สาระสำคัญ/ความคิดรวมยอดสิ่งมีชีวิตหลายชนิดที่อาศัยอยู่ในแหล่งที่อยู่ต่าง ๆ มีความสัมพันธ์กัน ตัวชี้วัด/จุดประสงค์การเรียนรู้1. อธิบายความหมายของแหล่งที่อยู่ 2. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต การวัดผลและประเมินผล- การตอบคำถามในใบงาน - สังเกตทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการทำกิจกรรม - สังเกตด้านคุณธรรมขณะทำกิจกรรม ปีการศึกษา 2563 / 1 ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มสาระ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หน่วย รายวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รหัสวิชา ว15101 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ชั่วโมง หน่วยย่อยที่ 1 ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตในแหล่งที่อยู่ (1) วันที่ 1 ก.ค. 63 (มีใบงานและสื่อวิดีโอประกอบการสอน) โรงเรียนวทิ ยาศาสตรจ์ ฬุ าภรณราชวทิ ยาลัย ตรงั หนา๎ 0 สารบัญ สารบญั หนา้ ความหมายและความสาคญั ของทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 2 โรงเรียนวทิ ยาศาสตร์จุฬาภรณราชวทิ ยาลัย ตรงั หนา๎ 1 ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (Science process skills) หมายถึง ความสามารถ และความชานาญในการคิด เพื่อค๎นหาความร๎ู และการแก๎ไขปัญหา โดยใช๎ ทกั
ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรเ์ ปน็ ทกั ษะสาคัญที่แสดงถงึ การมกี ระบวนการคิด อยํางมีเหตุ มีผล ประเภททักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เป็นแนวทางที่พฒั นาขนึ้ ตามหลกั สตู ร science a process approach (SAPA) ของสมาคมอเมริกนั
เพ่ือ ท่มี า https://www.imagineering.co.th/wp-content/uploads/2018/07 หนา๎ 2 โรงเรียนวิทยาศาสตรจ์ ุฬาภรณราชวทิ ยาลยั ตรงั ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะขนั้ มูลฐาน 8 ทกั ษะ ไดแ้ ก่ 1.1 ทักษะการสงั เกต (Observing) ทักษะขนั้ สงู หรือทกั ษะขน้ั ผสม 5 ทกั ษะ ไดแ้ ก่ 2.1 ทักษะการต้ังสมมตฐิ าน (Formulating Hypothesis) โรงเรยี นวิทยาศาสตร์จฬุ าภรณราชวทิ ยาลัย ตรัง หน๎า 3 ระดบั ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขน้ั พ้ืนฐาน 8 ทักษะ ทกั ษะที่ 1 การสังเกต หมายถึง การใช๎ประสาทสัมผัสของรํางกายอยํางใดอยํางหนึ่งหรือหลายอยําง ได๎แกํ หู ตา จมูก ล้ิน ภาพปริศนา คุณเปน็ คนช่างการสงั เกตแคไ่ หน จากรูป นักเรยี นเหน็ ใบหน๎าคนก่ีหน๎า ? จากรูป นกั เรยี นเห็นเปน็ รปู อะไรบา๎ ง ? .................................................................. โรงเรยี นวทิ ยาศาสตร์จฬุ าภรณราชวิทยาลยั ตรัง หนา๎ 4 จากรปู นักเรยี นเหน็ เป็นรูปอะไรบา๎ ง ? จากรูป นักเรยี นเหน็ เป็นรปู อะไรบา๎ ง ? โรงเรยี นวทิ ยาศาสตรจ์ ฬุ าภรณราชวิทยาลยั ตรัง หนา๎ 5 จากรปู นกั เรียนเห็นเป็นรปู อะไรบา๎ ง ? จากรปู นักเรยี นเห็นเปน็ รูปอะไรบา๎ ง ? จากรปู นกั เรียนเห็นเป็นรูปอะไรบ๎าง ? โรงเรยี นวิทยาศาสตร์จฬุ าภรณราชวทิ ยาลยั ตรัง หน๎า 6 จากรปู นกั เรียนเห็นเป็นรูปอะไรบ๎าง ? การทดลองชวนกันทาเพ่อื รูจ้ ริง การทดลองท่ี 1 ฝึกทักษะการสงั เกต 1. นักเรียนสามารถระบุสมบัติของวัตถุตํางๆ จากสถานการณ์ท่ีกาหนดให๎ โดยใช๎ประสารทสัมผัสท่ี โรงเรยี นวทิ ยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลยั ตรงั หน๎า 7 กิจกรรมนาเข้าสู่บทเรียน คาชแี้ จง 1. ใหน๎ ักเรียนเลนํ
เกมทายภาพปริศนา จากบตั รเกมโดยใชเ๎ วลา 15 นาที เกมทายภาพปรศิ นา ภาพปรศิ นา A คือ ภาพปริศนา B ภาพปริศนา B คือ โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลยั ตรงั หน๎า 8 ทักษะท่ี 2 การวดั หมายถงึ การใช๎เครอ่ื งมอื สาหรบั การวัดข๎อมลู ในเชงิ ปริมาณของส่ิงตํางๆ เพื่อให๎ได๎ข๎อมูลเป็นตัวเลขใน ความสามารถทแ่ี สดงการเกิดทักษะ 1. สามารถเลือกใชเ๎ ครือ่ งมือไดเ๎ หมาะสมกับสิ่งทีว่ ัดได๎ 2. สามารถบอกเหตุผลในการเลอื กเคร่ืองมือวดั ได๎ 3. สามารถบอกวธิ กี าร ขนั้ ตอน และวธิ ีใชเ๎ ครอื่ งมือได๎อยํางถูกต๎อง 4. สามารถทาการวดั รวมถึงระบหุ นวํ ยของตัวเลขได๎อยาํ งถูกต๎อง เครอ่ื งมอื และอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตรท์ ี่นกั เรียนควรรู้จัก ขอ้ ท่ี เครื่องมือ/อปุ กรณ์ ช่อื เรียก วธิ ใี ช้ Volumetric flask มีขนาด เปน็ อปุ กรณท์ ่ีใช๎วดั ปริมาตร 1 50, 100, 250, 500, 1000 และใชป๎ รับความเขม๎ ข๎นของ มิลลลิ ิตร สารละลาย ใช๎สาหรบั ตกผลึกและเกบ็ 2 Erlenmeyer flask สารละลายหลังจากสกัดสาร สาหรบั วัดปรมิ าตรที่ ต๎องการความแมนํ ยา โรงเรยี นวทิ ยาศาสตร์จฬุ าภรณราชวิทยาลัย ตรงั หนา๎ 9 ข้อที่ เคร่ืองมอื /อุปกรณ์ ชอื่ เรยี ก วิธใี ช้ - Micro pipette 4
Thermometer ใชส๎ าหรับวดั ความร๎อนหรือ 5 Round bottom flask มี เปน็ อปุ กรณ์ท่ที นตํอความ 6 Graduated ใชว๎ ัดปรมิ าตรของของเหลว ความละเอียด โรงเรยี นวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวทิ ยาลยั ตรงั หน๎า 10 ข้อที่ เครอ่ื งมือ/อปุ กรณ์ ช่ือเรยี ก วธิ ใี ช้ 8 Test tube rack ใช๎สาหรบั วางหลอดทดลอง เป็นอปุ กรณท์ ีใ่ ชต๎ วงสาร ของเหลวในปริมาณนอ๎ ยๆ - เป็นอุปกรณ์ทีใ่ ช๎ในการ ไทเทรตสาร 10 Buret/Burette - เป็นอุปกรณ์ทีใ่ ชว๎ ัด ปรมิ าตรของของเหลวได๎ อยํางแมนํ ยา ใชส๎ าหรับให๎ความร๎อนใน 11 Alcohol Burner ห๎องปฏิบัตกิ าร โดยมี แอลกอฮอลเ์ ปน็ เช้ือเพลิง โรงเรยี นวทิ ยาศาสตรจ์ ุฬาภรณราชวทิ ยาลยั ตรัง หน๎า 11 ข้อท่ี เครอื่ งมอื /อุปกรณ์ ชอื่ เรียก วิธใี ช้ ใชป๎ ิดภาชนะทบ่ี รรจุ ทาละลายระเหย 13 Safety Goggles ใชส๎ าหรับป้องกนั ดวงตา 14 Rubber gloves ถุงมือยาง ใชส๎ าหรับปอ้ งกนั มอื จาก - ใชส๎ าหรบั กรองตะกอน 15 Glass funnel กรวยกรองสาร - ใชถ๎
ํายเทสารเคมีจาก โรงเรยี นวทิ ยาศาสตรจ์ ฬุ าภรณราชวิทยาลัย ตรงั หนา๎ 12 ขอ้ ท่ี เคร่อื งมือ/อุปกรณ์ ชอ่ื เรียก วิธีใช้ - ใชบ๎ รรจนุ า้ กลน่ั สาหรับใช๎ 16 Wash bottle ขวดฉดี น้ากลั่น ในการทดลอง สาร 17 Morta and Pestle ใชส๎ าหรบั บดสารท่ีอยูใํ นรปู เป็นเครื่องมือท่ีมี ความสาคัญใน 18 ตาช่งั นา้ หนกั ดจิ ทิ ลั ห๎องปฏิบตั ิการ ของแขง็ และของเหลวอยาํ ง ละเอียด 19 Wire brush ใชท๎ าความสะอาดหลอด ห๎องปฏบิ ัติการ 20 Spatula ชอ๎ นตักสาร ใชต๎ กั สารทอ่ี ยํูในรปู ของ โรงเรยี นวิทยาศาสตร์จฬุ าภรณราชวิทยาลยั ตรัง หนา๎ 13 ทักษะที่ 3 การคานวณ หมายถงึ การนับจานวนของวัตถุ และการนาตวั เลขท่ีได๎จากนับ และตัวเลขจากการวัดมาคานวณด๎วย ความสามารถทแ่ี สดงการเกิดทกั ษะ 1. สามารถนับจานวนของวัตถไุ ดถ๎ ูกต๎อง 2. สามารถบอกวิธีคานวณ แสดงวธิ คี านวณ และคิดคานวณได๎ถูกต๎อง เลขนัยสาคญั หมายถงึ ตวั เลขทไ่ี ดจ๎ ากเครอ่ื งมือวัดท่แี สดงความละเอยี ดในการวัด ซึ่งสามารถใช๎เป็นตัวบํงช้ีถึงความ นาํ เช่ือถอื ของคาํ ท่ีวดั ได๎น้นั วํามอี ยูจํ ริงหรือไมมํ ีอยํจู รงิ การนับเลขนยั สาคัญ การนับจานวนหรือตาแหนํงของเลขนยั สาคัญ แสดงดงั ตาราง ขอ้ ที่ หลักการ ตวั อยา่ ง จานวนเลขนัยสาคัญ 1 ตัวเลขทไี่ มใํ ชเํ ลขศูนย์ จะนับเป็นเลขนยั สาคัญท้ังหมด 5.78 3 0.56 2 2 เลขศูนยท์ ี่อยูํหนา๎ ตัวเลขอ่ืนๆ ไมํนับเปน็ เลขนยั สาคัญ 0.0041 2 0.000096 2 3 เลขศูนย์ที่อยํูหลังหรือระหวํางตัวเลขอื่นที่ไมํใชํเลขศูนย์ 0.10057 5 4 สญั กรณ์ทางวิทยาศาสตร์ ให๎นบั เฉพาะสวํ
นท่ีเป็นตัวเลข 89x107 2 จานวนที่มีคําน๎อยมาก ๆ หรือคําใหญํมาก ๆ นิยมเขียน 29800 3 นัยสาคญั คาํ คงทที่ ุกประเภท ไมํวําจะเป็นคําคงท่ีท่ีเป็นสัญลักษณ์ 6 อยํางเดียวหรือมีตัวเลขแสดงอยํูด๎วย ท้ังในสูตร และ 2¶r 0 สมการ ไมใํ ห๎นับเป็นเลขนยั สาคัญ โรงเรยี นวทิ ยาศาสตร์จุฬาภรณราชวทิ ยาลัย ตรัง หน๎า 14 ตอนท่ี 1 คาชี้แจง ใหน้ ักเรยี นนบั เลขนยั สาคญั ต่อไปน้ี 1. 1203 มเี ลขนัยสาคญั …………….ตวั 2. 18.04 มเี ลขนยั สาคญั …………….ตวั 3. 0.0032040 มเี ลขนัยสาคญั …………….ตวั 4. 12.000 มีเลขนัยสาคัญ…………….ตวั 5. 340 มีเลขนัยสาคญั …………….ตวั 7. 0.0825 กิโลกรัม มีเลขนัยสาคญั …………….ตวั 9. 20.5 เซนตเิ มตร มีเลขนัยสาคัญ…………….ตวั 10. 8.00 วินาที มีเลขนัยสาคัญ…………….ตวั 11. 200 ลูกบาศก์เซนตเิ มตร มเี ลขนยั สาคัญ…………….ตวั การคานวณเลขนยั สาคัญ 1. การบวกและลบ ให๎บวกและลบแบบวิธีทางคณิตศาสตร์กํอน แล๎วพิจารณาผลลัพธ์ท่ีได๎ โดยจานวนเลข นัยสาคัญของผลลพั ธ์จะตอ๎ งไมํเกินจานวนเลขนยั สาคัญของจานวนที่มีเลขนัยสาคัญน๎อยที่สดุ ตัวอยาํ ง 2.12 + 31.85 ผลลพั ธท์ ไ่ี ด๎จากการคานวณ = ……………. มเี ลขนัยสาคัญ =…………….ตวั 53.278 + 15.04 ผลลัพธท์ ไ่ี ดจ๎ ากการคานวณ = ……………. มีเลขนยั สาคัญ =…………….ตวั 6.43 + 6.45 - 6.40 + 6.42 - 6.44 ผลลพั ธท์ ไ่ี ด๎จากการคานวณ = ……………. มเี ลขนยั สาคัญ =…………….ตวั 15.7962 + 6.31 - 16.8 ผลลัพธ์ทไี่ ด๎จากการคานวณ = ……………. มีเลขนยั สาคัญ =…………….ตวั 250.6348 + 32.52 ผลลัพธ์ทไ่ี ดจ๎ ากการคานวณ = ……………. มีเลขนัยสาคัญ =…………….ตวั โรงเรยี นวิทยาศาสตรจ์ ุฬาภรณราชวิทยาลยั ตรงั หน๎า 15 2. การคูณและหาร นัยสาคัญของผลลัพธ์จะตอ๎ งไมเํ กินจานวนเลขนัยสาคญั ของจานวนท่ีมเี ลขนัยสาคญั น๎อยทส่ี ุด
ผลลพั ธท์ ไี่ ดจ๎ ากการคานวณ = ……………. ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร โรงเรียนวทิ ยาศาสตร์จุฬาภรณราชวทิ ยาลยั ตรงั หน๎า 16 4. ผลลัพธ์ตามหลกั เลขนัยสาคัญของ ( 2.25 ÷1.5 ) + 1.25 คอื 5. ผลลัพธ์ตามหลักเลขนัยสาคญั ของ 400 x 3.0 คอื เฉลย แบบฝึกหดั ทักษะการคานวณ โรงเรยี นวิทยาศาสตร์จฬุ าภรณราชวิทยาลยั ตรงั หน๎า 17 กิจกรรมชวนกนั ทาเพ่อื รู้จรงิ กจิ กรรมท่ี 2 ฝึกทักษะการวัด จุดประสงค์ 1. นักเรียนสามารถเลือกใช๎เครอื่ งมือ ในการวัดและการหาปริมาณส่งิ ตาํ งๆ ได๎ 2. นกั เรียนสามารถหาคําเฉลี่ยจากการวดั ได๎ วัสดุอุปกรณ์ 1. สายวัด ไม๎บรรทดั ตลับเมตร เชือก หรอื เคร่ืองมอื ที่ใชใ๎ นการวดั อน่ื ๆ 2. วสั ดุท่นี ามาวัด เชํน สมดุ ยางลบ ปากกา เป็นต๎น วธิ กี ารทากจิ กรรม 1. นกั เรยี นเลอื กเครื่องมอื ในการวดั วัสดุตามท่ตี ารางกาหนด 2. นักเรยี นวัดวัสดุ พร๎อมท้งั หาคาํ เฉลย่ี โดยตอบในรูปทศนิยม 2 ตาแหนงํ จากนนั้ บนั ทกึ ลงในตาราง บนั ทึกผล บนั ทกึ กจิ กรรม สง่ิ ท่ีวัด ปริมาณ 1 ครง้ั ที่วดั เฉลีย่ เครอื่
งมือที่ หนว่ ยการวดั ความกวา้ ง ความยาว ความสูง ความกวา้ ง ความยาว ความสงู ความกวา้ ง ความยาว ความสูง ความกวา้ ง ความยาว ความสูง ความกวา้ ง ความยาว ความสงู โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ตรงั หนา๎ 18 ทักษะท่ี 4 การจาแนกประเภท หมายถึง การเรียงลาดับ และการแบํงกลํุมวัตถุหรือรายละเอียดข๎อมูลด๎วยเกณฑ์ความแตกตํางหรือ ความสามารถท่แี สดงการเกิดทักษะ วิธีจาแนกประเภท กิจกรรมชวนกนั ทาเพอ่ื รู้จรงิ กจิ กรรมที่ 3 ฝึกทักษะการจาแนกประเภท 1. นกั เรยี นสามารถจาแนกวัตถุหรอื ส่งิ ตํางๆ ได๎ ภาพแสดง รปู ทรงทางเรขาคณิต หน๎า 19 รปู ทรงเรขาคณติ รูปทมี่ ดี า๎ นหรือขอบเปน็ เส๎นโค๎ง รปู ทีม่ ดี ๎านหรือขอบไมเํ ป็นเสน๎ โคง๎ รูปทรงสามมติ ิ รปู ทรงไมสํ ามมติ ิ รปู ท่มี ีด๎านเทาํ กนั รูปที่มีด๎านไมเํ ทํากนั ทักษะที่ 5 การหาความสัมพันธร์ ะหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกบั เวลา หมายถงึ ท่ีวาํ งที่วัตถนุ ้ันครองอยูํ ซ่งึ อาจมีรูปราํ งเหมือนกนั หรอื แตกตํางกับวัตถนุ ัน้ โดยทว่ั ไปแบงํ เป็น ความสามารถที่แสดงการเกิดทักษะ โรงเรยี นวทิ ยาศาสตรจ์ ุฬาภรณราชวทิ ยาลยั ตรัง หนา๎ 20 สเปส (มติ ิ) หมายถงึ ทว่ี า่ ง 1.1. สเปสของก๎อนอิฐ : ท่วี าํ ง/พื้นท่ีที่กอ๎ นอิฐวางอยูํ ซึ่งมีลักษณะรูปราํ ง 1.2. สเปสของไขํ : ทว่ี าํ ง/พนื้ ที่ท่ีไขวํ างอยูํ ซึ่งมลี กั ษณะรปู รํางเหมือนกบั ไขํ สง่ิ ท่ีมี 2 มติ ิ จะมีความยาวและความกว๎าง เชนํ ส่งิ ท่ีมี 3 มติ ิ จะมีความยาว ความกว๎าง และความสูง เชนํ ความสมั พนั ธ์ระหว่างสเปสกับสเปส หมายถึง เทน้าจะพบวาํ น้าจะมาแทนท่ีอากาศในแกว๎ ความสัมพันธ์ระหวํางการเปล่ียนตาแหนํงของวัตถุกับเวลา หรือความสัมพันธ์ระหวํางตาแหนํงของ เส๎นสมมาตร คอื เสน๎ ทลี่ ากผํานรูป 2 มติ ิ
โดยถ๎าพับรูปรูป 2 มิติ ตามเสน๎ ทลี่ ากผํานแล๎วรปู นน้ั จะ ระบบสมมาตร คอื ระบบท่แี บงํ รูป 3 มติ ิ ออกเป็น 2 สวํ น โดยเมื่อนาสํวนหน่งึ ไวบ๎ นกระจกเงา แล๎ว โรงเรยี นวทิ ยาศาสตรจ์ ุฬาภรณราชวทิ ยาลัย ตรงั หนา๎ 21 ความสมั พันธร์ ะหวา่ งรูป 2 มติ ิ และ 3 มิติ มคี วามสมั พนั ธก์ นั ดงั น้ี ประโยชน์ของการหาความสัมพันธร์
ะหวา่ งมติ ิ กิจกรรมชวนกันทาเพ่อื รู้จรงิ ตอนท่ี 1 ใหน๎ กั เรยี นดูคาทางซา๎ ยมือ แล๎วบอกวํามลี ักษณะเปน็ 1 มิติ, 2 มติ ิ หรอื 3 มติ ิ 1. ปากกา .................................................... 2. รปู ถําย .................................................... 3. แก๎วนา้ .................................................... 4. โทรศัพทม์ ือถือ .................................................... 5. จาน .................................................... 6. ขวด .................................................... 7. หนังสือ .................................................... 8. ไมจ๎ ้มิ ฟนั .................................................... 9. รบิ บิ้น .................................................... 10. กระดาษ A4 .................................................... 11. ลกู ฟุตบอล .................................................... 12. แสตมป์ .................................................... โรงเรยี นวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวทิ ยาลยั ตรงั หนา๎ 22 ตอนท่ี 2 ใหน๎ ักเรยี นดูรปู ภาพ แล๎วบอกวํามีลักษณะเปน็ 1 มติ ิ, 2 มติ ิ หรอื 3 มติ ิ
รปู ที่ 1 .................................................. รปู ท่ี 6 .................................................. ขอ้ ที่ รปู จานวนเส้นสมมาตร 1 2 หนา๎ 23 ขอ้ ท่ี รปู จานวนเส้นสมมาตร 6 เฉลย แบบฝกึ หัดทักษะการหาความสัมพันธร์ ะหวา่
งสเปสกับสเปส โรงเรียนวทิ ยาศาสตร์จุฬาภรณราชวทิ ยาลัย ตรงั หน๎า 24 “6 หรือ 9 9หรอื 6 ตา่ งคนต่างความคดิ ต่างจิตตา่ งใจ ทักษะท่ี 6 การจัดทาและสอ่ื ความหมายข้อมลู หมายถึง การนาข๎อมูลทีไ่ ดจ๎ ากการสงั เกต และการวัด มาจัดกระทาให๎มคี วามหมาย โดยการหาความถี่ ความสามารถทแ่ี สดงการเกิดทกั ษะ โรงเรียนวทิ ยาศาสตรจ์ ฬุ าภรณราชวทิ ยาลัย ตรงั หน๎า 25 การนาเสนอมีหลายรูปแบบดังน้ี 1. การนาเสนอข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการ (Informal presentation) เป็นการการนาเสนอที่ไมํเป็น แบบแผน ไมตํ ๎องมกี ฎเกณฑแ์ ละแบบแผนแตํอยาํ งใด วธิ ที น่ี ยิ ม มี 2 วิธีดังน้ี 1.1 การนาเสนอข้อมูลในรูปบทความ เป็นการนาเสนอข๎อมูลท่ีต๎องการเสนอมาอธิบาย และ สรุปให๎ได๎รายละเอียด เก่ียวกับข๎อมูล เชํน ในการศึกษาโครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่องความเข๎มข๎นฮอร์โมน ตํอการตายของไรแดงพบวําใน สารละลาย ท่ีมีความเข๎มข๎นของฮอร์โมน 4 เม็ดตํอน้า 50 ลูกบาศก์ เซนติเมตร ทา ให๎ไรแดงตายมาก ทสี่ ุด 40 % รองลงมาคอื สารละลาย ท่มี ีความเข๎มข๎นของฮอร์โมน 3 เม็ด ตํอนา้ 50 ลูกบาศกเ์ ซนติเมตร นอกน้นั ไมทํ าให๎ไรแดงตาย 1.2 การนาเสนอข้อมูลในรูปบทความก่ึงตาราง การนาเสนอข๎อมูลที่ต๎องการนาเสนอ มาแยก ขอ๎ ความและตัวเลขเพือ่ ใหเ๎ ห็นการเปรยี บเทียบได๎ชัดเจนขึ้น เชํน จากการศึกษาเรื่องความเข๎มข๎นฮอร์โมน ตํอการตายของไรแดงปรากฏวาํ ความเขม๎ ข๎นของฮอร์โมน มีผลตํอการตายของไรแดงคอื 2. การนาเสนอขอ้ มลู อยา่ งมแี บบแผน (Formal presentation) การนาเสนอข๎อมูลอยํางมีแบบแผน ตามแนวตง้ั หรือสดมภ์เพ่อื ให๎เห็นขอ๎ มูลได๎ชัดเจน สะดวก ในการอํานการวิเคราะห์ และยังชํวยให๎สามารถ ความเขม้ ข้นของฮอรโ์ มน จานวนไรแดงทีต่ าย (%) 3 4 โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวทิ ยาลัย ตรงั หน๎า 26 จากตารางท่กี าหนดให๎ สามารถวาดรูปของแผนภูมแิ ทงํ ได๎ดังแสดงจานวนไรแดง ่ีทตาย( ) แผนภมู ิแท่งแสดงจานวนไรแดงในฮอร์โมนทม่ี ีความเข้มขน้ ต่างกนั
50 1234 ความเขม๎ ขน๎ ของฮอร์โมน (จานวนเมด็ : น้า 50 cm3) 2. ตารางสองทาง (Two way table) เป็นการนาเสนอข๎อมูล ที่แสดงให๎เห็นถึงผลของตัวแปรต๎นท่ีมี หลายระดบั ตอํ ตัวแปรตาม 1 ตวั แปร ตารางที่ 2 แสดงการเปลี่ยนสีของปลาหางนกยูง ในกรณีไดร๎ ับความเข๎มข๎นของฮอร์โมนตํางกัน ปลาหางนกยูงขวด ความเขม้ ขน้ ของฮอร์โมน ท่ี 1 2 3 4 1 ไมเํ ปลีย่ นสี เปลี่ยนสเี ล็กนอ๎ ย เปลี่ยนสแี ผกํ ว๎าง เปลี่ยนสมี าก 2 ไมเํ ปลย่ี นสี เปลี่ยนสเี ล็กน๎อย เปล่ยี นสีแผกํ วา๎ ง เปลย่ี นสมี าก 3. ตารางหลายทาง (Multi - way table) เป็นการนาเสนอข๎อมูลทแ่ี สดงให๎เหน็ ถงึ การ เปรียบข๎อมลู โรงเรียนวทิ ยาศาสตรจ์ ฬุ าภรณราชวิทยาลยั ตรงั หนา๎ 27 ป ิรมาณ ํถานที่ใ ๎ช (ล๎านตัน)2.2 นาเสนอขอ้ มลู ในรูปของกราฟเส้น (Line Graph) ตารางท่ี 3 แสดงปริมาณการใชถ๎ าํ นหินของโรงงานแหํงหนึง่ จากตารางที่กาหนดให๎สามารถเขยี นกราฟเส๎นตรงได๎ดังน้ี กราฟแสดงการใช้ถา่ นหินของโรงงานแห่งหน่ึง 20 15 10 5 0 โรงเรียนวทิ ยาศาสตรจ์ ุฬาภรณราชวิทยาลยั ตรัง หน๎า 28 2. กราฟเดี่ยวเชิงซ้อน
(Multiple Line Graph) เปน็ กราฟท่แี สดงการเปรียบเทียบข๎อมูลที่ต๎องการจะศึกษา ตารางแสดงความสูงของต๎นถ่ัวเม่อื ใชป๎ ๋ยุ ตํางชนิดกัน สัปดาห์ ความสูงของตน้ ถ่ัว (cm) 1 8 10 2 10 13 3 15 20 4 20 25 5 30 35 ความ ูสงของ ้ตนถ่ัว (cm)จากตารางที่กาหนดให๎สามารถเขียนกราฟเสน๎
ตรงไดด๎ ังน้ี ปยุ๋ ชีวภาพ 30 20 10 0 โรงเรยี นวิทยาศาสตรจ์ ุฬาภรณราชวทิ ยาลยั ตรงั หนา๎ 29 ทกั ษะท่ี 7 การลงความเห็นของข้อมูล หมายถงึ การเพิม่ ความคดิ เห็นของตนให๎กบั ข๎อมูลท่ีได๎จากการสงั เกต การทดลอง อยํางมีเหตุผล โดย การลงความเหน็ ในเรอ่ื งเดยี วกันอาจจะเหมอื นหรอื ไมเ่ หมอื นกนั กไ็ ด้
ข้ึนอยู่กับ ความสามารถที่แสดงการเกิดทักษะ คือ สามารถอธิบายหรือสรุปจากประเด็นของการเพ่ิมความ โรงเรียนวทิ ยาศาสตร์จฬุ าภรณราชวิทยาลยั ตรงั หน๎า 30 ขอ้ สังเกตการลงความเห็นของข้อมูล ประโยชน์ของการลงความเห็นของขอ้ มูล คาชแ้ี จง ใหน๎ ักเรยี นพิจารณาขอ๎ ความตํอไปนีว้ าํ คาถามข๎อใดที่นาไปสํูทกั ษะการลงความเหน็ ขอ๎ มูล ถ๎าเปน็ ให๎ใสํ เฉลย โรงเรยี นวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวทิ ยาลัย ตรงั หนา๎ 31 คาชี้แจง ใหน๎ ักเรียนพิจารณาข๎อความหรือรปู ที่กาหนดให๎ตํอไป พรอ๎ มแสดงความคดิ เห็น เอาน้าแข็งใสํลงในถัง ตั้งทิ้งไว๎ นกั เรียนลงความเหน็ ไดว๎ ํา นักเรยี
นลงความเหน็ ได๎วํา โรงเรยี นวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวทิ ยาลัย ตรัง หน๎า 32 คาชแี้ จง ใหน๎ กั เรยี นพิจารณาข๎อความตอํ ไปนวี้ ํา ข๎อใดเป็นการลงความเหน็ ข๎อมูลและข๎อใดเปน็ ข๎อสังเกต 1. มดมหี นวด 2 เส๎น ................................................................. 2. ขนมปังก๎อนน้ีทาด๎วยแปง้ สาลี ................................................................. 3. รอยเท๎าน้เี ป็นรอยเท๎าของนกกระยาง ................................................................. 4. วันนคี้ รูใสํกระโปรงสีดา เส้ือสีขาว ................................................................. 5. แอลกอฮอล์ใชท๎ าความสะอาดและฆาํ เช้ือโรค ................................................................. 6. สมุดเลมํ นป้ี กสแี ดง ................................................................. 7. เทยี นเลํมน้มี ีสีเหลืองคลา๎ ยขม้ิน ................................................................. 8. กอ๎ นหนิ ลอยเหนอื น้า เพราะความหนาแนํนนอ๎ ยกวําน้า ................................................................. 9. ดนิ สอแทงํ นยี้ าวประมาณ 15 เซนตเิ มตร ................................................................. 10. รถยนตค์ นั น้ีมี 4 ประตู ................................................................. โรงเรียนวิทยาศาสตรจ์ ฬุ าภรณราชวทิ ยาลยั ตรัง หนา๎ 33 ทกั ษะที่ 8 การพยากรณ์ หมายถึง การทานายหรือการคาดคะเนคาตอบ โดยอาศยั ขอ๎ มูลทีไ่
ด๎จากการสงั เกตหรือการทาซ้า ผําน 2.1 การพยากรณ์ภายในขอบเขตท่ีศึกษา เป็นการทานายผลที่จะเกิดขึ้น ภายในขอบเขตของข๎อมูลเชิง ความสามารถท่ีแสดงการเกิดทักษะ คือ สามารถทานายผลที่อาจจะเกิดข้ึนจากข๎อมูลบนพ้ืนฐาน อายขุ องตน้ ตะเคยี น (ปี) ความสูง (เมตร) 2 10 4 12 6 14 8 16 ตารางแสดงความสูงของต๎นตะเคยี นต้งั แตํอายุ 2-8 ปี การพยากรณข์ ๎อมลู ในขอบเขตท่ีมีอยํู เชํน ตน๎ ตะเคียนอายุ 5 ปี จะ โรงเรยี นวทิ ยาศาสตรจ์ ฬุ าภรณราชวิทยาลยั ตรัง หน๎า 34 ตวั อยา่ งการพยากรณ์ เวลาทวี่ ัด อณุ หภมู ิ (องศาเซลเซียส) ใหน๎ กั เรยี นตอบคาถามตํอไปน้ี 2. จากภาพทีก่ าหนดใหต๎ ํอไปน้ี ใหน๎ ักเรียนคาดคะเนคาตอบลวํ งหน๎า โดยอาศยั ประสบการณ์ ทฤษฎี จากภาพพบวาํ คอื เมฆควิ มูโลนมิ บสั โรงเรียนวทิ
ยาศาสตรจ์ ุฬาภรณราชวทิ ยาลัย ตรัง จ า ก ภ า พ พ บ วํ า คื อ น้ า ใ น แ มํ น้ า หนา๎ 35 แบบฝกึ หัด ทักษะท่ี 8 การพยากรณ์ คาชแี้ จง ให๎นกั เรยี นทานายเวลาทด่ี วงอาทิตย์ขึน้ ในวันตาํ งๆ ซ่ึงใช๎ขอ๎ มลู จากตารางที่กาหนดให๎ โดยให๎นักเรียน วาดกราฟเส๎นตรงแสดงความสัมพันธ์ระหวํางวันและเวลาท่ีดวงอาทิตย์ขึ้น (แกน X แทนตัวแปรต๎น แกน Y แทนตวั แปรตาม) ตารางที่ 1 แสดง เวลาท่ดี วงอาทิตย์ขึ้นทุกวันที่ 1 ของเดือน วันที่ เวลาทีด่ วงอาทติ ย์ขึน้ วันท่ี เวลาทีด่ วงอาทิตยข์ ึน้ 1 มกราคม 7.22 น. 1 กรกฎาคม 4.34 น. 1 กมุ ภาพันธ์ 7.09 น. 1 สงิ หาคม 4.58 น. 1 มนี าคม 6.34 น. 1 กนั ยายน 5.27 น. 1 เมษายน 5.44 น. 1 ตุลาคม 5.56 น. 1 พฤษภาคม 5.01 น. 1 พฤศจิกายน 5.29 น. 1 มถิ นุ ายน 4.33 น. 1 ธันวาคม 7.02 น. จากข๎อมลู ในตารางสามารถวาดกราฟเสน๎ ตรงได๎วาํ จากกราฟสามารถทานายได๎วาํ หน๎า 36 โรงเรยี นวทิ ยาศาสตร์จฬุ าภรณราชวิทยาลัย ตรัง โรงเรียนวทิ ยาศาสตรจ์ ฬุ าภรณราชวทิ ยาลัย ตรงั หนา๎ 37 |