเท่าน้ัน การป้องกันคือไม่เผาในที่โล่งแจ้ง ภายใต้ อากาศท่ีแห้ง หลีกเลี่ยงการอยู่ข้างนอกโดยไม่จําาเป็น ในช่วงเวลาที่ค่าความเข้มข้นของ PM 2.5 เกินกว่า 0.05 มิลลิกรัม/ลูกบาศก์เมตร หรือ 50 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร เอกสารอ้างอิง กรมควบคุมมลพิษ (2535). มาตรฐานคุณภาพอากาศในประเทศไทย. สืบค้น 12 กรกฎาคม 2564 จากhttp://pcd.go.th/Info_serv/reg_std_airsnd01.html

s1 กระทรวงสาธารณสุข (2553). มลพิษและแหล่งกําาเนิดมลพิษท่ีส่งผลต่อสุขภาพ. สืบค้น 12 กรกฎาคม 2564 จาก http://advisor.anamai.moph.go.th/main.php? filename=env202 หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 191

เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชา ฝนุ่ ละออง (PM 2.5) และสารเคมีในสง่ิ แวดลอ้ มกบั โรคไมต่ ดิ ตอ่ และการปอ้ งกนั 192 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 193

194 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 195

196 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 197

2. คณะ/สถาบัน/องค์กร 3. รหัสรายวิชา 4. ช่ือรายวิชา 5. ผู้รับผิดชอบรายวิชา 6. คําาอธิบายรายวิชา 7. วัตถุประสงค์รายวิชา กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุขและกรมส่งเสริมการปกครองท้องถน่ิ กระทรวงมหาดไทย Module 5.6 ความเครียดกับโรคไมต่ ิดต่อ และการจัดการกับความเครียด อาจารย์ภวมัย กาญจนจิรางกูร การเจ็บปวยด้วยโรคไม่ติดต่อเร้ือรังเป็นสาเหตุหนึ่งที่ส่งผลต่อการเกิดปัญหาด้านสุขภาพจิต เช่น ความเครียด ความวิตกกังวล ภาวะ/ โรคซึ่ึมเศร้า ซึ่่ึงอาจนําาไปสู่การฆ่าตัวตายได้ในที่สุด ผู้ปวยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังจึงถือเป็นหน่ึงในกลุ่มเส่ียงสําาคัญต่อการเกิดปัญหา สุขภาพจิต ดังนั้นผู้ปวยด้วยโรคไมต่ ิดต่อเรื้อรังจึงควรมีทักษะในการสังเกต สําารวจ สามารถประเมินความเครียดด้วยตนเอง สามารถเลือก วธิ จี ดั การหรอื เทคนคิ ในการผอ่ นคลายความเครยี ดทเ่ี หมาะสมกบั ตนเอง ตลอดจนสามารถเขา้ ถงึ และสง่ ตอ่ ความชว่ ยเหลอื เพอื่ ขอรบั บรกิ าร ด้านสุขภาพจิตผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง เมื่อส้ินสุดการฝึกอบรมแล้วผเู้ ข้ารับการฝึกอบรมสามารถ 1) มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความเครียด สามารถสําารวจและประเมินความเครียดได้ ตามแบบประเมินความเครียด (ST-5) ของกรมสุขภาพจิต 2) เลือกวิธีจัดการหรือเทคนิคในการผ่อนคลายความเครียดทเ่ีหมาะสมกับตนเองได้ 3) รู้จักและสามารถเข้าถึงแหล่งบริการด้านสุขภาพจิตได้อย่างถูกต้อง 1. ช่ือหลักสูตร หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ สําาหรับผู้นําาท้องถิ่น ประมวลรายวิชา (Course Syllabus) 198 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

8. สังเขปเนื้อหา Module หัวข้อ จําานวนเวลา 5.6 ความเครียดกับโรคไม่ติดต่อ และการจัดการกับความเครียด l เกริ่นนําา: ปัญหาสุขภาพจิตกับโรคไม่ติดต่อ l รู้จักและเข้าใจความเครียด l การสําารวจความเครียด การประเมินความเครียดด้วยแบบประเมินความเครียด (ST-5) และแบบคัดกรอง โรคซึ่ึมเศร้า 2 คําาถาม (2Q) l การจัดการกับความเครียด l ช่องทางสําาหรับประเมินสุขภาพจิตเบื้องต้น ช่องทางการดูแลช่วยเหลือและแหล่งบริการ แหล่งข้อมูล ความรู้สุขภาพจิต 1 ชั่วโมง 9. การจัดการเรียนการสอน การบรรยาย 10. อุปกรณ์สื่อการสอน 11. การวัดและประเมินผล 12. การประเมินผลการสอน 13. เอกสารอ้างอิง 1) เอกสารประกอบการบรรยาย 3) วิดีทัศน์ 2) PowerPoint 1) ประเมินหลังการอบรมไม่น้อยกว่าร้อยละ 80% 2) การมีส่วนร่วมในช้ันเรียน 20% 1) ประเมินผลสัมฤทธ์ิในการเรียน (ข้อ 11) 2) ประเมินโดยใช้แบบประเมินการจัดการเรียนการสอน กรมสขุ ภาพจติ สาํา นกั บรหิ ารระบบบรกิ ารสขุ ภาพจติ . (2557). คมู่ อื คลายเครยี ด (ฉบบั ปรบั ปรงุ ใหม)่ . กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พช์ มุ นมุ สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จาํา กดั . กรมสุขภาพจิต สําานักส่งเสริมและพัฒนาสุขภาพจิต. (2558). แนวทางการใช้เครื่องมือสุขภาพจิตสําาหรับบุคลากรสาธารณสุขในโรงพยาบาลชุมชน (คลินิกโรคเรื้อรัง) ฉบับปรับปรุง. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จําากัด. อรวรรณ ดวงจันทร์, และคณะ. (2558). การปรับพฤติกรรม เพ่ือลดภาวะเครียดและซึ่ึมเศร้า. ในจุรีพร คงประเสริฐ และธิดารัตน์ อภิญญา (บรรณาธิการ). คู่มือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในคลินิก NCD คุณภาพ (หน้า 47-51). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จําากัด. หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 199

ความเครียดกับโรคไม่ติดต่อ และการจัดการกับความเครียด ปัญหาสุขภาพจิตกับโรคไม่ติดต่อ อาจารย์ภวมัย กาญจนจิรางกูร จากการศกึ ษาทง้ั ในและตา่ งประเทศพบวา่ ปญั หาสขุ ภาพจติ เปน็ ปจั จยั หนงึ่ ทม่ี ผี ลตอ่ การเจบ็ ปว ยของผปู้ ว ยโรคเรอื้ รงั การใหค้ วามสําาคญั กบั สขุ ภาพจติ ของผปู้ ว ยโรคเรอื้ รงั โดยเฉพาะความเครียดและซึ่ึมเศร้าจึงมีความสําาคัญ เนอื่ งจากความเครียดและภาวะซึ่ึมเศร้ามีผลเกยี่ วเนอื่ งต่อการเจ็บปวยด้วยโรคไมต่ ิดต่อ ตัวอย่างเช่น l อาการซึ่มึ เศรา้ เปน็ ปจั จยั เสย่ี งสาํา คญั ตอ่ การเกดิ โรคไมต่ ดิ ตอ่ ทง้ั โรคเบาหวาน โรคหลอดเลอื ดหวั ใจ โรคอว้ น และยงั มผี ลตอ่ พฤตกิ รรมเสย่ี งตอ่ สขุ ภาพ เชน่ การไมเ่ คลอ่ื นไหว สูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่ึ่งส่งผลต่อภาวะความดันโลหิตสูงอีกด้วย l ความเครียด ส่งผลต่อการเกิดภาวะซึ่ึมเศร้าและความดันโลหิตสูง l ผู้ปวยโรคเบาหวาน มีโอกาสมีภาวะซึ่ึมเศร้าประมาณสองเท่าของคนทวั่ ไป l ผู้ปวยเบาหวานที่มีความเครียดและภาวะซึ่ึมเศร้า จะควบคุมระดับน้าํา ตาลในเลือดได้ไม่ดี การประเมนิ ความเครยี ดและภาวะซึ่มึ เศรา้ เปน็ วธิ กี ารเพอ่ื ปอ้ งกนั ปญั หาสขุ ภาพจติ ในกลมุ่ เสย่ี งและผปู้ ว ยโรคเรอ้ื รงั ชว่ ยเพม่ิ อตั ราการคน้ พบผปู้ ว ย ดแู ลชว่ ยเหลอื ในเบอ้ื งตน้ ทําาให้เกิดบริการแบบองค์รวมทค่ี รอบคลุมมากขนึ้ ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และสังคมเชื่อมโยงนําาไปสู่การรักษาและติดตามดูแลอย่างต่อเน่ือง (อรวรรณ ดวงจันทร์ และคณะ, 2558) ความเครียดคืออะไร ? ความเครียดเป็นเรื่องของร่างกายและจิตใจ ท่ีเกิดการตน่ื กลัวเตรียมรับกับเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนงึ่ ที่ไม่เป็นไปตามต้องการ ซึ่งึ่ เราคิดว่าไม่น่าพอใจ เป็นเรื่องหนักหนา สาหัสเกินกาํา ลังทรัพยากรที่เรามีอยู่ หรือเกินความสามารถของเราทจี่ ะแก้ไขได้ ทําาให้รู้สึกเป็นทุกข์ หนักใจ กังวลใจ หรือไม่สบายใจ พลอยทําาให้เกิดอาการผิดปกติทางร่างกาย และพฤติกรรมตามไปด้วย ความเครียดเป็นเรื่องปกติที่เกิดข้ึนได้กับทุกคน จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาพปัญหา การคิด และการประเมินสถานการณ์ของแต่ละคน ถ้าเราคิดว่าปัญหาที่เกิดข้ึน ไมร่ า้ ยแรงกจ็ ะรสู้ กึ เครยี ดนอ้ ยหรอื แมเ้ ราจะรสู้ กึ วา่ ปญั หานน้ั รา้ ยแรงแตเ่ ราพอจะรบั มอื ไหว เรากจ็ ะไมเ่ ครยี ดมาก แตถ่ า้ เรามองวา่ ปญั หานน้ั ใหญ่ แกไ้ มไ่ หว และไมม่ ใี ครชว่ ยเราได้ เราก็จะเครียดมาก 200 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

ความเครียดเกิดจากอะไร ? ความเครยี ดของแตล่ ะบคุ คลอาจเกดิ ไดจ้ ากเหตแุ ละปจั จยั หลายอยา่ งเขา้ มากระทบกบั ความคดิ และความรสู้ กึ สาเหตสุ ําาคญั ทที่ ําาใหบ้ คุ คลเกดิ ความเครยี ดมี 2 ประการ คอื 1. สภาพปญั หาทเ่ี กดิ ขน้ึ ในชวี ติ เชน่ ปญั หาการเงนิ ปญั หาการงาน ปญั หาครอบครวั ปญั หาการเรยี น ปญั หาสขุ ภาพ ปญั หามลพษิ ปญั หาภยั ธรรมชาติ ปญั หาความขดั แยง้ ระหว่างบุคคล ฯลฯ ปัญหาเหล่านจี้ ะเป็นตัวกระตนุ้ ให้คนเราเกิดความเครียดขนึ้ ได้มาก 2. การคดิ และการประเมนิ สถานการณข์ องบคุ คล เราจะสงั เกตไดว้ า่ คนทม่ี องโลกในแงด่ ี มอี ารมณข์ นั ใจเยน็ จะมคี วามเครยี ดนอ้ ยกวา่ คนมองโลกในแงร่ า้ ย เอาจรงิ เอาจงั กับชีวิต และใจร้อน นอกจากนคี้ นที่รู้สึกว่าตนเองมีคนคอยให้ความช่วยเหลือเมอื่ มีปัญหา เช่น มีพ่อแม่ ญาตพิ ี่น้อง มีคู่สมรส มีเพื่อนสนิทท่ีรักใคร่ และไว้วางใจกันได้ ก็จะมี ความเครียดน้อยกว่าคนทอี่ ยู่โดดเดย่ี วตามลําาพังด้วย ความเครียดมักไม่ได้เกิดจากสาเหตุใดเพียงสาเหตุเดียว แต่มักจะเกิดจากทั้งสองสาเหตุประกอบกัน คือมีปัญหาเป็นตัวกระตุ้นและมีการคิด การประเมินสถานการณ์ เป็นตัวบ่งบอกว่าจะเครียดมากน้อยแค่ไหน ความเครียดก็มีประโยชน์ ความเครียดในระดับพอดี ๆ จะกระตุ้นให้เรามีพลัง เกิดความพยายาม มีความอดทน มีความกระตือรือร้น ช่วยผลักดันและต่อสู้เพื่อขจัดความเครียด และส่งเสริม ให้เกิดความเข้มแข็ง สามารถเอาชนะปัญหาและอุปสรรคได้ แต่ความเครียดที่มีมาก อยนู่ าน และรุนแรงเกินไป จะทาํา ให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตหรือเจ็บปวยทางกายและทางจิตได้ เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิต มะเร็ง โรคกระเพาะ โรคซึ่ึมเศร้า เป็นต้น การสําารวจความเครียด สัญญาณเตือน 3 ด้านที่บ่งบอกว่ากาํา ลังมีความเครียด 1. ด้านร่างกาย มักเจ็บปวยบ่อย ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ ไม่มีเรี่ยวแรง ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร นอนไม่หลับหรือง่วงเหงาหาวนอนตลอดเวลา ปวดเม่ือยกล้ามเน้ือ ท้องอืด อาหารไมย่ ่อย ท้องผูก ประจําาเดือนมาไม่ปกติ ใจส่ัน ถอนหายใจบ่อย ๆ เป็นต้น 2. ด้านจิตใจ ได้แก่ วิตกกังวล คิดมาก เคร่งเครียด หงุดหงิด เศร้าหมอง ฟุ้งซึ่่าน โกรธง่าย ใจน้อย เบอื่ หน่าย ซึ่ึมเศร้า เหม่อลอย ไม่มีสมาธิในการทําางาน หมดความ สนุกสนาน เป็นต้น 3. ด้านพฤติกรรม ได้แก่ สูบบุหร่ี/ด่ืมสุรามากข้ึน อาจใช้ยากระตุ้นหรือสารเสพติดต่าง ๆ ใช้ยานอนหลับ จู้จี้ ขี้บ่น ชวนทะเลาะ มีเรื่องขัดแย้งกับผู้อ่ืนบ่อย ๆ ดึงผม กัดเล็บกัดฟันผุดลุกผุดนงั่ เงียบขรึมเก็บตัวเป็นต้น หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 201

แบบประเมินความเครียด (ST-5) ความเครียดเกิดขึ้นได้กับทุกคน สาเหตุที่ทําาให้เกิดความเครียดมีหลายอย่าง เช่น รายได้ท่ีไม่เพียงพอ หนี้สิน ภัยพิบัติต่าง ๆ ที่ทําาให้เกิดความสูญเสีย ความเจ็บปวย เป็นต้น ความเครียดมีท้ังประโยชน์และโทษ หากมากเกินไปจะเกิดผลเสียต่อร่างกายและจิตใจของท่านได้ ขอให้ท่านลองประเมินตนเองโดยให้คะแนน 0 - 3 ที่ตรงกับความรู้สึก ของท่าน คะแนน 0 หมายถึง เป็นน้อยมากหรือแทบไมม่ ี คะแนน 1 หมายถึง เป็นบางครั้ง คะแนน 2 หมายถึง เป็นบ่อยครง้ั คะแนน 3 หมายถึง เป็นประจําา ข้อที่ อาการหรือความรู้สึกท่ีเกิดในระยะ 2 - 4 สัปดาห์ แทบไม่มี เป็นบางครั้ง บ่อยคร้ัง เป็นประจําา 1 มีปัญหาการนอน นอนไม่หลับหรือนอนมาก 0 1 2 3 2 มีสมาธิน้อยลง 0 1 2 3 3 หงุดหงิด/กระวนกระวาย/ว้าวุ่นใจ 0 1 2 3 4 รู้สึกเบื่อ เซึ่็ง 0 1 2 3 5 ไม่อยากพบปะผู้คน 0 1 2 3 คืะแนี้นี้รวมี การแปลผล 0 - 4 คะแนน 5 - 7 คะแนน 8 คะแนนขึ้นไป หมายถึง หมายถึง หมายถึง ไม่มีความเครียดในระดับที่ก่อให้เกิดปัญหากับตัวเอง ยังสามารถจัดการกับความเครียดท่ีเกิดขึ้นในชีวิตประจําาวันได้ และปรับตัวกับ สถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม สงสยั วา่ มปี ญั หาความเครยี ด ควรผอ่ นคลายความเครยี ดดว้ ยการพดู คยุ หรอื ปรกึ ษาหารอื กบั คนใกลช้ ดิ เพอื่ ระบายความเครยี ดหรอื คลค่ี ลาย ท่ีมาของปัญหาและอาจใช้การหายใจเข้า - ออกลึก ๆ ช้า ๆ หลาย ๆ ครั้ง หรือใช้หลักศาสนาเพ่ือคลายความกังวล มีีคืวามีเคืรียดีสูงในระดับที่อาจจะส่งผลเสียต่อร่างกาย เช่น ปวดหัว ปวดหลัง นอนไม่หลับ ฯลฯ ควรขอรับคําาปรึกษาจากบุคลากร สาธารณสุข เพื่อดูแลจิตใจหรือเพื่อค้นหาสาเหตุท่ีทําาให้เกิดความเครียดและหาแนวทางแก้ไข โดยสามารถโทรป็รึกษากรมีสุข้ภาพัจุิต ทหี มีายเลัข้โทรศัพัั ท์ 1323 บรกิ ารป็รกึ ษาฟรตี ลัอดี 24 ชืวั โมีง และควรคดั กรองโรคซึ่มึ เศรา้ ดว้ ยแบบคดั กรองโรคซึ่มึ เศรา้ 2 คาํา ถาม (2Q) 202 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

แบบคัดกรองโรคซึมเศร้า 2 คําาถาม (2Q) แบบคัดกรองโรคซึ่ึมเศร้า 2 คาํา ถาม (2Q) เป็นแบบคัดกรองค้นหาผู้ที่มีแนวโน้มหรือเสยี่ งต่อการปว ยด้วยโรคซึ่ึมเศร้า ใช้สัมภาษณ์เพื่อประเมินภาวะซึ่ึมเศร้าใน 2 สัปดาห์ โดยคําาตอบมี 2 แบบคือ มีและไมม่ ี ถ้าคําาตอบมี ในข้อใดข้อหน่ึง หรือทั้ง 2 ข้อ หมายถึง เป็นผู้มีความเส่ียงหรือมีแนวโน้มท่ีปวยเป็นโรคซึ่ึมเศร้า จึงจําาเป็นต้องประเมินอีกครัง้ ด้วยแบบประเมินท่ีมีความจําาเพาะสูง คําาถาม มี ไม่มี การแปลผล ถ้าคําาตอบ “ไม่มี” ทงั้ สองข้อ ถือว่า ป็กติ ไม่เป็นโรคซึ่ึมเศร้า ถ้าคําาตอบ “มี” ข้อใดข้อหนงึ่ หรือท้ังสองข้อ (มีอาการใด ๆ ในคําาถามที่ 1 และ 2) หมายถึง เป็นผมีู้ ีคืวามีเสียงหร่อมีีแนี้วโนี้้มีท่ีจะเป็นโรคซึ่ึมเศร้า คําาแนะนําา หากพบบุคคลท่ีมีโอกาสหรือมีแนวโน้มปว ยเป็นโรคซึ่ึมเศร้าจากการคัดกรองด้วยแบบคัดกรองโรคซึ่ึมเศร้า 2 คาํา ถาม (2Q) 1. ควรมีการพูดคุยและให้การปรึกษาเบื้องต้นโดยบุคคลใกล้ชิด เพอื่ น หรือบุคคลท่ีพบความเสยี่ งหรือมีแนวโน้มปวยเป็นโรคซึ่ึมเศร้าให้ความเคารพนับถือ เป็นต้น 2. ประเมนิ วา่ มปี ญั หาดา้ นสงั คมจติ ใจหรอื ไม่ เชน่ มปี ญั หาการเงนิ ปญั หาหนสี้ นิ ปญั หาครอบครวั ปญั หาการดม่ื สรุ า ฯลฯ ถา้ มคี วรใหก้ ารปรกึ ษาเพอื่ แกไ้ ขปญั หาดงั กลา่ ว และแนะนําาทักษะในการแก้ปัญหาด้วยตัวเอง 3. แนะนาํา ให้ออกกําาลังกาย 30 - 45 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ยกเว้นในผู้ที่มขี ้อจําากัดห้ามออกกาํา ลังกาย 4. หากพจิ ารณาแลว้ เหน็ วา่ บคุ คลทพ่ี บความเสยี่ งหรอื ปว ยเปน็ โรคซึ่มึ เศรา้ ประสบปญั หาทเี่ กนิ กําาลงั ความสามารถในการใหก้ ารชว่ ยเหลอื ควรสง่ ตอ่ เพอื่ ขอความชว่ ยเหลอื จากผู้เช่ียวชาญเฉพาะทางด้านสุขภาพจิตหรือจากสถานพยาบาลใกล้บ้าน และแนะนําาให้ประเมินโรคซึ่ึมเศร้าด้วยแบบประเมินโรคซึ่ึมเศร้า 9 คําาถาม (9Q) เพื่อให้การดูแล ช่วยเหลือต่อไป ทงั้ น้ี สามารถขอรับการปรึกษาปัญหาความเครียด วิตกกังวล โรคซึ่ึมเศร้า และปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ ได้ท่ีสายด่วนสุขภาพจิต 1323 โทรฟรีตลอด 24 ช่ัวโมง ทั่วประเทศ เม่ือรู้ตัวว่าเครียดจากปัญหาใด ให้พยายามแก้ปัญหานั้นให้ได้โดยเร็ว ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต เป็นสาเหตุท่ีกระตุ้นให้เกิดความเครียด เมื่อแก้ปัญหาได้ความเครียดก็จะหมดไป การเรียนรู้วิธีการแก้ปัญหาท่ีถูกต้องเหมาะสมจึงเป็น สิ่งจําาเป็น เพ่ือแก้ปัญหาไดด้ ีและรวดเร็วยิ่งข้ึน 1 ใน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา รวมวันนี้ ท่านรู้สึกหดหู่ เศร้า หรือท้อแท้สิ้นหวัง 2 ใน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา รวมวันนี้ ท่านรู้สึกเบื่อ ทําาอะไรก็ไม่เพลิดเพลิน หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 203

วิธีการแก้ปัญหาทีเ่ หมาะสม มีดังนี้ • ใช้เหตุผล และความคิดพิจารณา คิดหาสาเหตุของปัญหาด้วยใจเป็นกลางไม่เข้าข้างตัวเอง ไม่โทษคนอื่น • คิดหาวิธีแก้ปัญหาหลาย ๆ วิธี ถ้าคิดไม่ออกอาจปรึกษาคนใกล้ชิดหรือผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่า เผชิญปัญหาและไม่ผัดวันประกันพรุ่ง รีบแก้ปัญหาเสียแต่เนนิ่ ๆ ไม่ปล่อยใหค้ ้างคาอยเู่ ป็นเวลานาน จะช่วยป้องกันความเครียดสะสมจนกลายเป็นความเครียดเรื้อรัง • ลงมือแก้ปัญหาตามวิธีท่ีคิดไว้ อาจต้องใช้ความกล้าหาญ อดทน หรือต้องใช้เวลาบ้าง อย่าได้ท้อถอยไปก่อน • ประเมินผลดวู ่าวิธีที่ใช้ได้ผลหรือไม่ ถ้าไม่ได้ผลก็เปลย่ี นไปใช้วิธีอื่น ๆ ที่เตรียมไว้ จนกว่าจะได้ผล ผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีที่คุ้นเคย เมื่อรู้สึกเครียด การทําากิจกรรมหรือมีงานอดิเรกท่ีชอบ ทําาแล้วเพลิดเพลิน จะช่วยผ่อนคลายความเครียดลงได้มาก ซึ่่ึงแต่ละคนจะมีวิธีการผ่อนคลายความเครียด ที่แตกต่างกันตามความชอบและความคุ้นเคย วิธีการคลายเครียดโดยท่ัวไป เช่น นอนหลับพักผ่อน ออกกําาลังกาย ฟังเพลง ร้องเพลง เล่นดนตรี ดูโทรทัศน์ ภาพยนตร์ เต้นรําา ปลูกต้นไม้ ทําาสวน ตกแต่งบ้าน อ่านหนังสือ ไปซึ่ื้อของ ไปท่องเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศ ฯลฯ สิ่งที่สําาคัญคือ เมอื่ เกิดความเครียด อย่าได้ทําาส่ิงท่ีไม่เหมาะสม เช่น สูบบุหรี่ ด่ืมเหล้า ใช้สารเสพติดเล่นการพนัน เทยี่ วกลางคืน ฯลฯ เพราะนอกจากจะทําาให้เสียสุขภาพ และเงินทองแล้ว ยังทําาให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาอีกมาก เช่น เมาแล้วขับรถทาํา ให้เกิดอบุ ัติเหตุ เสียพนันแล้วทาํา ให้เกิดหนี้สิน เป็นต้น ใช้เทคนิคเฉพาะในการคลายเครียด เทคนคิ เฉพาะเพอื่ ใชใ้ นการคลายเครยี ด ไดแ้ ก่ การผอ่ นคลายกลา้ มเนอื้ การฝกึ การหายใจ การทําาสมาธิ การจนิ ตนาการ การคลายเครยี ดจากใจสกู่ าย การนวดคลายเครยี ด แต่ละวิธีมีรายละเอียดแตกต่างกันออกไป ไม่จําาเป็นต้องฝึกทั้ง 6 วิธี เพียงเลือกวิธีใดวิธีหน่ึงที่ชอบ สะดวก ทําาแล้วคลายเครียดได้ดีเท่าน้ันก็พอเม่ือฝึกการคลายเครียดไปสัก ระยะหนึ่ง จะรู้สึกได้ว่ามีการเปล่ียนแปลงไปในทางท่ีดีขึ้น เช่น ใจเย็นลง สบายใจขึ้น สุขภาพดีข้ึน ความจําาดีข้ึน สมาธิดีขึ้น การเรียนหรือการทําางานดีข้ึน ความสัมพันธ์กับ คนรอบข้างดขี ้ึน ฯลฯ ตัวอย่างเทคนิคคลายเครียด • เทคืนี้ิคืการคืลัายเคืรียดีโดียการฝึึกการหายใจุ ตามปกติคนทั่วไปจะหายใจตื้น ๆ โดยใช้กล้ามเนื้อหน้าอกเป็นหลัก ทําาให้ได้ออกซึ่ิเจนไปเลี้ยงร่างกายน้อยกว่าที่ควร โดยเฉพาะอย่างย่ิงในเวลาเครียดคนเราจะ หายใจถ่ีและตื้นขึ้นมากกว่าเดิม ทําาให้เกิดอาการถอนใจเป็นระยะ ๆ เพื่อให้ได้ออกซึ่ิเจนมากข้ึน การฝึกหายใจช้า ๆ ลึก ๆ โดยใช้กล้ามเน้ือกระบังลมบริเวณท้องจะช่วยให้ ร่างกายได้อากาศเข้าสู่ปอดมากขึ้น เพิ่มปริมาณออกซึ่ิเจนในเลือดและยังช่วยเพ่ิมความแข็งแรงแก่กล้ามเนื้อหน้าท้องและลําาไส้ด้วย การฝึกการหายใจอย่างถูกวิธีจะทําาให้ หัวใจเต้นช้าลง สมองแจ่มใส เพราะได้ออกซึ่ิเจนมากขึ้นและการหายใจออกอย่างช้า ๆ จะทาํา ให้รู้สึกว่าได้ปลดปล่อยความเครียดออกไปจากตัวจนหมดสนิ้ การสงั เกต : การหายใจทถี่ กู ตอ้ งตามหลกั การ สามารถสงั เกตไดจ้ ากเวลาหายใจเขา้ ทอ้ งจะปอ งและเวลาหายใจออกทอ้ งจะแฟบ โดยอาจเอามอื วางไวท้ ห่ี นา้ ทอ้ งตนเอง 204 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

วิธีีการฝึึก 1. ให้น่ังบนเก้าอ้ีและห้อยขาในท่าที่สบายๆแล้วหลับตาและเอามือประสานไว้บริเวณท้องของตนเอง 2. ค่อย ๆ หายใจเข้า พร้อม ๆ กับนับเลข 1 ถึง 4 ในใจเป็นจังหวะช้า ๆ 1...2...3...4...ใหม้ ือรู้สึกไดว้ ่าหน้าท้องพองออก 3. กล้ันหายใจเอาไว้สักครู่นับ1ถึง4ในใจเป็นจังหวะช้าๆเช่นเดียวกับเมอื่หายใจเข้า 4. แล้วจึงค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกให้นานกว่าช่วงหายใจเข้า โดยนับ 1 ถึง 8 อย่างช้า ๆ ในใจ 1...2...3...4...5...6...7...8... พยายามไล่ลมหายใจออกมาให้หมด ให้มือรู้สึกไดว้ ่าหน้าท้องแฟบลง 5. ทําาซึ่้ําาอีกประมาณ4-5ครัง้ (ตามข้อ2.-4.) การใช้เทคนิคการคลายเครียดโดยการฝึกการหายใจให้ได้ผล คือ ควรหายใจเข้าและหายใจออกตามวิธีการติดต่อกันประมาณ 4 - 5 ครั้งต่อการฝึกแต่ละครั้ง และ ควรฝึกการหายใจทุกคร้ังท่ีรู้สึกเครียด รู้สึกโกรธ รู้สึกไม่สบายใจ หรือฝึกทุกครั้งที่นึกได้ ทุกครั้งที่หายใจออก ให้รู้สึกได้ว่าผลักดันความเครียดออกมาด้วยจนหมด เหลือไว้แต่ ความรู้สึกโล่งสบายเท่านั้น ในแต่ละวันควรฝึกการหายใจท่ีถูกวธิ ีให้ได้ประมาณ 40 ครงั้ ต่อวัน แต่ไม่จําาเป็นต้องทาํา ติดต่อกันให้ครบ 40 ครั้งในคราวเดียวกัน • เทคืนี้ิคืการคืลัายเคืรียดีโดียการผู้อนี้คืลัายกลั้ามีเนี้อ่ ความเครียดมีผลทาํา ให้กล้ามเนอ้ื ตามร่างกายหดตัว สังเกตได้จากเวลาทเี่ ครียดแล้วเราจะเผลอมีอาการหน้านิ่วคว้ิ ขมวด กําาหมัด กัดฟัน ฯลฯ โดยไมร่ ู้ตัวบ้าง รู้ตัวบ้าง การเกร็งตัวของกล้ามเน้ือที่เกิดขึ้นถ้าปล่อยท้ิงไว้จะส่งผลทําาให้เกิดอาการเจ็บปวดตามร่างกายได้ เช่น ปวดต้นคอ ปวดหลัง ปวดไหล่ เป็นต้น การฝึกผ่อนคลายกล้ามเน้ือจะ ช่วยให้อาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อลดลง และขณะเดียวกันในขณะฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ จิตใจของเราจะจดจ่ออยู่กับการคลายกล้ามเน้ือส่วนต่าง ๆ จึงทําาให้สามารถช่วย ลดความคิดฟงุ้ ซึ่่านและลดความวิตกกังวลลงได้ รวมทั้งทําาให้มีสมาธิมากขนึ้ กว่าเดิมด้วย วิธีีการฝึึก 1. ให้ผู้รับการฝึกเตรียมตัวเพ่ือพร้อมทีจ่ ะทําาการฝึก โดยใหน้ ่ังในท่าทีส่ บายไม่ไขวห้ ้างและวางเท้าให้ราบไปกับพื้นไม่กระดกปลายเท้า คลายเครื่องแต่งตัวและเสอ้ื ผ้า ให้หลวมสบาย เช่น ดึงชายเสื้อออกมาจากกางเกง ถอดรองเท้า หลังจากนน้ั ให้หลับตา ทําาใจให้ว่าง ตั้งสมาธิอยู่ทกี่ ล้ามเนือ้ ส่วนต่าง ๆ ข้อควรระวัง เวลากําามือ ระวังอย่าให้เล็บจิกเนื้อตัวเองให้ได้รับบาดเจ็บ 2. ผู้นําากิจกรรมชี้แจงกติกาการใช้เวลาเกร็งและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ว่าให้ใช้เวลาเกร็งกล้ามเน้ือน้อยกว่าเวลาที่ใช้ผ่อนคลาย เช่น เกร็ง 3 - 5 วินาที ผ่อนคลาย 10 - 15 วินาที เป็นต้น หลังจากนนั้ เริ่มฝึกเกร็งและคลายกล้ามเนอ้ื 10 กลุม่ ตามลาํา ดับ ดังนี้ • พุ่งความสนใจไปทมีี่ ่อแลัะแข้นี้ข้วา หลังจากน้ันค่อย ๆ กําามือและเกร็งแขนขวาจนเต็มที่ แล้วจึงค่อย ๆ คลาย โดยให้สังเกตความรู้สึกตนเองและเปรียบเทียบ ถึงความตึงเครียดทีเ่ กิดขนึ้ และความสบายเมอื่ ผ่อนคลาย • พุ่งความสนใจไปทมีี่ ่อแลัะแข้นี้ซิ้าย หลังจากนั้นค่อย ๆ กําามือและเกร็งแขนซึ่้ายจนเต็มที่ แล้วจึงค่อย ๆ คลาย โดยให้สังเกตความรู้สึกตนเองและเปรียบเทียบ ถึงความตึงเครียดทีเ่ กิดขนึ้ และความสบายเมอื่ ผ่อนคลาย หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 205

• พุ่งความสนใจไปทห่ี นี้้าผู้าก หลังจากนั้นค่อย ๆ เลิกควิ้ ให้สูงขึ้น ๆ แล้วคลาย โดยใหส้ ังเกตความรู้สึกตนเองและเปรียบเทียบถึงความตึงเครียดทเี่ กิดขึ้นและ ความสบายเม่ือผ่อนคลาย ต่อจากนั้นให้ข้มีวดีคืิวให้มากท่ีสุดเท่าที่จะทําาได้ แล้วผ่อนคลาย โดยให้สังเกตความรู้สึกตนเองและเปรียบเทียบถึงความตึงเครียด ที่เกิดขึ้นและความสบายเมื่อผ่อนคลาย • พุ่งความสนใจไปทตี่ า แก้มี จุมีูก หลังจากนั้นหลับตาให้แน่นและย่นจมูกให้มากที่สุดที่จะทําาได้ แล้วจึงคลาย โดยใหส้ ังเกตความรู้สึกตนเองและเปรียบเทียบถึง ความตึงเครียดท่ีเกิดขนึ้ และความสบายเมอื่ ผ่อนคลาย • พุ่งความสนใจไปที่ข้ากรรไกร ลัินี้ ริมีฝึีป็าก หลังจากน้ันให้กัดฟันและใช้ล้ินดันเพดานปากให้มากท่ีสุดแล้วคลาย ต่อจากนั้นให้เม้มปากให้แน่นที่สุดท่ีจะ ท ํา า ไ ด ้ แ ล ้ ว ค ล า ย โ ด ย ใ ห ้ ส ั ง เ ก ต ค ว า ม ร ู ้ ส ึ ก ต น เ อ ง แ ล ะ เ ป ร ี ย บ เ ท ี ย บ ถ ึ ง ค ว า ม ต ึ ง เ ค ร ี ย ด ท เ ี ่ ก ิ ด ข นึ ้ แ ล ะ ค ว า ม ส บ า ย เ ม ื ่ อ ผ ่ อ น ค ล า ย • พุ่งความสนใจไปที่คือ หลังจากนั้นก้มหน้าให้คางจดคอให้มากท่ีสุด แล้วคลาย ต่อจากน้ันเงยหนี้้าให้มากท่ีสุด แล้วคลาย โดยให้สังเกตความรู้สึกตนเอง และเปรียบเทียบถึงความตึงเครียดทเี่ กิดขน้ึ และความสบายเมอื่ ผ่อนคลาย • พงุ่ ความสนใจไปทอ่ี ก ไหลั แลัะหลังั หลงั จากนน้ั หายใจเขา้ ลกึ ๆ และกลน้ั ไว้ แลว้ คอ่ ย ๆ หายใจออก ตอ่ มาใหย้ กไหลใ่ หส้ งู ขน้ึ ๆ เทา่ ทท่ี าํา ได้ แลว้ คลาย โดยให้ สังเกตความรู้สึกตนเองและเปรียบเทียบถึงความตึงเครียดท่ีเกิดขึ้นและความสบายเม่ือผ่อนคลาย โดยให้สังเกตความรู้สึกตนเองและเปรียบเทียบถึง ความตึงเครียดที่เกิดขนึ้ และความสบายเมอื่ ผ่อนคลาย • พุ่งความสนใจไปทห่ี นี้้าท้อง แลัะก้นี้ หลังจากนั้นค่อย ๆ แขม่วท้องให้มากข้ึน ๆ แล้วคลาย ต่อจากนนั้ ขมิบก้นให้มากท่ีสุด แล้วคลาย • พุ่งความสนใจไปทเี่ ท้าแลัะข้าข้วา หลังจากนนั้ ค่อย ๆ เหยียดขาขวาออกและงอน้ิวเท้าลงมาให้มากท่ีสุดทจี่ ะทําาได้ แล้วคลาย ต่อมาเหยียดขาขวาออกอีกครงั้ และกระดกปลายเท้าขึ้นให้มากท่ีสุดที่จะทําาได้ แล้วคลาย โดยให้สังเกตความรู้สึกตนเองและเปรียบเทียบถึงความตึงเครียดที่เกิดขึ้นและความสบายเมื่อ ผ่อนคลาย • พุ่งความสนใจไปทเ่ี ท้าแลัะข้าซิ้าย หลังจากนน้ั ค่อย ๆ เหยียดขาซึ่้ายออกและงอน้ิวเท้าลงมาให้มากท่ีสุดทจี่ ะทําาได้ แล้วคลาย ต่อมาเหยียดขาซึ่้ายออกอีกครง้ั และกระดกปลายเท้าขึ้นให้มากที่สุดที่จะทําาได้ แล้วคลาย โดยให้สังเกตความรู้สึกตนเองและเปรียบเทียบถึงความตึงเครียดที่เกิดขึ้นและความสบายเมื่อ ผ่อนคลายการใช้เทคนิคการคลายเครียดโดยการผ่อนคลายกล้ามเนอื้ ให้ได้ผลควรฝึกผ่อนคลายกล้ามเนอื้ เป็นประจําาอาจฝึกประมาณ8-12คร้ังเพอ่ื ให้เกิด ความชําานาญ เมอื่ คนุ้ เคยกบั การผอ่ นคลายแลว้ ใหฝ้ กึ คลายกลา้ มเนอื้ ไดเ้ ลย โดยไมจ่ ําาเปน็ ตอ้ งเกรง็ กอ่ น อาจเลอื กคลายกลา้ มเนอื้ เฉพาะสว่ นทเี่ ปน็ ปญั หาเทา่ นนั้ ก็ได้เช่นบริเวณใบหน้าต้นคอหลังไหล่เป็นต้นไมจ่ําาเป็นต้องคลายกล้ามเนอื้ท้ังตัวจะช่วยให้ใช้เวลาน้อยลงและสะดวกมากขนึ้ เมอื่รู้สึกกล้ามเน้ือตึงเครียด ท่ีไม่ใช่จากการทําางานในท่าเดียวนาน ๆ ให้ลองสําารวจตัวเองว่ามีความเครียดเกิดข้ึนหรือไม่ ให้รีบผ่อนคลายกล้ามเนื้อร่วมกับการแก้ไขที่สาเหตุท่ีทําาให้เกิด ความเครียด 206 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

• เทคืนี้ิคืการคืลัายเคืรียดีโดียการทําาสมีาธีิ การทําาสมาธิถือเป็นการผ่อนคลายความเครียดที่ลึกซึ่้ึงท่ีสุด เพราะจิตใจจะสงบและปลอดจากความคิดท่ีซึ่้ําาซึ่าก ฟุ้งซึ่่าน วิตกกังวล เศร้า โกรธ ฯลฯ หลักการของ การทําาสมาธิ คือการเอาใจไปจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว ซึ่่ึงในท่ีน้ีจะใช้การนับลมหายใจเป็นหลัก และยุติการคิดเรื่องอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง หากฝึกสมาธิเป็นประจําา จะทําาให้จิตใจเบิกบาน อารมณ์เย็น สมองแจ่มใส หายเครียดจนตัวเองและคนใกลช้ ิดรู้สึกถึงความเปลยี่ นแปลงในทางที่ดีนี้ได้อย่างชัดเจน วิธีีการฝึึก ข้ันี้ที 1 ให้นั่งในท่าทีส่ บาย จะเป็นการนั่งขัดสมาธิ น่ังพับเพียบ หรือนอนก็ได้ หลังจากนนั้ ให้หลับตา หายใจเข้า หายใจออกช้า ๆ เร่ิมนับลมหายใจเข้าออก ดังนี้ • หายใจเข้านับ1หายใจออกนับ1 • หายใจเข้านับ2หายใจออกนับ2 • นับไปเรื่อยๆจนถึง5 • แล้วเริ่มนับ1ใหม่นับจนถึง6 • แล้วเร่ิม1ใหม่นับจนถึง7 • แล้วเร่ิม1ใหม่นับจนถึง8 • แล้วเริ่ม1ใหม่นับจนถึง9 • แล้วเริ่ม1ใหม่นับจนถึง10ครบ10ถือเป็น1รอบ แล้วเริ่ม 1-5 ใหม่ ดังตัวอย่างต่อไปนี้ 1, 1 2, 2 3, 3 4, 4 5, 5 1, 1 2, 2 3, 3 4 ,4 5, 5 6, 6 1, 1 2, 2 3, 3 4, 4 5, 5 6, 6 7, 7 1, 1 2, 2 3, 3 4, 4 5, 5 6, 6 7, 7 8, 8 1, 1 2,2 3, 3 4, 4 5, 5 6, 6 7, 7 8, 8 9, 9 1, 1 2, 2 3, 3 4, 4 5, 5 6, 6 7, 7 8, 8 9, 9 10, 10 1, 1 2, 2 3, 3 4, 4 5, 5 ฯลฯ หลังจากฝึกขั้นที่ 1 เสร็จแล้ว ในการฝึกคร้ังแรก ๆ อาจยังไม่มีสมาธิพอ ทําาให้นับเลขผิดพลาดหรือบางทีอาจมีความคิดอื่นแทรกเข้ามาทําาให้ลืมนับเป็นบางช่วงถือเป็น เรื่องปกติ ต่อไปพยายามต้ังสติใหม่ เม่ือมีความคิดอ่ืนแทรกเข้ามาก็ให้รับรู้ แล้วปล่อยให้ผ่านไป ไม่เก็บมาคิดต่อ ในที่สุดก็จะสามารถนับเลขได้อย่างต่อเนื่องและไม่ผิดพลาด เพราะมีสมาธดิ ีข้ึน หากเห็นว่าสามารถฝึกปฏบิ ัติตามขน้ั ท่ี 1 จนจิตใจสงบมากข้ึนแล้ว ในการฝึกครงั้ ต่อ ๆ ไปให้เปลี่ยนเป็นฝึกขนั้ ที่ 2 โดยให้เริ่มนับเลขแบบเร็วขนึ้ ไปอีกคือ หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 207

• หายใจเข้านับ1หายใจออกนับ2 • หายใจเข้านับ3หายใจออกนับ4 • หายใจเข้านับ5 • หายใจออกนับ1ใหม่จนถึง6,7,8,9,10ตามลาําดับดังน้ี 1234 5 12345 6 123456 7 1234567 8 1 23456789 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 1234 5 ฯลฯ เม่ือสามารถฝึกปฏิบัติตามขนั้ ท่ี 2 ได้ดีจนนับลมหายใจได้เร็วและไม่ผิดพลาด แสดงว่าจิตใจสงบมากแล้วในการฝึกครงั้ ต่อ ๆ ไป ให้เปลย่ี นเป็นฝึกขั้นท่ี 3 โดยให้ใช้ สติรับรู้ลมหายใจเข้าออกเพียงอย่างเดียว ไม่ต้องนับเลขอีก และไม่คิดเร่ืองใด ๆ ทั้งส้ิน มีแต่ความสงบเท่านนั้ การใช้เทคนิคการคลายเครียดโดยการทําาสมาธิให้ได้ผล ควรฝึกสมาธิเป็นประจําาทุกวัน โดยเฉพาะก่อนนอนจะช่วยให้นอนหลับไดด้ ี และไมฝ่ ันร้ายอีกด้วย ช่องทางสําาหรับประเมินสุขภาพจิตเบื้องต้น Checkin.dmh.go.th (ตรวจุเชืคื็ สขุ้ ภาพัใจุ) คอื เครอ่ื งมอื ประเมนิ สขุ ภาพจติ เบอ้ื งตน้ และคดั กรอง ความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิตจากสถานการณ์ COVID-19 เพื่อให้ประชาชนสามารถประเมินตนเอง และเข้าถึงบริการได้อย่างรวดเร็ว ประกอบด้วย 4 รายการ คือ เครียด ภาวะหมดไฟ เส่ียงฆ่าตัวตาย และซึ่ึมเศร้า โดยทราบผลการประเมินทันที มีคําาแนะนําาในการปฏิบัติตัว พร้อมมีช่องทางการขอรับการ ปรึกษาจากผเู้ ชี่ยวชาญทางออนไลน์ 208 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

แหล่งข้อมูลความรู้สุขภาพจิต 1. กรมสุขภาพจิต 2. กองส่งเสริมและพัฒนาสุขภาพจิต 3. สุขภาพใจ.com 4. คลังสุขภาพจิต 5. คลังความรู้สุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต www.dmh.go.th www.sorporsor.com www.thaimentalhealth.com http://mhllibrary.com https://www.dmh-elibrary.org ช่องทางการดูแลช่วยเหลือและแหล่งบริการ สามารถโทรปรกึ ษาสายดว่ นสขุ ภาพจติ 1323 ไดต้ ลอด 24 ชว่ั โมง หรอื ปรกึ ษาออนไลนผ์ า่ นเฟซึ่บคุ๊ แฟนเพจ สายดว่ นสขุ ภาพจติ 1323 http://www.facebook.com/helpline1323 หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 209

เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชา ความเครยี ดกบั โรคไมต่ ดิ ตอ่ และการจดั การกบั ความเครยี ด 210 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 211

212 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 213

2. คณะ/สถาบัน/องค์กร 3. รหัสรายวิชา 4. ช่ือรายวิชา 5. ผู้รับผิดชอบรายวิชา 6. คําาอธิบายรายวิชา 7. วัตถุประสงค์รายวิชา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถนิ่ กระทรวงมหาดไทย Module 5.7 การสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) ในชุมชน รศ. ดร.วิราพรรณ วิโรจนร์ ัตน์ แนวคดิ และระดบั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ การประเมนิ ความรอบรทู้ างสขุ ภาพ กระบวนการพฒั นาความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ กลวธิ กี ารสรา้ งเสรมิ ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพเกย่ี วกบั การสง่ เสรมิ สขุ ภาพและปอ้ งกนั โรคไมต่ ดิ ตอ่ ขน้ั พน้ื ฐาน ปฏสิ มั พนั ธ์ และวจิ ารณญาณ ในระดบั บคุ คล และชมุ ชน เมื่อสิ้นสุดการฝึกอบรมแล้วผเู้ ข้ารับการฝึกอบรมสามารถ 1) อธิบายแนวคิดและระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพได้ 2) อธิบายกระบวนการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพได้ 3) อธิบายกลวิธีการสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพเก่ียวกับการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคไม่ติดต่อ ข้ันพื้นฐาน ปฏิสัมพันธ์ และ วิจารณญาณ ในระดับบุคคลได้ 4) อภิปรายกลวธิ ีการสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพเกยี่ วกับการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคไมต่ ิดต่อ ปฏสิ ัมพันธ์ และวิจารณญาณ ในระดับชุมชนได้ 1. ช่ือหลักสูตร หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ สําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน ประมวลรายวิชา (Course Syllabus) 214 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

8. สังเขปเนื้อหา Module หัวข้อ จําานวนเวลา 5.7 การสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) ในชุมชน แนวคิดและระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพ l ประวัติความเป็นมาและความสําาคัญของความรอบรู้ด้านสุขภาพกับการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ ในชุมชน l คําาจําากัดความความรอบรู้ด้านสุขภาพ (WHO Don Nutbeam กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข) l แนวคิดความรอบรู้ด้านสุขภาพ ของ Nutbeam l การจาํา แนกระดบั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ 3 ขนั้ 1) ขนั้ พนื้ ฐาน 2) ขนั้ การมปี ฏสิ มั พนั ธ์ 3) ขนั้ วจิ ารณญาณ ประเมินความรอบรู้ทางด้านสุขภาพ l HLS-TH-Q 87 ของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข l ความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพตาม 3อ.2ส. ของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข l ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพและพฤตกิ รรมสขุ ภาพตาม 3อ.2ส. กลมุ่ เสยี่ งโรคเบาหวานและความดนั โลหติ สงู ของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข กระบวนการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพ แบบจําาลอง V-shape 6 องค์ประกอบ กลวิธีการสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ l ระดับบุคคล l ระดับชุมชน กรณีศึกษา การพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพในชุมชนประเทศญี่ปุน 1 ชั่วโมง 9. การจัดการเรียนการสอน 10. อุปกรณ์ส่ือการสอน บรรยายอภิปราย 1) เอกสารประกอบการบรรยาย 2) PowerPoint หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 215

11. การวัดและประเมินผล 1) การมีส่วนร่วมในชั้นเรียน 80% 2) เวลาเรียน 20% 12. การประเมินผลการสอน 1) ประเมินผลสัมฤทธ์ิในการเรียน (ข้อ 11) 2) ข้อสอบจําานวน 5 ข้อ 13. เอกสารอ้างอิง ขวัญเมือง แก้วดําาเกิง. (2561). ความรอบรู้ด้านสุขภาพ : เข้าถึง เข้าใจ และการนําาไปใช้. กรุงเทพฯ: อมรินทร์ พร้ินติ้ง แอนด์ พับลิซึ่ซึ่่ิง จําากัด. ขวัญเมือง แก้วดําาเกิง. (2562). ความรอบรู้ด้านสุขภาพ: ขั้นพื้นฐาน ปฏิสัมพันธ์ วิจารณญาณ. กรุงเทพฯ: อมรินทร์ พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิซึ่ซึ่ิ่ง จําากัด. ชลทิศ อุไรฤกษ์กุล (2563). การขับเคล่ือน health literacy ในประเทศไทย. Retrieved from http://doh.hpc.go.th/bs/issueDisplay.php?id=444& category=E02&issue=HL%20Articles ชะนวนทอง ธนสุกาญจน์. (2561). บทเรียนการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพจากนานาชาติสู่แผนการพัฒนาของประเทศไทย. วารสารสาธารสุขศาสตร์, 48 (1) (มกราคม-เมษายน 2561). คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ชะนวนทอง ธนสกุ าญจน.์ (2561). แนวคดิ หลกั ขององคก์ รรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ. สาํา นกั งานโครงการขบั เคลอ่ื นกรมอนามยั 4.0 เพอ่ื เพม่ิ ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพของประชาชน (สขรส.) ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สําานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (2563). กระบวนการเรียนรู้ท่ีสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy). รายงานผลการ ศึกษาการสังเคราะห์ข้อมูลกระบวนการเรียนรู้ที่สร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ. สาํา นกั งานขบั เคลอ่ื นการปฏริ ปู ประเทศ ยทุ ธศาสตรช์ าติ และการสรา้ งความสามคั คปี รองดอง (สาํา นกั งาน ป.ย.ป.). (2019). ยทุ ธศาสตรช์ าติ 20 ปี (พศ. 2561 - พศ. 2580). Retrieved from https://sto.go.th/about/policy/20-year-strategic-plan Ishikawa, H., Yamaguchi, I., Nutbeam, D., Kato, M., Okuhara, T., Okada, M., & Kiuchi T. (2018). Improving health literacy in a Japanese community population: A pilot study to develop an educational program. Health Expectations, 21, 814 - 821 Nutbeam, D., McGill, B., & Premkumar, P. (2018). Improving health literacy in community populations: A review of progress. Health Promotion International, 33, 901 - 911. Nutbeam, D., & McGill, B. (2019). Improving health literacy in clinical and community populations. In O. Okan., U. Bauer., D, Levin-Zamir., P, Pinheiro., & K. Sorensen. (Eds). Improving health literacy in clinical and community populations (pp. 219 - 232). UK: Great Britain press. Osborne H. (2013). Health Literacy From A to Z (2nd). Burlington, MA, USA: Jones & Bertlett Learning. 216 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

การสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) ในชุมชน ความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) เกิดข้ึนในปี ค.ศ. 1974 เป็นแนวคิดของศาสตราจารย์ Simonds ซึ่ึ่งเป็นนักวิชาการด้านสุขศึกษาของมหาวิทยาลัย Michigan ประเทศสหรัฐอเมริกา Simons ได้ให้แนวคิดว่า การให้สุขศึกษานอกจากเป็นการให้ข้อมูลด้านต่าง ๆ กับผู้ปวยและสังคมแล้ว ควรมีการผลักดันนโยบายให้ประชาชน มสี ขุ ภาพดี ดงั นนั้ เปา้ หมายในการทําางานของนกั สขุ ศกึ ษา เพอื่ ใหป้ ระชาชนมสี ขุ ภาพดี คอื การทําาใหเ้ กดิ ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ ซึ่งึ่ ควรเรมิ่ ตงั้ แตเ่ ดก็ ในวยั เรยี นเปน็ ตน้ ไป จากนน้ั แนวคดิ นไ้ี ดเ้ นน้ ไปทผี่ ปู้ ว ยในโรงพยาบาล เพอ่ื ใหผ้ ปู้ ว ยไดเ้ ขา้ ใจการเจบ็ ปว ยและการปฏบิ ตั ติ วั ผา่ นกจิ กรรมตา่ ง ๆ ของทมี สขุ ภาพ เชน่ เอกสารและสอื่ ตา่ ง ๆ แนวคดิ ในการพฒั นา ความรอบรู้ด้านสุขภาพได้พัฒนาอย่างแพร่หลายอย่างต่อเนอื่ งทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกา ภูมิภาคยุโรป และองค์การอนามัยโลกได้ให้ความสําาคัญว่าทุกภาคส่วนของสังคมควร มีส่วนร่วมในการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ มีระบบการวัดและประเมินผลได้อย่างครอบคลุมเพอื่ ให้ประชาชนมีสุขภาพดี (ชะนวนทอง ธนสุกาญจน์, 2561) ปัจจบุ ันประเทศไทยเข้าสแู่ ผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) ได้กล่าวถึงการพัฒนาศักยภาพของคนไทยทุกช่วงวัย ได้แก่ วัยเด็ก เร่ิมต้ังแต่อยู่ในครรภ์จนถึง ปฐมวยั วยั รุ่น วยั แรงงาน และวยั สงู อายุ ใหม้ คี วามสมดลุ ท้ังดา้ นรา่ งกาย สตปิ ญั ญา และคณุ ธรรมจรยิ ธรรม โดยจดั ใหก้ ารศกึ ษาทม่ี คี ณุ ภาพตามมาตรฐานสากล มีทกั ษะทจี่ าํา เปน็ ของโลกในศตวรรษท่ี 21 สามารถแกป้ ัญหาและปรับตัว สื่อสาร ทําางานร่วมกับผู้อน่ื ได้อย่างมีประสิทธิผล พร้อมกับมนี ิสัยการเรียนรู้ตลอดชวี ิต นอกจากนี้ยุทธศาสตร์ชาติยังได้ มงุ่ เนน้ การสรา้ งเสรมิ คนไทยใหม้ ภี าวะสขุ ภาพดเี นอื่ งจากสถานการณด์ า้ นสขุ ภาพคนไทยทผี่ า่ นมามปี ญั หาโรคไมต่ ดิ ตอ่ ทําาใหเ้ กดิ การเสยี ชวี ติ เนอื่ งจากมพี ฤตกิ รรมการดแู ลตนเอง ไม่เหมาะสม ขาดการออกกําาลังกายอย่างต่อเนื่อง การมวี ิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปจากการทาํา งานและสงิ่ แวดล้อมที่เป็นพิษ ปัญหาโรคไมต่ ิดต่อส่งผลกระทบต่อบุคคล ครอบครัว ชุมชน และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ แนวทางแก้ปัญหาคือการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ ในการส่งเสริมและป้องกันโรคไม่ติดต่อ การพัฒนาระบบบริการสุขภาพที่ทันสมัย และมีการกระจายบริการสาธารณสุขอย่างท่ัวถึงและมีคุณภาพเพอื่ให้ประชาชนมีอายุยืนเพม่ิมากขนึ้ (สําานักงานป.ย.ป,2019) กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข มีแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ซึ่ึ่งสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มีเป้าหมายคือ คนไทยมีความรอบรู้ด้านสุขภาพเพิ่มขึ้น ร้อยละ 25 ในปี พ.ศ. 2564 (ชลทิศ อุไรฤกษ์กุล, 2563) ดังนั้นการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพจึงมีความสาํา คัญเป็นอย่างย่ิงในการพัฒนาศักยภาพทุกช่วงชวี ิต เพ่ือให้คนไทยมีสุขภาพดีห่างไกลจากโรคไม่ติดต่อ รศ. ดร.วิราพรรณ วิโรจน์รัตน์ หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 217

นิยามและความหมาย องค์การอนามัยโลก (WHO, 1998) ได้ให้นิยาม ซึ่ึ่งสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขแปลคาํา นิยามว่า “ความรอบรู้ทางสุขภาพ คือทักษะต่าง ๆ ทางการรับรู้ และทางสังคม ซึ่ึ่งเป็นตัวกําาหนดแรงจูงใจและความสามารถของปัจเจกบุคคลในการเข้าถึง เข้าใจ และใช้ข้อมูลในวิธีการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริม และบําารุงรักษาสุขภาพของตนเองให้ดีอยู่เสมอ” (สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข, 2541) Nutbeam (2008) ได้ให้ความหมายความรอบรู้ด้านสุขภาพว่า หมายถึง “สมรรถนะของบุคคลท่ีสามารถ เข้าถึง เข้าใจ ประเมิน ใช้ความรู้และสอื่ สารเก่ียวกับสารสนเทศ ด้านสุขภาพตามความต้องการ เพื่อส่งเสริมและรักษาสุขภาพที่ดีตลอดชวี ิต” กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (2560) ให้คําานิยามความรอบรู้ด้านสุขภาพว่า หมายถึง “ความรอบรู้และความสามารถด้านสุขภาพของบุคคลในการที่จะกลั่นกรอง ประเมินและตัดสินใจที่จะปรับเปล่ียนพฤติกรรมเลือกใช้บริการและผลิตภัณฑส์ ุขภาพได้อย่างเหมาะสม” ระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพ Nutbeam (2008) ได้แบ่งระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพไว้ 3 ระดับ ดังน้ี 1. ความรอบรู้ด้านสุขภาพขัน้ พื้นฐาน (Basic/Functional Health Literacy) หมายถึง ทักษะพนื้ ฐานด้านการอ่าน และเขียนในชีวิตประจําาวัน เช่น การอ่านใบยินยอม ฉลากยา การบันทึกข้อมูลสุขภาพของตนเอง เข้าใจถึงข้อมูลที่ได้จากแพทย์ พยาบาล เภสัชกร ไม่ว่าจะเป็นการเขียนหรือการพูด รวมทั้งการปฏิบัติตัวตามคําาแนะนําา เช่น การรับประทานยา การนัดหมายการตรวจรักษา 2. ความรอบรู้ด้านสุขภาพขั้นการมีปฏิสัมพันธ์ (Communicative/Interactive Health Literacy) หมายถึง ทักษะพื้นฐานและการรู้เท่าทันทางปัญหา (Cognitive literacy) รวมท้ังทักษะทางสังคม (Social skill) ที่บุคคลใช้ในการเข้าร่วมกิจกรรม รู้จักเลือกใช้ข้อมูลข่าวสาร แยกแยะลักษณะการสื่อสารที่แตกต่างกัน รวมทั้งประยุกต์ใช้ ข้อมูลข่าวสารใหม่ ๆ ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 3. ความรอบรู้ด้านสุขภาพขัน้ วิจารณญาณ (Critical Health Literacy) หมายถึง ทักษะทางปัญญา และสังคมในระดับสูงขึ้น บุคคลสามารถประยุกต์ใช้ข้อมูลข่าวสาร ในการวิเคราะห์ สังเคราะห์ วิจารณ์ และควบคุมสถานการณ์ในการดาํา รงชวี ิตประจาํา วันได้ กระบวนการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข (2560) ได้กําาหนดกระบวนการพัฒนาความรอบรแู้ บบจําาลอง V-shape พัฒนาขึน้ โดย นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ และ รศ. ดร.ชะนวนทอง ธนสุกาญจน์ มี 6 องค์ประกอบคือ (1) เข้าถึง (2) เข้าใจ (3) โต้ตอบ ซึ่ักถาม แลกเปลย่ี น (4) ตัดสินใจ (5) เปล่ียนแปลงพฤติกรรม และ (6) บอกต่อ ดังรายละเอียดต่อไปน้ี (1)เข้าถึงเป็นความสามารถและทักษะในการค้นหาข้อมูลหลายแหล่งโดยการอ่านเขียนฟังและรับชมจากนนั้นําามากลนั่กรองและอาจตรวจสอบเพอื่เลือกข้อมูล ที่มีความน่าเชื่อถือมาใช้ ซึ่่ึงเป็นความรอบรู้ด้านสุขภาพขนั้ พนื้ ฐาน (2) เข้าใจ เป็นความสามารถในการเรียนรู้ เพ่ือสร้างความเข้าใจด้วยตนเองจากการอ่าน เขียน ฟัง และการรับชม จากนั้นมีการตีความ แปลความหมาย ทําาให้เกิด ความเข้าใจ ซึ่่ึงเป็นความรอบรู้ด้านสุขภาพขนั้ พื้นฐาน 218 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

(3) โต้ตอบ ซึ่ักถาม แลกเปลี่ยน เน้นความสามารถและทักษะที่ต้องใช้ปฏิสัมพันธ์กับบุคคลที่เกย่ี วข้อง ด้วยการอธิบาย ซึ่ักถาม พูดคุย เพือ่ คลายข้อสงสัย ใหข้ ้อมูลทไี่ ด้ รับชัดเจนขน้ึ ซึ่งึ่ เป็นความรอบรู้ด้านสุขภาพขนั้ ปฏิสัมพันธ์ (4) ตดั สนิ ใจ เปน็ ความสามารถและทกั ษะในดา้ นการคดิ วเิ คราะห์ พจิ ารณาทางเลอื กและตดั สนิ ใจเลอื ก ซึ่ง่ึ เปน็ ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพขน้ั ปฏสิ มั พนั ธ์ (ขวญั เมอื ง แกว้ ดาํา เกงิ , 2562) (5) เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เป็นความสามารถและทักษะในการเตือนตนเองและจัดการตนเองในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ซึ่ึ่งเป็นความรอบรู้ด้านสุขภาพ ข้ันปฏิสัมพันธ์ (6) บอกต่อ เป็นความสามารถหรือทักษะจูงใจ เสนอทางเลือก ซึ่งึ่ จะมีประโยชนต์ ่อตนเองและชุมชน ซึ่งึ่ เป็นความรอบรู้ด้านสุขภาพขนั้ ปฏิสัมพันธ์ การประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพ กรมอนามยั กระทรวงสาธารณสขุ ไดพ้ ฒั นาการประเมนิ ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพจากกรอบแนวคดิ ของ The European Health Literacy Survey : HLS-EU การประเมนิ ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพของกลมุ่ ประชาชนในกลมุ่ ประเทศยโุ รป ประกอบดว้ ย 3 มติ ิ คอื (1) ดา้ นการดแู ลสขุ ภาพ (Health Care) (2) ดา้ นการปอ้ งกนั โรค (Disease Prevention) (3) การส่งเสริมสุขภาพ (Health Promotion) ส่วนประเทศไทยมี 4 มิติ โดยเพมิ่ ผลิตภัณฑ์สุขภาพ (Health Product) ขึ้นมาเป็นแบบประเมินเครือ่ งมือวัด Health Literacy ในประเทศไทย (HLS-TH-Q87) มีคําาถาม 87 ข้อ ใช้ในการสําารวจความรอบรู้ด้านสุขภาพของประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป (ชลทิศ อุไรฤกษ์กุล, 2020) สืบค้นรายละเอียด เคร่ืองมือได้ท่ี http://doh.hpc.go.th/bs/issueDisplay.php?id=444&category=E02&issue=HL%20Articles กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข (2554) ได้สร้างแบบประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพ สําาหรับประชาชนท่ีมีอายุ 15 ปีขึ้นไป ภาพรวม ของชมุ ชน โดยมุ่งวดั ระดบั ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพและพฤตกิ รรมสขุ ภาพตาม 3อ.2ส. (พฤตกิ รรมการบรโิ ภคอาหาร การออกกาํา ลงั กาย การจดั การความเครยี ด การสบู บหุ รี่ และ การดื่มสุรา) มีจําานวน 30 ข้อ ส่วนแบบประเมินกลมุ่ เสี่ยงโรคเบาหวาน/ความดันโลหิตสูง จะมจี ําานวน 64 ข้อ สืบค้นรายละเอียดเครอื่ งมือไดท้ ี่ • http://bsri.swu.ac.th/ht-wellbeing/q/q5.pdf • http://www.hed.go.th/menuHome/file/320 กลวิธีการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ 1. การสร้างคืวามีรอบรู้ดี้านี้สขุ้ ภาพั ระดีับบุคืคืลั 1.1 การสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพขั้นพนื้ฐานของบุคคลทั่วไปคือการเข้าถึงและเข้าใจมีรายละเอียดดังนี้ • เทคนิคการใช้ภาพ (Fotonovela technique) เป็นการสร้างสื่อโดยใช้ภาพประกอบกับคาํา บรรยายส้ัน ๆ ปัจจบุ ันใช้แบบ Infographic กันอย่างแพร่หลาย • เทคนิคการสอนกลับ (Teach-back technique) เป็นเทคนิคตรวจสอบประสิทธิภาพการส่ือสารระหว่างผู้รับบริการและผู้ให้บริการในข้อมูลท่ีสําาคัญ เช่น การใช้ยา การมาตรวจตามนัด และการปฏิบัติตัวในการดูแลตนเอง เป็นต้น ผู้ให้บริการสามารถให้การประเมินและตรวจสอบได้ว่าผู้รับบริการเข้าใจ ในข้อมูลที่ผใู้ ห้บริการบอกหรือไม่ โดยผู้ให้บริการอธิบายหรือบอกข้อมูลที่มีความสําาคัญก่อน จากนนั้ ก็จะให้ผู้รับบริการอธิบายให้ผู้ให้บริการฟังว่าตนเข้าใจ ว่าอย่างไร เทคนิคนี้ใช้กันอย่างแพร่หลาย ใช้เวลาน้อยแตม่ ีประสิทธิภาพในการสอื่ สารสูง (Osborne, 2013) หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 219

1.2 การสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพขั้นปฏิสัมพันธ์คือการโต้ตอบซึ่ักถามแลกเปลี่ยนโดยใช้เทคนิค“AskMe3”เน้นการส่งเสริมใหผู้้รับบริการใส่ใจกับปัญหา สุขภาพและข้อมูลที่ได้รับในระหว่างรับบริการ มีรายละเอียดดังนี้ 1) ส่งเสริมให้ผู้รับบริการถามคําาถาม3ข้อกับบุคลากร (1) ฉันมีปัญหาสุขภาพในเรื่องอะไร (2) ฉันต้องทําาอะไรบ้าง (3) สงิ่ ท่ีฉันจะต้องทําาสําาคัญอย่างไร 2) กรณีท่ีผู้ปวยไม่ถามผใู้ห้บริการควรสอบถามดังนี้ (1) วันนี้มาหาหมอเรื่องอะไร (2) หมอได้แนะนาํา ให้ทําาอะไรบ้าง (3) ถ้าไม่ทําาแล้วผลจะเป็นอย่างไร 1.3 การสง่ เสรมิ ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพขนั้ วจิ ารณญาณ คอื ทกั ษะการตดั สนิ ใจ และการนาํา ไปใช้ทกั ษะการตดั สนิ ใจเปน็ กระบวนการคดิ อยา่ งเปน็ เหตผุ ลในการเลอื ก ตัดสินใจให้เหมาะสมกับสถานการณท์ ี่เกิดขน้ึ และสามารถนาํา ไปใช้ปฏิบัติให้บรรลุเป้าหมายท่ีตั้งไว้ ซึ่ึ่งกระบวนการตัดสินใจมี 7 ขนั้ ตอน คือ 1) ระบุปัญหาที่ต้องตัดสินใจ 2) หาข้อมูลเก่ียวกับปัญหา 3) กาํา หนดทางเลือก (ข้อดี/ข้อเสีย) 4) ประเมินทางเลือก 5) เรียงลําาดับความสําาคัญของทางเลือก 6) แสดงจุดยืนในการตัดสินใจ 7) ยืนยันการตัดสินใจ ผู้ให้บริการควรมีกิจกรรมฝึกความสามารถและทักษะในการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาของผู้รับบริการ เช่น การเลือกบริโภคอาหาร เพื่อป้องกันภาวะ ความดันโลหิตสูงหรือเบาหวาน การเลือกวิธีการออกกําาลังกาย เพอ่ื ลดระดับน้าํา ตาลในเลือด เป็นต้น เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือการนําาไปใช้ คือ ผู้รับบริการเกิดความสามารถและทักษะการเตือนตนเอง การจัดการตนเองอย่างต่อเน่ืองและสามารถปรับเปล่ียนไป ตามสถานการณ์ 220 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

ทักษะการเตือนตนเองสามารถพัฒนาได้ตามขั้นตอนดังน้ี 1) ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน 2) กําาหนดเวลาในการสังเกตและบันทึกพฤติกรรม 3) กําาหนดวิธีการบันทึกและเคร่ืองมือท่ีใช้ในการบันทึกพฤติกรรม 4) ทําาการสังเกตและบันทึกพฤติกรรมของตนเอง 5) แสดงผลการบันทึก 6) วิเคราะห์ข้อมูลที่บันทึกเพอื่ เป็นข้อมูลย้อนกลับและพิจารณาผลการเปลยี่ นแปลงพฤติกรรม (ขวัญเมือง แก้วดาํา เกิง, 2562) เม่ือผู้รับบริการมีการเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมผลลัพธ์ทางสุขภาพดขี ึ้นจึงมีการบอกต่อการปฏบิ ัติตัว จึงเกิดประโยชน์ในวงกว้างจนไปถึงระดับครอบครัวและชุมชน 2. การสร้างเสรมีิ คืวามีรอบรู้ดี้านี้สขุ้ ภาพัในี้ชืมีุ ชืนี้ รัฐบาลทั่วโลกมีนโยบายระดับชาติในการพัฒนาโปรแกรมเพื่อพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพ เนื่องจากการสําารวจพบว่า ประชาชนมีความรอบรู้ด้านสุขภาพอยู่ใน ระดับตํา่าในประเทศอเมริกา จีน ออสเตรเลียและประเทศในแถบยุโรป จึงได้สร้างโปรแกรมการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพโดยการให้ข้อมูล การสอื่ สารอย่างมีประสิทธิภาพ และการศึกษาที่เป็นระบบ ทําาให้ประชาชนสามารถมีความรู้และทักษะ เพื่อให้สามารถตัดสินใจเกี่ยวกับสุขภาพได้ อย่างไรก็ตามการให้ข้อมูลการส่ือสารจะมีประสิทธิภาพได้ ต้องขึ้นอยู่กับบริบทส่ิงแวดล้อมด้วย ปจั จบุ นั ในคลนิ กิ หรอื โรงพยาบาลมงุ่ สอนทกั ษะเฉพาะ (Task-directed) ซึ่ง่ึ เปน็ การเพม่ิ ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพขนั้ พนื้ ฐาน เชน่ การใชย้ า การเขา้ ถงึ บรกิ าร การจดั การ โรคเรอื้ รงั เชน่ โรคเบาหวาน ความดนั โลหติ สงู เปน็ ตน้ ซึ่ง่ึ การสอนทกั ษะเฉพาะนอี้ าจจะไมส่ ามารถทําาใหบ้ คุ คลมคี วามรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพในขน้ั การมปี ฏสิ มั พนั ธ์ และขน้ั วจิ ารณญาณ (Nutbeam, McGill & Premkumar, 2018) ดังนั้นบุคลากรด้านสาธารณสุข ควรมีการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพประชาชนในชุมชนเกยี่ วกับการส่งเสริมสุขภาพ (health promotion) เริ่มต้นรายบุคคลให้มีความรอบรู้ด้านสุขภาพเป็นต้นทุนก่อน จากนั้นขยายออกไปในชุมชนในระดับปฏิสัมพันธ์ และขั้นวิจารณญาณ โดยเน้นการพัฒนาทักษะ และการสร้างเสริมพลัง (empowerment) ผ่านการใหส้ ุขศึกษา (health education) และการสือ่ สาร (communication) (Nutbeam & McGill, 2019) การพัฒนาโปรแกรมการให้สุขศึกษาเกี่ยวกับการส่งเสริมและป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โดยใช้แนวคิด ทฤษฎีพฤติกรรมทางสังคมมาเป็นแนวทาง นอกจากจะ เสริมสร้างศักยภาพระดับบุคคลแล้วยังทําาให้มีทักษะทางด้านสังคม ทําาให้สามารถตัดสินใจได้ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่ึ่งทําาให้เกิดการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพ ขั้นการมีปฏิสัมพันธ์และขนั้ วิจารณญาณได้ แนวทางการให้สุขศึกษาควรคําานึงถึง • ความรู้และความเช่ือด้านสุขภาพของผู้รับบริการ ทาํา ให้ประเมินได้อย่างรวดเร็วถึงวิธีการสอื่ สารกับผู้รับบริการ • การรบั รสู้ มรรถภาพแหง่ ตน (self-efficacy) ความเชอ่ื ของผรู้ บั บรกิ ารวา่ ตนสามารถทําาได้ จะเปน็ แรงเสรมิ ใหเ้ กดิ ทกั ษะความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพขน้ั การมปี ฏสิ มั พนั ธ์ และขั้นวิจารณญาณได้ โดยการสอนให้ผู้รับบริการรู้จักการสังเกต หรือใหฝ้ ึกทักษะจนเกิดความชําานาญ หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 221

• การรบั รถู้ งึ บรรทดั ฐานหรอื อทิ ธพิ ลทางสงั คม ผรู้ บั บรกิ ารใหค้ ณุ คา่ กบั การถกู สงั คมยอมรบั ซึ่งึ่ ผรู้ บั บรกิ ารทมี่ คี วามรอบรทู้ างดา้ นสขุ ภาพอยใู่ นระดบั สงู จะมอี ทิ ธพิ ล ต่อครอบครัว กลุ่มเพ่ือน หรือประชาชนในชุมชน • บุคคลมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การใหส้ ุขศึกษาจึงต้องเหมาะสมกับทุกช่วงวัย การส่ือสารกับผู้รับบริการมีหลายวิธี ในปัจจุบันประชาชนมีการใช้ internet และโทรศัพท์มือถือใช้กันโดยแพร่หลายในการสืบค้นความรู้ด้านสุขภาพ เกิดการเข้าถึง แหล่งข้อมูลอย่างง่ายสะดวกรวดเร็วและหลากหลายแหล่งข้อมูล ทําาให้ผู้รับบริการมีโอกาสเลือกใช้ข้อมูลด้านสุขภาพจากแหล่งข้อมูลท่ีน่าเชื่อถือ มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับ ความต้องการในการดูแลตนเอง การให้โปรแกรมสุขศึกษาonlineได้รับการพัฒนามากขนึ้ เช่นeHealthหรือmHealthซึ่งึ่ใช้เป็นกลยุทธ์ใ์หม่ในการจัดการโรคไม่ติดต่อเร้ือรังในชุมชน สรป็ุ การพฒั นาสง่ เสรมิ ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพเกดิ ขน้ึ ทว่ั โลก เนอ่ื งจากประชาชนมคี วามรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพอยใู่ นระดบั ตา่ํา ซึ่ง่ึ มผี ลตอ่ ภาวะสขุ ภาพ การพฒั นาความรอบรู้ ด้านสุขภาพมี 3 ระดับ ในประเทศไทยมีการใช้กระบวนการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพแบบจาํา ลอง V-shape บุคลากรด้านสาธารณสุข ควรส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ ระดับบุคคลให้เป็นต้นทุน เพ่ือขยายผลไปสู่ชุมชน โดยวิธีสอนสุขศึกษา การสื่อสารให้เกิดความรอบรู้ด้านสุขภาพข้ันการมีปฏิสัมพันธ์และขั้นวิจารณญาณ เพื่อเกิดความยั่งยืน ในการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคไม่ติดต่ออย่างมีประสิทธิภาพในชุมชน 222 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชา การสรา้ งความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพ (Health Literacy) ในชมุ ชน หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 223

224 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 225

226 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 227

228 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 229

230 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

2. คณะ/สถาบัน/องค์กร 3. รหัสรายวิชา 4. ชื่อรายวิชา 5. ผู้รับผิดชอบรายวิชา 6. คําาอธิบายรายวิชา 7. วัตถุประสงค์รายวิชา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถนิ่ กระทรวงมหาดไทย Module 5.8 เทคนิคการส่ือสารเพอื่ การสร้างเสริมสุขภาพในชุมชน รศ. ดร.มลินี สมภพเจริญ ขั้นตอนการรณรงค์ เทคนิคการสร้างสารด้วยการมุ่งข้อมูลข่าวสาร และสร้างข่าวสารด้วยการกระตุ้นเร้าอารมณ์ผ่านเทคนิคการสร้างสารให้ มีความน่าสนใจ เมื่อสิ้นสุดการฝึกอบรมแล้วผเู้ ข้ารับการฝึกอบรมสามารถ 1) เข้าใจถึงเทคนิคการสื่อสารเพอ่ื การป้องกันโรคไมต่ ิดต่อ 2) นาํา เทคนิคการสอ่ื สารเพอื่ การป้องโรคไมต่ ิดต่อไปประยุกต์ใช้ได้ 1. ชื่อหลักสูตร หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ สําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน ประมวลรายวิชา (Course Syllabus) หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 231

8. สังเขปเนื้อหา Module 9. การจัดการเรียนการสอน บรรยายอภิปราย หัวข้อ จําานวนเวลา 5.8 เทคนิคการสื่อสารเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพในชุมชน l การสร้างความน่าสนใจในข้อมูลข่าวสาร l การประยุกต์การสร้างข่าวสารตามเทคนิคการสร้างสาร 1 ชั่วโมง 10. อุปกรณ์สื่อการสอน 11. การวัดและประเมินผล 12. การประเมินผลการสอน 13. เอกสารอ้างอิง 1) เอกสารประกอบการบรรยาย 2) PowerPoint 3) วิดีทัศน์ 1) การมีส่วนร่วมในช้ันเรียน 80% 2) เวลาเรียน 20% 1) ประเมินผลสัมฤทธิ์ในการเรียน (ข้อ 11) 2) ประเมินโดยใช้แบบประเมินการจัดการเรียนการสอน คิดคําาสาระสําาคัญ (Key message) ชะนวนทอง ธนสุกาญจน์ และมลินี สมภพเจริญ. (2557). หน่วยท่ี 15 การดําาเนินงานสุขศึกษาและการประชาสัมพันธ์ในยุคโลกไร้พรมแดน ในวิชา 52303 สุขศึกษาและ การประชาสัมพันธ์ในงานสาธารณสุข มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. มลินี สมภพเจริญ. (2556). ทฤษฎีการสื่อสารระหว่างบุคคล. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: สองขาครีเอช่ันจําากัด. มลินี สมภพเจริญ. (2562). การส่ือสารสุขภาพเพื่อความรอบรู้ด้านสุขภาพ. นครปฐม : เมตตาก๊อปปีปร๊ินท์. สําานักสื่อสารความเส่ียงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ. (2555). การจัดทําาสาระสําาคัญ (Key message). พิมพ์คร้ังท่ี 2. ม.ป.ท. 232 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

เทคนิคการสื่อสารเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพในชุมชน เทคนิคการสื่อสารเพ่ือการสร้างเสริมสุขภาพในชุมชน รศ. ดร.มลินี สมภพเจริญ การรณรงค์ทางสุขภาพท่ีผ่านมามีการสร้างเสริมสุขภาพผ่านข้อความสาระสําาคัญ ซึ่่ึงเป็นหน่ึงใน 11 องค์ประกอบของการรณรงค์ด้านสุขภาพ การออกแบบข้อความ สาระสําาคัญคําานึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกับผู้รับสาร อาทิ ช่วงวัย อายุ ระดับการศึกษา ความสามารถในการปรับเปลยี่ นพฤติกรรม การเปิดรับสื่อ และปัจจัยอื่น ๆ รวมทงั้ การสร้างข้อความสาระสําาคัญเพื่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม สามารถดําาเนินการท้ังในระดับปัจเจกบุคคล ชุมชนและสังคม ในการออกแบบข้อความสาระสําาคัญมีเทคนิค หลายประการทรี่ วบรวมมาจากขอ้ ความสาระสําาคญั ทเี่ ผยแพรจ่ ากในอดตี จนถงึ ปจั จบุ นั เชน่ เทคนคิ การใชค้ ําายอ่ คําาคลอ้ งจอง คําาเลยี นเสยี งฯ อยา่ งไรกต็ าม การออกแบบขอ้ ความ สาระสําาคัญยังต้องคําานึงถึงการออกแบบภาพประกอบ เพ่ือให้ข้อความสาระสําาคัญน้ัน ๆ สามารถจูงใจให้ผู้รับสารท่ีเป็นกลุ่มเป้าหมายสนใจและสร้างความตระหนักต่อปัญหา สุขภาพน้ันและสามารถนําาไปสู่การปรับตนเองให้มีพฤติกรรมสุขภาพที่ดีได้ในท่ีสุด ตลอดจนการนําาข้อความสาระสําาคัญนั้น ๆ ไปวางบนสื่อต่าง ๆ อาทิ สื่อด้ังเดิม เช่น ป้ายขนาดใหญ่ในชุมชน วิทยุฯ และสอื่ ใหม่โดยมีหลักการสาํา คัญ คือ สื่อนั้นต้องเข้าถึงผู้รับสารทเี่ ป็นกลมุ่ เป้าหมาย มีการนําาเสนอด้วยความถี่ท่ีบ่อยครงั้ และต่อเนอื่ งจนกว่าจะ สร้างผลกระทบตามท่ีตั้งวัตถุประสงค์ไว้ และเพอื่ ป้องกันผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ ควรมีการนาํา ข้อความสาระสําาคัญนั้น ๆ ไปทดสอบก่อน นอกจากนี้ยังมีการวัดประสิทธิผล ของการเผยแพร่ข้อความสาระสําาคัญท้ังในระยะส้ันและระยะยาว เพอ่ื ให้ได้ผลลัพธ์อย่างที่ตั้งวัตถุประสงค์ไว้ หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 233

เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชา เทคนคิ การสอ่ื สารเพอ่ื การสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพในชมุ ชน 234 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 235

236 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 237

238 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 239

240 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 241

242 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 243

244 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 245

246 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 247

248 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 249

250 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 251

252 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 253

254 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 255

2. คณะ/สถาบัน/องค์กร 3. รหัสรายวิชา 4. ชื่อรายวิชา 5. ผู้รับผิดชอบรายวิชา 6. คําาอธิบายรายวิชา 7. วัตถุประสงค์รายวิชา กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุขและกรมส่งเสริมการปกครองท้องถนิ่ กระทรวงมหาดไทย Module 5.9 การจัดทําาข้อตกลงในชุมชนและบทบาทความสาํา คัญต่อการพัฒนาท้องถนิ่ ด้านโรคไม่ติดต่อ อาจารย์เคท คร้ังพิบูลย์ การจัดทําาข้อตกลงในชุมชนและท้องถิ่น องค์ประกอบพื้นฐาน แนวคิดทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้อง บทบาทความสําาคัญต่อการพัฒนาท้องถิ่น การใชแ้ ผนทค่ี วามคดิ การจดั เวทปี ระชาคม แลกเปลยี่ นเรยี นรู้ ธรรมนญู สขุ ภาพ และการปฏบิ ตั งิ านของนกั พฒั นานําาไปสกู่ ารพฒั นานโยบาย ปัจจัยที่เอื้อหรือเป็นอุปสรรคต่อการกําาหนดนโยบายและการวางแผนในการจัดทําาการสนับสนุนนโยบายในระดับต่าง ๆ ทักษะและเทคนิค ในการแสวงหาและเก็บรวบรวมข้อมูลเพอื่ การกาํา หนดนโยบายและการวางแผน การกาํา หนดวาระนโยบาย และกรณีศึกษาท่ีสาํา คัญ เม่ือส้ินสุดการฝึกอบรมแล้วผเู้ ข้ารับการฝึกอบรมสามารถ 1) มีความรู้และความเข้าใจนโยบายสังคมองค์ประกอบพื้นฐานแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 2) มีความรู้ความเข้าใจบทบาทความสําาคัญต่อการพัฒนาท้องถิ่น และการปฏิบัติงานของนักพัฒนา ในฐานะผู้กระทําาการเชิงนโยบาย (Policy actors) ท้ังการนาํา นโยบายไปปฏบิ ัติ และการกระทาํา การที่นาํา ไปสู่การพัฒนานโยบาย 3) เห็นความสําาคัญกับการเรียนรู้ ปัจจัยที่เอื้อหรือเป็นอุปสรรคต่อการกําาหนดนโยบายและการวางแผนในการสนับสนุนนโยบาย สังคมในระดับต่าง ๆ 4) ไดเ้ รยี นรแู้ ละเขา้ ใจทกั ษะและเทคนคิ ในการแสวงหาและเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เพอื่ การกําาหนดนโยบายและการวางแผน การผลกั ดนั นโยบาย และกรณีศึกษาที่สาํา คัญ 1. ช่ือหลักสูตร หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ สําาหรับผู้นําาท้องถิ่น ประมวลรายวิชา (Course Syllabus) 256 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

8. สังเขปเนื้อหา Module หัวข้อ จําานวนเวลา 5.9 การจัดทําาข้อตกลงในชุมชนและบทบาทความสําาคัญต่อการพัฒนาท้องถิ่นด้านโรคไม่ติดต่อ l การจัดทําาข้อตกลงในชุมชนและท้องถิ่น l องค์ประกอบพื้นฐาน l แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง l บทบาทความสําาคัญต่อการพัฒนาท้องถิ่น l การใช้แผนที่ความคิด l การจัดเวทีประชาคม l การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ l การสร้างธรรมนูญสุขภาพ 1 ชั่วโมง 9. การจัดการเรียนการสอน บรรยายอภิปราย 10. อุปกรณ์ส่ือการสอน 11. การวัดและประเมินผล 12. การประเมินผลการสอน 13. เอกสารอ้างอิง 1) เอกสารประกอบการบรรยาย 2) PowerPoint 3) ใบงาน 1) การมีส่วนร่วมในชั้นเรียน 80% 2) เวลาเรียน 20% 1) ประเมินผลสัมฤทธิ์ในการเรียน (ข้อ 11) 2) ประเมินโดยใช้แบบประเมินการสอน กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์. (2554). นโยบายสังคมและสวัสดิการสังคม. กรุงเทพมหานคร: สําานักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 257

การจัดทําาข้อตกลงในชุมชนและบทบาทความสําาคัญต่อการพัฒนาท้องถิ่น ด้านโรคไม่ติดต่อ อาจารย์เคท คร้ังพิบูลย์ 1. นโยบาย นโยบาย คือ กฎหมาย กฎเกณฑ์ กฎระเบียบ หรือชุดแนวปฏิบัติ ขั้นตอนการดาํา เนินงาน หรือขนบ จากหน่วยงานที่มีอําานาจระดับสูง เพ่ือเป็นแนวทางในการปฏิบัติ การสนับสนุน(Advocacy)คือการสนับสนุนคือการกระทาํา หรือกระบวนการในการให้ความสนับสนุนสาเหตุหรือประเด็นหนง่ึ การรณรงค์เพื่อการสนับสนุน คือ การกระทาํา ท่ีต้ังเป้าหมายไว้เพอื่ ให้ความสนับสนุนต่อสาเหตุหรือประเด็นหนง่ึ เราสนับสนุนสาเหตุหรือประเด็นนนั้ เน่ืองจากเราต้องการ สร้างความสนับสนุนแก่สาเหตุหรือประเด็นน้ัน ชักจูงให้ผู้อ่ืนสนับสนุนสาเหตุหรือประเด็นดังกล่าว หรือพยายามสร้างอิทธิพลหรือเปล่ียนแปลงกฎหมายที่มีผลต่อสาเหตุ หรือประเด็นน้ัน การสนับสนุน คือ การแสดงความคิดเห็น การทาํา ให้ชุมชนสนใจในประเด็นสาํา คัญ และการชักจูงให้ผู้ตัดสินใจแก้ไขปัญหาได้ การสนับสนุน คือ การทําางานร่วมกับผู้คนและ องค์กรอืน่ ๆเพื่อสร้างความแตกต่าง ผู้มีส่วนได้เสียประโยชน์ (stakeholder) หมายถึง บุคคลทีไ่ ด้รับบางสิง่ หรือสูญเสียบางสง่ิ ไปจากผลทเี่ กิดขนึ้ ของกระบวนการนโยบาย การวางแผน แผนงาน โครงการ ในบางบริบทอาจมคี ําาเรียกว่า กลมุ่ ผลประโยชน์ (interest groups) และกลุ่มผลประโยชน์อาจมีพลังอาํา นาจที่สัมพันธ์กับกระบวนการทางการเมืองทเี่ ก่ียวข้องกับนโยบาย แผน แผนงาน หรือโครงการน้ัน อย่างไรก็ตาม จะเป็นประโยชน์อย่างมาก ถ้านักวิจัยนโยบายสามารถทจ่ี ะระบุและวิเคราะห์ความต้องการจําาเป็นและประเด็นปัญหาที่แตกต่างกัน ของผู้มสี ่วนได้เสียประโยชน์กลุ่มต่าง ๆ ที่ไดร้ ับอิทธิพลจากนโยบาย 2. การสนับสนุนเชิงนโยบาย กระบวนการสนับสนุนเชิงนโยบาย คือ กระบวนการอันจงใจที่จะให้ข้อมูลและโน้มนําาผู้มีอําานาจตัดสินใจเพื่อให้ความสนับสนุนการเปล่ียนแปลงเชิงนโยบายโดยอิงพยาน หลักฐาน องคื์ป็ระกอบข้องคืาํา จุําากดีั คืวามี การสนับสนุนเชิงนโยบาย คือ กระบวนการอันจงใจ ซึ่่ึงจําาเป็นต้องอาศัยการวางแผนและกลยุทธ์์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสนับสนุนเชิงนโยบายนั้น มุ่งท่ีจะให้ข้อมูลและ โน้มน้าวผู้ตัดสินใจ หาทางเปลี่ยนแปลงโดยอิงพยานหลักฐาน มีเป้าหมายคือทําาให้เกิดการเปลยี่ นแปลงทางนโยบายตามที่ต้องการ 258 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

ผู้มีส่วนได้เสียหลัก (primary stakeholders) หมายถึง บุคคลหรือกลมุ่ ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบในเชิงบวกหรือผลกระทบในเชิงลบ จากนโยบาย หรือการดําาเนินการของหน่วยงาน สถาบัน หรือองค์กร ในบางกรณี ผู้มีส่วนได้เสียหลักอาจจะอยู่ทั้งสองฝังของสมการ นั่นคือ นโยบายที่ให้ผลกระทบเป็นผลประโยชน์ต่อ คนกลุ่มหน่ึง อาจจะกลายเป็นผลทางลบหรือความเสียหายของอีกกลุ่มหน่ึง อาทิ นโยบายขึ้นราคาบุหรี่ท่ีมีผลทาํา ให้ลดจําานวนนักสูบบุหรี่หน้าใหม่ ทําาให้พ่อแม่เด็กวัยรุ่นพึงพอใจ แต่เจ้าของบริษัทผลิตบุหรไี่ ม่พึงพอใจแน่นอน ผมู้ สี ว่ นไดเ้ สยี รอง (secondary stakeholders) หมายถงึ บคุ คลหรอื กลมุ่ ทไี่ ดร้ บั ผลกระทบโดยออ้ ม ไมว่ า่ จะเปน็ ผลกระทบในเชงิ บวกหรอื ผลกระทบในเชงิ ลบ จากนโยบาย หรือการดําาเนินการของหน่วยงาน สถาบัน หรือองค์กร อาทิ นโยบายลดความรุนแรงในครอบครัว อาจจะส่งผลกระทบเชิงบวกให้กับบุคลากรของหน่วยฉุกเฉิน (emergency room) ในโรงพยาบาล เพราะจําานวนผู้ปวยจากการถูกกระทําาด้วยความรุนแรงที่ลดลง แต่จะส่งผลกระทบทางอ้อมต่อหน่วยงานของตําารวจ ที่ต้องเป็นพนักงานสอบสวน ตามกฎหมายและดําาเนินการตามมาตรการต่าง ๆ ซึ่่ึงหน่วยงานต้องต้ังงบประมาณและจัดให้มีการฝึกอบรมตําารวจทเ่ี กี่ยวข้องให้เข้าใจกระบวนการดําาเนินการให้ความคุ้มครอง ในขณะที่ ผู้ถูกกระทําาด้วยความรุนแรงและผู้กระทาํา ความรุนแรงเป็นผู้มสี ่วนได้เสียหลัก บุคลากรหน่วยฉุกเฉินของโรงพยาบาลและตําารวจก็นับเป็นผู้มีส่วนได้เสียรองนน่ั เอง ผู้มีส่วนได้เสียที่สาํา คัญ (key stakeholders) หมายถึง ผู้ที่อาจจะจัดอยู่ในกลุ่มสองกลุ่มแรก (กลุ่มผู้มีส่วนได้เสียหลัก และกลุ่มผู้มสี ่วนได้เสียรอง) หรือไม่ก็ได้ อาจจะเป็น ผู้ที่ได้รับผลกระทบในเชิงบวก หรือผลกระทบในเชิงลบจากนโยบายก็ได้ และเป็นผู้ท่ีมีความสําาคัญต่อหน่วยงาน องค์กร หรือสถาบันทเ่ี กี่ยวข้องกับนโยบาย ผู้อาํา นวยการ หรือ อธิบดีอาจจะเป็นผู้มีส่วนได้เสียท่ีสําาคัญ แต่ทีมงานของผู้อําานวยการ/อธิบดีก็อาจนับเป็นผู้มีส่วนได้เสียท่ีสําาคัญก็ได้ หรือผู้ปฏิบัติงาน - ผู้ให้บริการโดยตรงต่อประชาชน กลุ่มเป้าหมายก็อาจนับเป็นผู้มีส่วนได้เสียท่ีสําาคัญก็ได้ ถ้าผู้ปฏิบัติงาน - ผู้ให้บริการไม่มีความเชื่อในคุณค่าของนโยบาย หรือในสิ่งที่ต้องดําาเนินการ นโยบายนั้นก็อาจไม่ได้เร่ิม นําาไปสู่การปฏิบัติ หรือทําาให้การกระทําาตามนโยบายนั้น ไม่ประสบความสําาเร็จก็ได้ ตัวอย่างอ่ืน ๆ ของผู้มีส่วนได้เสียสําาคัญ ได้แก่ ผู้ให้ทุนสนับสนุน (funders) เจ้าหน้าที่ ของรัฐที่ได้รับการแต่งตั้งหรือมอบหมายให้ทําาหน้าที่ตามนโยบาย เจ้าของบริษัทธุรกิจ เจ้าหน้าท่ีธุรการ และผู้นาํา ชุมชน ซึ่ึ่งคนเหล่านี้มอี ิทธิพลสาํา คัญต่อนโยบายทั้งสิ้น 2.1 ชืนี้ิดีข้องการเป็ลัยี นี้แป็ลังเชืิงนี้โยบาย 1) ขจัดนโยบายที่เป็นอันตราย 2) ทบทวนหรือแก้ไขนโยบายที่มีอยู่ 3) บังคับใช้นโยบายท่ีมีอยู่ 4) พัฒนานโยบายใหม่ 5) ให้ทุนสนับสนุนนโยบาย 2.2 ระดีับข้องการสนี้ับสนี้นีุ้ การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายอาจกระทาํา ได้ในหลายระดับ ดังนนั้ การสนับสนุนจึงอาจเกิดขนึ้ ได้ใน 1) ระดับนานาชาติ 2) ระดับชาติ 3) ระดับท้องถิ่น หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 259

ผู้มีส่วนได้เสียประโยชน์น้ันมีความแตกต่างกันไปข้ึนอยู่กับความสลับซึ่ับซึ่้อนของการกาํา หนดเป้าหมายของนโยบาย ประเภทของนโยบาย และพ้นื ท่ีท่ีกาํา หนด ผมู้ สี ว่ นไดเ้ สยี ประโยชน์อาจจะดาํา รงอยู่ในหลากหลายรูปแบบ หลากหลายขนาดและหลากหลายสมรรถนะ โดยส่วนใหญท่ ่ีพบ ผู้มสี ่วนได้เสียประโยชน์มักจะได้แก่ 1) ผู้ที่กระทําาการในระดับนานาชาติ (international actors) อาทิ ผูบ้ ริจาค (donors) จากต่างประเทศ 2) ผู้ท่ีกระทําาการในระดับชาติหรือระดับการเมือง (national or political actors) อาทิ นักนิติบัญญัติ นักปกครอง 3) หน่วยงานในภาคสาธารณะ (public sector agencies) อาทิ กระทรวง กรม กองต่าง ๆ 4) กลุ่มผลประโยชน์ (interest groups) อาทิ สหภาพแรงงาน สมาคมแพทย์ 5) องค์กรที่ดาํา เนินการทางการค้า/องค์กรภาคเอกชนทแ่ี สวงหากําาไร (commercial/private for profit) 6) มูลนิธิ องค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรทไี่ ม่แสวงหากําาไร (NGOs, foundations) 7) สมาชิกของภาคประชาสังคม (civil society members) 8) ผู้บริโภค/ผู้ใช้บริการ (users/consumers) กิจกรรมการสนับสนุนซึ่่ึงจัดขึ้นในระดับหนึ่ง อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งท่ีเกิดขน้ึ ในระดับอนื่ ๆ ระดับของงานด้านการสนับสนุนของท่านจะขนึ้ อยู่กับประเด็น ดังนี้ 1) ขนาดของปัญหาหรือประเด็น 2) จุดท่ีท่านสามารถสร้างผลกระทบได้มากที่สุด 3) ทรัพยากรซึ่ึ่งองค์กรของท่านสามารถให้ได้ (เช่น เวลาของคณะทาํา งาน ทักษะ และทุนสนับสนุน เป็นต้น) 4) เครือข่ายองค์กรของท่าน 5) ขอบเขตทางภูมิศาสตร์ขององค์กร 2.3 แนี้วทางซิงึ มีักจุะสับสนี้กับการสนี้ับสนี้นีุ้ เชืิงนี้โยบาย 1) ข้อมูล การศึกษาและการสอื่ สาร (IEC) หรือการสอื่ สารเพอื่ การเปลยี่ นแปลงพฤติกรรม (BCC) 2) การเพิ่มความตระหนักรู้โดยทั่วไปเกยี่ วกับประเด็น หรือการประชาสัมพันธ์ (PR) 3) การระดมทุน 4) การระดมชุมชน 5) การสนับสนุนและการรณรงค์ด้วยการเคลอื่ นไหว การสนี้ับสนี้นีุ้ (Advocacy) การสนบั สนนุ เชงิ นโยบาย คอื กระบวนการอนั จงใจในการใหข้ อ้ มลู และจงู ใจใหผ้ ตู้ ดั สนิ ใจไดส้ นบั สนนุ ใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงเชงิ นโยบายโดยองิ พยานหลกั ฐาน การรณรงคืดี์ ้วยการเคืลั่อนี้ไหว (Activism) การใช้วิธีปฏิบัติโดยตรง ซึ่ึ่งมักเป็นการเผชิญหน้า เช่น การประท้วง หรือต่อต้าน เพอื่ โต้แย้ง หรือสนับสนุนสาเหตุหนงึ่ 260 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

3. กระบวนการพัฒนานโยบาย l นโยบาย - กฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือชุดแนวปฏิบัติ ขั้นตอนการดาํา เนินงาน หรือขนบ จากผู้มอี ําานาจระดับสูง เพื่อเป็นแนวทางของการปฏิบัติ l ผู้วางนโยบาย - สมาชิกของคณะรัฐบาล นิติบัญญัติ หรือองค์กรอ่ืน ๆ ซึ่ึ่งรับผิดชอบในการสร้างกฎเกณฑ์ กฎหมาย ฯลฯ ใหม่ ๆ l การวางนโยบาย - การกระทําาเพื่อจัดการกับปัญหาหรือเร่ืองท่ีเป็นกังวล 3.1 ข้ันี้ตอนี้ทวั ไป็ในี้กระบวนี้การพััฒนี้านี้โยบาย 1) การบ่งชี้ปัญหา 2) การจัดทําานโยบาย 3) การวางตําาแหน่งวาระเชิงนโยบาย 4) การลงมติยอมรับการเปลยี่ นแปลงนโยบาย 5) การนําานโยบายไปปฏบิ ัติ 6) การติดตามและประเมินผล 3.2 ป็ระเดีนี้็ สรุป็ การสนับสนุนเกิดขน้ึ ได้ตลอดทั้งช่วงวงจรนโยบายเพอ่ื ให้การสนับสนุนมีประสิทธิผล ควรคาํา นึงถึง 1) รู้ถึงกระบวนการเชิงนโยบาย 2) รู้กาํา หนดเวลา 3) รู้ว่าจะส่งอิทธิพลได้อย่างไร หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 261

เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชา การจัดทําาข้อตกลงในชุมชนและบทบาทความสําาคัญต่อการพัฒนาท้องถิ่น ด้านโรคไม่ติดต่อ 262 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 263

264 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 265

266 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 267

268 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 269

2. คณะ/สถาบัน/องค์กร 3. รหัสรายวิชา 4. ช่ือรายวิชา 5. ผู้รับผิดชอบรายวิชา 6. คําาอธิบายรายวิชา 7. วัตถุประสงค์รายวิชา กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุขและกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นิ กระทรวงมหาดไทย Module 6 การจััดการสิงแวดล้อมเพื่่อป้องกันและควบคุมโรคไม่ติิดติ่อ ผศ. ดร.ศริยามน ติิรพื่ัฒน์ องคค์ วามรเ้้ รอ่ งสงิ แวดลอ้ มทไ่ มเ่ หมาะสมทม่ ผ่ ลติอ่ การเกดิ โรคไมติ่ ดิ ติอ่ ติวั อยา่ งของโรคไมติ่ ดิ ติอ่ ทเ่ กดิ จัากปจัั จัยั เสย่ งดา้ นสงิ แวดลอ้ ม ติวั อยา่ ง การป้องกันและควบคุมสิงแวดล้อมท่ม่ผลติ่อการเกิดโรคไม่ติิดติ่อ การวางแผนการป้องกันสิงแวดล้อมท่เป็นสาเหติุของโรคไม่ติิดติ่อ เพื่่อลดการเกิดโรคไม่ติิดติ่อในระดับชุุมชุน เม่อสินสุดการฝึึกอบรมแล้วผ้เ้ ข้ารับการฝึึกอบรมสามารถิ่ 1) อธิบายผลกระทบจัากสิงแวดล้อมท่ม่ผลติ่อสภาวะสุขภาพื่โดยรวมได้อย่างเป็นระบบ 2) อธิบายได้ว่าสิงแวดล้อมท่ไม่เหมาะสมมผ่ ลติ่อการเกิดโรคไม่ติิดติ่ออย่างไร 3) ให้ติัวอย่างของโรคไม่ติิดติ่อ ท่เกิดจัากปจัั จััยเส่ยงด้านสงิ แวดล้อมได้อย่างถิ่ก้ ติ้อง 4) อภิปรายถิ่ึงติัวอย่างการป้องกันและควบคุมสงิ แวดล้อมเพื่่อป้องกันการเกิดโรคไม่ติิดติ่อได้ 5) วางแผนการป้องกันสงิ แวดล้อมท่เป็นสาเหติุของโรคไม่ติิดติ่อจัากภาคส่วนติ่าง ๆ เพื่่อลดการเกิดโรคไม่ติิดติ่อในระดับชุุมชุนได้ 1. ชื่อหลักสูตร หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ สําาหรับผู้นําาท้องถิ่น ประมวลรายวิชา (Course Syllabus) 270 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

8. สังเขปเน้ือหา Module หัวข้อ จําานวนเวลา 6 การจััดการสิงแวดล้อมเพื่่อป้องกันและควบคุมโรคไม่ติิดติ่อ  การจััดการสิงแวดล้อมเพื่่อป้องกันและควบคุมโรคไม่ติิดติ่อ ปัจัจััยเส่ยงด้านสงิ แวดล้อม : กายภาพื่ สารเคม่ ชุ่วภาพื่ และ การทาํา งานท่ม่ผลติ่อสภาวะสุขภาพื่ โรคไม่ติิดติ่อเร่อรังท่เกิดจัากปจัั จััยด้านสิงแวดล้อม ติัวอย่างการจััดการสิงแวดล้อมเพื่่อป้องกันโรคไม่ติิดติ่อจัากภาคส่วนติ่าง ๆ การระดมแนวคิดของผ้้เข้าอบรมในการจััดการสงิ แวดล้อมเพื่่อป้องกันโรคไม่ติิดติ่อในชุุมชุน 1 ชุัวโมง 9. การจัดการเรียนการสอน 10. อุปกรณ์สื่อการสอน 11. การวัดและประเมินผล 12. การประเมินผลการสอน บรรยายอภิปราย 1) เอกสารประกอบการบรรยาย 2) PowerPoint 1) การม่ส่วนร่วมในชุันเร่ยน 2) เวลาเร่ยน ประเมินผลสัมฤทธ์ิในการเร่ยน 80 % 20 % หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 271

13. เอกสารอ้างอิง สสส ศ้นย์เร่ยนร้้สุขภาวะ. กลุ่มโรค NCDs และอาการเบ่องติ้นท่ควรร้้. ค้นจัาก www.thaihealth.or.th/sook/info-body-detail.php?id=254 GlobalChange.gov. Climate Change and Human Health. From https://health2016.globalchange.gov/climate-change-and-human-health Healthy environments for healthier populations: Why do they matter, and what can we do? Geneva: World Health Organization; 2019 (WHO/ CED/PHE/DO/19.01). Licence: CC BYNC-SA 3.0 IGO. เร่ยบเร่ยงภาษาไทยโดย:องค์การอนามัยโลกประจัําาประเทศไทย และ กองประเมินผลกระทบติ่อ สุขภาพื่ กรมอนามัยกระทรวงสาธารณสุข Prüss-Ustün, A., van Deventer, E., Mudu, P., Campbell-Lendrum, D., Vickers, C., Ivanov, I., ... & Neira, M. (2019). Environmental risks and non-communicable diseases. Bmj, 364. From https://www.bmj.com/content/bmj/364/bmj.l265.full.pdf :Environmental risks and non-communicable diseases) World health organization: noncommunicable diseases (NCDs) by reducing environmental risk factors. From https://apps.who.int/iris/ handle/10665/258796 272 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

การจัดการส่ิงแวดล้อมเพื่อป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ NCDs (Non-Communicable diseases) ค่อ กลุ่มโรคไม่ติิดติ่อเร่อรัง ซึ่ึงไม่ได้ม่สาเหติุจัากการติิดเชุ่อ เชุ่อโรค หร่อพื่าหะนําาโรค แติ่เกิดจัากการเส่อมสภาพื่ของร่างกาย และส่วนหนึงมาจัากพื่ฤติิกรรมการใชุ้ชุ่วิติท่ไม่ระวัง ปัจัจัุบันกลุ่มโรค NCDs ท่ม่อัติราผ้้ป่วยและผ้้เส่ยชุ่วิติส้งสุด ม่อย่้ 6 โรค ได้แก่ “เบาหวาน หลอดเล่อดสมองและหัวใจั ถิ่งุ ลมโปง่ พื่อง มะเรง็ ความดนั โลหติิ สง้ อว้ นลงพื่งุ ” ปจัั จัยั เสย่ งทพื่่ บบอ่ ยและปอ้ งกนั ได้ เชุน่ การไมอ่ อกกําาลงั กาย การรบั ประทานอาหารทไ่ มด่ ติ่ อ่ สขุ ภาพื่ และการใชุแ้ อลกอฮอล์ และยาสบ้ อย่างไรก็ติาม คนทวั ไปยังไม่ค่อยติระหนักว่า ปัจัจััยด้านสิงแวดล้อมก็เป็นสาเหติุหลักของโรคไม่ติิดติ่อ (NCDs) ด้วยเชุ่นกัน เชุ่น มลภาวะแวดล้อม (กลางแจั้ง) และ มลพื่ิษทางอากาศในครัวเร่อน ทําาให้ม่ผ้้เส่ยชุ่วิติจัากโรคหัวใจัและหลอดเล่อด โรคทางเดินหายใจัเร่อรัง และมะเร็งปอดมากกว่า 6 ล้านคนในปี พื่.ศ. 2555 ความเส่ยงด้าน สิงแวดล้อมท่สําาคัญอ่น ๆ ได้แก่ ควันบุหร่ม่อสอง การสัมผัสกับสารเคม่ การแผร่ ังส่และเสย่ งรบกวน และความเส่ยงจัากการทําางาน องค์การอนามัยโลกได้ให้ติัวอย่างของโรคไม่ติิดติ่อท่เกิดจัากปจัั จััยเส่ยงด้านสงิ แวดล้อม ดังแสดงในรป้ ภาพื่ติ่อไปน่ ผศ. ดร.ศริยามน ติรพัฒน์ เครดติิ รป้ ภาพื่จัาก: WORLD HEALTH ORGANIZATION: NONCOMMUNICABLE DISEASES (NCDs) BY REDUCING ENVIRONMENTAL RISK FACTORSfile:///C:/Users/AJ-NB_2-1/Downloads/WHO-FWC- EPE-17.01-eng%20(2).pdf หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 273

ติัวอย่างการป้องกันและควบคุมสงิ แวดล้อมท่ม่ผลติ่อการเกิดโรคไม่ติิดติ่อจัากภาคส่วนติ่าง ๆ เชุ่น 1. ภาคการเกษตร (Agriculture) o การออกกฎหมายเพื่่อควบคุมการใชุ้สารเคม่ o การออกกฎบังคับใชุ้อุปกรณ์ป้องกันอันติราย (personal protective equipment) หรอ่ เร่ยกสัน ๆ ว่า พื่่ พื่่ อ่ (PPE) เพื่่อให้เกษติรกรสวมใส่ปกคลุม เพื่่อป้องกัน อันติรายจัากสารเคม่ขณะปฏิิบัติิงาน เชุ่น การใชุ้ยาฆ่่าหญ้า ยาฆ่่าแมลง เป็นติ้น 2. ภาคการค้าและอุุตสาหกรรม (Industry and commerce) 2.1 มลภาวะทางอากาศ(Airpollution) o ควบคุมการปล่อยอากาศเส่ย o ปรับปรุงและเล่อกใชุ้พื่ลังงานสะอาด o ออกกฎห้ามการส้บบุหร่ในอาคาร 2.2 การสัมผัสสงิ ท่เป็นมลภาวะในสถิ่านทท่ ําางาน (Occupational exposure) o จััดทําากฎหมายท่เก่ยวข้อง o สร้างเคร่องม่อและกลไกเพื่่อป้องกันไม่ให้คนงานได้รับอันติรายจัากรังส่ o ส่งเสริมการป้องกันคนงานจัากความเส่ยงจัากการประกอบอาชุ่พื่ท่ม่ผลกระทบติ่อสุขภาพื่ติามมาติรการควบคุมติามลําาดับชุัน(hierarchyofcontrols) o เปล่ยนไปใชุ้ผลติิ ภัณฑ์์และกระบวนการผลติิ ท่ไม่เป็นอันติราย o ใชุ้มาติรการควบคุมทางวิศวกรรมและการบริหาร o ใชุ้อุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคล 2.3 การจััดการสารเคม่(ChemicalManagement) o ม่การจััดการสารเคม่ท่ถิ่้กติ้อง : การซึ่อ่ /รับ การเก็บ การใชุ้ การกาํา จััดทิง o การจััดการขยะอันติราย(Hazardouswastemanagement) o การฟื้้นฟื้้พื่่นท่ปนเป้อน ให้กลับมามส่ ภาพื่ท่ปลอดภัย (Remediation of polluted sites) 3. ภาคการคมนาคม (Transportation) o การเพื่ิมการใชุ้การขนส่งสาธารณะ o การลดปัญหาการจัราจัรติิดขัด o พื่ัฒนารป้ แบบการขนส่งเพื่่อสุขภาพื่ท่ด่ซึ่ึงม่ประสิทธิภาพื่ เชุ่น ระบบขนส่งมวลชุนท่รวดเร็ว ประกอบกับการเดินและการข่จัักรยาน 274 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

4. ภาคครัวเรือุน และชุุมชุน (Household and community) o ส่งเสริมการเข้าถิ่ึงเชุ่อเพื่ลิงและเทคโนโลย่สะอาดสําาหรับการทําาอาหาร ทําาความร้อนและให้แสงสว่างติามท่ระบุในแนวทางปฏิิบัติิว่าด้วยคุณภาพื่อากาศภายใน อาคารและการเผาไหม้ของเชุ่อเพื่ลิงในครัวเร่อนขององค์การอนามัยโลก o หลก่ เล่ยงการใชุ้ถิ่่านหินและนาํา มันก๊าดท่ไม่ไดผ้ ่านกระบวนการปรับคุณภาพื่ รวมทงั การใชุ้เชุ่อเพื่ลิงแข็งท่เผาไหม้ไม่สมบร้ ณ์ในครัวเร่อน o เพื่ิมความติระหนักถิ่ึงความเส่ยงทางสุขภาพื่จัากมลพื่ิษทางอากาศภายในครัวเร่อนซึ่ึงคนส่วนใหญ่มักคิดว่าไม่ใชุ่ปัญหาใหญ่ o การปรับปรุงคุณภาพื่นําาในครัวเร่อนการเก็บรักษาอย่างปลอดภัย o การจััดการสุขาภิบาลขันพื่่นฐาน(เชุ่นห้องส้วมสําาหรับใชุ้ในครัวเร่อน) o มาติรการป้องกันท่เก่ยวข้องกับการก่อสร้างท่อยอ้่ าศัย การปรับปรุงใหม่ การใชุ้งานและการบาํา รุงรักษา o เอ่ออําานวยให้ทุกชุุมชุนสามารถิ่เข้าถิ่ึงห้องส้วมท่ปลอดภัยท่กักเก็บสงิปฏิิก้ลและม่อ่างล้างม่อท่บ้านโรงเร่ยนสถิ่านพื่ยาบาลและท่ทําางาน o เพื่ิมพื่้นความร้้และข้อม้ลทางวิชุาการเก่ยวกับปจัั จััยเส่ยงทางสุขภาพื่ในท่อยอ้่ าศัย และการประมาณภาระโรคจัากท่อย้่อาศัย สิงท้าทายสําาหรับการเร่ยนในหัวข้อน่ ก็ค่อ การชุ่วยกันระดมความคิดว่า ในฐานะท่ท่านเป็นผ้้นําาชุุมชุน ท่านควรม่วิธ่การจััดการสิงแวดล้อมในภาคส่วนติ่าง ๆ อย่างไร เพื่่อให้คนในชุุมชุนของท่านห่างไกลจัากโรคไม่ติิดติ่อเร่อรังซึ่ึงม่สาเหติุมาจัากสงิ แวดล้อมท่ไม่เหมาะสม หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 275

เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชา การจัดการสิ่งแวดล้อมเพื่อป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ 276 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 277

278 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 279

280 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 281

2. คณะ/สถาบัน/องค์กร 3. รหัสรายวิชา 4. ชื่อรายวิชา 5. ผู้รับผิดชอบรายวิชา 6. คําาอธิบายรายวิชา 7. วัตถุประสงค์รายวิชา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย Module 7 การจัดทําาแผน ออกแบบโครงการ และกิจกรรมการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อในชุมชน พญ.ทัศนีย์ เอกวานิช ความสาํา คญั ของแผน การจดั ทาํา แผน ออกแบบโครงการ และกจิ กรรมการปอ้ งกนั ควบคมุ โรคไมต่ ดิ ตอ่ ในชมุ ชน โดยการวางแผน ใชเ้ ครอ่ื งมอื แผนทท่ี างเดนิ ยทุ ธศาสตร์ (strategic route map,SRM) ซง่ึ เปน็ แผน 3 ป,ี แผนทท่ี างเดนิ ยทุ ธศาสตรฉ์ บบั ปฏบิ ตั กิ าร (strategic linkage map, SLM) ซ่ึงเป็น แผน 2 ปี, แผนที่ทางเดินยุทธศาสตร์ฉบับปฏิบัติการย่อย (Mini-SLM) ซึ่งเป็นแผน 1 ปี และแผนที่ทางเดินยุทธศาสตร์ฉบับ ปฏิบัติการชุมชน (micro-SLM) ซ่ึงเป็นแผน 1 ปี พร้อมเทคนิคการเขียนโครงการ และตัวอย่างเมนูโครงการโรคไม่ติดต่อ เมื่อส้ินสุดการฝึกอบรมแล้วผู้เข้ารับการฝึกอบรมสามารถ 1) ตระหนักถึงความสําาคัญของการวางแผน 2) มีความรู้ ความเข้าใจการจัดทําาแผน ออกแบบโครงการ และกิจกรรมการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อในชุมชน 1. ช่ือหลักสูตร หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ สําาหรับผู้นําาท้องถิ่น ประมวลรายวิชา (Course Syllabus) 282 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

8. สังเขปเน้ือหา Module หัวข้อ 7 การจัดทําาแผน ออกแบบโครงการ และกิจกรรมการป้องกันควบคุมโรคไมต่ ิดต่อในชุมชน จําานวนเวลา 1 ช่ัวโมง 9. การจัดการเรียนการสอน บรรยายอภิปราย 10. อุปกรณ์ส่ือการสอน 11. การวัดและประเมินผล 12. การประเมินผลการสอน 13. เอกสารอ้างอิง 1) เอกสารประกอบการบรรยาย 2) PowerPoint 3) กรณีศึกษา 1) การมีส่วนร่วมในชั้นเรียน 2) เวลาเรียน 80 % 20 % 1) ประเมินผลสัมฤทธิ์ในการเรียน (ข้อ 11) 2) ประเมินโดยใช้แบบประเมินความรู้ ความเข้าใจการจัดทําาแผน ออกแบบโครงการ และกิจกรรมการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ ในชุมชน แสงโสม ลีนะวัฒน์ และ กานดาวสี มาลีวงษ์. (2553). คู่มือแผนท่ีทางเดินยุทธศาสตร์สําาหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น : งานทารกและเด็กก่อนวัยเรียนเติบโตสมวัย ฉลาด แข็งแรง. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก. สุทธิพงษ์ วสุโสภาพล. (2559). นวัตกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน การสร้างและใช้แผนท่ีทางเดินยุทธศาสตร์. ม.ป.ท. อมร นนทสุต. (2553). แผนที่ทางเดินยุทธศาสตร์ ก้าวใหม่ของการบริหารจัดการสุขภาพ. ม.ป.ท. หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 283

การจัดทําาแผน ออกแบบโครงการ และกิจกรรมการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อในชุมชน แพทย์หญิงทัศนีย์ เอกวานิช การจดั ทําาแผนเปน็ ภารกจิ ตงั้ ตน้ ทส่ี ําาคญั ยงิ่ เพอ่ื นําาไปสกู่ ารจดั ทําาโครงการและกจิ กรรมการปอ้ งกนั ควบคมุ โรคไมต่ ดิ ตอ่ ในชมุ ชน โดยใชแ้ ผนทที่ างเดนิ ยทุ ธศาสตร์ (strategic route map, SRM) เป็นเคร่ืองมือ ซึง่ คิดค้นโดยอาจารย์นายแพทย์อมร นนทสุต บิดาของอาสาสมัครสาธารณสุขไทย แผนที่ SRM เป็นแผน 3 - 5 ปี มีการถ่ายระดับเป็น แผนที่ทางเดินยุทธศาสตร์ฉบับปฏิบัติการ (strategic linkage map, SLM) ซ่ึงเป็นแผน 2 ปี แผนท่ีทางเดินยุทธศาสตร์ ฉบับปฏิบัติการย่อย (Mini-SLM) ซ่ึงเป็นแผน 1 ปี และ แผนที่ทางเดินยุทธศาสตร์ฉบับปฏิบัติการชุมชน (micro-SLM) ซงึ่ เป็นแผน 1 ปี ของชุมชน ตามลําาดับ การจัดทําาแผนท่ี SRM ประกอบด้วย 7 ขั้นตอน เริ่มต้นจาก 1) การวิเคราะห์สถานการณ์ บริบทของพ้ืนที่ 2) กําาหนดจุดหมายปลายทาง (destination) 3) สร้างแผนท่ี SRM 4) สร้างแผนที่SLM 5) นิยามเป้าประสงค์ และกําาหนดตัวช้ีวัดความสาํา เร็จ ( key performance index, KPI) 6) สร้างแผนที่ Mini-SLM และ 7) ติดตามประเมินผล การวเิ คราะหส์ ถานการณ์ บรบิ ทของพน้ื ท่ี โดยการระดมสมองภาคผี มู้ สี ว่ นไดเ้ สยี สามารถใชเ้ ครอ่ื งมอื “สายสบื ตน้ ไม้ “เพอ่ื คน้ หา สง่ิ ทฉ่ี นั เหน็ สง่ิ ทฉ่ี นั ฝนั (จดุ หมายปลายทาง) จากน้ันนําาจุดหมายปลายทางมาเขียนลงตาราง2x2ซึ่งประกอบด้วย4ระดับคือระดับพ้ืนฐานระดับกระบวนการระดับภาคีและระดับประชาชนจากนน้ั ปรับลงผังแผนท่ี SRM ใน 4 ระดับ ตามแนวนอน โดยแยกเป็นกล่องๆ ในแต่ละระดับ จากนน้ั ระดมสมอง เพอื่ กําาหนด 2 - 4 กลยุทธ์์ ในแต่ละกล่องจุดหมายปลายทาง/เป้าประสงค์ เม่ือได้แผนท่ี SRM แล้ว ก็ให้จัดลาํา ดับความสําาคัญของกล่องเป้าประสงค์ในทั้ง 4 ระดับ แล้วคัดเลือกกล่องท่ีจะดําาเนินการใน 2 ปีแรก มาสร้างเป็นแผน SLM โดยร่วมกัน กําาหนด KPI ของแต่ละกล่องเป้าประสงค์ ในการถ่ายระดับเป็น แผน 1 ปี Mini-SLM และ micro-SLM กด็ ําาเนินการในลักษณะเดียวกัน ในการทําา action plan ของแต่ละโครงการ สามารถใช้เครอื่ งมือตาราง 8 ช่อง หรือตาราง 11 ช่องตามกรอบที่กําาหนด ท้ังน้ีเทคนิคการเขียนโครงการ จะประกอบด้วย 8 ส่วนหลัก คือ 1) ช่ือโครงการ 2) หลักการและเหตุผล 3) วัตถุประสงค์ 4) วธิ ีดําาเนินการ 5) ระยะเวลา 6) งบประมาณ 7) ผู้รับผิดชอบ และ 8) สง่ิ ที่คาดว่าจะไดร้ ับ โดยได้ให้ตัวอย่างเมนูโครงการโรคไม่ติดต่อที่ใช้ของบจากกองทุนตําาบล 284 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

แนวทางประกอบการใช้้โครงการตััวอย่่าง คําาอธิบิ าย่ : เพื่อ่ นําาไปสื่อ่ สื่ารถ่า่ ย่ทอดขย่าย่ผล ทําาความเขา้ ใจกบั คณะกรรมการกองทนุ ฯ/พื่เ่ ลย่่ งกองทนุ ฯ ถ่งึ หลกั การ และเจตันาของการนําาโครงการตัวั อย่า่ งไปประย่กุ ตั์ ใช้้ตั้องสื่อดคล้องกับโครงการ/แผนงาน/กิจกรรม การดําาเนินกิจกรรมและผ้้รับผิดช้อบโครงการ • ขันตัอนการเตัร่ย่มเสื่นอโครงการ การสนบั สนนุ งบประมาณภายใตว้ ตั ถปุ ระสงคข์ องกองทนุ หลกั ประกนั สขุ ภาพฯ สงิ่ สําาคญั ทต่ี อ้ งสรา้ งความเขา้ ใจคอื แผนงาน/โครงการ/กจิ กรรม/กลมุ่ ประชากรเปา้ หมายผรู้ บั ประโยชน์ ผู้มสี ิทธิขอรับการสนับสนุนงบประมาณกองทุนฯ ท่ีมีเหตปุ ัจจัย ใครทําา ?...ทาํา อะไร ?...เพอื่ ใคร ? • วิเคราะห์บริบทของพื่่นท่ นําาแผนชุมชนหรือธรรมนูญสุขภาพ หรือแผนอ่ืนๆ มาวิเคราะห์ถึงความจําาเป็นหรือเป็นปัญหาเฉพาะของพ้ืนที่ จะต้องอยู่ในกรอบงานท่ีเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การฟื้้นฟืู้สมรรถภาพ และการรักษาพยาบาลระดับปฐมภมู ิเชิงรุก ที่จําาเป็นต่อสุขภาพและการดําารงชีวิตของประชาชนในชุมชนหรือท้องถ่ิน • การนําาโครงการตััวอย่่างไปประยุ่กตั์ใช้้ เมื่อวิเคราะห์ปัญหาความจําาเป็นของแต่ละพื้นที่แล้วนั้น นําาโครงการตัวอย่างมาประยุกต์ใช้ เพอ่ื เสนอของบประมาณสนับสนุนจากกองทุนฯ อปท. ต้องคาํา นึงถึง ดังนี้ 1. โครงการนี้ใคร...เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ ต้องสอดคล้องกับกิจกรรมและวธิ ีการดาํา เนินการของโครงการ (สถานบริการ/หน่วยบริการ/หน่วยงานสาธารณสุข/หน่วยงานอน่ื /กลุ่มหรือองค์กรประชาชน) 2. โครงการดังกล่าวทําาเพื่ออะไร? (สร้างเสริมสุขภาพ/ป้องกันโรค/ฟื้้นฟืู้สมรรถภาพ/รักษาพยาบาลระดับปฐมภมู ิเชิงรุก) 3. วัตถุประสงค์ของโครงการคืออะไร (ให้เป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ หรือเห็นได้ชัด วัดได้) 4. กลุ่มเป้าหมายผู้รับประโยชน์ คือใคร?...กิจกรรมท่ีทาํา ให้บรรลุวัตถุประสงค์ของแต่ละกลุ่มวัย  กลุ่มหญิงต้ังครรภ์และหญิงหลังคลอด  กลุ่มเด็กเล็กและเด็กก่อนวัยเรียน  กลุ่มเด็กวัยเรียนและเยาวชน  กลุ่มวัยทําางาน  กลุ่มผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคเรื้อรัง  กลุ่มคนพิการและทุพพลภาพ  กลุ่มประชาชนทั่วไปท่ีมีภาวะเสี่ยง หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 285

5. วิธีการหรือกิจกรรมทจ่ี ะดําาเนินการ (ระบุวิธีการหรือกิจกรรมทเี่ ป็นรูปธรรมชัดเจน ที่จะนาํา ไปสู่การบรรลวุ ัตถุประสงค์ของโครงการ) 6. งบประมาณท่ีจะต้องใช้ (หากเป็นบริการท่ีดําาเนินการโดยหน่วยบริการให้จ่ายเป็นค่าชดเชยบริการ หากกังวลว่าจะเป็นการซํา้าซ้อน ให้จ่ายเป็นค่าบริการเพิ่มเติม (ไม่ใช่ชดเชยบริการ) เพื่อกระตุ้น การเข้าถึงบริการ นอกจากนัน้ จ่ายเป็นค่าตอบแทนใช้สอย ค่าจ้างเหมาแล้วแต่กรณี) 7. สิ่งส่งมอบ (ควรเป็นรูปธรรมชัดเจน หากเป็นบริการ บริการท่ีส่งมอบคืออะไร ใครบ้างทไี่ ด้รับ หากเป็นการพัฒนาศักยภาพ/การประชุม ให้ระบผุ ู้เข้ารับการพัฒนาหรือประชุมกี่คน ใครบ้างที่เข้าประชุม ฯลฯ) 286 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชา การจัดทําาแผน ออกแบบโครงการ และกิจกรรมการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อในชุมชน หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 287

288 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 289

290 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 291

292 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader .

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 293

294 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 295

296 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 297

298 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 299

300 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 301

Mini SLM เพื่อชุมชนใสใจผูสูงวัย ของกองทุนหลักประกันสุขภาพเทศบาลนครภูเก็ต พ.ศ. 2557 - 2559 . 302 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

Mini SLM เพื่อชุมชนใสใจผูสูงวัย ของกองทุนหลักประกันสุขภาพเทศบาลนครภูเก็ต พ.ศ. 2557 - 2559 . หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 303

304 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

. หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 305

306 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 307

308 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 309

310 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

ประมวลรายวิชา (Course Syllabus) 1. ช่ือหลักสูตร หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ สําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 2. คณะ/สถาบัน/องค์กร 3. รหัสรายวิชา 4. ช่ือรายวิชา 5. ผู้รับผิดชอบรายวิชา 6. คําาอธิบายรายวิชา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถ่ิน กระทรวงมหาดไทย Module 8 การติดตามประเมินผลโครงการหรือกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับประชาชนในพื้นท่ี ผศ. นพ.วิชช์ เกษมทรัพย์ โรคไม่ติดต่อ (NCDs) เป็นโรคท่ีทําาให้ผ้้คนเสียชีวิตในแต่ละปีมากที่สุดในโลก ประกอบด้วยโรค 4 กลุ่มใหญ่่ คือ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง และโรคปอดเร้ือรัง โดยมีเหตุปัจจัยสําาคัญ่ของโรคเหล่านี้คือ การสบ้ บุหรี่ การดมื่ เครื่องด่ืมแอลกอฮอล์อย่างหนัก การบรโิ ภคอาหารหวาน มนั เคม็ การขาดกจิ กรรมทางกายทเี่ พยี งพอ และอากาศมฝุ่ี นุ PM 2.5 สง้ ซึ่ง่่ การจดั การโรคไมต่ ดิ ตอ่ เนน้ การทําางาน เชิงสร้างเสริมสุขภาพ และ ป้องกันโรคจะคุ้มค่ามากกว่าตามแก้ปัญ่หาท่ีปลายเหตุหรือการรักษาโรค โดยการจัดการกับปัจจัยเสี่ยงทั้ง 5 ของโรคไมต่ ดิ ตอ่ เรอ้ื รงั เปน็ ทางสาเหตหุ ลกั ของการแกป้ ญ่ั หาโรคไมต่ ดิ ตอ่ ผา่ นการใหป้ ระชาชนมคี วามรอบรด้้ า้ นสขุ ภาพ รวมทงั้ การมงุ่ สรา้ ง สง่ิ แวดลอ้ มทเี่ ออื้ ตอ่ การจะมพี ฤตกิ รรมสขุ ภาพ สําาหรบั การจดั ทําาโครงการท่ีเกย่ี วขอ้ งกบั การปอ้ งกนั ควบคมุ โรคไมต่ ดิ ตอ่ นน้ั มหี ลายระดบั ทง้ั ระดับประเทศ จังหวัด หรือเขต การประเมนิ โครงการ เปน็ กระบวนการตรวจสอบโครงการทก่ี าํา ลงั จะทาํา หรอื ดาํา เนนิ การอยเ่้ พอ่ื ทจ่ี ะนาํา ผลการประเมนิ ไปชว่ ยปรบั ใหโ้ ครงการนน้ั ดําาเนินไปได้ด้วยดี โดยการเร่ิมประเมินโครงการที่ดีต้องเชิญ่ผ้้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามาร่วมในวางกรอบในการประเมิน ทั้งน้ีผ้้มีส่วนได้เสีย จะกว้างขวางแค่ไหนข่้นอย่้กับจุดมุ่งหมายของการประเมิน จากน้ันต้องด้ว่าโครงการแต่ละอันน้ันมีเป้าประสงค์อะไร ต้องการแก้ปัญ่หา อะไรแล้ว วางแผนในการเก็บข้อมล้ ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ แล้วจ่งทําาการประเมินผล หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 311

7. วัตถุประสงค์รายวิชา 8. สังเขปเนื้อหา Module 9. การจัดการเรียนการสอน 10. อุปกรณ์ส่ือการสอน 11. การวัดและประเมินผล 12. การประเมินผลการสอน 13. เอกสารอ้างอิง 1) เพ่ือให้ผ้้เข้าอบรมได้ทราบกรอบ/แนวทางการติดตามประเมินผลโครงการหรือกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันและควบคุม โรคไม่ติดต่อสําาหรับประชาชนในพ้ืนที่ 2) เพื่อให้ผ้้เข้าอบรมนําาไปประยุกต์ใช้ในการออกแบบการติดตามประเมินผลโครงการ/กิจกรรมส่งเสริมสุขภาพป้องกันและควบคุม โรคไม่ติดต่อสําาหรับประชาชนในพ้ืนที่ หัวข้อ จําานวนเวลา บรรยายอภิปราย PowerPoint ประกอบการบรรยาย 1) การมีส่วนร่วมในช้ันเรียน 80 % 2) เวลาเรียน 20 % 1) ประเมินผลสัมฤทธิ์ในการเรียน (ข้อ 11) 2) ประเมินโดยใช้แบบประเมินการสอน 8 การติดตามประเมินผลโครงการหรือกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันและควบคุมโรคไมต่ ิดต่อสาํา หรับ ประชาชนในพื้นที่ 1 ชั่วโมง สุวิมล ว่องวาณิช. (ม.ป.ป.) . การออกแบบและประเมินโครงการโดยใช้ทฤษฎีการเปล่ียนแปลง.วารสารการวิจัยสังคมศาสตร์. หน้า 7-25 Retrieved from http://lib. edu.chula.ac.th/FILEROOM/CU_FORMJOURNAL/DRAWER001/GENERAL/DATA0016/00016950.PDF LOGIC MODELS AND THEORY OF CHANGE. (n.d.) Retrieved from https://whatworks.org.nz/logic-model/ W W.K. Kellogg Foundation. (2009). Logic model development guide. Retrieved from http://www.wkkf.org Retrieved 10/01/2009. 312 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

การติดตามประเมินผลโครงการหรือกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ สําาหรับประชาชนในพ้้นท่่ ผศ. นพ.วิชช์ เกษมทรัพย์ การประเมนิ ผลโครงการเปน็ กระบวนทเี่ ปน็ ระบบในการตรวจสอบผลลพั ธข์ องการดาํา เนนิ โครงการตามเปา้ หมายทก่ี ําาหนดขน่้ โดยถา้ ผม้้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี ของโครงการไดม้ า กําาหนดร่วมกันว่าเป้าหมายของโครงการคืออะไรจะทาํา ให้เกิดความชัดเจนในการประเมินโครงการตามเป้าหมายนั้น การวางแผนการประเมนิ โครงการหรอื กจิ กรรมตา่ ง ๆ นยิ มใชก้ รอบคดิ ของ logic model ซึ่ง่่ เรมิ่ จาก ปจั จยั นําาเขา้ (inputs) หรอื ทรพั ยากรทต่ี อ้ งใช้ เพอื่ ใหเ้ กดิ กระบวนการ อะไร (process) และ นาํา ไปส้่ผลลัพธ์ (outputs/outcomes) อะไร ถา้ ตง้ั แตเ่ รม่ิ โครงการมกี ารระดมความคดิ จากผม้้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี ชดั เจนวา่ เปา้ หมายหรอื วตั ถปุ ระสงคข์ องโครงการตอ้ งการใหเ้ กดิ สง่ิ ใดขน้่ (outputs/outcomes) จะชว่ ยให้ สามารถคดิ ยอ้ นกลบั มาไดว้ า่ จะตอ้ งใชก้ ระบวนในการดําาเนนิ การอยา่ งไร และ ตอ้ งการทรพั ยากรหรอื ปจั จยั นําาเขา้ อะไร และ มากนอ้ ยเพยี งไร จะทําาใหส้ ามารถชว่ ยในการกําาหนด ทั้งกระบวนการและปัจจัยนําาเข้าเป็นการวางแผนการประเมินให้ได้สอดคล้องกับขนั้ ตอนท่ีดาํา เนินการ หรือ ทาํา ให้ได้มีการเก็บข้อม้ลทเี่ หมาะสมกับเป้าประสงค์ของโครงการ ตามปกติการประเมินโครงการหลายคร้ังเกิดในช่วงท่โี ครงการเสร็จแล้ว ทาํา ให้กระบวนการประเมินอาจจะเร่มิ ต้นจาก การด้ว่าใช้ปัจจัยนาํา เข้าอะไร ไปดาํา เนินการอะไร และได้ผลลัพธ์อะไร ตรงตามวัตถุประสงค์ท่ีคาดหวังไว้หรือไม่ ก็เป็นกระบวนการปกตทิ ี่ใช้ logic model ในการประเมินผลตามแผนทีไ่ ด้วางไว้แล้ว การตดิ ตามประเมนิ ผลโครงการหรอื กจิ กรรมสง่ เสรมิ สขุ ภาพ ปอ้ งกนั และควบคมุ โรคไมต่ ดิ ตอ่ สาํา หรบั ประชาชนในพน้ื ท่ี สามารถใชร้ ป้ แบบการประเมนิ ทม่ี กี ารวางแผนลว่ งหนา้ หรอื มาออกแบบการประเมนิ ยอ้ นหลงั กด็ เี ปน็ สง่ิ จาํา เปน็ ทม่ี งุ่ ทจ่ี ะคน้ หาโอกาสในการพฒั นาหรอื โอกาสในปรบั ปรงุ การดาํา เนนิ โครงการเพอ่ื ทาํา ใหโ้ ครงการดาํา เนนิ ตอ่ ไปอยา่ งราบรน่ื ได้ ผลลัพธ์ตามเป้าประสงค์ หรือ มุ่งที่จะชี้จุดที่สามารถเกิดการพัฒนาในการดาํา เนินโครงการในช่วงต่อไปได้ การประเมนิ โครงการจง่ ตอ้ งใชก้ ระบวนการเกบ็ ขอ้ มล้ ทเ่ี ปน็ ระบบเชน่ เดยี วกบั การทําาวจิ ยั แตม่ จี ดุ มงุ่ หมายทตี่ า่ งกนั เพราะการวจิ ยั มงุ่ ทจี่ ะตอบปญ่ั หาตงั้ แตเ่ กดิ อะไร ทไี่ หน อยา่งไรหรอื ทดสอบความแตกตา่งของสมมตุฐิานหลกั เพอ่ืเพม่ิพน้ความรค้้วามเขา้ใจเกย่ีวกบัปรากฎการณต์า่งๆแตก่ารประเมนิมงุ่เพอ่ืตอบสนองหรอืปรบัปรงุการการดาําเนนิงาน ให้เกิดผลตามเป้าประสงค์ ขอยกตัวอย่างการจัดให้มีกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน อาสาสมัครสาธารณสุขประจาํา หม้่บ้าน และเจ้าหน้าที่ รพ.สต. ที่ร่วมมือกันวางแผนในการที่จะทําาให้เกิด โครงการในระดบั หมบ่้ า้ น เชน่ โครงการ ‘งานบญุ่ ปลอดเหลา้ ’ โดยเรม่ิ จากการดง่ ความมสี ว่ นรว่ มคดิ เปา้ ประสงคข์ องโครงการ และรว่ มวางแผนการประเมนิ ผลลพั ธ์ จากผม้้ สี ว่ นได้ สว่ นเสยี กลมุ่ ตา่ งๆ ทาํา ใหส้ ามารถเปา้ หมายของโครงการ รวมถง่ วางตวั ชว้ี ดั ความสาํา เรจ็ และ กระบวนการและทรพั ยากรทจ่ี ะนาํา ไปสเ่้ ปา้ หมาย รวมถง่ ขอ้ มล้ สาํา คญ่ั ทจ่ี ะตอ้ งเกบ็ ได้ หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 313

เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชา การติดตามประเมินผลโครงการหรือกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับประชาชนในพ้้นท่่ 314 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 315

316 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 317

2. คณะ/สถาบัน/องค์กร 3. รหัสรายวิชา 4. ชื่อรายวิชา 5. ผู้รับผิดชอบรายวิชา 6. คําาอธิบายรายวิชา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย Module 9 กฎหมายส่งเสริมคุ้มครองสุขภาพและกฎหมาย กฎระเบียบท่ีเกี่ยวข้องกับการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ ดร.ศิวนุช สร้อยทอง และ อาจารย์เคท ครั้งพิบูลย์ กฎหมายส่งเสริมคุ้มครองสุขภาพด้านสาธารณสุขในภารกิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเร่่องโรคไม่ติดต่อหลักกฎหมายว่าด้วยสิทธิใน สุขภาพดีสําาหรับทุกคน (heath for all) อันนําาไปสู่สุขภาวะที่ดี (well-being) ตามกฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายไทย กฎหมาย ระหว่างประเทศด้านสาธารณสุข และกฎบัตรออตโตวากฎหมายไทยด้านสาธารณสุข ข้อกฎหมายในภารกิจการทําางานควบคุมโรคไม่ติดต่อ ขององค์กรส่วนท้องถิ่น ภารกิจส่งเสริม/ป้องกัน ภารกิจควบคุม/ตรวจสอบข้อควรระวังการละเมิดกฎหมาย ข้อกฎหมายในภารกิจของ หน่วยงานอ่่นที่เกยี่ วข้อง ยกตัวอย่างกรณีศึกษาในการปรับใช้กฎหมาย/นโยบาย เพ่อ่ ดําาเนินงาน 1. ช่ือหลักสูตร หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ สําาหรับผู้นําาท้องถิ่น ประมวลรายวิชา (Course Syllabus) 318 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

7. วัตถุประสงค์รายวิชา เพ่่อให้มีความรู้ความเข้าใจบทบาทความสําาคัญของระเบียบและกฎหมายระดับต่างๆ ต่อการพัฒนาระบบสุขภาพและการส่งเสริมสุข ภาพท้องถ่ิน การป้องกันโรคไม่ติดต่อ การใช้กฎหมายและการรักษาไว้ซึ่ึ่งกฎหมายในการสนับสนุนและส่งเสริมสิทธิทางสุขภาพกับ ประชาชนทุกกลมุ่ เม่่อสิ้นสุดการฝึึกอบรมแล้วผู้เู้ ข้ารับการฝึึกอบรมสามารถ 1) มีความรู้และความเข้าใจหลักกฎหมายและกฎหมายท่ีเกย่ี วข้อง 2) มีความรู้ความเข้าใจบทบาทความสําาคัญของระเบียบและกฎหมายระดับต่างๆ ต่อการพัฒนาท้องถ่ิน ต่อการใช้กฎหมายและการ รักษาไว้ซึ่ึ่งกฎหมายในการสนับสนุนและส่งเสริมสิทธิทางสุขภาพกับประชาชนทุกกลุ่ม 8. สังเขปเนื้อหา Module หัวข้อ จําานวนเวลา 9 กฎหมายด้านสาธารณสุขในภารกิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 1. หลักกฎหมายว่าด้วยสิทธิในสุขภาพดีสําาหรับทุกคน (heath for all) อันนําาไปสู่สุขภาวะที่ดี (well-being) ตามกฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายไทย 1.1 กฎหมายระหว่างประเทศด้านสาธารณสุข และกฎบัตรออตตาวา 1.2 กฎหมายไทยด้านสาธารณสุข 2. ข้อกฎหมายในภารกิจการทําางานควบคุมโรคไมต่ ิดต่อ ขององค์กรส่วนท้องถิ่น 2.1 ภารกิจส่งเสริม/ป้องกัน 2.2 ภารกิจควบคุม/ตรวจสอบ 2.3 ข้อควรระวังการละเมิดกฎหมาย 3. ขอ้ กฎหมายในภารกจิ ของหนว่ ยงานอน่่ ทเี่ กยี่ วขอ้ ง กบั 1.2 (อาทิ ภารกจิ ดา้ นสวสั ดกิ ารคนเปราะบาง ภารกจิ ด้านการรับรองสถานะบุคคล เป็นต้น) 4. กรณีศึกษาในการปรับใช้กฎหมาย/นโยบาย เพ่อ่ ดําาเนินงาน 1 ชั่วโมง 9. การจัดการเรียนการสอน บรรยายและอภิปราย หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 319

10. อุปกรณ์ส่ือการสอน 11. การวัดและประเมินผล 12. การประเมินผลการสอน 13. เอกสารอ้างอิง 1) เอกสารประกอบการบรรยาย 2) PowerPoint 1) การมีส่วนร่วมในชั้นเรียน 2) เวลาเรียน 1) ประเมินผู้ลสัมฤทธิ์ในการเรียน (ข้อ 11) 2) ประเมินโดยใช้แบบประเมินการสอน 80 % 20 % อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://www.cigna.co.th/health-wellness/tip/กลุ่มโรคไม่ติดต่อ-ncds-ภัยร้ายใกล้ตัว-น่ากลัวกว่าท่ีคิด ข้อ 17 แห่งกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2562 บัญญัติว่า “กองโรคไม่ติดต่อ มีหน้าที่และอําานาจดังต่อไปนี้ (1) ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย และพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านการเฝึ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคไม่ติดต่อท่ีมีสาเหตุหร่อปัจจัยกําาหนดที่เกี่ยวเน่่อง กับการบาดเจ็บ พฤติกรรมและสังคม พันธุกรรม และระบบบริการที่ไม่เหมาะสม (2) กําาหนดและพัฒนามาตรฐานเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และรูปแบบการดําาเนินงานในการเฝึ้าระวังป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อที่มีสาเหตุหร่อปัจจัยกําาหนด ที่เกี่ยวเน่่องกับการบาดเจ็บ พฤติกรรม และสังคม พันธุกรรม และระบบบริการที่ไม่เหมาะสม (3) ถา่ ยทอดองคค์ วามรแู้ ละเทคโนโลยดี า้ นการเฝึา้ ระวงั ปอ้ งกนั และควบคมุ โรคไมต่ ดิ ตอ่ ทมี่ สี าเหตหุ รอ่ ปจั จยั กาํา หนดทเี่ กย่ี วเนอ่่ งกบั การบาดเจบ็ พฤตกิ รรม และสังคม พันธุกรรม และระบบบริการ ท่ีไม่เหมาะสม (4) ประสานและสนับสนุนการพัฒนาระบบ กลไก และเคร่อข่ายการเฝึ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคไม่ติดต่อ ท่ีมีสาเหตุหร่อปัจจัยกําาหนดที่เกี่ยวเน่่อง กับการบาดเจ็บ พฤติกรรมและสังคม พันธุกรรม และระบบบริการที่ไม่เหมาะสม (5) เป็นศูนย์ข้อมูลและประสานงานการเฝึ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคไม่ติดต่อ ที่มีสาเหตุหร่อปัจจัยกําาหนดที่เกี่ยวเน่่องกับการบาดเจ็บ พฤติกรรมและ สังคม พันธุกรรม และ ระบบบริการที่ไม่เหมาะสม (6) ปฏิบัติงานร่วมกับหร่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอ่่นท่ีเกี่ยวข้อง หร่อที่ได้รับ มอบหมาย” อ่านเพ่ิมเติมได้ที่ https://ddc.moph.go.th/uploads/ckeditor2/ethg/file/ministerial_ddc.pdf อ่านเพิ่มเติมได้ท่ี http://advisor.anamai.moph.go.th/main.php?filename=JHealthVol21No3_11 อ่านเพ่ิมเติมได้ที่ https://www.senate.go.th/view/122/กฎหมายด้านสาธารณสุข/TH-TH อ่านเพ่ิมเติมได้ที่ http://www.dla.go.th/servlet/TemplateOrganizeServlet?organize=ph 320 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

กฎหมายส่งเสริมคุ้มครองสุขภาพและกฎหมาย กฎระเบียบที่เก่ียวข้องกับการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ ประเด็็นสำําคััญกฎหมยเพื่่อสำุขภพื่ด็ี กับองคั์กรปกคัรองสำ่วนท้้องถิ่่น  สิทธิในสุขภาพดี เป็นสิทธิมนุษยชน ซึ่ึ่งเป็นเร่่องสากลทีย่ อมรับกันทั่วโลก  สิทธิในสุขภาพดี “สาํา หรับมนุษย์ทุกคน” ไม่ว่าจะเช่้อชาติไหน สัญชาติไหน ถ่อเอกสารอะไร !  สิทธิในสุขภาพดี ไม่่ใช่่แค่่ เร่่องหลักประกันสุขภาพ - การเข้าถึงบริการสาธารณสุข (Health Access) - การมีหลักประกันสุขภาพ (Health Gurantee) - การมีใบรับรองแพทย์ (Health Fufillment) - การมีสุขภาวะที่ดีรอบด้าน (Health Utility) กรเข้ถิ่ึงบร่กรสำธรณสำุข (Health Access)  หลักประกันสุขภาพ ไม่ไดม้ ีเฉพาะคนที่มี ID สัญชาติไทยเท่านั้น (ไม่ใช่เฉพาะบัตรประชาชนไทย)  มนุษย์ทุกคนมีสิทธิในหลักประกันสุขภาพได้ กล่าวค่อ 1. แบบได้เปล่าโดยรัฐ : คนที่มีความกลมกลน่ กับประเทศไทย (socialized people) 2. แบบร่วมจ่ายโดยรัฐ (ราคาถูก) : คนที่มีส่วนร่วมในการสร้างสังคม (social contribution) 3. แบบร่วมจ่ายโดยเอกชน : ตามเจตนาของคนแต่ละคน กรมีหลัักประกันสำุขภพื่ (Health Gurantee) ดร.ศิวนุช สร้อยทอง และ อาจารย์เคท คร้ังพิบูลย์ 1. กองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (UC) 2. กองทุนบุคคลที่มปี ัญหาสถานะและสิทธิ (ท.99) - มติครม. 23 ธันวาคม 2553 และ มติครม. 20 เมษายน 2558 3. กองทุนสวัสดิการการรักษาพยาบาลข้าราชการ (เบิกจ่ายตรง) หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 321

4. กองทุนประกันสังคม 5. กองทุนประกันชีวิต 6. กองทุนแรงงานต่างด้าวในระบบประกันสังคม (เมียนมา/ลาว/กัมพูชา) 7. กองทุนคนต่างด้าวนอกระบบประกันสังคม - มติครม. 15 มกราคม 2556 8. กองทุนสังคมสงเคราะห์ของโรงพยาบาล (ขออนุเคราะหค์ ่ารักษาพยาบาล) กรมีใบรับรองแพื่ท้ย์ (Health Fufillment)  พ่้นฐาน การดูแลให้คนได้รับรองสิทธิตั้งแต่เกิด จนตาย - สิทธิในการจดทะเบียนการเกิด - สิทธิในการได้รับวัคซึ่ีนของเด็กวัยเยาว์ - สิทธิในหลักประกันสุขภาพ - สิทธิในเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด - สิทธิในกองทุนคุ้มครองเด็ก กรมสำี ุขภวะท้ด็ี ีรอบด็้น (Health Utility) ภรก่จสำุขภวะองคั์รวมท้ีสำําคััญ  โรคไม่ติดต่อมักเกิดจาก “พฤติกรรมด้านสุขภาพท่ีผู้ิดพลาด” มายาวนานต่อเน่อ่ ง  คนส่วนหน่ึงป่วยหนัก เพราะไม่เคยเข้าสู่บริการสาธารณสุขตามมาตรฐานเลย  การดูแลจึงต้องเริ่มตั้งแต่ในครรภ์มารดา จนสิ้นอายุขัย (คนเกิด - คนป่วย - คนตาย) 322 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชา กฎหมายส่งเสริมคุ้มครองสุขภาพและกฎหมาย กฎระเบียบท่ีเก่ียวข้องกับการป้องกัน ควบคุมโรคไม่ติดต่อ หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 323

324 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 325

326 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

ประมวลรายวิชา (Course Syllabus) 1. ชื่อหลักสูตร หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ สําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 2. คณะ/สถาบัน/องค์กร 3. รหัสรายวิชา 4. ชื่อรายวิชา 5. ผู้รับผิดชอบรายวิชา 6. คําาอธิบายรายวิชา 7. วัตถุประสงค์รายวิชา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย Module 9.1 งบประมาณ การเงิน และการจัดซึ่่้อจัดจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน อาจารย์พงษ์ศักด์ิ กวีนันทชัย การตั้งงบประมาณ การจัดซึ่อ้่ จัดจ้าง และการเบิกจ่ายเงินทเ่ี กยี่ วข้องกับการป้องกันควบคุมโรค เม่่อสิ้นสุดการฝึึกอบรมแล้วผู้เู้ ข้ารับการฝึึกอบรมสามารถ 1) มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจการตง้ั งบประมาณ การจดั ซึ่อ้่ จดั จา้ ง และการเบกิ จา่ ยเงนิ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การปอ้ งกนั ควบคมุ โรคในเบ่้องต้น 2) ปฏบิ ตั งิ านในดา้ นงบประมาณ การจดั ซึ่อ้่ จดั จา้ ง และการเบกิ จา่ ยเงนิ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การปอ้ งกนั ควบคมุ โรค ได้อย่างถูกต้องตามระเบียบ และหนังส่อสั่งการ หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 327

8. สังเขปเน้ือหา Module 9. การจัดการเรียนการสอน 10. อุปกรณ์ส่ือการสอน 11. การวัดและประเมินผล 12. การประเมินผลการสอน 13. เอกสารอ้างอิง หัวข้อ จําานวนเวลา 9.1 งบประมาณ การเงิน และการจัดซึ่่้อจัดจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  การตั้งงบประมาณ การจัดซึ่่้อจัดจ้าง และการเบิกจ่ายเงินทเี่ กยี่ วข้องกับการป้องกันควบคุมโรค 2 ชั่วโมง บรรยาย ตอบข้อซึ่ักถาม 1) เอกสารประกอบการบรรยาย 2) PowerPoint 1) การมีส่วนร่วมในช้ันเรียน 2) เวลาเรียน 80 % 20 % ประเมินโดยใช้แบบประเมินการจัดการเรียนการสอน กฎหมายว่าด้วยการจัดซึ่่้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ระเบยี บกระทรวงมหาดไทย วา่ ดว้ ยการรบั เงนิ การเบกิ จา่ ยเงนิ การฝึากเงนิ การเกบ็ รกั ษาเงนิ และการตรวจเงนิ ขององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ พ.ศ. 2547 และทแ่ี กไ้ ขเพม่ิ เตมิ ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินอุดหนุนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2559 และที่แก้ไขเพ่ิมเติม ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยค่าใช้จ่ายเพ่่อช่วยเหล่อประชาชนตามอําานาจหน้าท่ีขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการบริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2562 ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยวิธีการงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน พ.ศ. 2563 ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการจัดงาน การจัดกิจกรรมสาธารณะ การส่งเสริมกีฬาและการแข่งขันกีฬาขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน พ.ศ. 2564 หนังส่อคณะกรรมการวินิจฉัยการจัดซึ่้่อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ด่วนท่ีสุด ท่ี กค (กวจ.) 0405.2/ว 119 ลว. 7 มี.ค. 2561 เร่่อง แนวทางการปฏิบัติในการ ดําาเนินการจัดหาพัสดุท่ีเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน ค่าใช้จ่าย ในการฝึึกอบรม การจัดงาน และการประชุม ของหน่วยงานของรัฐ 328 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

งบประมาณ การเงิน และการจัดซื้ื้อจัดจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาจารย์พงษ์ศักดิ์ กวีนันทชัย การตั้งงบประมาณ การเงิน และการจัดซึ่้่อจัดจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดังน้ี 1. หลักเกณฑ์ และวิธีการในการจัดทําางบประมาณรายจ่ายประจาํา ปี งบประมาณรายจ่ายเพมิ่ เติม การโอนและแก้ไขเปลี่ยนแปลงงบประมาณ - รายจ่ายตามแผู้นงาน รายจ่ายตามแผู้นงาน จําาแนกเป็นสองลักษณะ คอ่ (1) รายจ่ายประจําา ประกอบด้วย (ก) งบบคุ ลากร หมายถงึ รายจา่ ยทกี่ ําาหนดใหจ้ า่ ยเพอ่่ การบรหิ ารงานบคุ ลากรทอ้ งถนิ่ ไดแ้ ก่ รายจา่ ยทจี่ า่ ยในลกั ษณะเงนิ เดอ่ น คา่ จา้ งประจําา และคา่ จา้ งชว่ั คราว (ข) งบดําาเนนิ งาน หมายถงึ รายจา่ ยทก่ี ําาหนดใหจ้ า่ ยเพอ่่ การบรหิ ารงานประจําา ไดแ้ ก่ รายจา่ ยทจี่ า่ ยในลกั ษณะคา่ ตอบแทน คา่ ใชส้ อย คา่ วสั ดุ และคา่ สาธารณปู โภค (ค) งบเงนิ อดุ หนนุ หมายถงึ เงนิ ทอี่ งคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ ตงั้ งบประมาณอดุ หนนุ ใหแ้ กห่ นว่ ยงานทขี่ อรบั เงนิ อดุ หนนุ เพอ่่ ใหด้ ําาเนนิ การตามภารกจิ ทอี่ ยใู่ นอําานาจ หน้าท่ีขององค์กรปกครองส่วนท้องถน่ิ ตามกฎหมาย (ง) งบรายจ่ายอ่่น หมายถึง รายจ่ายที่ไม่เข้าลักษณะประเภทงบรายจ่ายใดงบรายจ่ายหน่ึง หร่อรายจ่ายที่กําาหนดให้ใช้จ่ายในงบรายจ่ายนี้ (2) รายจา่ ยเพอ่่ การลงทนุ ไดแ้ ก่ งบลงทนุ ซึ่งึ่ เปน็ รายจา่ ยในลกั ษณะคา่ ครภุ ณั ฑ์ คา่ ทด่ี นิ และสงิ่ กอ่ สรา้ ง รวมถงึ รายจา่ ยทก่ี ําาหนดใหจ้ า่ ยจากงบรายจา่ ยอน่่ ใดในลกั ษณะ รายจ่ายดังกล่าว - เงินสําารองจ่าย องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ จะกําาหนดใหม้ เี งนิ สําารองจา่ ยในงบกลาง เพอ่่ กรณฉี กุ เฉนิ ทมี่ เี หตสุ าธารณภยั เกดิ ขน้ึ หรอ่ กรณกี ารปอ้ งกนั และยบั ยงั้ กอ่ นเกดิ สาธารณภยั หร่อ คาดว่าจะเกิดสาธารณภัย หรอ่ กรณีฉุกเฉินเพ่อ่ บรรเทาปัญหาความเดอ่ ดร้อนของประชาชนเป็นส่วนรวมได้ การใช้เงินสําารองจ่ายตามวรรคหนึ่งเป็นอําานาจของผูู้้บริหารท้องถนิ่ หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 329

2. การตั้งงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอุดหนุนหน่วยงานอ่น่ ท่ีมีหน้าท่ีเกย่ี วข้องกับการป้องกันควบคุมโรคไมต่ ิดต่อ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอาจอุดหนุนเงินให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอ่่น ส่วนราชการ องค์กรรัฐวิสาหกิจ (ไฟฟ้า ประปา องค์การจัดการนํา้าเสีย) องค์กร ประชาชน องคก์ รทางศาสนา และองคก์ รการกศุ ล เพอ่่ ดําาเนนิ การตามอําานาจหนา้ ทขี่ ององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ ผู้ใู้ หเ้ งนิ อดุ หนนุ และอยใู่ นอําานาจหนา้ ทขี่ องหนว่ ยงานทขี่ อรบั เงินอุดหนุน โดยประชาชนในพ่้นท่ีองค์กรปกครองส่วนท้องถิน่ ผูู้้ให้เงินอุดหนุนต้องได้รับประโยชน์ 3. การเบิกค่าใช้จ่ายในการบริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิน่ สามารถเบิกค่าใช้จ่ายในการบริหารงานได้ตามรายการทรี่ ะเบียบฯ กาํา หนด และห้ามมิให้เบิกจ่ายรายการที่ระเบียบฯ ห้ามเบิกจ่าย 4. การเบิกค่าใช้จ่ายในการจัดงาน การจัดกิจกรรมสาธารณะ การจัดการแข่งขันกีฬา และการส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันขององค์กรปกครองส่วนท้องถนิ่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถเบิกค่าใช้จ่ายในการจัดงาน การจัดกิจกรรมสาธารณะ การจัดการแข่งขันกีฬา และการส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันกีฬา ทั้งในกรณีท่ีองค์กรปกครองส่วนท้องถิน่ จัดเอง หร่อจัดร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอ่่น หร่อจัดร่วมกับหน่วยงานอ่่น 5. ค่าใช้จ่ายในการช่วยเหล่อประชาชนตามอําานาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถนิ่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถดําาเนินการช่วยเหล่อประชาชนได้ใน 4 ด้าน ค่อ ด้านสาธารณภัย ด้านการส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ด้านการ ป้องกันและระงับโรคติดต่อ และการช่วยเหลอ่ เกษตรกรผูู้้มีรายไดน้ ้อย 6. การจัดหาพัสดุในการบริหารงาน การจัดงาน และการฝึึกอบรม ขององค์กรปกครองส่วนท้องถน่ิ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถจัดหาพัสดุในการบริหารงาน การจัดงาน และการฝึึกอบรม ท่ีมีวงเงินในการจัดหาครั้งหนึ่งไม่เกิน 10,000 บาท โดยไม่ต้องทําา รายงานขอซึ่อ่้ ขอจ้าง ให้เจ้าหน้าท่ีพัสดุ หรอ่ ผูู้้ได้รับมอบหมายดําาเนินการจัดซึ่อ่้ จัดจ้างไปก่อน แล้วทาํา รายงานขอความเห็นชอบผู้บู้ ริหารท้องถิ่น ภายใน 5 วันทําาการ ถ้าผูู้้บริหาร ทอ้ งถนิ่ ใหค้ วามเหน็ ชอบแลว้ ใหถ้ อ่ วา่ รายงานดงั กลา่ วเปน็ หลกั ฐานการตรวจรบั โดยอนโุ ลม สว่ นรายการทไ่ี มต่ อ้ งทําาการจดั ซึ่อ่้ จดั จา้ ง ไดแ้ ก่ คา่ อาหารวา่ งและเครอ่่ งดม่่ คา่ อาหาร ค่าตอบแทนวิทยากร และค่าเช่าท่ีพัก 7. การเบิกจ่ายเงิน การย่มเงิน การกันเงิน และการกันเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถนิ่ ในกรณีท่ีองค์กรปกครองส่วนท้องถิน่ จัดการฝึึกอบรมจัดงานหร่อจัดประชุมเจ้าหน้าที่ผูู้้รับผู้ิดชอบสามารถย่มเงินค่าอาหารว่างและเคร่่องด่่มค่าอาหารค่าตอบแทน วิทยากรและค่าเช่าท่ีพักไปจ่ายก่อนได้ เม่่อเสร็จส้ินโครงการจึงนาํา หลักฐานในการจ่ายเงินมาส่งใช้เงินยม่ 330 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชา งบประมาณ การเงิน และการจัดซื้ื้อจัดจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน งบประมาณ การเงิน และการจัดซื้อจัดจาง ขององคกรปกครองสวนทองถิ่น หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 331

332 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 333

334 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 335

336 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 337

338 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 339

340 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 341

342 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 343

344 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 345

346 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 347

348 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 349

350 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 351

352 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 353

354 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 355

356 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

ประมวลรายวิชา (Course Syllabus) 1. ช่ือหลักสูตร 2. คณะ/สถาบัน/องค์กร 3. รหัสรายวิชา 4. ชื่อรายวิชา 5. ผู้รับผิดชอบรายวิชา 6. คําาอธิบายรายวิชา หลักสูตรและชุดเครื่องมือการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ สําาหรับผู้นําาท้องถิ่น กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถ่ิน กระทรวงมหาดไทย Module 10 การใช้และการพัฒนาสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลในชุมชน อาจารย์ขวัญรักษ์ เม้งตระกูล ความเปลยี่ นแปลงของการสอื่ สารในยคุ ตน้ ศตวรรษที่ 21 เปลยี่ นไปอยา่ งสนิ เชงิ เมอื่ พฒั นาการของเทคโนโลยกี ารสอื่ สารปรบั ทกุ ชอ่ งทางสอ่ื มาอยใู่ นโทรศพั ทเ์ คลอ่ื นทห่ี รอื โทรศพั ทม์ อื ถอื ขอ้ มลู ของสาํา นกั งานสถติ แิ หง่ ชาติ ระบวุ า่ การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สารในครวั เรอื น พ.ศ. 2559 พบว่า ในจําานวนประชากรอายุ 6 ปีข้นไป ประมาณ 62.8 ล้านคน มีผูู้้ใช้โทรศัพท์มือถือสมาร์ตโฟน มากถ้ง 31.7 ล้านคน (ร้อยละ 50.5) โดยมีอัตราการใช้เพม่ิ ข้นอย่างต่อเนอื่ งนับตังแต่ ปี พ.ศ. 2555 ท่ีมีเพียง 5 ล้านคน หรือ (ร้อยละ 8.0) ส่วนกิจกรรมที่ทําา ส่วนใหญ่ผู้่านสมาร์ตโฟน คือ โซเชียลเน็ตเวิร์ก (ร้อยละ 91.5) ดาวน์โหลด หนัง เพลง (ร้อยละ 88.0) ใช้อัพโหลดข้อมูล (ร้อยละ 55.9) และ ตดิ ตามขา่ วสาร (รอ้ ยละ 46.5) ซง้่ จากผู้ลการสําารวจจะเหน็ วา่ ดจิ ทิ ลั ไดเ้ รมิ่ เขา้ มาเปน็ สว่ นหนง้่ ในชวี ติ ประจําาวนั ของทกุ คน เปน็ เหตใุ หพ้ ฤตกิ รรม การสื่อสารของประชาชนเปล่ียนไป การรับฟังข่าวสาร ไม่ใช่การฟังรายการวิทยุ ดูโทรทัศน์ หรืออ่านหนังสือพิมพ์ ภููมิทัศน์ของส่ือไทย เปล่ยี นแบบพลิกฝ่่ามือในช่วงปี พ.ศ. 2560 - 2563 จนช่องทางการส่อื สารผู้่านรายการวิทยุ โทรทัศน์ หรือหนังสือพิมพ์ ถูกเรียกว่าเป็น “สอ่ื รปู แบบเดมิ ” หรือ traditional media ขณะที่สอื่ รูปแบบใหม่ หรือ new media ทะยานข้นมาเป็น ปฏิิบัติการส่วนบุคคล (platform) จนถกู เรยี กขานวา่ เปน็ media disruption หรอื digital disruption คอื การแทนทก่ี ารสอ่ื สารดว้ ยชอ่ งทางแบบใหม่ มผู้ี ลกระทบหลายประการ หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 357

7. วัตถุประสงค์รายวิชา ต่อวงการสอ่ื สารมวลชน ไมว่ า่ จะเปน็ การลดจาํา นวนบคุ ลากรในวงการ เชน่ ผู้สู้ อ่ื ขา่ วลดจาํา นวนลง ลดจาํา นวนการผู้ลติ ปดิ ตวั ธรุ กจิ สง่ิ พมิ พ์ เปลย่ี นชอ่ งทาง การเผู้ยแพร่ออกอากาศ เป็นต้น ความเปลีย่ นแปลงดังกล่าว มีเหตุส่วนหน้่งมาจากการปรับตัวของผูู้้รับสาร (ผูู้้ฟัง ผูู้้อ่าน ผูู้้ดู) เป็นผูู้้ส่งสารเสียเอง ผู้ลิตสาร หรือ message เนอื หา หรอื content ไดด้ ว้ ยตนเอง หาทางเผู้ยแพรเ่ นอื หาผู้่านแอปพลเิ คชนั ใหม่ ๆ ที่ได้รบั ความนยิ ม เชน่ Facebook, Youtube, TikTok, Line, Clubhouse เป็นต้น ทําาให้การเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการสอื่ สารได้รับความนิยมเพิ่มมากข้นตามไปด้วย เมื่อสินสุดการฝ่ึกอบรมแล้วผูู้้เข้ารับการฝ่ึกอบรมสามารถ 1) เข้าใจรูปแบบการเปลี่ยนแปลงของสื่อในยุคปัจจุบัน 2) จับประเด็น รวบรวมเรื่องราว สรุปประเด็นสําาคัญ และนําามาส่ือสารให้กลุ่มเป้าหมายเข้าใจ ไปจนถ้งการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม การดําาเนินชีวิตให้ปลอดภูัย 3) เลือกใช้แอปพลิเคชั่นท่ีมีในปัจจุบันผู้ลิตเนือหาเก่ียวกับการดําาเนินการโรคไม่ติดต่อได้ในเบืองต้น 8. สังเขปเนื้อหา Module 10 หัวข้อ จําานวนเวลา 1 ชั่วโมง 9. การจัดการเรียนการสอน 10. อุปกรณ์สื่อการสอน 11. การวัดและประเมินผล 1) บรรยายพร้อมตัวอย่าง 2) ทดลองผู้ลิตสื่อรูปแบบใหม่ การใช้และการพัฒนาสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลในชุมชน 1) เอกสารประกอบการบรรยาย 2) PowerPoint 3) โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์เสริมเพ่ือการถ่ายทําา 1) การมีส่วนร่วมในชันเรียน 80 % 2) เวลาเรียน 20 % 358 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

12. การประเมินผลการสอน ประเมินผู้ลสัมฤทธิ์ในการเรียน (ข้อ 11) 13. เอกสารอ้างอิง ภููมิทัศน์ส่ือไทยปี 2564 การแข่งขันและเอาตัวรอดของส่ือในยุคโควิด-19 (Info Quest Media 2021) สําานักงานสถิติแห่งชาติ. การใช้สมาร์ทโฟนของคนไทย. หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 359

การใช้และการพััฒนาสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลในชุมชน 1. การใช้้สื่่อตามหลัักการสื่่อสื่าร อาจารย์ขวัญรักษ์ เม้งตระกูล การสื่อสารมีคําานิยามทีห่ ลากหลายจากผู้ลการศก้ ษาของ “ผูู้้ร”ู้ ทางวิทยาศาสตร์ สังคม ปรัชญา การตลาด ด้านเศรษฐศาสตร์ ให้ไว้อย่างหลากหลาย แต่เมอ่ื รวมความ แล้วได้หลักการส่ือสารในรูปแบบทเี่ ข้าใจได้ง่าย คือ การส่ือสารต้องมีผูู้้ส่งสาร (sender) สาร (message) ช่องทาง (channel) และ ผูู้้รับสาร (receiver) โดยในแต่ละองค์ประกอบมีความหมายสําาคัญของการทําาหน้าที่ต่างกัน ผูู้้ส่งสาร (sender) ตามทฤษฎีี คือ ผูู้้ทเ่ี ป็นเจ้าของเร่ือง หรือเจ้าของสารท่ีต้องการสือ่ ออกไปให้ผูู้้รับจําานวน 1 คน หรือมากกว่า 1 คน ไดร้ ับทราบ ปัจจุบันเป็นรูปแบบของ หน่วยงานที่ต้องการส่ือสารผู้่านผูู้้บริหารของหน่วยงาน กรณที ี่ไม่ต้องการเปิดเผู้ยชื่อหรือหน่วยงานของผูู้้ส่งสาร อาจมีการเรียกด้วยคําาท่ีมีนัยว่า “แหล่งข่าว” สาร (message) คือ เนอื หา ข้อความ ความรู้ ผู้ลการศ้กษาวจิ ัย โครงการ ที่ต้องการให้ผูู้้รับสาร หรือ ประชาชนทราบความเคลอื่ นไหว การเปลยี่ นแปลง หรืองานเชิง ป้องกัน คือ ส่งสารที่ระบุความสําาคัญ ข้อดีข้อเสีย เป็นต้น ช่องทางการสื่อสาร (channel) เป็นไปตามการเปล่ียนยุคสมัย ไม่เปล่ียนเป้าหมาย คือ บุคคลสู่บุคคล กับ บุคคลหรือหน่วยงานสู่สาธารณชน โดยอย่างหลังทําาให้ ชอ่ งทางการสอื่ สารมพี ฒั นาการมาเปน็ ลําาดบั จากการบอกเลา่ แบบหนง่้ ตอ่ หนง่้ มาเปน็ การสอ่ื สารสมู่ วลชน ซง้่ ตอ้ งใชค้ นกลาง คอื “สอ่ื มวลชน” หรอื ใชส้ อ่ื กลางทสี่ ามารถกระจาย เผู้ยแพรค่ วามรขู้ า่ วสารไปสผูู้่ รู้ บั สารจําานวนมาก ซง่้ มกี ารเปลยี่ นแปลงจากสอื่ เกา่ คอื โทรทศั น์ วทิ ยุ หนงั สอื พมิ พ์ หรอื สงิ่ พมิ พอ์ น่ื ๆ มาเปน็ รปู แบบของการสอื่ สารระบบออนไลน์ ท่ีพัฒนามาจากการส่งสารระหว่างบุคคลแบบภูายในองค์กร ขยายสู่การสอื่ สารระหว่างบุคคลแบบไร้สายไร้พรมแดน อาทิ อีเมล ด้วยระบบอินเทอร์เน็ต ปัจจบุ ัน ช่องทางการสื่อสารถูกเรียกว่าเป็นการใช้ “สื่อใหม่” หรือ new media คือ มีการส่งสารไดท้ ังแบบบุคคลต่อบุคคล หรือบุคคลสู่กลุ่มบุคคล ที่จําากัดวงผูู้้รับสาร มรี ะบบสมาชกิ /ลงทะเบยี น กบั แบบไมจ่ ําากดั วงผู้รู้ บั สาร ไมต่ อ้ งลงทะเบยี น ไมต่ อ้ งเปน็ สมาชกิ ทางตรง แตต่ อ้ งเปน็ สมาชกิ ของบรกิ ารอนิ เทอรเ์ นต็ จง้ จะสามารถรบั บรกิ ารรปู แบบ ออนไลน์ได้ ผู้รู้ บั สาร (receiver) สามารถเปน็ ผู้รู้ บั สาร 1 คน หรอื มากกวา่ 1 คน หรอื เปน็ กลมุ่ เปา้ หมายทค่ี ดั สรรตามเพศ วยั ครอบครวั สถานภูาพทางสงั คม หากเปน็ จาํา นวนมาก ๆ จะเป็นการสื่อสารสสู่ าธารณะเพ่ือให้คนจําานวนมากได้ทราบความสาํา คัญของสาร 360 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

2. รูปแบบ การสื่ร้างเนื้่อหา เรยี นรถู้ ง้ การแตกแนวคดิ ประเดน็ ทตี่ อ้ งการสอื่ สารใหเ้ ขา้ กบั กลมุ่ เปา้ หมาย หากไมส่ ามารถสรา้ งรปู แบบการนําาเสนอได้ จําาเปน็ ตอ้ งหาผู้เู้ ชยี่ วชาญดา้ นการสอื่ สารทมี่ อี ยใู่ น พนื ทม่ี าชว่ ยสรา้ ง หลายครงั ทเ่ี นอื หาของทางวชิ าการหรอื สาระของสว่ นราชการมคี วามยาก ผู้รู้ บั สารหรอื ประชาชนไมส่ ามารถยอ่ ยสารใหเ้ ขา้ ใจไดง้ า่ ย จําาเปน็ ตอ้ งหารปู แบบ เชน่ การใช้ภูาพประกอบเสียงหรือตัวหนังสือ หรือการใช้ภูาพการต์ ูนอธิบาย หรือใช้สัญลักษณท์ ี่เป็นภูาษาสากลเข้าใจง่าย สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย 3. การใช้้เทคโนื้โลัยีีเพื่่อพื่ัฒนื้าการสื่่อสื่ารในื้ชุ้มช้นื้ โดยการสร้างสารแบบใหม่ อาจมีขันตอนเพมิ่ ข้น หากต้องการใหม้ ีสีสันควรทําาสารข้นเอง ด้วยการใช้เทคโนโลยีในปัจจุบัน ซ้่งสามารถถ่ายทําาเรื่องราวผู้่านโทรศัพท์มือถือ ไม่จําาเป็นต้องใช้กล้องบันท้กภูาพเคลือ่ นไหว (กล้องวดี ิโอ) ขนาดใหญอ่ ีกต่อไป เนอื่ งจากปัจจบุ ันมีแอปพลิเคชันใหม่ ๆ ที่เหมาะกับการตัดต่อ ลงเสียงภูาพ พิมพ์ตัวหนังสือใส่ใน เนือหาไดท้ ันที เช่น KineMaster หรือ snapseed เป็นต้น 4. การเลั่อกใช้้ช้่องทางการสื่่อสื่ารใหท้ ันื้กับปัจจุบันื้ ปัจจุบันภููมิทัศน์ของสื่อ (media landscape) มีมากข้น การเลือกใช้ส่ือมีหลากหลาย เพราะผูู้้ส่งสารสามารถผู้ลิตสารสร้างสื่อได้เอง โดยไม่จําาเป็นต้องอาศัยการซือส่ือ หรอื การตดิ ตอ่ ผู้า่ นสอื่ มวลชนสายโทรทศั น์ วทิ ยุ หรอื หนงั สอื พมิ พ์ ที่เริ่มลดถอยลงไปมาก ยิ่งหลงั การเกดิ สถานการณว์ กิ ฤตทิ างการเมอื ง วกิ ฤตโิ รคระบาด การใช้ชอ่ งทางสอ่ื ตอ้ ง ลดการสัมผู้ัสหรือติดต่อโดยตรงระหว่างบุคคล ต้องใช้เป็นระบบออนไลน์ หรือ social media เช่น facebook, Line, Youtube, TikTok เพราะปัจจุบันบุคคลสามารถผู้ลิตสอ่ื และเผู้ยแพร่ได้เองในช่องทางท่ีระบุ หากสามารถสร้างเนอื หาให้โดดเด่นได้ จะเป็นที่สนใจของผูู้้รับสารจําานวนมาก และอาจเป็นช่องทางหารายได้ในหลายกรณี หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 361

เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชา การใช้และการพััฒนาสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลในชุมชน 362 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 363

364 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 365

366 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 367

ภาคผนวก หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 369

วัน/เดืือน/ปีี เวลา วิชา วัันอัังคารที่่ 3 สิิงหาคม 2564 08.50-9.00 น. พิิธี่เปิิด อับรม “หลัักสิูตรการปิอั้ งกันควับคุม โรคไมต่ ิดตอั่ (NCDs) สิําาหรับผูู้นําาที่อังถิ่ิน” รุ่นที่่ 1 อาจารย์์ผ้สอน ปิระธีานเปิิดปิระชุุม โดย นายปิระยูร รัตนเสิน่ย์ อัธีิบด่กรมสิ่งเสิริมการปิกครอังที่อังถิ่นิ กระที่รวังมหาดไที่ย มอับนโยบายการดําาเนินงานปิ้อังกันควับคุมโรคไมต่ ิดต่อั ใหผูู้นําาที่อังถิ่นิ ตารางสอนภาคทฤษฎี อบรม “หลัักสููตรการป้้องกันควบคุมโรคไมต่ ิดต่อ (NCDs) สูําาหรับผูู้นําาท้อ งถิ่ิน” รุ่นท้่ 1 (ผู้่านช่่องท้างออนไลัน์) ระหว่างวันท้่ 3 - 6 สูิงหาคม 2564 ภาคผนวก ก ตารางสอน 09.00 - 11.00 น. เสิวันาวัิชุาการ หวัั ข้อั “ที่ิศที่างการปิ้อังกันควับคุมโรคไมต่ ิดต่อัข้อัง ปิระเที่ศไที่ยแลัะควัามสิําาคัญข้อังที่อังถิ่ินกับ การจััดการโรคไมต่ ิดตอั่ ในยุค COVID-19” วัิที่ยากร - นพิ.กฤษฎา หาญบรรเจัิด ผูู้อัําานวัยการกอังโรคไม่ติดต่อั กรมควับคุมโรค - ดร.กติ ตพิิ งษ์ เกดิ ฤที่ธีิ ผู้อัู ําานวัยการกอังสิาธีารณสิขุ้ ที่อั งถิ่นิ กรม สิ่งเสิริมการปิกครอังที่อังถิ่ิน - นายสิรุ พิลั เธีย่ รสิตู ร นายกเที่ศมนตร่ เที่ศบาลัเมอัื งนา่ น จังั หวัดั นา่ น - นางจัันที่ร์ฉาย สิุภากาวั่ นายกเที่ศมนตร่ เที่ศบาลัตําาบลัวัังพิราวั จัังหวััดลัําาปิาง ผูู้ดําาเนินรายงาน - รศ. ดร.มณฑา เกง่ การพิานชุิ ภาควัชุิ าสิขุ้ ศกึ ษาแลัะพิฤตกิ รรมศาสิตร์ คณะสิาธีารณสิขุ้ ศาสิตร์ มหาวัที่ิ ยาลััยมหิดลั 11.00 - 12.00 น. โรคไมต่ ิดตอั่ แลัะหลัักการปิอั้ งกันควับคุม โรคไมต่ ิดตอั่ พิญ.จัุร่พิร คงปิระเสิริฐ รอังผูู้อัําานวัยการกอังโรคไม่ติดต่อั กรมควับคุมโรค 370 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

วัน/เดืือน/ปีี เวลา วิชา อาจารย์์ผ้สอน วัันอัังคารที่่ 3 สิิงหาคม 2564 (ต่อั) พิักกลัางวััน 13.00 - 14.00 น. ระบาดวัิที่ยาแลัะชุุดข้อัมูลัที่่ใชุในการวัิเคราะห์ สิถิ่านการณ์การปิอั้ งกันโรคไมต่ ิดต่อัในชุุมชุน ผู้ศ. ดร.ศุภวัรรณ มโนสิุนที่ร ข้าราชุการบําานาญ กรมควับคุมโรค กระที่รวังสิาธีารณสิุข้ 14.00 - 15.00 น. การปิระเมินสิถิ่านการณ์ปิัจัจััยเสิ่ยงแลัะปิัจัจััย กําาหนดข้อังสิุข้ภาพิชุุมชุน นพิ.พิงศเ์ ที่พิ วังศวั์ ชุั รไพิบลัู ย์ รอังผู้อัู าํา นวัยการกลัมุ่ ภารกจัิ ดา นปิฐมภมู ิ โรงพิยาบาลัน่าน 15.00 - 16.00 น. การจััดการสิงิ แวัดลัอัมเพิอัื ปิ้อังกันควับคุม โรคไมต่ ิดต่อั ผู้ศ. ดร.ศริยามน ติรพิัฒน์ สิถิ่าบันพิัฒนาสิุข้ภาพิอัาเซี่ยน มหาวัที่ิ ยาลััยมหิดลั วัน/เดืือน/ปีี เวลา วิชา อาจารย์์ผ้สอน วัันพิุธีที่่ 4 สิิงหาคม 2564 09.00 - 10.00 น. การสิรางเสิริมสิุข้ภาพิแลัะลัดควัามเสิ่ยง ปิ้อังกัน รศ. ดร.มณฑา เก่งการพิานิชุ ภาควัิชุาสิุข้ศึกษาแลัะพิฤติกรรม ควับคุมโรคไม่ติดต่อัในชุุมชุน ศาสิตร์ คณะสิาธีารณสิขุ้ ศาสิตร์ มหาวัที่ิ ยาลััยมหิดลั 10.00 - 11.00 น. อัาหารปิ้อังกันโรคไมต่ ิดต่อั ผู้ศ. ดร.ชุนิดา ปิโชุติการ นายกสิมาคมนักกําาหนดอัาหาร แห่งปิระเที่ศไที่ย อัาจัารย์ปิรารถิ่นา ตปิน่ย์ สิถิ่าบันโภชุนาการ มหาวัิที่ยาลััยมหิดลั 11.00 - 12.00 น. การอัอักกําาลังั กายแลัะกจัิ กรรมเคลัอัื นไหวัที่างกาย ลัดควัามเสิย่ งแลัะปิอั้ งกนั ควับคมุ โรคไมต่ ดิ ตอั่ ในชุมุ ชุน ผู้ศ.มนตชุ์ ัย โชุติดาวั รอังคณบดฝ่่ ่ายบริหาร วัิที่ยาลััยวัิที่ยาศาสิตร์แลัะเที่คโนโลัย่การก่ฬา มหาวัที่ิ ยาลััยมหิดลั พิักกลัางวััน 13.00 - 14.00 น. การลัดการบริโภคผู้ลัิตภัณฑ์ยาสิูบในชุุมชุน รศ. ดร.มณฑา เกง่ การพิานชุิ ภาควัชุิ าสิขุ้ ศกึ ษาแลัะพิฤตกิ รรมศาสิตร์ คณะสิาธีารณสิขุ้ ศาสิตร์ มหาวัที่ิ ยาลััยมหิดลั 14.00 - 16.00 น. กลัยุที่ธี์์การควับคุมการบริโภคสิุราในชุุมชุน นพิ.พิงศเ์ ที่พิ วังศวั์ ชุั รไพิบลัู ย์ รอังผู้อัู ําานวัยการกลัมุ่ ภารกจัิ ดา นปิฐม ภูมิ โรงพิยาบาลัน่าน นายสิรุ พิลั เธีย่ รสิตู ร นายกเที่ศมนตร่ เที่ศบาลัเมอัื งนา่ น จังั หวัดั นา่ น หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 371

วัน/เดืือน/ปีี เวลา วิชา อาจารย์์ผ้สอน วัันพิฤหัสิบด่ 5 สิิงหาคม 2564 09.00 - 11.00 น. งบปิระมาณ การเงิน แลัะการจััดซีือัจััดจัางข้อัง นายพิงษ์ศักดิ กวั่นันที่ชุัย ผูู้อัําานวัยการกลัุ่มงานการจััดสิรรเงิน อังค์กรปิกครอังสิ่วันที่อังถิ่ิน อัดุ หนนุ แลัะพิฒั นาระบบงบปิระมาณ กรมสิง่ เสิรมิ การปิกครอังที่อั งถิ่นิ 11.00 - 12.00 น. การสิรา งควัามรอับรดู า นสิขุ้ ภาพิ(HealthLiteracy) กับการปิอั้ งกันควับคุมโรคไมต่ ิดต่อัในชุุมชุน รศ. ดร.วัริ าพิรรณ วัโิ รจันร์ ตั น์ หวัั หนา ภาควัชุิ าการพิยาบาลัรากฐาน คณะพิยาบาลัศาสิตร์ มหาวัที่ิ ยาลััยมหิดลั พิักกลัางวััน 13.00 - 14.00 น. เที่คนิคการสิือัสิารเพิือัการสิรางเสิริมสิุข้ภาพิใน ชุุมชุน ผู้ศ. ดร.มลันิ ่ สิมภพิเจัรญิ ภาควัชุิ าสิขุ้ ศกึ ษาแลัะพิฤตกิ รรมศาสิตร์ คณะสิาธีารณสิขุ้ ศาสิตร์ มหาวัที่ิ ยาลัยั มหดิ ลั 14.00 - 15.00 น. การจััดที่ําาข้อัตกลังในชุุมชุนแลัะบที่บาที่ควัาม สิําาคัญตอั่ การพิัฒนาที่อังถิ่ินดานโรคไมต่ ิดต่อั อัาจัารยเ์ คที่ ครงั พิบิ ลัู ย์ คณะสิงั คมสิงเคราะหศ์ าสิตร์ มหาวัที่ิ ยาลัยั ธีรรมศาสิตร์ วัน/เดืือน/ปีี เวลา วิชา วัันศุกร์ที่่ 6 สิิงหาคม 2564 09.00 - 10.00 น. การจััดที่ําาแผู้น การอัอักแบบโครงการ แลัะ กจัิ กรรมการปิอั้ งกนั ควับคมุ โรคไมต่ ดิ ตอั่ ในชุมุ ชุน อาจารย์์ผ้สอน พิญ.ที่ัศน่ย์ เอักวัานิชุ ข้าราชุการบําานาญ เที่ศบาลันครภูเก็ต แลัะอัด่ตผูู้ที่รงคุณวัฒุ ิ สิาํา นักงานหลัักปิระกันสิุข้ภาพิแห่งชุาติ 10.00 - 11.00 น. 11.00 - 12.00 น. ฝุ่่นลัะอัอัง (PM 2.5) แลัะสิารเคมใ่ นสิิงแวัดลัอัม กับโรคไมต่ ิดตอั่ แลัะการปิอั้ งกัน กฎหมายสิ่งเสิริมคุมครอังสิุข้ภาพิ แลัะกฎหมาย กฎระเบ่ยบที่่เก่ยวัข้อังกับการปิ้อังกันควับคุม โรคไมต่ ิดต่อั ผู้ศ. ดร.บันลัือั เอัมะรจัุ ิ ข้า ราชุการบําานาญ มหาวัิที่ยาลััยมหิดลั อัาจัารยเ์ คที่ ครงั พิบิ ลัู ย์ คณะสิงั คมสิงเคราะหศ์ าสิตร์ มหาวัที่ิ ยาลัยั ธีรรมศาสิตร์ แลัะ ดร.ศวัิ นชุุ สิรอั ยที่อัง นกั กฎหมายบางกอักคลันิ กิ คณะนิติศาสิตร์ มหาวัที่ิ ยาลััยธีรรมศาสิตร์ พิักกลัางวััน 372 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

วัน/เดืือน/ปีี วัันศุกร์ที่่ 6 สิิงหาคม 2564 (ต่อั) เวลา 13.00 - 14.00 น. วิชา การติดตามปิระเมินผู้ลัโครงการ/กิจักรรม สิง่ เสิรมิ สิขุ้ ภาพิ ปิ้อังกนั แลัะควับคมุ โรคไมต่ ดิ ตอั่ สิําาหรับปิระชุาชุนในพินื ที่่ อาจารย์์ผ้สอน ผู้ศ. ดร.นพิ.วัิชุชุ์ เกษมที่รัพิย์ ภาควัิชุาเวัชุศาสิตร์ชุุมชุน คณะแพิที่ยศาสิตร์โรงพิยาบาลัรามาธีิบด่ มหาวัที่ิ ยาลััยมหิดลั 14.00 -15.00 น. ควัามเคร่ยดกับโรคไม่ติดต่อั แลัะการจััดการ ควัามเครย่ ด นางสิาวัภวัมัย กาญจันจัิรางกูร กอังสิ่งเสิริมแลัะพิัฒนาสิุข้ภาพิจัิต กรมสิุข้ภาพิจัิต 15.00 - 16.00 น. การใชุแลัะการพิัฒนาสิือัเที่คโนโลัย่ดิจัิที่ัลัใน ชุุมชุน นางสิาวัข้วััญรักษ์ เมงตระกูลั ผูู้จััดแผู้นงานสินับสินุนการปิ้อังกัน อับุ ตั เิ หตจัุ ราจัร สิําานกั งานกอังที่นุ สินบั สินนุ การสิรา งเสิรมิ สิขุ้ ภาพิ หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 373

374 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader ตารางสอนภาคปีฏิบัติ

ช่่อผูู้เข้าอบรม........................................................................................................................... หน่วยงาน............................................................................................................. คําาช่่แจง : ผู้เู ข้า รับการอบรมโป้รดจัดท้ําารายลัะเอย่ ดตามใบงาน ดังน่ 1.1 สูถิ่านการณ์์ป้ัญหา ระบุข้อัมูลัจัากแหลั่งต่าง ๆ ที่่ม่เพิือัแสิดงถิ่ึงสิถิ่านการณข้์ อังปิระเด็นที่่สินใจัในภาพิรวัมพินื ที่่ที่่รับผู้ิดชุอับ ตามปิระเด็นต่าง ๆ ตอั่ ไปิน่ 1) สิถิ่านการณ์ แนวัโนม ข้นาดปิัญหาจัากโรคไมต่ ิดต่อั แลัะปิัจัจััยเสิ่ยง ยอันหลัังอัย่างนอัย 3 ปิี (ถิ่ามข้่ อัมลัู ยอันหลััง) 2) การกระจัายข้อังเหตุการณ์ตามเพิศ อัายุ เวัลัา สิถิ่านที่่ 1.2 การดําาเนินงาน ภาคผนวก ข ใบงานภาคปฏิบัติ ใบงานที่ 1 การวิเคราะห์สถานการณ์ปีัญหาพ้ืนที่ ความฝันข้องชุ่มช่น (ป้ัญหาท้่ตองการแก) ระดับป้ัจจุบัน ระดับ ในอนาคต กิจกรรมท้่ตองท้ําาให ไป้ถิ่ึงระดับในอนาคต ท้รัพยากรในพ่นท้่ๆ ตองม่อยู่ท้่เพ่อ สูนับสูนุน ผูู้รับผู้ิดช่อบ จะรูไดอย่างไรว่าป้ระสูบ ความสูําาเร็จ (กิจกรรม เป้้าหมาย) หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 375

1.3 แผู้นป้ฏิบิ ัติการระยะสูัน (Mini-SLM) เป้้าหมาย มุมมองเช่ิงคุณ์ค่า (ป้ระช่าช่น) มุมมองผู้มู ่สู่วนไดสู่วนเสู่ย (ภาค่) มุมมองการบริหารจัดการ (กระบวนการ) มุมมองการเร่ยนรูแลัะพัฒนา (พน่ ฐาน) หมายเหตุ สิามารถิ่ปิรับเปิลั่ยนลัูกศรได 376 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

ใบงานที่ 2 การจัดืทําาโครงการปี้องกันควบคุมโรคไม่ติดืต่อในพ้ืนที่ (ระย์ะสั้น) ช่่อผูู้เข้าอบรม.................................................................................................................... หน่วยงาน...................................................................................................... คําาช่่แจง : ผูู้เข้า รับการอับรมโปิรดจััดที่ําารายลัะเอั่ยดตามใบงาน ดังน่ 1. ช่่อโครงการ........................................................................................................................................................................................................................................... 2. หลัักการแลัะเหตุผู้ลั............................................................................................................................................................................................................................... 3. วตั ถิุ่ป้ระสูงค.์ ......................................................................................................................................................................................................................................... 4. ระยะเวลัาดาํา เนนิ โครงการ...................................................................................................................................................................................................................... 5. เป้้าหมายผู้ลัผู้ลัิตข้องโครงการแลัะตัวช่่วัดความสูาํา เร็จโครงการ : โดยการใชุข้อัมูลัมาวัิเคราะห์ แปิลัผู้ลัสิถิ่านการณ์ข้อังปิระเด็นที่่สินใจั เพิือันําามาสิู่การกําาหนดเปิ้าหมาย/ ตัวัชุ่วััดข้อังการดําาเนินงาน 5.1 ผู้ลัผู้ลัิตโครงการ 5.2 ตัวช่่วัดข้องโครงการ 6. วงเงินงบป้ระมาณ์โครงการ : ........................... 7. กิจกรรมการดําาเนินงานในโครงการ / ป้ระมาณ์การค่าใช่จ่าย : กิจักรรมที่่ 1 กิจักรรมที่่ 2 กิจักรรมที่่ 3 ลัําาดับ ผู้ลัผู้ลัิตข้องโครงการ จําานวน หน่วยนับ ลัําาดับ ตัวช่่วัดความสูําาเร็จข้องโครงการ จําานวน หน่วยนับ ลัําาดับ กิจกรรม ระยะเวลัา กลัุ่มเป้้าหมาย ป้ระมาณ์การค่าใช่จ่าย หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 377

โดยกิจักรรมดาํา เนินงาน อัาจัปิระกอับดวัยหัวัข้อัต่างๆ ดังน่ - อัาหารปิอั้ งกันโรคไม่ติดตอั่ - อัอักกาํา ลัังกายในชุุมชุนปิอั้ งกันโรคไม่ติดต่อั - ลัดการบริโภคผู้ลัิตภัณฑ์ยาสิูบในชุุมชุน - การควับคุมการบริโภคสิุราในชุุมชุน - ฝ่นุ่ ลัะอัอัง (PM 2.5) แลัะสิารเคม่เก่ยวักับสิิงแวัดลัอัมกับโรคไมต่ ิดต่อั - ควัามเคร่ยดกับโรคไม่ติดตอั่ แลัะการจััดการลัดควัามเครย่ ด - การสิราง Health Literacy ในชุุมชุน - การสิือัสิารเพิือัการสิรางเสิริมสิขุ้ ภาพิในชุุมชุน - การจััดที่ําาข้อัตกลังในชุุมชุนข้อังที่อังถิ่ิน / กําาหนดปิระเด็นเพิอัื เปิ็นวัาระนโยบาย / การจััดเวัที่่ปิระชุาคม - การจััดการสิิงแวัดลัอัมเพิือัปิ้อังกันควับคุมโรคไม่ติดต่อั - การใชุแลัะการพิัฒนาสิือัเที่คโนโลัย่ดจัิ ิที่ัลัในชุุมชุน - การติดตามปิระเมินผู้ลัตามกิจักรรม โดยอัาจัเปิร่ยบเที่่ยบผู้ลัลััพิธี์ที่างสิุข้ภาพิก่อันแลัะหลัังการดําาเนินงาน เชุ่น รอัยลัะผูู้ลัดนําาหนักได, รอัยลัะผูู้ที่่ม่การปิรับเปิลั่ยน พิฤติกรรม 8. พ่นท้่เป้้าหมาย / สูถิ่านท้ด่ ําาเนินโครงการ............................................................................................................................................................................................ 9. กลัุ่มเป้้าหมาย / ผูู้ร่วมดําาเนินการ....................................................................................................................................................................................................... 10. ป้ระโยช่น์ท้่คาดว่าจะไดรับ.................................................................................................................................................................................................................. 11. ผูู้รับผู้ิดช่อบโครงการ.......................................................................................................................................................................................................................... 12. ผูู้เสูนอโครงการ.................................................................................................................................................................................................................................. 13. ผูู้อนุมัติโครงการ................................................................................................................................................................................................................................. 378 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

ใบงานที่ 3 ราย์งานความกาวหนาในการดืําาเนินกิจกรรม ช่่อผูู้เข้าอบรม.................................................................................................................... หน่วยงาน...................................................................................................... คําาช่่แจง : ผูู้เข้า รับการอับรมโปิรดจััดที่ําารายลัะเอั่ยดตามใบงาน ดังน่ โครงการ..................................................................................................................................................................................................................................................... กิจักรรมที่่ 1 กิจักรรมที่่ 2 กิจักรรมที่่ 3 • ป้ัญหาอปุ้ สูรรคในการดําาเนินงานโครงการ .................................................................................................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................................................................................................. • แนวท้างแกไ ข้ หร่อการแกไ ข้ป้ัญหาท้่เกิดจากการดาํา เนินงานโครงการ .................................................................................................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................................................................................................. แผู้นการดําาเนินกิจกรรมตามโครงการ (ระบุกิจกรรมตามท้่ระบุในโครงการ) ผู้ลัการดําาเนินงาน (ควรระบุรายลัะเอ่ยดข้องการดําาเนินโครงการ เช่่น ดําาเนินการท้่ไหน กับใคร อย่างไร เม่อไร จําานวนแลัะผู้ลัการดําาเนินงานเป้็นอย่างไร เป้็นตน) หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 379

ใบงานท่ี 4 สรุปีผลการดืําาเนินงานโครงการ ช่่อผูู้เข้าอบรม.................................................................................................................... หน่วยงาน...................................................................................................... คําาช่่แจง : ผูู้เข้ารับการอับรมโปิรดจััดที่ําารายลัะเอั่ยดตามใบงาน ดังน่ โครงการ..................................................................................................................................................................................................................................................... 1. หลัักการแลัะเหตุผู้ลั ............................................................................................................................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................................................................................................................ 2. วัตถิุ่ป้ระสูงค์ 2.1 ..................................................................................................................................................................................................................................................................... 2.2 ..................................................................................................................................................................................................................................................................... 3. กลัุ่มเป้้าหมาย/ผู้รู ่วมดําาเนินการ 3.1 ..................................................................................................................................................................................................................................................................... 3.2 ..................................................................................................................................................................................................................................................................... 4. วิธี่การดําาเนินงาน 4.1 ..................................................................................................................................................................................................................................................................... 4.2 ..................................................................................................................................................................................................................................................................... 5. ผู้ลัการดําาเนินงาน 5.1 ..................................................................................................................................................................................................................................................................... 5.2 ..................................................................................................................................................................................................................................................................... 6. ผู้ลัการป้ระเมินการใช่ป้ระโยช่น์ / ความพึงพอใจ ............................................................................................................................................................................................. 380 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

7. การเผู้ยแพร่ข้อมลัู ตามช่่องท้างต่างๆ ใหผู้ ูม่สู่วนไดสู่วนเสู่ย หรอ่ กลัุ่มเป้้าหมายผู้ใู ช่ป้ระโยช่น์ 7.1 .................................................................................................................................................................................................................................................................... 7.2 .................................................................................................................................................................................................................................................................... 8. ป้ัจจัยแห่งความสูําาเร็จ 8.1 ......................................................................................................................................................................................................................................................................... 8.2 ......................................................................................................................................................................................................................................................................... 9. ป้ัญหา/อุป้สูรรค 9.1 ......................................................................................................................................................................................................................................................................... 9.2 ......................................................................................................................................................................................................................................................................... 10. ข้อเสูนอแนะ ................................................................................................................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................................................................................................................. หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 381

หมวิดีวิชิ าที่ี 1 พลวิตั การเปลยี นแปลงของโลกที่มี คี วิามสัมั พนั ธ์เ์ ชอ่ มโยงกบั โรคไมต่ ดีิ ตอ่ และรายวิชิ าที่ี 1.1 ควิามสัาํา คญั ของที่อ้ งถิ่นิ กบั การจัดีั การโรคไม่ ตดีิ ตอ่ ในหวิั ขอ้ เสัวินา “ ที่ศิ ที่างการปอ้ งกนั ควิบคมุ โรคไมต่ ดีิ ตอ่ ของประเที่ศไที่ยและควิามสัาํา คญั ของที่อ้ งถิ่นิ กบั การจัดีั การโรคไมต่ ดีิ ตอ่ ในยคุ COVID 19 ” อัาจัารย์ผูู้สิอัน : นพิ.กฤษฎา หาญบรรเจัิด , ดร.กิตติพิงษ์ เกิดฤที่ธีิ ผูู้ร่วัมเสิวันา : คุณสิุรพิลั เธี่ยรสิูตร , คุณจัันที่ร์ฉาย สิุภากาวั่ moderator : รศ. ดร.มณฑา เก่งการพิานิชุ https://youtu.be/qXDdOf1LQSI หมวิดีวิชิ าที่ี2โรคไมต่ ดีิ ตอ่ และหลกั การปอ้ งกนั ควิบคมุ โรคไมต่ ดีิ ตอ่ อัาจัารย์ผูู้สิอัน : พิญ.จัุร่พิร คงปิระเสิริฐ https://youtu.be/19rUxyVQFg0 หมวิดีวิชิ าที่ี3ระบาดีวิที่ิ ยาและชดีุ ขอ้ มลู ที่ีใชก้ ารวิเิคราะหสั์ ถิ่านการณ์ก์ ารปอ้ งกนั โรคไมต่ ดีิ ตอ่ ในชมุ ชน อัาจัารย์ผูู้สิอัน : ผู้ศ. ดร.ศุภวัรรณ มโนสิุนที่ร https://youtu.be/5TVSFJndB7c หมวิดีวิชิ าที่ี 4 การประเมนิ สัถิ่านการณ์ป์ จัั จัยั เสัยี งและปจัั จัยั กาํา หนดีของสัขุ ภาพชมุ ชน อัาจัารย์ผูู้สิอัน : นพิ.พิงศ์เที่พิ วังศ์วััชุรไพิบูลัย์ https://youtu.be/e71EXNSvpH4 หมวิดีวิชิ าที่ี5การสัรา้ งเสัรมิ สัขุ ภาพและลดีควิามเสัยี งปอ้ งกนั ควิบคมุ โรคไมต่ ดีิ ตอ่ ในชมุ ชน อัาจัารย์ผูู้สิอัน : รศ. ดร.มณฑา เก่งการพิานิชุ https://youtu.be/eh0TsB_Ruy8 ภาคผนวก ค แหล่งเรียนรู้เพ่ิมเติม ร า ย ก า ร วิ ดีิ โ ี อ ร วิ ม https://youtube.com/playlist?list=PLYbQHPltX9q1N0XaVl7Y3D2izKzW3herk 382 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

รายวิชิ าที่ี5.1อาหารปอ้ งกนั โรคไมต่ ดีิ ตอ่ อัาจัารยผู้์ สิู อัน : ผู้ศ. ดร.ชุนดิ า ปิโชุตกิ าร แลัะ ดร.ปิรารถิ่นา ตปินย่ ์ https://youtu.be/gW24KkGBN7U รายวิชิ าที่ี 5.2 การออกกาํา ลงั กายและกจัิ กรรมเคลอ่ นไหวิที่างกาย ลดีควิามเสัยี งและปอ้ งกนั ควิบคมุ โรคไมต่ ดีิ ตอ่ ในชมุ ชน อัาจัารยผู้์ สิู อัน : ผู้ศ. ดร.มนตชุ์ ยั โชุตดิ าวั https://youtu.be/q7GhJMzadbA รายวิชิ าที่ี5.3การลดีการบรโิภคผลติ ภณ์ั ฑ์ย์ าสับู ในชมุ ชน อัาจัารยผู้์ สิู อัน : รศ. ดร.มณฑา เกง่ การพิานชุิ https://youtu.be/2ECMPue8TWM รายวิชิ าที่ี 5.4 กลยทีุ่ ธ์ก์ ารควิบคมุ การบรโิ ภคสัรุ าในชมุ ชน อัาจัารยผู้์ สิู อัน : นพิ.พิงศเ์ ที่พิ วังศวั์ ชุั รไพิบลัู ย์ แลัะ ผู้รู วั่ มเสิวันา : คณุ สิรุ พิลั เธีย่ รสิตู ร https://youtu.be/1My6vn_AaZQ รายวิชิ าที่ี 5.5 ฝุ่นุ ละออง (PM 2.5) และสัารเคมีในสังิ แวิดีลอ้ มกบั โรคไมต่ ดีิ ตอ่ และการปอ้ งกนั อัาจัารยผู้์ สิู อัน : ผู้ศ. ดร.บนั ลัอัื เอัมะรจัุ ิ https://youtu.be/qgckd-okVuY รายวิชิ าที่ี5.6ควิามเครยี ดีกบั โรคไมต่ ดีิ ตอ่ และการจัดีั การลดีควิามเครยี ดี อัาจัารยผู้์ สิู อัน : อัาจัารยภ์ วัมยั กาญจันจัริ างกรู https://youtu.be/fWLyGAJoiUg รายวิชิ าที่ี5.7การสัรา้ งควิามรอบรดีู้ า้ นสัขุ ภาพ(HealthLiteracy)กบั การปอ้ งกนั ควิบคมุ โรคไมต่ ดีิ ตอ่ ในชมุ ชน อัาจัารยผู้์ สิู อัน : รศ. ดร.วัริ าพิรรณ วัโิ รจันร์ ตั น์ https://youtu.be/6zwWImOMDYk รายวิชิ าที่ี5.8เที่คนคิ การสัอ่ สัารเพอ่ การสัรา้ งเสัรมิ สัขุ ภาพในชมุ ชน อัาจัารยผู้์ สิู อัน : ผู้ศ. ดร.มลันิ ่ สิมภพิเจัรญิ https://youtu.be/GjhZ6jCaKgM หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถ่ิน 383

รายวิชิ าที่ี 5.9 การจัดีั ที่าํา ขอ้ ตกลงในชมุ ชนและบที่บาที่ควิามสัาํา คญั ตอ่ การพฒั นาที่อ้ งถิ่นิ ดีา้ นโรคไมต่ ดีิ ตอ่ อัาจัารยผู้์ สิู อัน : อัาจัารยเ์ คที่ ครงั พิบิ ลัู ย์ https://youtu.be/aJLwajMA2Qc หมวิดีวิชิ าที่ี 6 การจัดีั การสังิ แวิดีลอ้ มเพอ่ ปอ้ งกนั ควิบคมุ โรคไมต่ ดีิ ตอ่ ในชมุ ชน อัาจัารยผู้์ สิู อัน : ผู้ศ. ดร.ศรยิ ามน ตริ พิฒั น์ https://youtu.be/AqbRcJcXfrg หมวิดีวิชิ าที่ี7การจัดีั ที่าํา แผนออกแบบโครงการและกจัิ กรรมการปอ้ งกนั ควิบคมุ โรคไมต่ ดีิ ตอ่ ในชมุ ชน อัาจัารยผู้์ สิู อัน : พิญ.ที่ศั นย่ ์ เอักวัานชุิ https://youtu.be/S-Rr2OW9fWY หมวิดีวิชิ าที่ี 8 การตดีิ ตามประเมนิ ผลโครงการ/กจัิ กรรมสัง่ เสัรมิ สัขุ ภาพ ปอ้ งกนั และควิบคมุ โรคไมต่ ดีิ ตอ่ สัาํา หรบั ประชาชนในพน่ ที่ี อัาจัารยผู้์ สิู อัน : ผู้ศ. นพิ.วัชุิ ชุ์ เกษมที่รพิั ย์ https://youtu.be/ZRbIRAivN5k หมวิดีวิชิ าที่ี 9 กฎหมายสัง่ เสัรมิ คมุ้ ครองสัขุ ภาพ และกฎหมาย กฎระเบยี บที่เี กยี วิขอ้ งกบั การปอ้ งกนั ควิบคมุ โรคไม่ติดต่อ อัาจัารยผู้์ สิู อัน : ดร.ศวัิ นชุุ สิรอั ยที่อัง แลัะ อัาจัารยเ์ คที่ ครงั พิบิ ลัู ย์ https://youtu.be/gU7_CC469lI รายวิชิ าที่ี9.1งบประมาณ์การเงนิ และการจัดีั ซื้อ่ จัดีั จัา้ งขององคก์ รปกครองสัวิ่ นที่อ้ งถิ่นิ อัาจัารยผู้์ สิู อัน : อัาจัารยพิ์ งษศ์ กั ดิ กวัน่ นั ที่ชุยั https://youtu.be/SW7puaAp8vA หมวิดีวิชิ าที่ี 10 การใชแ้ ละการพฒั นาสัอ่ เที่คโนโลยดีี จัิ ที่ิ ลั ในชมุ ชน อัาจัารยผู้์ สิู อัน : อัาจัารยข้์ วัญั รกั ษ์ เมง ตระกลัู https://youtu.be/cFCgbH9HuF0 384 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

ภาคผนวก ง คณาจารย์และคณะทํางานหลักสูตร ภาคผนวก ง คณาจารย์และคณะทําางานหลักสูตร 383 คณาจารย์์หลักส้ตรการปี้องกันควบคุมโรคไม่ติดืต่อสําาหรับผ้นําาทองถิ่น (ภาคทฤษฎี) คณาจารย์หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําหรับผู้นําท้องถ่ิน (ภาคทฤษฎี) หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 385

อาจารย์์ที่ปีรึกษาของหลักส้ตร (ภาคปีฏิบัติ) อาจารย์ที่ปรึกษาของหลักสูตร (ภาคปฏิบัติ) 384 386 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

คณะทําางานหลักส้ตรการปี้องกันควบคุมโรคไม่ติดืต่อ (NCDs) สําาหรับผ้นําาทองถ่ิน คณะทํางานหลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อ (NCDs) สําหรับผู้นําท้องถิ่น 385 หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 387

ภาคผนวก จ คําาสั่งคณะกรรมและคณะทําางาน คําาสั่งคณะกรรมการพิจารณากรอบเนื้อหาหลักส้ตรและชุดืเครื่องมือในการปี้องกันควบคุมโรคไม่ติดืต่อสําาหรับผ้นําาทองถ่ิน 388 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader

หลักสูตรการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อสําาหรับผู้นําาท้องถิ่น 389

คําาสั่งคณะทําางานจัดืทําาหลักส้ตรและชุดืเครื่องมือในการปี้องกันควบคุมโรคไม่ติดืต่อสําาหรับผ้นําาทองถ่ิน 390 NCD Prevention and Control Curriculum for Local Leader