สมบัติของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า?, สมบัติของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า? หมายถึง, สมบัติของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า? คือ, สมบัติของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า? ความหมาย, สมบัติของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า? คืออะไร Show
อยากทราบว่า คุณสมบัติ ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มีอะไรบ้าง สมบัติของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คือ 1 ไม่ต้องใช้ตัวกลางในการเคลื่อนที่ 2 อัตราเร็วของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทุกชนิดในสุญญากาศเท่ากับ 3x108m s ซึ่งเท่ากับ อัตราเร็วของแสง 3 เป็นคลื่นตามขวาง 4 ถ่ายเทพลังงานจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง 5 ถูกปล่อยออกมาและถูกดูดกลืนได้โดยสสาร 6 ไม่มีประจุไฟฟ้า 7 คลื่นสามารถแทรกสอด สะท้อน หักเห และเลี้ยวเบนได้ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า, คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หมายถึง, คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คือ, คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ความหมาย, คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คืออะไร คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า, คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หมายถึง, คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คือ, คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ความหมาย, คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คืออะไรร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook..ได้ที่นี่เลย!! ������ҧ��� 4 �ʴ���������� �ǧ�ҷԵ��������� 694 ��ҹ���� ��鹼�Ǣͧ�ǧ�ҷԵ�����ѧ�մ��¤������ 64 ��ҹ�ѵ�� / ���ҧ���� �ʧ�ҷԵ���Թ�ҧ���ѧ�š�����зҧ 149.6 ��ҹ�������� �����������ҧ�ҡ��������բͧ����ҷԵ�� 216 ��� ������ʧ�ҷԵ���դ����������ŧ (216)2 ��� �ѧ��� �ʧ�ҷԵ�쵡��з�����ҡ�Ȫ�鹺��ͧ�š���¤��������§ 1,370 �ѵ��/���ҧ����คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ( electromagnetic wave ) คือ คลื่นชนิดหนึ่งที่เคลื่อนที่โดยไม่อาศัยตัวกลาง โดยอาศัยการเหนี่ยวนำกันระหว่างสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้าซึ่งเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทิศของสนามทั้งสองตั้งฉากกันและตั้งฉากกับทิศการเคลื่อนที่ จากการศึกษายังพบว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าช่วงความถี่ต่างๆ มีลักษณะเฉพาะตัว จึงมีชื่อเรียกต่างกัน เมื่อเรียงลำดับจากความถี่ต่ำไปความถี่สูงจะได้ดังนี้ คลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ รังสีอินฟราเรด แสงที่ตามองเห็น รังสีอัลตราไวโอเลต รังสีเอกซ์ และรังสีแกมมา คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทุกช่วงที่มีความถี่ที่ต่อเนื่องกัน รวมเรียกว่า สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ( electromagnetic spectrum ) สเปกตรัม (Spectrum) ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะประกอบด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่และความยาวคลื่นแตกต่างกัน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ คลื่นแสงที่ตามองเห็น อัลตราไวโอเลต อินฟราเรด คลื่นวิทยุ โทรทัศน์ ไมโครเวฟ รังสีเอกซ์รังสีแกมมา เป็นต้น ดังนั้นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จึงมีประโยชน์มากในการสื่อสารและโทรคมนาคม และทางการแพทย์และนักดาราศาสตร์ทำการศึกษาวัตถุท้องฟ้า โดยการศึกษาคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่วัตถุแผ่รังสีออกมา สเปคตรัมของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทำให้เราทราบถึงคุณสมบัติทางกายภาพของดวงดาว อันได้แก่ อุณหภูมิ และพลังงาน ที่มา : 1. สสวท. กระทรวงศึกษาธิการ, หนังสือเรียนวิชาฟิสิกส์ 1 ว 422หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย พุทธศักราช 2524 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2533) 2. วิไลวรรณ ภูละออ, ฟิสิกส์ของคลื่น, 2540 3. มานี จันทวิมล ,ผู้แปล, เซตฟอร์ด, สตีฟ., ผู้เขียน , ชุดแหล่งความรู้คู่กาย เล่มที่ 4 วิทยาศาสตร์, 2540 แสงคือ "คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า" ชนิดหนึ่ง "คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า" มีลักษณะตามมาตรฐานของ "ความยาวคลื่น" และเมื่อเริ่มจากที่มีความยาวคลื่นยาว จะแบ่งได้เป็น คลื่นวิทยุ รังสีอินฟราเรด แสงที่มองเห็นได้ รังสีอัลตราไวโอเลต รังสีเอ็กซ์เรย์ และรังสีแกมมา สีคืออะไรเมื่อความยาวคลื่นแสงกระทบวัตถุ คลื่นแสงที่สะท้อนออกที่วัตถุไม่ได้ดูดซับไว้ จะมองเห็นได้ด้วยดวงตาของมนุษย์ (เรตินา) เมื่อปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้น เราจะรับรู้ความยาวคลื่นเหล่านี้ว่าเป็น "สี" ของวัตถุ ดัชนีหักเหจะแตกต่างกันตามความยาวคลื่น ดังนั้นแสงจึงแยกออก ด้วยเหตุนี้เราจึงสามารถรับรู้ "สี" ต่างๆ ได้ ตัวอย่างเช่น ผลแอปเปิ้ล (ได้รับแสงธรรมชาติ ก็คือลำแสงเฉพาะที่ทำให้มนุษย์สามารถมองเห็นสีแดง) สะท้อนความยาวคลื่นแสงสีแดง (600 ถึง 700 nm) และดูดซับความยาวคลื่นแสงอื่นๆ ทั้งหมด * วัตถุสีดำดูดซับแสงทั้งหมดจึงปรากฏเป็นสีดำ แสงที่มองเห็นได้คืออะไรคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ความยาวคลื่นอยู่ในระยะที่มนุษย์สามารถมองเห็นเรียกว่า "รังสีที่มองเห็นได้" ด้านฝั่งที่มีความยาวคลื่นสั้น รังสีที่มองเห็นได้มีความยาว 360 ถึง 400 nm ส่วนฝั่งที่มีความยาวคลื่นยาววัดได้ 760 ถึง 830 nm ความยาวคลื่นที่สั้นหรือยาวกว่า "รังสีที่มองเห็นได้" ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตามนุษย์ ความแตกต่างระหว่างแสงธรรมดาและลำแสงเลเซอร์นี่เป็นความแตกต่างระหว่างแสงทั่วไป (โคมไฟ และอื่นๆ) และแสงเลเซอร์ เลเซอร์จะปล่อยลำแสงที่มีความแน่นอนของทิศทางสูง หมายความว่าองค์ประกอบของคลื่นแสงจะเดินทางด้วยกันเป็นเส้นตรง โดยแทบไม่มีองค์ประกอบใดออกนอกทิศทาง แหล่งกำเนิดแสงทั่วไปจะปล่อยคลื่นแสงที่กระจายออกทุกทิศทาง คลื่นแสงในลำแสงเลเซอร์เป็นสีเดียวกันทั้งหมด (คุณสมบัติที่เรียกว่า แสงสีเดียว) แสงทั่วไป (เช่น แสงจากหลอดฟลูออเรสเซนต์) มักเป็นส่วนผสมระหว่างสีต่างๆ ที่รวมกันจนปรากฏเป็นสีขาว (เดินทางเป็นเส้นตรง)หลอดไฟเลเซอร์แสงสีเดียว (มีสีเดียว)ความยาวคลื่นไม่สม่ำเสมอความยาวคลื่นสม่ำเสมอความเป็นความพร้อมเพรียงแสงธรรมชาติยอดคลื่นและท้องคลื่นอยู่ในแนวตรงกัน ประวัติของคำว่าเลเซอร์คำว่าเลเซอร์ (Laser) มีจุดกำเนิดมาจากคำย่อ “Light Amplification by Stimulated Emission of Radiation” อะตอม (โมเลกุล) ดูดซับพลังงานจากภายนอก จะเลื่อนจากระดับต่ำ (สถานะพลังงานต่ำ) ไปสู่ระดับสูง (สถานะพลังงานสูง) สถานะนี้อธิบายได้ว่าเป็นสถานะถูกกระตุ้น ชนิดเลเซอร์เลเซอร์แบ่งออกได้เป็นชนิดกว้างๆ 3 ชนิด คือ Solid-state ก๊าซ และของเหลว ประเภทของเลเซอร์ที่เหมาะสมจะต่างกันไปขึ้นกับการประยุกต์ใช้งานที่ต้องการ Solid-StateNd: YAGYAG (Yttrium Aluminium Garnet) ความยาวคลื่นมาตรฐาน (1064 nm) Second harmonic (532 nm) (เลเซอร์สีเขียว)
Third harmonic (355 nm) (เลเซอร์ UV)
YAG เป็นโครงสร้างผลึกของอีทเทรียม (Y) อะลูมิเนียม (A) และโกเมน (G) ด้วยการเจือธาตุที่เปล่งแสงได้ ซึ่งในกรณีนี้คือไอออนนีโอไดเมียม (Nd) ผลึก YAG จะเข้าสู่สถานะการกระตุ้นผ่านการดูดซับแสงจากเลเซอร์ไดโอดNd: YVO4 (1064 nm)YVO 4 (Yttrium Vanadate)
เลเซอร์ YVO4 เป็นเลเซอร์ชนิดของแข็งที่มีโครงสร้างผลึกของอีทเทรียม (Y) วานาเดียม (V) และออกไซด์ (O4) เมื่อเจือโครงสร้างนี้ด้วยไอออนนีโอไดเมียม (Nd) ซึ่งเป็นธาตุเปล่งแสง จะเกิดสภาวะถูกกระตุ้นเมื่อปลายโครงสร้างได้รับแสงจาก LDYb: ไฟเบอร์ (1090 nm)Yb (Ytterbium)
ก๊าซCO2 (10.6 μm)
เลเซอร์ชนิดนี้มีความยาวคลื่นอินฟราเรด 10.6 μm จึงไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เลเซอร์ CO2 ไม่เพียงแต่มีก๊าซ CO2 ในท่อออสซิลเลชันที่ปิดผนึกอย่างสมบูรณ์เท่านั้น แต่ยังมีก๊าซ N2 (ไนโตรเจน) และ He (ฮีเลียม) ในปริมาณที่กำหนดอีกด้วย คุณสมบัติเหล่านี้ทำให้เลเซอร์ CO2 มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเลเซอร์ “ชนิดปิดผนึก” ไนโตรเจน (N2) จะเพิ่มพลังงานให้กับ CO2 ส่วนฮีเลียม (He) จะลดระดับพลังงานให้มีความเสถียรมากขึ้นอย่างช้าๆHe-Ne มาตรฐาน (630 nm)
ของเหลวสีย้อม (330 ถึง 1300 nm)
คุณสมบัติของความยาวคลื่นเลเซอร์มาร์กเกอร์แบบ CO2 ความยาวคลื่น 10600 nm :มักจะใช้สำหรับการมาร์กกระดาษ พลาสติก แก้ว และเซรามิค
ความยาวคลื่น 1064 nm (ไฟเบอร์: 1090 nm): ความยาวคลื่น 532 nm: ความยาวคลื่น 355 nm: หลักการของเลเซอร์ออสซิลเลเตอร์ส่วนนี้จะอธิบายถึงหลักการทำงานที่นำไปสู่การออสซิลเลเตอร์ของแสงเลเซอร์ 1. การเร่งประจุเมื่อได้รับแสงจากแหล่งภายนอก อิเล็กตรอนจะดูดซับแสงและเปลี่ยนแปลงสถานะทางพลังงานจากสถานะไม่ถูกกระตุ้น (พลังงานต่ำสุด) เป็นสถานะถูกกระตุ้น (พลังงานสูงขึ้น) เมื่อพลังงานเพิ่มขึ้น อิเล็กตรอนจะเคลื่อนที่จากวงโคจรปกติไปสู่วงโคจรที่มีระยะห่างขึ้น การเพิ่มพลังงานเช่นนี้เรียกว่า “การกระตุ้น” สถานะของอะตอม อะตอมที่อยู่ในสถานะพื้นอะตอมที่อยู่ในสถานะถูกกระตุ้นสถานะอิเล็กตรอน2. การปล่อยพลังงานออกมาตามธรรมชาติอิเล็กตรอนในสภาวะถูกกระตุ้นจะเปลี่ยนไปตามระดับพลังงานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นไปตามปริมาณของพลังงานที่ดูดซับได้ อิเล็กตรอนที่มีพลังงานเพิ่มขึ้นจะมีความเสถียรเมื่ออยู่ในสถานะคลายตัวเป็นระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งเป็นการคายพลังงานที่เพิ่มขึ้นเพื่อลดระดับกลับไปสู่สถานะพลังงานต่ำ เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น จะมีการเปล่งแสงที่มีพลังงานเทียบเท่ากับพลังงานที่ปล่อยออกมา สิ่งนี้เรียกว่า การปล่อยพลังงานออกมาตามธรรมชาติ สถานะของอะตอม สถานะอิเล็กตรอน3. การปล่อยพลังงานที่ถูกกระตุ้นตามที่ได้แสดงในภาพตัวอย่างด้านล่าง เมื่อแสงถูกส่งผ่านอิเล็กตรอนที่มีพลังงานในระดับเดียวกัน จะมีการสร้างโฟตอนของแสงที่มีพลังงาน เฟส และทิศทางที่เทียบเท่า ขึ้นเพิ่มเติม ในการปล่อยพลังงานที่ถูกกระตุ้น โฟตอนของแสงที่ถูกส่งผ่านจะปล่อยโฟตอนสองตัวเสมอ สิ่งนี้เรียกว่า การปล่อยพลังงานที่ถูกกระตุ้น สถานะของอะตอม สถานะอิเล็กตรอน4. ปริมาณผกผันอิเล็กตรอนที่มีพลังงานหนาแน่นจะต้องมีปริมาณสูงกว่าอิเล็กตรอนพลังงานต่ำอย่างมากเพื่อออสซิลเลตลำแสงเลเซอร์ สิ่งนี้เรียกว่า ปริมาณผกผัน ปริมาณของโฟตอนแสงที่ยิงออกมาจะต้องมีจำนวนมากกว่าโฟตอนแสงที่ถูกดูดซับเพื่อให้การสร้างแสงเลเซอร์มีประสิทธิภาพ ปริมาณผกผันของอิเล็กตรอน
5. เลเซอร์ออสซิลเลชันเมื่ออิเล็กตรอนหนึ่งเปล่งแสงด้วยการปล่อยพลังงานออกมาตามธรรมชาติเนื่องจากปริมาณผกผัน แสงนั้นจะกระตุ้นให้อิเล็กตรอนอื่นเปล่งแสง และปริมาณของโฟตอนแสงจะเพิ่มขึ้นตามอิเล็กตรอนที่ถูกกระตุ้นใกล้เคียง ซึ่งทำให้เกิดแสงที่เข้มข้น สิ่งนี้เรียกว่า เลเซอร์ออสซิลเลชัน |