ปัญหาการออมในสังคมมีอะไรบ้าง

​ดร.สรา ชื่นโชคสันต์
นางสาวภาวนิศร์ ชัววัลลี
นายวิริยะ ดำรงค์ศิริ

ปัญหาการออมในสังคมมีอะไรบ้าง

บทนำ

          หนี้ครัวเรือนไทยที่อยู่ระดับสูงเป็นประเด็นที่ผู้ดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจได้แสดงความกังวลอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปัญหาดังกล่าวกระทบต่อความยั่งยืนของการเติบโตทางเศรษฐกิจใน 2 มิติด้วยกัน มิติแรกคือเรื่องการใช้รายได้ในอนาคต (การก่อหนี้) เพื่อมาบริโภคในวันนี้มากจนเกินไป ส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตได้ดีในระยะแรกแต่จะแผ่วลงภายหลังตามภาระหนี้จ่ายที่สูง มิติที่สองคือเรื่องเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจการเงิน โดยหนี้ที่สูงสะท้อนถึงความเปราะบางทางการเงินของครัวเรือน ทำให้ภาคครัวเรือนขาดภูมิคุ้มกันและอยู่ในสถานะที่อ่อนไหวต่อความผันผวนทางเศรษฐกิจมากจนเกินไป (too sensitive to economic shocks) เช่น ไม่สามารถจ่ายหนี้ได้เมื่อรายได้ไม่เป็นไปตามคาด หรือเมื่อรายได้จากการทำงานล่วงเวลา (OT) ลดลง เป็นต้น อาการขาดภูมิคุ้มกันดังกล่าวสุ่มเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะเผชิญกับปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ในวงกว้าง (massive default) ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวรุนแรงหรือในบางกรณีอาจพัฒนาลุกลามไปสู่วิกฤตทางเศรษฐกิจได้ในที่สุด จะเห็นได้ว่าการก่อหนี้ที่มากจนเกินไปจะมีข้อเสียมากกว่าข้อดีที่ได้จากการเข้าถึงบริการทางการเงินด้านสินเชื่อ (access to credit) จุดสมดุลของการก่อหนี้ที่ดีคือ ระดับหนี้ต้องไม่สร้างปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ (NPL) ทั้งในวันนี้และในอนาคตหรือกล่าวอีกนัยคือ หากครัวเรือนไทยมีฐานะทางการเงินที่เข้มแข็ง เช่น มีการเก็บออมอย่างเหมาะสมหรือมีการวางแผนทางการเงินที่ดี การก่อหนี้ก็จะไม่สร้างปัญหาต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และประโยชน์จากการเข้าถึงแหล่งสินเชื่อที่มากขึ้นก็จะได้รับอย่างเต็มประสิทธิภาพ 

          อย่างไรก็ตาม งานศึกษาเกี่ยวกับหนี้ครัวเรือนไทยที่ผ่านมาชี้ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่ว่าครัวเรือนไทย “เป็นหนี้สูง เป็นหนี้กันเร็ว และเป็นหนี้นานตลอดช่วงชีวิต[1]” นอกจากนี้ ข้อมูลจากแบบสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (Socio-Economic Survey: SES) ยังชี้ว่า ครัวเรือนไทยมีอัตราการออมลดลงในทุกกลุ่มรายได้ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา (ภาพที่ 1) การออมน้อย การมีหนี้สูง และการเป็นหนี้นานเป็นผลลัพธ์ที่มีความเชื่อมโยงกัน เพราะการออมน้อยทำให้ครัวเรือนเวลาจะกู้จำเป็นต้องกู้แบบเต็มมูลค่า (เป็นหนี้สูง) และเมื่อมีหนี้สูง ผู้กู้จะเลือกผ่อนในระยะเวลานาน (เป็นหนี้นาน) เพื่อกดไม่ให้ภาระผ่อนต่อเดือนสูงเกินไป (เพราะเงินเหลือต่อเดือนที่จะผ่อนมีน้อย) ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเงินออมที่เก็บสะสม (stock of savings) และ/หรือเงินเหลือต่อเดือน (flow of savings) ของครัวเรือนนั้นมีน้อยเกินไป (ภาพที่ 2) การผลักดันนโยบายด้านการออมของครัวเรือนจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน 

ปัญหาการออมในสังคมมีอะไรบ้าง

ปัญหาการออมในสังคมมีอะไรบ้าง

          บทความนี้ พยายามจะต่อยอดงานศึกษาเดิมเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้จ่ายของครัวเรือน[2] เพื่อทำความเข้าใจให้มากขึ้นถึงสาเหตุของการมีหนี้ การที่ครัวเรือนมีปัญหาทางการเงิน[3] และสาเหตุที่ทำให้ครัวเรือนไทยมีอัตราการออมลดลง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อภาคครัวเรือนในการตระหนักรู้ และต่อหน่วยงานภาครัฐในการผลักดันนโยบายเพื่อให้ภาคครัวเรือนมีวินัยทางการเงินมากขึ้น

ข้อมูลและนิยามสำคัญที่ใช้ในบทความนี้

          ข้อมูลที่ใช้ศึกษาพฤติกรรมการออมและการใช้จ่ายของครัวเรือนทั้งหมดในบทความนี้มาจากแบบสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (Socio-Economic Survey: SES) ที่สำรวจโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ โดยใช้ข้อมูลตั้งแต่ปี 2552 - 2560[4] ซึ่งสำรวจประมาณปีละ 40,000 - 50,000 ครัวเรือนทั่วประเทศ งานศึกษานี้ได้สร้างตัวแปรต่างๆ สำหรับการวิเคราะห์พฤติกรรมของครัวเรือนและมีการใช้คำศัพท์เฉพาะ จึงขออธิบายคำนิยามและวิธีการคำนวณที่เกี่ยวข้องดังนี้

          1. ครัวเรือนที่มีปัญหา (ทางการเงิน) คือ ครัวเรือนที่มีรายรับต่อเดือนน้อยกว่ารายจ่ายต่อเดือน โดยรายจ่ายต่อเดือนสำหรับกลุ่มครัวเรือนที่มีหนี้จะนับรวมภาระหนี้ที่ต้องจ่ายต่อเดือนด้วย

          2. การคำนวณอายุเฉลี่ยของครัวเรือน จะคำนวณโดยให้น้ำหนักอายุตามสัดส่วนรายได้ของสมาชิกในครัวเรือน (weighted average age by income) กล่าวคือ หากแหล่งรายได้หลักของครัวเรือนมาจากสมาชิกอายุน้อย
อายุเฉลี่ยของครัวเรือนนั้นๆ ก็จะต่ำ ขณะที่ครัวเรือนที่มีอายุเฉลี่ยสูงจะมีแหล่งรายได้หลักมาจากสมาชิกที่มี
อายุมาก

          3. สัดส่วนรายได้มั่นคง (stable income ratio) คำนวณโดยการหารรายได้ที่มั่นคงด้วยรายได้ทั้งหมดของครัวเรือน ทั้งนี้ รายได้ที่มั่นคงถูกนิยามตามความถี่ของรายรับ เช่น รายได้ของสมาชิกในครัวเรือนที่ได้รับเงินเป็นรายเดือนจะถูกนับเป็นรายได้ที่มั่นคง ส่วนสมาชิกในครัวเรือนที่รับรายได้ในความถี่อื่น เช่น รายวัน
รายสัปดาห์ รายชิ้นงาน หรือตามฤดูกาลจะถูกนับเป็นรายได้ที่ไม่มั่นคง โดยรายได้ของผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัวที่ไม่ได้รับเงินเดือนจะถือเป็นรายได้ที่ไม่มั่นคง

          4. ประเภทของรายจ่าย แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ (1) รายจ่ายจำเป็น (2) รายจ่ายฉุกเฉิน (3) รายจ่ายไม่จำเป็น และ (4) รายจ่ายภาระหนี้ โดยมีรายละเอียดดังนี้ 
              -
รายจ่ายจำเป็นประกอบด้วยรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยสี่ เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าเสื้อผ้า ค่าอาหาร ค่าเวชภัณฑ์และค่าตรวจรักษาพยาบาลพื้นฐาน นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายจำเป็นยังนับรวมค่าใช้จ่ายอีก 2 หมวด คือ หมวดค่าเดินทางและหมวดเพื่อการศึกษา
              - รายจ่ายฉุกเฉินประกอบด้วยค่ารักษาพยาบาลฉุกเฉิน อาทิ ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยใน
              -
รายจ่ายไม่จำเป็นประกอบด้วยรายจ่ายอื่นๆ ที่ไม่ได้กล่าวถึงใน 2 ข้อแรกแต่ยังไม่รวมภาระหนี้ อาทิ ค่าใช้จ่ายในหมวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ เครื่องสำอาง ของใช้ส่วนบุคคลที่ไม่จำเป็นการเดินทางในโอกาสพิเศษและการท่องเที่ยว การสื่อสาร และการบันเทิง เป็นต้น
              -
รายจ่ายภาระหนี้ประกอบด้วยค่างวดหรือค่าผ่อนต่อเดือน ซึ่งนับรวมทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย

          หากไม่นับรวมรายจ่ายภาระหนี้ ข้อมูล SES ระหว่างในปี 2552 - 2560 จะให้ค่าเฉลี่ยของสัดส่วนรายจ่ายจำเป็นสูงถึงร้อยละ 75 ซึ่งน่าจะสูงกว่าความเป็นจริง เนื่องจากค่าใช้จ่ายหลายหมวดในรายจ่ายจำเป็นมีส่วนที่
ทับซ้อนกับรายจ่ายไม่จำเป็นด้วยแต่ไม่สามารถแยกออกได้ เช่น ค่าอาหาร ซึ่งนับรวมค่าอาหารจากภัตตาคารแพงๆ หรือค่าเสื้อผ้าที่นับรวมสินค้าแบรนด์เนมเข้าไปด้วย เป็นต้น ส่วนรายจ่ายฉุกเฉินถือเป็นส่วนน้อย โดยคิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 1.1 ของรายจ่ายทั้งหมดเท่านั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะประมาณครึ่งหนึ่งของครัวเรือนไม่มีรายจ่ายประเภทดังกล่าว

          เพื่อทำความเข้าใจต่อข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้จ่าย การออม และปัญหาการเงินของครัวเรือนให้ดียิ่งขึ้น งานศึกษานี้จะใช้ทั้งวิธีการประมวลผลจากข้อมูล SES โดยตรง ประกอบกับการประมวลผลด้วยการคุมปัจจัยต่างๆ ให้คงที่ด้วยวิธีทางเศรษฐมิติ (econometric model) ซึ่งผลของการศึกษาสามารถสรุปได้เป็น 8 ข้อเท็จจริงดังนี้

ข้อเท็จจริงที่ 1 : ความเปราะบางของครัวเรือนกระจุกตัวมากขึ้นในครัวเรือนที่มีหนี้ ขณะที่ครัวเรือนที่ไม่มีหนี้
                
มีความเปราะบางลดลงต่อเนื่อง

          ข้อมูล SES ชี้ว่า สัดส่วนครัวเรือนที่มีหนี้โน้มลดลงจากร้อยละ 61 ในปี 2552 มาอยู่ที่ร้อยละ 51 ในปี 2560 (ภาพที่ 3) แต่ระดับหนี้เฉลี่ยต่อครัวเรือน (ที่มีหนี้) กลับเพิ่มสูงขึ้นเกือบ 2 เท่าในช่วงเวลาดังกล่าว (ภาพที่ 4) สะท้อนว่าหนี้ที่สูงกระจุกตัวอยู่กับครัวเรือนหรือผู้กู้รายเดิม ซึ่งสอดคล้องกับงานศึกษาของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์[5] ที่พบว่า “การขยายตัวของหนี้ครัวเรือนไทยในรอบ 9 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ยังกระจุกตัวอยู่กับผู้กู้รายเดิม และมีสัดส่วนเพียง 1 ใน 5 ที่มาจากการขยายตัวของผู้กู้รายใหม่” ส่งผลให้ความเปราะบางกระจุกตัวมากขึ้นในครัวเรือนที่มีหนี้ โดยสัดส่วนครัวเรือนที่มีหนี้และมีปัญหารายรับไม่พอรายจ่ายโน้มสูงขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ประมาณร้อยละ 60 ขณะที่สัดส่วนดังกล่าวของครัวเรือนที่ไม่มีหนี้โน้มลดลง[6] (ภาพที่ 5)

ปัญหาการออมในสังคมมีอะไรบ้าง

ข้อเท็จจริงที่ 2 : ภาระหนี้และรายจ่ายไม่จำเป็นคือปัญหาหลักที่ทำให้ครัวเรือนไทยมีรายรับไม่พอรายจ่าย

          คำถามที่สำคัญเกี่ยวกับการเป็นหนี้คือ ปัญหารายรับไม่พอรายจ่ายจนทำให้ครัวเรือนต้องก่อหนี้มีความรุนแรงขนาดไหน? ข้อมูลจาก SES ที่แบ่งรายจ่ายตามประเภทต่างๆ ชี้ว่า มีครัวเรือนประมาณกว่าร้อยละ 10 (เส้นสีเขียวในภาพที่ 6) ซึ่งถือเป็นส่วนน้อยที่มีรายรับไม่พอรายจ่ายจำเป็น[7] แต่เมื่อนับรวมรายจ่ายไม่จำเป็นเข้าไปด้วย จะทำให้สัดส่วนครัวเรือนที่มีปัญหารายรับไม่พอรายจ่ายเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณร้อยละ 30[8] (เส้นสีส้มในภาพที่ 6) และหากเพิ่มภาระหนี้เข้าไปในรายจ่ายด้วยก็จะทำให้สัดส่วนดังกล่าวสำหรับครัวเรือนที่มีหนี้ปรับสูงขึ้นถึงร้อยละ 60 (เส้นสีน้ำเงินในภาพที่ 6) นอกจากนี้ มีข้อสังเกตว่าหากนับเฉพาะรายจ่ายจำเป็น สัดส่วนครัวเรือนที่มีปัญหาทางการเงินแทบจะไม่ต่างกันระหว่างกลุ่มที่มีหนี้และไม่มีหนี้ อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างระหว่างทั้ง 2 กลุ่มจะเริ่มมีมากขึ้นหากนับรวมรายจ่ายไม่จำเป็น[9] และยิ่งเพิ่มมากขึ้นอีกเมื่อนับรวมรายจ่ายด้านภาระหนี้ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความสำคัญในการปลดภาระหนี้ โดยหากทำได้สำเร็จจะทำให้สัดส่วนครัวเรือนไทยที่มีปัญหาทางการเงินลดลงอย่างมาก

ปัญหาการออมในสังคมมีอะไรบ้าง

ข้อเท็จจริงที่ 3 : รายได้ที่ผันผวนไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ทำให้ครัวเรือนก่อหนี้สิน แต่เป็นรายได้ที่มั่นคงที่ทำให้เข้าถึง
                  บริการทางการเงิน (ก่อหนี้) ได้ดีขึ้น

          หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ครัวเรือนอาจต้องก่อหนี้คือ การที่ครัวเรือนมีรายได้ผันผวนจนไม่สามารถประเมินรายได้ในอนาคตได้ดีเท่าที่ควร และอาจสร้างปัญหาในการบริหารเงินจนนำไปสู่การก่อหนี้ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก SES ชี้ว่า ครัวเรือนไทยมีสัดส่วนรายได้ที่มั่นคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในทุกกลุ่ม (ภาพที่ 7) ทั้งกลุ่มที่มีหนี้และไม่มีหนี้ หรือกลุ่มที่มีปัญหาและไม่มีปัญหาทางการเงิน สะท้อนถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ครัวเรือนไทยไม่ได้มีปัญหาด้านรายได้ที่ผันผวนเหมือนในอดีต ส่วนหนึ่งเป็นเพราะราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้แรงงานเคลื่อนย้ายจากภาคเกษตรไปสู่การเป็นลูกจ้างในภาคบริการมากขึ้น โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยว นอกจากนี้ การที่ภาคครัวเรือนมีแหล่งรายรับที่มั่นคงมากขึ้นส่งผลให้สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้ดีขึ้น เนื่องจากสถาบันการเงินมักจะให้เครดิตกับผู้กู้ที่มีรายได้มั่นคงมากกว่า ดังนั้นถือได้ว่า การเพิ่มขึ้นของรายได้ที่มั่นคงเป็นปัจจัยที่เอื้อให้เกิดการก่อหนี้สิน

ปัญหาการออมในสังคมมีอะไรบ้าง

ข้อเท็จจริงที่ 4 : ยิ่งครัวเรือนมีสัดส่วนรายได้มั่นคงสูงขึ้น ก็จะมีการใช้จ่ายมากขึ้น ขณะที่อัตราการออมจะลดลง
                  สะท้อนถึงการขาดความระมัดระวังในการใช้จ่าย

          การศึกษานี้พบว่า หลังจากคุมลักษณะและปัจจัยต่างๆ ของครัวเรือนให้คงที่[10] ครัวเรือนที่มีสัดส่วนรายได้มั่นคงสูงๆ จะมีค่าใช้จ่ายรวม (ไม่รวมภาระหนี้) สูงขึ้นตามไปด้วย และมีอัตราการออมที่ลดลงเมื่อเทียบกับครัวเรือนที่มีรายได้ผันผวน ผลลัพธ์ดังกล่าวอาจชี้ให้เห็นถึงความชะล่าใจของครัวเรือนที่มีรายได้มั่นคงสูงจึงมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายน้อยกว่าครัวเรือนที่มีรายได้ผันผวน โดยเมื่อเทียบกับครัวเรือนที่มีสัดส่วนรายได้มั่นคงต่ำกว่าร้อยละ 20 แล้ว ครัวเรือนที่มีสัดส่วนรายได้มั่นคงสูงเกินกว่าร้อยละ 80 จะมีรายจ่ายสูงกว่าประมาณร้อยละ 6.5 ต่อเดือน ขณะที่อัตราการออมจะต่ำกว่าประมาณร้อยละ 2.0[11] ต่อเดือนอย่างมีนัยทางสถิติ (ภาพที่ 8)

ปัญหาการออมในสังคมมีอะไรบ้าง

ข้อเท็จจริงที่ 5 : ครัวเรือนรุ่นหลังๆ (Gen Y) มีการใช้จ่ายมากกว่ารุ่นก่อนๆ ค่อนข้างมาก

          จากข้อเท็จจริงที่ 2 ซึ่งพบว่าครัวเรือนที่มีหนี้กว่าร้อยละ 60 อาจประสบปัญหารายรับไม่พอรายจ่าย
กลุ่มดังกล่าวมีพฤติกรรมการใช้จ่ายที่แตกต่างจากครัวเรือนที่มีหนี้แต่ไม่มีปัญหาทางการเงินอย่างชัดเจน โดยการศึกษานี้ได้ตั้งคำถามว่า หากคุมลักษณะและปัจจัยต่างๆ ของครัวเรือน เช่น รายได้ อาชีพและทำเลที่อยู่อาศัยให้คงที่แล้ว การใช้จ่ายของครัวเรือนในช่วงปีหลังๆ คือ ปี 2556 - 2560 จะแตกต่างกับปี 2554 หรือไม่ และแต่ละกลุ่มมีความแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งพบว่า การใช้จ่ายของครัวเรือนที่มีปัญหาทางการเงินเพิ่มสูงขึ้นกว่าในอดีตค่อนข้างมาก โดยเฉพาะกลุ่มครัวเรือนที่มีอายุเฉลี่ย 0 - 30 ปี หรือกลุ่ม Gen Y ที่เห็นการใช้จ่ายเร่งขึ้นสูงในปี 2560 โดยเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 30 เทียบกับปี 2554 ขณะที่กลุ่มครัวเรือนที่มีอายุเฉลี่ย 31 - 50 ปีก็มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่เพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยกว่า ในทางกลับกัน กลุ่มครัวเรือนที่มีหนี้แต่ไม่มีปัญหาทางการเงินจะมีการใช้จ่ายลดลงต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ (ภาพที่ 9) ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันนี้อาจเป็นข้อบ่งชี้ได้ว่า ครัวเรือนที่มีหนี้แต่ไม่ระวังการใช้จ่ายมักจะประสบปัญหาทางการเงิน ขณะที่ครัวเรือนที่มีหนี้และมีวินัยในการใช้จ่ายก็จะไม่มีปัญหาทางการเงิน

ปัญหาการออมในสังคมมีอะไรบ้าง

ข้อเท็จจริงที่ 6 : เทคโนโลยีทำให้ครัวเรือนขาดความระมัดระวังในการใช้จ่าย

          เทคโนโลยีโดยเฉพาะโลก online นอกจากจะสร้างประโยชน์และความสะดวกสบายในการเข้าถึงข้อมูล
ให้แก่ผู้บริโภคแล้ว ยังทำให้ผู้ประกอบการสามารถนำเสนอโฆษณาที่เข้าถึงความสนใจเฉพาะบุคคลของผู้บริโภค
ได้มากขึ้น นอกจากนี้ การเข้ามาของ social media ช่วยส่งเสริมความเป็นสัตว์สังคมของมนุษย์ ซึ่งกระตุ้นให้เกิดความอยากอวด อยากได้ อยากเที่ยว อยากแชร์ ตามกลุ่มเพื่อนๆ มากขึ้น สำหรับการศึกษานี้พบว่า หลังจากที่
คุมลักษณะและปัจจัยต่างๆ ของครัวเรือนให้คงที่แล้ว การใช้ internet มีความสัมพันธ์กับค่าใช้จ่ายอย่างมีนัยสำคัญ โดยค่าใช้จ่ายจะเพิ่มสูงขึ้นตามสัดส่วนของสมาชิกในครัวเรือนที่มีการใช้ internet โดยครัวเรือนที่มีสัดส่วน การใช้ internet สูงๆ จะมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 27 เทียบกับครัวเรือนที่ไม่ได้ใช้ internet (ภาพที่ 10) นอกจากนี้ ยังพบอีกว่าแม้จะคุมปัจจัยหลายๆ อย่างให้คงที่แล้ว ครัวเรือนที่ซื้อของผ่าน online shopping จะมีการใช้จ่ายมากกว่าครัวเรือนที่ซื้อของในช่องทาง offline โดยเฉพาะในหมวดเสื้อผ้าและของใช้ส่วนบุคคลที่เห็นการใช้จ่ายสูงกว่าถึงร้อยละ 39 (ภาพที่ 11) ข้อเท็จจริงนี้มีความสัมพันธ์กับข้อเท็จจริงในข้อที่ 5 ที่ชี้ว่า Gen Y มีแนวโน้มขาดความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากกว่า ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนรุ่นหลังเข้าถึงเทคโนโลยีได้มากกว่าและเข้าถึงเร็วกว่าคนรุ่นก่อนๆ

          มองไปข้างหน้า เทคโนโลยีต่างๆ ที่สร้างความสะดวกสบายในการใช้จ่ายและการก่อหนี้ รวมถึงการเข้ามาของฟินเทค (Financial Technology) จะยิ่งทำให้ปัญหาการขาดวินัยทางการเงินและการก่อหนี้ของคนรุ่นหลังๆ มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น จึงสามารถกล่าวได้ว่าปัญหาหนี้ครัวเรือนส่วนหนึ่งเป็นการต่อสู้กับเทคโนโลยีที่ทำให้ครัวเรือนขาดวินัยทางการเงิน จึงจำเป็นต้องเร่งสร้างความตระหนักรู้และสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อให้ภาคครัวเรือนใช้เทคโนโลยีได้อย่างเท่าทันและเหมาะสม

ปัญหาการออมในสังคมมีอะไรบ้าง

ข้อเท็จจริงที่ 7 : การเพิ่มรายได้เพื่อแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนจะขาดประสิทธิผลหากครัวเรือนไม่ปรับพฤติกรรม
                  การใช้จ่าย

          อีกหนึ่งคำถามที่สำคัญคือ การเพิ่มรายได้จะทำให้ครัวเรือนมีสภาพคล่องมากขึ้นและสามารถแก้ปัญหา
หนี้ครัวเรือนได้หรือไม่ การศึกษานี้ได้ทำการทดสอบว่า หากครัวเรือนที่มีหนี้มีรายได้เพิ่มขึ้น 1 บาท ครัวเรือน
จะนำไปใช้จ่ายเท่าไหร่อย่างไร (ตามหลักคิดของ marginal propensity to consume ) โดยแบ่งการใช้เงินออกเป็น 3 แบบด้วยกันคือ 1) นำไปจ่ายภาระหนี้ 2) นำไปใช้จ่าย และ 3) นำไปเก็บออม ทั้งนี้ หากครัวเรือนนำรายได้ที่เพิ่มขึ้นไปชำระหนี้ เช่น นำเงินมาชำระหนี้บัตรเครดิตและลดการพึ่งพาการจ่ายขั้นต่ำที่ทำให้เงินต้นลดได้ช้า ครัวเรือนก็จะมีโอกาสสูงที่จะสามารถปลดหนี้ได้ อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาพบว่าหลังจากที่ได้คุมปัจจัยต่างๆ ให้คงที่[12] ครัวเรือนที่มีหนี้และมีปัญหาทางการเงินจะนำรายได้ส่วนใหญ่ไปใช้จ่าย โดยเฉพาะ Gen Y ที่จะนำเงินไปใช้จ่ายถึงประมาณ 3 ใน 4 และนำไปจ่ายภาระหนี้ในส่วนที่เหลือ ขณะเดียวกันครัวเรือนที่มีหนี้แต่ไม่มีปัญหาทางการเงินจะแบ่งเงินส่วนหนึ่งเก็บออมไว้อย่างน้อย 1 ใน 3 ของเงินที่เพิ่มขึ้น (ภาพที่ 12) จะเห็นได้ว่า เป็นเรื่องสำคัญมากที่การเพิ่มรายได้ต้องมาพร้อมกับการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่าย ไม่เช่นนั้นครัวเรือนก็จะยังมีปัญหาทางการเงินและไม่มีเงินเก็บออมอย่างเหมาะสม เพราะพฤติกรรมเดิมๆ ย่อมนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เหมือนเดิม อีกทั้งการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนด้วยมาตรการต่างๆ จะขาดประสิทธิผลหากภาคครัวเรือนไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 

 

ปัญหาการออมในสังคมมีอะไรบ้าง

ข้อเท็จจริงที่ 8 : ครัวเรือนไทยมีศักยภาพในการปรับตัวเพื่อให้สามารถหลุดพ้นจากการเป็นหนี้ได้
                  หากปรับพฤติกรรมการใช้จ่าย

          ข้อเท็จจริงที่ 2 และ 3 ของงานศึกษานี้ชี้ว่า ครัวเรือนไทยจำนวนมากมีศักยภาพในการปรับตัว และสามารถสร้างฐานะทางการเงินที่ดีขึ้นได้ หากครัวเรือนปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายและมีการวางแผนทางการเงินที่ดี เนื่องจาก (1) ครัวเรือนทุกกลุ่มมีสัดส่วนรายได้ที่มั่นคงเพิ่มขึ้น ซึ่งควรจะส่งผลดีต่อการคาดการณ์รายได้ต่อเดือนและการบริหารการเงินภายในครัวเรือน (2) ปัจจัยที่ทำให้ครัวเรือนมีรายรับไม่พอรายจ่าย ส่วนหนึ่งมาจากรายจ่ายไม่จำเป็น และส่วนใหญ่มาจากภาระหนี้ที่สูง ซึ่งหากครัวเรือนปรับลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นและนำเงินที่เหลือไปชำระหนี้ (ลดภาระหนี้) เพื่อลดเงินต้นอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ก็จะสามารถสร้างฐานะทางการเงินที่ดีขึ้นได้ กระบวนการดังกล่าวต้องใช้เวลาและความอดทนอดกลั้นแต่สามารถทำได้ ทั้งนี้ งานศึกษาพบว่าหากให้ครัวเรือนไทยที่มีหนี้ลดรายจ่ายไม่จำเป็นลงร้อยละ 20 ก็จะทำให้สัดส่วนครัวเรือนที่มีปัญหาทางการเงินลดลงประมาณร้อยละ 5 และตัวเลขดังกล่าวจะลดลงมากขึ้นอีกหากครัวเรือนนำเงินส่วนต่างนี้ไปชำระหนี้

          คำถามที่น่าสนใจคือ ครัวเรือนที่มีหนี้และมีปัญหาโดยเฉลี่ยแล้วควรจะลดค่าใช้จ่ายเท่าไหร่จึงจะทำให้พวกเขาไม่มีปัญหาทางการเงิน ผลการศึกษาพบว่า การท่องเที่ยวเป็นรายจ่ายก้อนใหญ่ที่ครัวเรือนที่มีหนี้และมีปัญหาควรลด โดยต้องลดลงถึงร้อยละ 83 จากปริมาณการใช้จ่ายปัจจุบัน เพื่อให้ครัวเรือนมีรายรับเพียงพอกับรายจ่าย รองลงมาคือ หมวดเสื้อผ้า ซึ่งครัวเรือนควรลดการใช้จ่ายถึงร้อยละ 73 ส่วนค่าอาหารนอกบ้านและของใช้ส่วนบุคคลก็ควรลดลงร้อยละ 58 และ 54 ตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีรายจ่ายอื่นๆ ที่ควรปรับลดการใช้จ่ายเพื่อสร้างวินัยและลดความเสี่ยงทางการเงินในครัวเรือน เช่น ค่าเหล้าและค่าหวยที่ควรลดลงประมาณครึ่งหนึ่งของที่ใช้จ่ายในปัจจุบัน (ภาพที่ 13)

ปัญหาการออมในสังคมมีอะไรบ้าง

บทสรุป

          ปัจจุบันฐานะทางการเงินของครัวเรือนไทยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กล่าวคือ กลุ่มที่ไม่มีหนี้ซึ่งมีความเปราะบางลดลงในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ขณะที่กลุ่มที่มีหนี้มีความเปราะบางมากขึ้นอย่างชัดเจนและครัวเรือนเหล่านั้นตกอยู่ในสถานะที่อ่อนไหวต่อความผันผวนทางเศรษฐกิจมากจนเกินไป สะท้อนได้จากการออมน้อย การเป็นหนี้สูง เป็นหนี้เร็วและเป็นหนี้นาน ทั้งนี้ ความเปราะบางที่สะสมขึ้นเกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน ทั้งปัจจัยที่สะสมจากฝั่งของผู้กู้และฝั่งของผู้ปล่อยกู้ บทความนี้ ชี้ให้เห็นถึง 8 ข้อเท็จจริงของการเป็นหนี้และปัญหาทางการเงินจากฝั่งของผู้กู้ ซึ่งพบว่า พฤติกรรมของครัวเรือนเป็นต้นตอสำคัญของปัญหาหนี้สิน ครัวเรือนไทยในปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้มั่นคงมากขึ้น ซึ่งควรจะเป็นปัจจัยบวกที่เพิ่มความสามารถในการบริหารเงิน แต่กลับพบว่าครัวเรือนเหล่านั้นมักชะล่าใจในการใช้จ่าย โดยรายจ่ายที่ไม่จำเป็นและภาระหนี้ที่สูงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ครัวเรือนไทยมีปัญหารายรับไม่พอรายจ่าย การใช้จ่ายที่ไม่ระมัดระวัง ส่วนหนึ่งได้รับอิทธิพลจากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป อาทิ การซื้อของผ่าน online และการเข้าถึง social media ที่กระตุ้นให้เกิดความต้องการและการบริโภคเปรียบเทียบกับผู้อื่น ซึ่งแนวโน้มของอิทธิพลดังกล่าวมีแต่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะกับคนรุ่นหลัง โจทย์ที่สำคัญคือ จะทำอย่างไรให้ครัวเรือนไทยโดยเฉพาะกลุ่มที่เปราะบางตระหนักรู้ถึงภัยอันตรายของการออมน้อยและการขาดวินัยทางการเงิน ซึ่งจะทำให้ครัวเรือนเหล่านั้นเวลาก่อหนี้ก้อนใหญ่ เช่น ก่อหนี้บ้านหรือหนี้รถยนต์ จำเป็นต้องก่อหนี้เต็มจำนวน (หนี้สูง) เพราะมีเงินออมน้อยและต้องเลือกที่จะผ่อนเป็นระยะเวลานานเพื่อลดภาระหนี้ต่อเดือนให้ต่ำเนื่องจากมีเงินเหลือต่อเดือนสำหรับการผ่อนน้อย (เป็นหนี้นาน) ทำให้ครัวเรือนมีความเปราะบางสูงและเป็นความเปราะบางที่ยาวนานอีกด้วย

          ข้อเท็จจริงจากการศึกษานี้ยังชี้ให้เห็นว่า การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นโจทย์ที่ท้าทายและจะขาดประสิทธิผลหากครัวเรือนไม่ปรับพฤติกรรม การเพิ่มรายได้หรือการพักหนี้จะขาดประสิทธิผลในการแก้ปัญหาหนี้สินหากครัวเรือนยังขาดวินัยทางการเงิน ยกตัวอย่างเช่น มาตรการประกันรายได้ภาคเกษตรที่ทำให้หลายครัวเรือนมีรายได้ที่มั่นคงมากขึ้น ในมุมหนึ่งถือเป็นเรื่องดีเพราะเป็นการช่วยเหลือครัวเรือนเกษตรซึ่งมักมีรายได้ที่ผัวผวนจากภัยธรรมชาติ แต่งานศึกษานี้ชี้ว่ารายได้ที่มั่นคงมากขึ้นก็มักจะมาพร้อมกับการใช้จ่ายที่มากขึ้น ส่งผลให้อัตราการออมลดลง และเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ครัวเรือนเกษตรขาดการวางแผนทางการเงิน โดยใช้จ่ายและก่อหนี้ยืมสินกันถ้วนหน้าในช่วงที่มีรายได้มั่นคง แทนที่จะเก็บออมไว้อย่างพอเหมาะเพื่อสร้างฐานะทางการเงินให้เข้มแข็งเสียก่อน ซึ่งจะทำให้สามารถก่อหนี้ในวันข้างหน้าได้อย่างอุ่นใจ จะเห็นได้ว่าปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนนั้นมีตัวแปรตั้งต้นที่สำคัญคือ การออม เพราะการออมหมายถึงครัวเรือนมีการวางแผนทางการเงินที่ดี มีวินัยการใช้จ่ายที่ดี มีการสร้างความพร้อมหรือสร้างฐานะให้มั่นคง เพื่อรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจในอนาคตแม้ในยามที่มีหนี้สินก็ตาม เมื่อกระนั้นการมีหนี้สูงก็จะไม่เป็นเรื่องที่น่ากังวลอีกต่อไป ทุกภาคส่วนจึงจำเป็นต้องช่วยกันสร้างความตระหนักรู้ ส่งเสริมวินัยทางการเงินและการออม เพื่อสุขภาพทางการเงินที่ดีของครัวเรือนไทยและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน         

----------------------------------------------------------------

[1] โสมรัศมิ์ จันทรัตน์ และคณะ (2560) “มุมมองใหม่หนี้ครัวเรือนไทยผ่าน Big Data ของเครดิตบูโร” aBRIDGEd No.10/2017 สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
[2] สรา ชื่นโชคสันต์ และคณะ (2562) ”หนี้ครัวเรือนไทย: ข้อเท็จจริงที่ได้จาก BOT-Nielsen Household Financial Survey” FAQ Issue 143 ธนาคารแห่งประเทศไทย
[3] ปัญหาหนี้สินไม่ได้มีสาเหตุมาจากพฤติกรรมของผู้กู้เพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดจากพฤติกรรมของผู้ปล่อยกู้ด้วย เช่น สถาบันการเงินอาจแข่งขันกันปล่อยสินเชื่อจนเกินควร ส่งผลให้ครัวเรือนเป็นหนี้กันง่ายและอยู่ในระดับสูง โดยบทความนี้จะเน้นศึกษาเฉพาะพฤติกรรมของฝั่งผู้กู้ (ครัวเรือน) เท่านั้น
[4] สำนักงานสถิติแห่งชาติทำการสำรวจรายจ่ายของครัวเรือนทุกปี ขณะที่ข้อมูลด้านรายได้และมูลค่าหนี้สินจะสำรวจปีเว้นปี กล่าวคือ สำรวจเฉพาะปี พ.ศ. ที่เป็นเลขคู่เท่านั้น สำหรับข้อมูลรายได้ปี พ.ศ. เลขคี่นั้น ผู้เขียนได้ทำการประมาณการด้วยวิธีทางเศรษฐมิติ โดยให้รายได้อิงกับคุณลักษณะต่างๆ ของครัวเรือน อาทิ รายจ่าย อาชีพ และทำเลที่อยู่อาศัย เป็นต้น
[5] โสมรัศมิ์ และคณะ (2562) “เข้าใจพลวัตหนี้ครัวเรือนไทยผ่าน Big data ของเครดิตบูโร” aBRIDGEd No.2/2019 สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
[6] เนื่องจากข้อมูล SES อยู่ในเป็นรูปแบบของการสำรวจ (survey) จึงมีความเป็นไปได้ที่ครัวเรือนอาจแจ้งข้อมูลด้านรายได้คาดเคลื่อนและต่ำกว่าความเป็นจริง ทำให้สัดส่วนครัวเรือนที่มีรายรับไม่พอรายจ่ายอาจจะสูงเกินไป
[7] เมื่อพิจารณาในรายละเอียดพบว่าครัวเรือนที่มีรายรับไม่พอรายจ่ายจำเป็นส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน
[8] เมื่อนับรวมรายจ่ายฉุกเฉินด้วยจะทำให้สัดส่วนครัวเรือนที่มีรายรับไม่พอรายจ่าย (รายจ่ายจำเป็น รายจ่ายไม่จำเป็น และรายจ่ายฉุกเฉิน) เพิ่มขึ้นอีกประมาณร้อยละ 1.1 ซึ่งน้อยมากจึงไม่ได้แสดงไว้ในรูปภาพ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะจำนวนครัวเรือนที่เผชิญกับรายจ่ายฉุกเฉินนั้นมีน้อย
[9] สัดส่วนครัวเรือนที่มีหนี้และมีปัญหาเมื่อนับรวมรายจ่ายไม่จำเป็นจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 32 ขณะที่ตัวเลขดังกล่าวสำหรับครัวเรือนที่ไม่มีหนี้จะอยู่ที่ร้อยละ 24
[10] ปัจจัยที่คุมให้คงที่ประกอบด้วย รายได้ อาชีพ ทำเลที่อยู่อาศัย จำนวนสมาชิกในครัวเรือน จำนวนเด็กและจำนวนผู้สูงอายุในครัวเรือน
[11] ตัวเลขร้อยละ 2.0 ต่อเดือนเป็นตัวเลขเฉลี่ยรวมจากทุกกลุ่มครัวเรือน ตัวเลขดังกล่าวจะอยู่ที่ร้อยละ 4.5 ต่อเดือน (ออมน้อยลง) สำหรับครัวเรือนที่มีหนี้และจะใกล้เคียงร้อยละ 0.0 สำหรับครัวเรือนที่ไม่มีหนี้
[12] การศึกษาในส่วนนี้นอกจากจะคุมปัจจัยที่เขียนไว้ใน footnote 10 แล้วยังคุมปัจจัยด้านมูลค่าหนี้สินของครัวเรือนเพิ่มเข้าไปด้วย

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย

>>​Download​​ PDF

ปัญหาในการออมมีกี่อย่าง อะไรบ้าง

ไม่มีเงินเก็บ เงินไม่พอใช้ เพราะเจอศัตรูตัวร้ายคอยรังควาญ.
ไม่มีวินัยในการออมเงิน ไม่มีวินัยในการออม จนส่งผลให้ไม่มีเงินเก็บ นั่นก็คือตัวคุณเอง ดังนั้น ต้องเริ่มปรับพฤติกรรมการออมเงินก่อน จากที่เคยใช้ไปก่อน ค่อยออมทีหลัง ไม่ได้แล้วครับ ... .
ความโลภเป็นเหตุ ... .
เงินเฟ้อ ... .
เหตุการณ์ไม่คาดฝัน.

ปัญหาในการออมเงินมีสาเหตุใดบ้าง

สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้หลายๆคนไม่ประสบความสำเร็จในการออมเงินนั่นคือการไม่มีวินัยในการออม ดังนั้นต้องเริ่มปรับพฤติกรรมการออมเงินก่อน และวิธีที่จะช่วยสร้างวิธีเก็บเงินได้มีประสิทธิภาพอีกวิธีหนึ่งคือใช้วิธีฝากเงินแบบประจำที่จะต้องฝากเงินเท่ากันทุกๆ เดือน เดือนละ 1 ครั้ง เพื่อเป็นการบังคับการออมเงินของตัวเองก็เป็นอีกวิธีที่ดี ...

ปัญหาของการลงทุนและการออมในสังคมคืออะไร

2. ประชากรขาดความรู้เรื่องการออม และการลงทุน ขาดความรู้ในการจัดทำบัญชี ครัวเรือน ไม่มีการวางแผนการใช้จ่าย และขาดความรู้ในการแสวงหารายได้ ให้มากขึ้น ประชากรส่วนใหญ่อยู่ในภาคเกษตรกรรม ซึ่งมีรายได้ต่ำ จึงเก็บออมได้น้อย

ปัญหาการออมในสังคมไทยมีอะไรบ้างและมีวิธีการแก้ปัญหาอย่างไร

วิธีแรก คือ ต้องแก้เรื่องวิธีคิดของเราเอง ถึงวิธีการหาเงินเพิ่มจากวิธีเดิมๆที่เคยปฏิบัติมา วิธีที่สอง คือ หาความรู้ใหม่ๆเพื่อที่จะเปลี่ยนวิธีคิดของเรา รวมไปถึงทางออกในการแก้ปัญหาทางการเงิน วิธีที่สาม คือ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและนิสัย โดยถ้าเราเปลี่ยนวิธีคิดได้แล้ว พฤติกรรมและนิสัยก็จะเปลี่ยนไปตามวิธีคิดของคุณโดยอัตโนมัติ